ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น |
---|
ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น เป็นช่วงเวลาการเติบโตอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจในญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สองไปจนถึงสงครามเย็น ในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ประเทศญี่ปุ่น กลายเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างรวดเร็ว (รองจากสหรัฐอเมริกา) ในช่วงทศวรรษ 1990 อัตราประชากรของญี่ปุ่นเริ่มลดลง จำนวนวัยทำงานไม่ได้ขยายตัวเร็วเท่ากับในทศวรรษก่อน ๆ แม้ว่าประสิทธิภาพการทำงานของวัยทำงานยังคงอยู่ในระดับสูงก็ตาม
ปูมหลัง
[แก้]ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง รวมถึงประเทศเยอรมนีตะวันตกซึ่งได้รับผลประโยชน์จากสงครามเย็น อันเนื่องมาจากรัฐบาลอเมริกันดำเนินการปฏิรูปสังคมญี่ปุ่นในช่วงการยึดครองญี่ปุ่น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และพลเมือง [1][2] ส่วนใหญ่เกิดมาจากจากการแทรกแซงทางเศรษฐกิจของรัฐบาลญี่ปุ่นและความช่วยเหลือของสหรัฐฯในการช่วยเหลือเอเชียหลังสงคราม[3] เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง สหรัฐได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในญี่ปุ่นเพื่อชะลอการขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียตในมหาสมุทรแปซิฟิก สหรัฐฯ ยังกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นด้วย เนื่องจากหากประชากรญี่ปุ่นเกิดความทุกข์ยากก็จะหันไปพึ่งลัทธิคอมมิวนิสต์เช่นนี้จะทำให้โซเวียตมีอิทธิพลเหนือมหาสมุทรแปซิฟิก [1]
ลักษณะเด่นของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วง "ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ" ได้แก่ ความร่วมมือของผู้ผลิต ผู้จัดส่ง ผู้จัดจำหน่าย และธนาคารเป็นกลุ่มใกล้ชิดกันเรียกว่า "เคเรตสึ" รวมถึงสหภาพแรงงานที่มีอำนาจ ความสัมพันธ์อันดีกับข้าราชการ และหลักประกันการจ้างงานตลอดชีวิต ในองค์กรขนาดใหญ่และโรงงานที่มีสหภาพแรงงานสูง
นักวิชาการบางคนแย้งว่าการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของญี่ปุ่นหลังสงครามจะเกิดเป็นไปไม่ได้หากญี่ปุ่นไม่ได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา เนื่องจากสหรัฐฯ คอยดูดซับการส่งออกของญี่ปุ่น ยอมรับแนวทางปฏิบัติทางการค้าของญี่ปุ่น ให้เงินอุดหนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่น และถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับบริษัทญี่ปุ่น จึงเป็นการขยายประสิทธิผลของนโยบายการค้าของญี่ปุ่น [4]
เงินสนับสนุนจากรัฐบาล
[แก้]แม้ว่าดักลาส แมกอาเธอร์จะจากไปแล้วบวกกับความเจริญทางเศรษฐกิจที่เกิดจากสงครามเกาหลีก็ลดลง แต่การฟื้นตัวทางการเงินของญี่ปุ่นยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง เวลานั้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นรอดพ้นจากภาวะถดถอยรุนแรงเนื่องมาจากการสนับสนุนของสหรัฐฯ สำหรับการจัดซื้อจัดจ้างทางทหาร ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากเถ้าธุลีของสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ ดั่งคำกล่าวของมิกิโซะ ฮาเนะศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ วิทยาลัยน็อกซ์ กล่าวว่าช่วงเวลาปลายทศวรรษ 1960 ถือเป็น "ปีแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ญี่ปุ่นเคยเห็นมานับตั้งแต่อามาเตราซุผนึกตัวเองอยู่หลังประตูหิน" รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็มีส่วนทำให้เกิดปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นหลังสงครามโดยการกระตุ้นการเติบโตของภาคเอกชน มีการสร้างกฎระเบียบที่จัดการวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต่อมาโดยมุ่งเน้นไปที่การขยายการค้า [5]
ประวัติศาสตร์
[แก้]ภาพรวม
[แก้]ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น หมายถึงช่วงเวลาการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งสองจนถึงทศวรรษ 1990 การเติบโตอย่างรวดเร็วในครั้งนี้สามารถแบ่งออกเป็นสี่ระยะ ได้แก่ ระยะการฟื้นตัว (ค.ศ. 1946–1954) ระยะการเติบโตอย่างรวดเร็ว (ค.ศ. 1955–1972) ระยะการเติมโตคงที่ (ค.ศ. 1972–1992) และระยะภาวะเศรษฐกิจถดถอย (ค.ศ. 1992–2017) [6]
แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิและถูกฝ่ายสัมพันธมิตรปูพรมทิ้งระเบิดจำนวนมหาศาล แต่ญี่ปุ่นก็สามารถฟื้นตัวจากบาดแผลทางจิตใจในสงครามโลกครั้งที่สองกลายเป็นประเทศที่เศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก (รองจากสหรัฐอเมริกาและ สหภาพโซเวียต) ในคริสต์ทศวรรษ 1960[7] แต่ต่อมาญี่ปุ่นก็ประสบกับสิ่งที่เรียกว่า "การชะงักทางเศรษฐกิจ" เนื่องจากค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น ญี่ปุ่นมีความพยายามโดยการปรุงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าของเงินเยน เพราะการปล่อยให้เงินเยนอ่อนค่าอาจส่งผลเสียต่อการค้า[8] แต่แล้วในช่วงทศวรรษ 1980 เงินเยนแข็งค่าขึ้นทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ เพื่อบรรเทาอิทธิพลของภาวะเศรษฐกิจถดถอย ญี่ปุ่นได้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงินเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ แต่ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ที่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1980 และต้นทศวรรษ 1990 รวมถึงนโยบายเงินฝืดของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่นได้ทำลายเศรษฐกิจญี่ปุ่นจนเกิดเป็นทศวรรษที่สาบสูญถึงปัจจุบัน
ช่วงการฟื้นตัว (ค.ศ. 1946–1954)
[แก้]เศรษฐกิจญี่ปุ่นเกิดความตกต่ำหลังอย่างมากหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ตัวอย่าง เช่น อุตสาหกรรมฝ้ายของญี่ปุ่นปิดตัวลง สองในสามของฝ้ายที่ผลิตขึ้นก่อนสงครามถูกทิ้ง รวมไปถึงการถูกทิ้งระเบิดและการถูกทำลายล้างเขตเมืองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร ทำให้เปอร์เซ็นต์การปั่นด้ายลดลง 20 แห่ง ส่งผลให้ความสามารถในการทอเหลือเพียง 14 เปอร์เซ็นต์ [9] ที่เลวร้ายกว่านั้นคือในปี 1946 ญี่ปุ่นเกือบจะเกิดภาวะอดอยากทั่วประเทศ ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการขนส่งอาหารมาสนับสนุนของอเมริกาเท่านั้น [10] บวกกับภัยคุกคามทางทหารจากสหภาพโซเวียต ทำให้สหรัฐฯ ต้องดำเนินการสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นจในวงกว้าง ในช่วงหลังสงครามแทบทุกประเทศประสบกับปัญหาการเติบโตของอุตสาหกรรม แต่ญี่ปุ่น เยอรมนีตะวันตก และอิตาลี กลับประสบความสำเร็จในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วที่สุด ในกรณีของญี่ปุ่นการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงมากในปี ค.ศ. 1946 เหลือ 27.6% ของระดับก่อนสงคราม แต่ฟื้นตัวในปี 1951 และเพิ่มขึ้นเป็น 350% ในปี ค.ศ. 1960 [11]
หลังจากการยึดครองญี่ปุ่นยุติลง สหรัฐฯ ประสบความสำเร็จในพลิกญี่ปุ่นกลับเข้าสู่เศรษฐกิจโลก และสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจขึ้นมาใหม่ เพราะเหตุนี้ต่อมาเป็นจุดเริ่มต้นปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น [2]
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างรวดเร็วก็คือการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จจากภาครัฐบาล หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับนโยบายด้านอุตสาหกรรมในญี่ปุ่นเป็นหลักคือกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรม [12] การปฏิรูปเศรษฐกิจที่สำคัญประการหนึ่งคือการนำต้นแบบ "นโยบายการผลิตแบบเอนเอียง" (傾斜生産方式, keisha seisan hoshiki ) มาใช้ นโยบายนี้หมายถึงการผลิตที่เน้นเอียงไปที่การผลิตวัตถุดิบเป็นหลัก เช่น เหล็ก ถ่านหิน และฝ้าย [13] เพื่อกระตุ้นการเติบโตในภาคแรงงาน รัฐบาลญี่ปุ่นสนับสนุนให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงาน เพื่อมาทำงานร่วมกับผู้ชายในกฎหมายว่าด้วยการจัดหางานมีองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่ ข้อจำกัดในการสรรหาและย้ายคนงานในระดับภูมิภาค ห้ามการจัดหาโดยตรงกับผู้ที่พึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนใหม่ และการรับสมัครโดยตรงกับผู้ที่พึ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนโดยไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนภายใต้กฎระเบียบที่ออกโดยกระทรวงแรงงาน [2]
อีกเหตุผลที่ญี่ปุ่นฟื้นตัวอย่างรวดเร็วอันเนื่องมาจากสงครามเกาหลี เพราะว่าสหรัฐได้เข้ามาช่วยเกาหลีใต้รบ สหรัฐฯ หันไปพึ่งเศรษฐกิจญี่ปุ่นในการจัดซื้ออุปกรณ์และเสบียง เพราะในเวลานั้นการขนส่งทางเรือจากแผ่นดินใหญ่สหรัฐฯเป็นปัญหาสำคัญของกองทัพ เพราะเหตุนี้อุตสาหกรรมของญี่ปุ่นก็จัดหาอาวุธและการขนส่งที่จำเป็นแก่กองกำลังอเมริกันที่กำลังทำสงครามในเกาหลี จากความต้องการทั้งหลายนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นทำให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากการโจมตีทางอากาศที่ญี่ปุ่น
ช่วงเศรษฐกิจฟูฟ่อง (ค.ศ. 1954–1972)
[แก้]หลังจากญี่ปุ่นได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา และปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศสำเร็จ เศรษฐกิจของญี่ปุ่นก็ทะยานได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ถึง 1970 ญี่ปุ่นยังดำเนินการเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมจนสำเร็จส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วแห่งแรกในเอเชียตะวันออก จากรายงานประจำปีเกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 1967 - 1971 มีการเติบโตอย่างสำคัญ เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 1966 มีการเติบโตได้เร็วกว่าที่คาดไว้ [14] กระทั้งปี 1968 เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องหลังจากที่เคยร่วงลงไปต่ำสุดในในฤดูใบไม้ร่วงปี 1965 [15] ลักษณะสำคัญในยุคนี้ก็คืออิทธิพลของนโยบายรัฐบาลฮายาโตะ อิเคดะที่เน้นการบริโภค และการส่งออกจำนวนมาก
ช่วงเศรษฐกิจดันตัวต่อเนื่อง (ค.ศ. 1973–1992)
[แก้]ในปี 1973 เศรษฐกิจญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาน้ำมันครั้งแรก ในตอนนั้นราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นจาก 3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่งผลให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นลดลง 20% เนื่องจากกำลังการผลิตไม่สามารถตอบสนองความต้องการอุปสงค์ที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วได้ จากที่ต้องลงทุนเพิ่มขึ้นจากปัญหาน้ำมันแพงก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ เช่น เส้นอุปทานที่ตึงตัวและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น[16] ่อมาวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งที่สองปี 1979 ทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมจาก 13 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเป็น 39.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ถึงแม้ญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบร้ายแรงจากวิกฤตการณ์น้ำมันทั้ง 2 ครั้ง แต่ในที่สุดญี่ปุ่นก็สามารถอดทนต่อเหตุการณ์ดังกล่าวและเปลี่ยนการผลิตจากที่มุ่งเน้นเพียงผลิตภัณฑ์ไปสู่รูปแบบการผลิตที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีได้
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "Political and Economic Changes during the American Occupation of Japan". Columbia University.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Orr, Robert (2004). Winning the Peace: An American Strategy for Post-Conflict Reconstruction. Washington D.C.: The CSIS Press. p. 183. ISBN 9780892064441.
- ↑ Nakamura, Takafusa (1981). "3: Rapid Growth". The Postwar Japanese Economy: Its Development and Structure (book). แปลโดย Jacqueline Kaninski. Tokyo: University of Tokyo Press. p. 56.
- ↑ Michael Beckley; Yusaku Horiuchi; Jennifer M. Miller (2018). "America's Role in the Making of Japan's Economic Miracle". Journal of East Asian Studies. 18 (1): 1–21. doi:10.1017/jea.2017.24.
- ↑ Hane, Mikiso. Eastern Phoenix: Japan Since 1945. Boulder: Westview Press, 1996.
- ↑ Liu, Haoyuan. "日德战后经济奇迹(Japanese and Germany Postwar Economic Miracle)". Finance World.
- ↑ "Ranking of the World's Richest Countries by GDP (1967) – Classora Knowledge Base". en.classora.com (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 May 2020. สืบค้นเมื่อ 2017-12-08.
- ↑ Nanto, Dick Kazuyuki (1976). The United States' role in the postwar economic recovery of Japan. Massachusetts: Harvard University Press. p. 258.
- ↑ Macnaughtan, Helen (2005). Women, work and the Japanese economic miracle: the case of the cotton textile industry, 1945–1975. New York: RoutledgeCurzon. p. 11. ISBN 0415328055.
- ↑ Aldous, Chris (2010). "Contesting Famine: Hunger and Nutrition in Occupied Japan, 1945-1952". Journal of American-East Asian Relations. 17 (3): 230–256. doi:10.1163/187656110X548639 – โดยทาง Brill.com.
- ↑ Ichiro, Nakayama (1964). Industrialization of Japan. Tokyo. p. 7.
- ↑ Organisation for Economic Co-operation and Development (1972). The industrial policy of Japan. Paris. p. 45.
- ↑ Seymour, Broadbridge (1966). Industrial dualism in Japan : a problem of economic growth and structural change. Chicago: Alpine Publication Corporation. p. 39.
- ↑ The Oriental Economist (1967). Japan Economic Year Book. p. 23.
- ↑ The Oriental Economist (1968). Japanese Economic Year Book. p. 19.
- ↑ Business Intercommunications Inc. (1973). White Papers on Japanese Economy, 1973. p. 16.