ไทแรนโนซอรัส
ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่: ปลายยุคครีเตเชียส, 68.5–65.5Ma | |
---|---|
![]() | |
สถานะการอนุรักษ์ | |
ซากดึกดำบรรพ์
| |
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์ | |
อาณาจักร: | Animalia |
ไฟลัม: | Chordata |
ชั้น: | Reptilia |
อันดับใหญ่: | Dinosauria |
อันดับ: | Saurischia |
อันดับย่อย: | Theropoda |
วงศ์ใหญ่: | †Tyrannosauroidea |
ไม่ถูกจัดอันดับ: | Coelurosauria |
วงศ์: | †Tyrannosauridae |
วงศ์ย่อย: | †Tyrannosaurinae |
สกุล: | †Tyrannosaurus Osborn, 1905 |
สปีชีส์: | T. rex |
ชื่อทวินาม | |
Tyrannosaurus rex Osborn, 1905 | |
ชื่อพ้อง | |
ไทรันโนซอรัส (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tyrannosaurus; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /tɨˌrænɵˈsɔrəs หรือ taɪˌrænɵˈsɔrəs/; แปลว่า กิ้งก่าทรราชย์ มาจากภาษากรีก) เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์ประเภทเทอโรพอด ชนิดเดียวที่เป็นที่รู้จักในสกุลนี้คือ ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tyrannosaurus rex; rex แปลว่า ราชา มาจากภาษาละติน) หรือเรียกอย่างย่อว่า ที. เรกซ์ (T. rex) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ มีถิ่นอาศัยตลอดทั่วตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา ซึ่งกว้างกว่าไดโนเสาร์วงศ์เดียวกัน ไทแรนโนซอรัสอาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายหรือประมาณ 68 ถึง 65 ล้านปีมาแล้ว เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์พวกสุดท้ายและทีเร็กซ์เกี่ยวข้องกับนก จำพวกนกนักล่าอย่าง นกอินทรีหรือเหยี่ยว ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่สามในยุคครีเทเชียส
ไทแรนโนซอรัสเป็นสัตว์กินเนื้อ เดินสองขา มีกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ และเพื่อสร้างความสมดุลมันจึงมีหางที่มีน้ำหนักมาก มีขาหลังที่ใหญ่และทรงพลัง แต่กลับมีขาหน้าขนาดเล็ก มีสองกรงเล็บ ถึงแม้ว่าจะมีไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าไทแรนโนซอรัส เรกซ์ แต่มันก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในไดโนเสาร์วงศ์เดียวกันและเป็นหนึ่งในผู้ล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ วัดความยาวได้ 12.3 ม.[1] สูง 4.6 ม. จากพื้นถึงสะโพก[2] และมีน้ำหนักถึง16-18 ตัน[3] ในยุคสมัยของไทแรนโนซอรัส เรกซ์ที่ยังมีนักล่าขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆนั้น ไทแรนโนซอรัส เรกซ์นั้นเป็นนักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหารในทวีปอเมริกาเหนือ เหยื่อของมันเช่น แฮโดรซอร์ และ เซอราทอปเซีย เป็นต้น ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วไทแรนโนซอรัส เรกซ์เป็นสัตว์กินซาก การถกเถียงในกรณีของไทแรนโนซอรัสว่าเป็นนักล่าหรือสัตว์กินซากนั้นมีมานานมากแล้วในหมู่การโต้แย้งทางบรรพชีวินวิทยา ปัจจุบัน ทีเร็กซ์นั้นสามารถ ล่าเหยื่อตัวเดียว ล่าเป็นฝูงทั้งครอบครัว และกินซาก แน่นอนรวมถึงไดโนเสาร์นักล่าทุกชนิด ที่ล้วนแล้วก็มีโอกาสเป็นนักกินซากได้ทั้งหมด
ไทแรนโนซอรัสเป็นไดโนเสาร์ที่โด่งดังที่สุดในโลก ด้วยฐานะไดโนเสาร์กินเนื้อที่ตัวใหญ่ที่สุด ก่อนจะเสียอันดับให้ คาร์ชาโรดอนโทซอรัส และ จิกแกนโนโตซอรัส และ สไปโนซอรัส
ไดโนเสาร์ทีเรกซ์ ชื่อซู (Sue) เป็นโครงกระดูกไดโนเสาร์ทีเรกซ์ ที่มีความสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดลำตัวยาวกว่า 12.3 เมตร และความสูงถึงสะโพก 4 เมตร โดยตั้งชื่อมาจากซูฃานนักธรณีวิทยาที่ค้นพบ[4] ปัจจุบันจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Field Museum ที่ชิคาโก ในปี 2549
กายวิภาค[แก้]
ไทแรนโนซอรัส เรกซ์เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ ตัวอย่างขนาดใหญ่ที่สุด สมบูรณ์ที่สุด มีชื่อว่า FMNH PR2081 หรือ "ซู" (Sue) มีความยาว 12.3 ม. สูงจากพื้นถึงสะโพก 4 ม.[2] มีน้ำหนักประมาณ 9-18 ตัน[5] [6][7] ซึ่งในปัจจุบันมีการประมาณกันว่าอยู่ในช่วง 9 ถึง 18 ตัน[3][8][9][10] ซึ่งหนักกว่า ไจแกนโนโตซอรัสและคาร์ชาโรดอนโทซอรัส ถึงแม้ว่าไทแรนโนซอรัส เรกซ์จะมีขนาดใหญ่กว่าไดโนเสาร์กินเนื้อในยุคจูแรสซิกอย่างอัลโลซอรัส แต่ก็ยังเล็กกว่าสไปโนซอรัสและจิกแกนโนโตซอรัสซึ่งเป็นไดโนเสาร์กินปลาและกินเนื้อตามลำดับ แต่ ทีเร็กซ์ก็ใหญ่ที่สุดช่วงที่มันชีวิตอยู่และใหญ่ที่สุดในตระกูล และอย่างน้อย ทีเร็กซ์ก็เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อที่ตัวสูงที่สุดนะเวลานี้ โดยทีเร็กซ์ตัวสูงที่สุดจากพื้นถึงหัว คือ 4.6เมตร ชื่อ แซมซัน [11][12] ไทแรนโนซอรัส เมื่อโตเต็มที่จะมีความเร็วที่ 30กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งถือว่ายังเร็วกว่า ความเร็วของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ แต่ยังช้ากว่าไดโนเสาร์กินเนื้อหลายชนิด แต่ตอนเป็นวัยรุ่น ทีเร็กซ์จะวิ่งเร็วถึง 40-50กิโลเมตร/ชั่วโมง จึงเป็นประโยชน์อย่างมากในการล่าเหยื่อเป็นฝูงทั้งครอบครัว แต่จากการศึกษาล่าสุดของนักวิจัยมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ โดยใช้เทคนิคทางวิศวกรรมวิเคราะห์แบบไดนามิกหลายแบบ สร้างแบบจำลองของโครงสร้างไทแรนโนซอรัสขึ้น โดยพิจารณาจากทั้งโครงกระดูกและกล้ามเนื้อ พบว่าไทแรนโนซอรัสอาจจะไม่ได้มีความรวดเร็วถึงขนาดนั้น หากมีความเร็วถึงขนาดนั้นกระดูกของมันจะหัก เนื่องจากไม่สามารถรองรับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อด้วยความเร็วถึงขนาดนั้น หากแต่น่าจะมีความเร็วเพียง 18 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือประมาณ 5 เมตร/1 วินาที ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึง แท้ที่จริงแล้วมันเป็นไดโนเสาร์ที่มีการล่าเหยื่อโดยใช้วิธีการซุ่มโจมตีมากกว่าล่าเหยื่อ รวมถึงอาจจะเป็นสัตว์กินซากด้วย[13]
สมองของ ทีเรกซ์นั้นมีควาวยาวมากกว่า ไม้บรรทัด และใหญ่ที่สุดในหมู่นักล่าขนาดใหญ่ทั้งหมด จึงทำให้ ทีเร็กซ์เป็นนักล่าขนาดใหญ่ที่ฉลาดที่สุด ซึ่งการที่มันมีสมองขนาดใหญ่ทำให้เป็นประโยชน์ในการล่าที่เป็นฝูงทั้งครอบครัวได้ง่ายขึ้น
คอของไทแรนโนซอรัส เรกซ์งอโค้งเป็นรูปตัวเอสตามธรรมชาติเหมือนไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่นๆ แต่มีขนาดสั้นและล่ำสันเพื่อรองรับหัวที่มีขนาดใหญ่ ขาหน้ามีสองกรงเล็บและว่ากันว่าไว้ใช้พยุงตัวกับ[1]กระดูกขนาดเล็กที่เป็นส่วนที่หลงเหลือของนิ้วที่สาม[14] แต่ขาหลังกลับยาวที่สุดเมื่อเทียบตามสัดส่วนของร่างกายในไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดต่างๆ หางยาวและมีน้ำหนักมาก อาจมีกระดูกมากกว่า 40 ชิ้น ทั้งนี้ก็เพื่อสร้างให้สมดุลกับหัวที่มีขนาดใหญ่และลำตัวของมัน เพื่อชดเชยขนาดที่ใหญ่โต กระดูกหลายชิ้นจึงกลวงเพื่อลดน้ำหนักตัวลงโดยไม่สูญเสียความแข็งแรงไป[1]
กะโหลกศีรษะของไทแรนโนซอรัส เรกซ์นั้นใหญ่ที่สุดในบรรดาไดโนเสาร์กินเนื้อทั้งหมดโดยวัดจากความกว้าง และมีความยาว 1.5 ม.[15] โพรงช่องเปิดขนาดใหญ่ในกะโหลกศีรษะมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักตัวและเป็นที่อยู่ของกล้ามเนื้อที่ยึดติดในกะโหลกเหมือนในไดโนเสาร์กินเนื้อทุกชนิด แต่ในส่วนอื่นของกะโหลกไทแรนโนซอรัสแตกต่างจากไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่น กะโหลกมีขนาดกว้างในส่วนด้านหลังและแคบลงไปทางจมูกเพื่อให้การเห็นเป็นภาพเดียวด้วยสองตาได้ดีเป็นพิเศษ[16][17] กะโหลกศีรษะ กระดูกจมูก และกระดูกอีกสองสามชิ้นเชื่อมต่อกัน เพื่อป้องกันการการเคลื่อนตัวของกระดูก แต่ก็เป็นโพรงอากาศจำนวนมาก (ประกอบไปด้วยช่องว่างขนาดเล็กคล้ายรังผึ้ง) ซึ่งอาจทำให้กระดูกมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้นและเบาขึ้น กระดูกที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเหล่านี้เป็นเป็นโครงสร้างสำคัญของวงศ์ไทรันโนซอริดี (Tyrannosauridae) ทำให้การกัดทรงพลังขึ้นซึ่งเหนือกว่าไดโนเสาร์กินเนื้อวงศ์อื่น[18][19][20] ปลายของขากรรไกรบนเป็นรูปตัวยู (ไดโนเสาร์กินเนื้อวงศ์อื่นส่วนมากมีขากรรไกรบนเป็นรูปตัววี) ซึ่งช่วยเพิ่มจำนวนของเนื้อเยื่อและกระดูกที่ไทแรนโนซอรัสกัดออกมาได้ในหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าจะเพิ่มแรงตึงเครียดบนฟันหน้าด้วยก็ตาม[21][22]
ฟันของไทแรนโนซอรัส เรกซ์เป็นแบบเฮเทอโรดอนต์ (มีลักษณะรูปร่างต่าง) [1][23] ฟันหน้าบนขากรรไกรบนเบียดชิดกันมากเป็นฟันตัด (ปลายฟันเหมือนกับใบมีด) มีรูปร่างเป็นตัวดีเมื่อตัดขวาง เสริมด้วยสันบนผิวด้านหลัง และโค้งไปด้านหลัง ซึ่งลักษณะเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้ฟันหักเมื่อไทแรนโนซอรัสกัดและดึง ส่วนฟันที่เหลือแข็งแรงทนทานมาก มีลักษณะคล้ายกล้วยหอมมากกว่ากริช อยู่ห่างกันมากและมีสันเสริมด้วยเช่นกัน[24] ฟันบนขากรรไกรบนจะใหญ่กว่าฟันบนขากรรไกรล่าง ฟันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่มีการค้นพบ ยาวประมาณ 30 ซม. (12 นิ้ว) รวมรากฟัน ซึ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาไดโนเสาร์กินเนื้อ[2]
จากผลการศึกษาในช่วงที่ผ่านมา โดยทีมนักวิทยาศาสตร์อังกฤษ ได้มีการพบว่า ไทแรนโนซอรัส เร็กซ์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีพลังคมเขี้ยวแข็งแกร่งที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา โดยมีกำลังความแรงอยู่ที่ระหว่าง 30,000 ถึง 60,000 นิวตัน หรือประมาณ 6-10 ตัน ซึ่งเทียบเคียงได้เท่ากับช้างขนาดกลางหนึ่งเชือกที่กำลังนั่งทับตัวคน ซึ่งนักวิทยาสตร์คาดว่าทีเร็กซ์อาจมีแรงกัดถึง 18-23 ตัน[25]
และถึงแม้จะมีลำตัวขนาดใหญ่ และฟันที่น่ากลัว แต่ไทแรนโนซอรัสกลับเป็นไดโนเสาร์ที่มีอีกด้านหนึ่งที่อ่อนโยน เป็นไดโนเสาร์ที่ทำรังและเลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี และจากการศึกษาพบว่าไทแรนโนซอรัสมีจมูกที่อ่อนไหวต่อการสัมผัส เหมือนกับปลายนิ้วของมนุษย์ เชื่อว่ามันใช้จมูกนี้ในการสร้างรัง เคลื่อนย้ายไข่อย่างระมัดระวัง คอยดูแลลูกน้อย รวมถึงใช้สัมผัสถูไถกันเพื่อแสดงความรักในเชิงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่กันด้วย[26]
การจำแนก[แก้]
ไทแรนโนซอรัสเป็นสกุลต้นแบบของวงศ์ใหญ่ไทรันโนซอรอยเดีย (Tyrannosauroidea), วงศ์ไทรันโนซอริดี, และวงศ์ย่อยไทรันโนซอริมี (Tyrannosaurinae) หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือเป็นมาตรฐานสำหรับนักบรรพชีวินวิทยาตัดสินใจว่าจะเพิ่มสปีชีส์อื่นลงไปในกลุ่มเดียวกันหรือไม่ สมาชิกอื่นๆของวงส์ย่อยไทรันโนซอริมีก็มี ดัสเพลททอซอรัส (Daspletosaurus) จากอเมริกาเหนือและ ทาร์บอซอรัส (Tarbosaurus) จากทวีปเอเชีย[27][28] ซึ่งในบางครั้งทั้งสองก็ถูกจัดเป็นชื่อพ้องของไทแรนโนซอรัส[22] มีการคิดกันว่าไดโนเสาร์พวกไทแรนโนซอรัสนั้นเป็นลูกหลานของไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่อย่างเมกะโลซอรัส (megalosaurs) และคาร์โนซอร์ (carnosaurs) ถึงแม้ว่าเมื่อเร็วๆนี้มีการจำแนกใหม่ว่าไทแรนโนซอรัสเป็นซีลูโรซอร์ (coelurosaurs) ที่มีขนาดเล็กกว่า[21]
ในปีค.ศ. 1955 นักบรรพชีวินวิทยาชาวสหภาพโซเวียตที่ชื่อ เอฟเจนนี มอลวีฟ (Evgeny Maleev) ได้ตั้งชื่อไดโนเสาร์ชนิดใหม่จากประเทศมองโกเลียว่า Tyrannosaurus bataar[29] แต่ในปีค.ศ. 1965 ไดโนเสาร์ชนิดนี้ได้รับการตั้งชื่อใหม่ว่า Tarbosaurus bataar[30] สาเหตุของการตั้งชื่อใหม่นี้ เนื่องมาจากการวิเคราะห์วงศ์วานวิวัฒนาการพบว่า Tarbosaurus bataar มีบรรพบุรุษร่วมกันแบบมีลำดับชั้นกับ Tyrannosaurus rex[28] และบ่อยครั้งมันได้รับการพิจารณาเป็นไทแรนโนซอรัสแห่งทวีปเอเชีย[21][31][32] แต่เมื่อเร็วๆนี้ การศึกษากะโหลกศีรษะของ Tarbosaurus bataar พบว่ากะโหลกแคบกว่าของไทแรนโนซอรัส เรกซ์และเมื่อกัด การกระจายตัวของความเครียดในกะโหลกก็แตกต่างกันกับไทรันโนซอร์ของเอเชียชนิดอื่นๆ ใกล้เคียงกับ Alioramus มากกว่า[33] เมื่อวิเคระห์ความสัมพันธ์ในกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีบรรพบุรุษร่วมกันแบบมีลำดับชั้น พบว่า Alioramus น่าจะมีบรรพบุรุษร่วมกันแบบมีลำดับชั้นของ Tarbosaurus มากกว่าจะเป็นไทแรนโนซอรัส ซึ่งถ้าเป็นความจริงก็ควรจะแยก Tarbosaurus และไทแรนโนซอรัสออกจากกัน[27]
ซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์วงศ์ไทรันโนซอริดีชนิดอื่นที่พบในหมวดหินเดียวกันกับไทแรนโนซอรัส เรกซ์ซึ่งแต่เดิมถูกแบ่งแยกทางอนุกรมวิธานออกจากกัน ประกอบไปด้วย Aublysodon และ Albertosaurus megagracilis[22] ซึ่งชนิดหลังเดิมในปี ค.ศ. 1995 ถูกตั้งชื่อว่า Dinotyrannus megagracilis[34] อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วในปัจจุบันซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้ถูกพิจารณาเป็น Tyrannosaurus rex ช่วงอายุวัยรุ่น[35]
Tyrannosauridae |
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
การปรากฏตัว[แก้]
ทีเร็กซ์ปรากฏตัวในภาพยนตร์หลายเรื่อง เช่น
-ภาพยนตร์ชุด จูราสสิค พาร์ค
-ภาพยนตร์เรื่องเกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (Natural History Museum) ชื่อ Night at the Museum ของ ชอน เลวี่ (Shawn Levy) ที่มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆในพิพิธภัณฑ์ที่ต้องคำสาปให้กลับมีชีวิตขึ้นมาในตอนกลางคืน
อ้างอิง[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 1.3 Brochu, Christopher A. (2003). Osteology of Tyrannosaurus Rex: Insights from a Nearly Complete Skeleton and High-resolution Computed Tomographic Analysis of the Skull. Northbrook, Illinois: Society of Vertebrate Paleontology. OCLC 51651461. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "brochu2003" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ 2.0 2.1 2.2 "Sue's vital statistics". Sue at the Field Museum. Field Museum of Natural History. สืบค้นเมื่อ 2007-09-15.
- ↑ 3.0 3.1 Erickson, Gregory M. (2004). "Gigantism and comparative life-history parameters of tyrannosaurid dinosaurs". Nature. 430 (7001): 772–775. doi:10.1038/nature02699. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ เว็บไซต์นิทรรศการไดโนเสาร์ ขององค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
- ↑ Henderson DM (1999). "Estimating the masses and centers of mass of extinct animals by 3-D mathematical slicing". Paleobiology. 25 (1): 88–106. Unknown parameter
|day=
ignored (help); Unknown parameter|month=
ignored (help) - ↑ Anderson, JF (1985). "Long bone circumference and weight in mammals, birds and dinosaurs". Journal of Zoology. 207 (1): 53–61. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Bakker, Robert T. (1986). The Dinosaur Heresies. New York: Kensington Publishing. ISBN 0-688-04287-2. OCLC 13699558.
- ↑ Farlow, JO (1995). "Body mass, bone "strength indicator", and cursorial potential of Tyrannosaurus rex". Journal of Vertebrate Paleontology. 15 (4): 713–725. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Seebacher, Frank. (2001). "A new method to calculate allometric length-mass relationships of dinosaurs". Journal of Vertebrate Paleontology. 21 (1): 51–60. doi:10.1671/0272-4634(2001)021[0051:ANMTCA]2.0.CO;2.
- ↑ Christiansen, Per (2004). "Mass prediction in theropod dinosaurs". Historical Biology. 16 (2–4): 85–92. doi:10.1080/08912960412331284313. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ dal Sasso, Cristiano (2005). "New information on the skull of the enigmatic theropod Spinosaurus, with remarks on its sizes and affinities". Journal of Vertebrate Paleontology. 25 (4): 888–896. doi:10.1671/0272-4634(2005)025[0888:NIOTSO]2.0.CO;2. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Calvo, Jorge O. (1998). "New specimen of Giganotosaurus carolinii (Coria & Salgado, 1995), supports it as the as the largest theropod ever found" (pdf). Gaia Revista de Geociências. 15: 117–122. Unknown parameter
|month=
ignored (help); Unknown parameter|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ หน้า 7 โลกาภิวัฒน์ GLOBALIZATION, ความเร็วของที-เร็กซ์ ไดโนเสาร์นักล่าที่ชวนน่าสงสัย. ไทยรัฐปีที่ 68 ฉบับที่ 21735: วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 9 ปีระกา
- ↑ Lipkin, Christine (2008). "Looking again at the forelimb of Tyrannosaurus rex". In Carpenter, Kenneth; and Larson, Peter E. (editors). Tyrannosaurus rex, the Tyrant King (Life of the Past). Bloomington: Indiana University Press. pp. 167–190. ISBN 0-253-35087-5. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ "Museum unveils world's largest T-rex skull" (Press release). Montana State University. 2006-04-07. สืบค้นเมื่อ 2008-09-13.
- ↑ Stevens, Kent A. (2006). "Binocular vision in theropod dinosaurs". Journal of Vertebrate Paleontology. 26 (2): 321–330. doi:10.1671/0272-4634(2006)26[321:BVITD]2.0.CO;2. Archived from the original (PDF) on 2009-10-25. Unknown parameter
|volune=
ignored (help); Unknown parameter|month=
ignored (help) - ↑ Jaffe, Eric (2006-07-01). "Sight for 'Saur Eyes: T. rex vision was among nature's best". Science News. 170 (1): 3. doi:10.2307/4017288. สืบค้นเมื่อ 2008-10-06.
- ↑ Snively, Eric (2006). "Fused and vaulted nasals of tyrannosaurid dinosaurs: Implications for cranial strength and feeding mechanics" (PDF). Acta Palaeontologica Polonica. 51 (3): 435–454. สืบค้นเมื่อ 2008-10-08. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Erickson, G.M. (1996). "Bite-force estimation for Tyrannosaurus rex from tooth-marked bones". Nature. 382: 706–708. doi:10.1038/382706a0. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Meers, M.B. (2003). "Maximum bite force and prey size of Tyrannosaurus rex and their relationships to the inference of feeding behavior". Historical Biology: A Journal of Paleobiology. 16 (1): 1–12. doi:10.1080/0891296021000050755. Unknown parameter
|month=
ignored (help) - ↑ 21.0 21.1 21.2 Holtz, Thomas R. (1994). "The Phylogenetic Position of the Tyrannosauridae: Implications for Theropod Systematics". Journal of Palaeontology. 68 (5): 1100–1117. doi:10.2307/1306180. สืบค้นเมื่อ 2008-10-08. Unknown parameter
|doi_brokendate=
ignored (help) - ↑ 22.0 22.1 22.2 Paul, Gregory S. (1988). Predatory dinosaurs of the world: a complete illustrated guide. New York: Simon and Schuster. ISBN 0-671-61946-2. OCLC 18350868.{{subst:PAGENAME}}
- ↑ Smith, J.B. (2005). "Heterodonty in Tyrannosaurus rex: implications for the taxonomic and systematic utility of theropod dentitions". Journal of Vertebrate Paleontology. 25 (4): 865–887. doi:10.1671/0272-4634(2005)025[0865:HITRIF]2.0.CO;2. Archived from the original (PDF) on 2009-10-25. Unknown parameter
|month=
ignored (help) - ↑ Douglas K, Young S (1998). "The dinosaur detectives". New Scientist. สืบค้นเมื่อ 2008-10-16.
One palaeontologist memorably described the huge, curved teeth of T. rex as 'lethal bananas'
- ↑ คมเขี้ยวทีเร็กซ์แกร่งที่สุดในโลก. หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน. ปีที่ 35 ฉบับที่ 12414. วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555. หน้า 9
- ↑ 'ที-เร็กซ์' นักรักผู้อ่อนไหว. หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ. ปีที่ 29 ฉบับที่ 10443. วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2560. หน้า 7 จุดประการ WILD
- ↑ 27.0 27.1 Currie, Philip J. (2003). "Skull structure and evolution in tyrannosaurid dinosaurs" (PDF). Acta Palaeontologica Polonica. 48 (2): 227–234. สืบค้นเมื่อ 2008-10-08. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ 28.0 28.1 Holtz, Thomas R., Jr. (2004). "Tyrannosauroidea". In David B. Weishampel, Peter Dodson and Halszka Osmólska. The dinosauria. Berkeley: University of California Press. pp. 111–136. ISBN 0-520-24209-2.
- ↑ Maleev, E. A. (1955). Doklady Akademii Nauk SSSR (in Russian). 104 (4): 634–637. Unknown parameter
|trans_title=
ignored (help); Missing or empty|title=
(help) - ↑ Rozhdestvensky, AK (1965). "Growth changes in Asian dinosaurs and some problems of their taxonomy". Paleontological Journal. 3: 95–109.
- ↑ Carpenter, Kenneth (1992). "Tyrannosaurids (Dinosauria) of Asia and North America". In Niall J. Mateer and Pei-ji Chen. Aspects of nonmarine Cretaceous geology. Beijing: China Ocean Press. ISBN 9787502714635. OCLC 28260578.
- ↑ Carr, Thomas D. (2005). "A New Genus and Species of Tyrannosauroid from the Late Cretaceous (Middle Campanian) Demopolis Formation of Alabama". Journal of Vertebrate Paleontology. 25 (1): 119–143. doi:10.1671/0272-4634(2005)025[0119:ANGASO]2.0.CO;2. Unknown parameter
|month=
ignored (help); Unknown parameter|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Hurum, Jørn H. (2003). "Giant theropod dinosaurs from Asia and North America: Skulls of Tarbosaurus bataar and Tyrannosaurus rex compared" (PDF). Acta Palaeontologica Polonica. 48 (2): 161–190. สืบค้นเมื่อ 2008-10-08. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help) - ↑ Olshevsky, George (1995). "The origin and evolution of the tyrannosaurids". Kyoryugaku Saizensen [Dino Frontline]. 9–10: 92–119.
- ↑ Carr, T.D. (2004). "Diversity of late Maastrichtian Tyrannosauridae (Dinosauria: Theropoda) from western North America". Zoological Journal of the Linnean Society. 142: 479–523. doi:10.1111/j.1096-3642.2004.00130.x. Unknown parameter
|coauthors=
ignored (|author=
suggested) (help)
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
![]() |
คอมมอนส์ มีภาพและสื่ออื่นๆ เกี่ยวกับ: ไทแรนโนซอรัส |
- Tyrannosauridae "Tree of Life" page, very comprehensive survey by major authority Tom Holtz.
- "The secret of T. rex's colossal size: a teenage growth spurt". The Guardian. 12 August 2004.
- Tyrannosaurus in the Dino Directory
- Sue's homepage
- Stan's homepage
- Unearthing Tyrannosaurus rex
- T.rex juvenile Jane
- NBCI's Taxonomy Browser
- Bristol University study on bite forces of predators
- Museum of Unnatural Mystery – Bite force etc. of T. rex
- Stanford University on bite force of T. rex
- How Tyrannosaurus might have had sex
- Recent Discovery of Soft Tissue
- Cretaceous Hell Creek Faunal Facies is an example of one tyrannosaur environment, in the Hell Creek Formation of Montana
- Miniature Tyrannosaurus Rex discovered