เอเซ็กชวล
Manifestación WorldPride 2017 ที่กรุงมาดริด | |
นิยาม | การขาดการดึงดูดทางเพศกับผู้อื่น มีความต้องการทางเพศหรือความสนใจในกิจกรรมทางเพศต่ำหรือไม่มี |
---|---|
ย่อ | ace |
หมวดหมู่ย่อย | |
ธง | |
ชื่อธง | ธงไพรด์ของเอเซ็กชวล |
ความหมาย | สีดำคือเอเซ็กชวล สีเทาคือเกรย์เอเซ็กชวล สีขาวคืออัลโลเซ็กชวล สีม่วงคือชุมชน |
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของ |
หัวข้อเอเซ็กชวล |
---|
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง |
ในสังคม |
การศึกษา |
ทัศนคติและการเลือกปฏิบัติ |
ชุมชนเอเซ็กชวล |
รายชื่อ |
เอเซ็กชวลลิตี (อังกฤษ: asexuality) หรือ เอเซ็กชวล (อังกฤษ: asexual) เป็นการขาดการดึงดูดทางเพศกับผู้อื่น มีความสนใจหรือความต้องการกิจกรรมทางเพศต่ำหรือไม่มี[1][2][3] อาจถือว่าเป็นทั้งรสนิยมทางเพศหรือการขาดรสนิยมทางเพศ[4][5][6] นอกจากนี้ยังมีการจัดหมวดหมู่ของเอเซ็กชวลที่กว้างขึ้น รวมไปถึงสเปกตรัมโดยกว้าง ๆ ของอัตลักษณ์ย่อยของเอเซ็กชวล[7]
เอเซ็กชวลแตกต่างจากการงดเว้นกิจกรรมทางเพศและแตกต่างจากการอยู่เป็นโสด[8][9] ซึ่งได้รับอิทธิพลโดยทั่วไปจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ตัวบุคคล สังคม และความเชื่อทางศาสนาของบุคคลนั้น ๆ[10] รสนิยมทางเพศแตกต่างจากพฤติกรรมทางเพศ ที่เชื่อว่าเป็นสิ่งที่ "ถาวร"[11] บุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลบางคนมีกิจกรรมทางเพศ แม้ว่าจะขาดการดึงดูดทางเพศหรือความต้องการทางเพศด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ต้องการสร้างความสุขกับตนเองหรือคู่รัก หรือต้องการมีบุตร[8][12]
การยอมรับเอเซ็กชวลในฐานะรสนิยมทางเพศและในขอบเขตของการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยังเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่[2][12] เนื่องจากการวิจัยทั้งในมุมมองด้านสังคมวิทยาและจิตวิทยากำลังอยู่ในขั้นเริ่มพัฒนา[12] ขณะที่นักวิจัยบางคนยืนยันว่าเอเซ็กชวลเป็นรสนิยมทางเพศ แต่ก็มีนักวิจัยคนอื่น ๆ ที่ไม่เห็นด้วย[4][5] บุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลอาจมีอยู่ร้อยละ 1 ของประชากร[2]
ชุมชนเอเซ็กชวลหลายแห่งเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่อินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมเริ่มแพร่หลายในช่วงกลางทศวรรษ 1990 ชุมชนที่มีจำนวนสมาชิกมากและเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือเอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์กซึ่งก่อตั้งในปี ค.ศ. 2001 โดยเดวิด เจย์[4][13]
คำนิยาม อัตลักษณ์ และความสัมพันธ์
[แก้]เนื่องจากมีความหลากหลายอย่างมีนัยสำคัญในหมู่ผู้ที่ระบุตนว่าเป็นเอเซ็กชวล คำว่า "เอเซ็กชวล" จึงสามารถครอบคลุมคำนิยามโดยกว้าง ๆ[14] นักวิจัยโดยทั่วไปให้คำนิยามของ "เอเซ็กชวล" ว่าเป็นการขาดการดึงดูดทางเพศหรือขาดความสนใจในกิจกรรมทางเพศ[4][12][15] แม้ว่ามีคำนิยามอื่น ๆ ที่แตกต่างกันออกไปจากนี้ คำว่า "เอเซ็กชวล" อาจใช้กล่าวถึงบุคคลที่มีพฤติกรรมทางเพศน้อยหรือไม่มีเลย หรือใช้กล่าวถึงเพิ่มเติมถึงการมีความต้องการทางเพศหรือการดึงดูดทางเพศต่ำหรือไม่มีโดยเฉพาะระหว่างคู่รักที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางเพศ[12][16]
เอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์ก (เอเว็น) ซึ่งเป็นฟอรัมออนไลน์ที่สร้างขึ้นสำหรับเป็นชุมชนออนไลน์ของเอเซ็กชวล ให้คำนิยามของ "เอเซ็กชวล" ว่า "ผู้ที่ไม่มีการประสบการณ์การดึงดูดทางเพศ" และยังเสริมว่าเอเซ็กชวล "โดยแก่นแท้" เป็น "เพียงคำทีผู้คนใช้เพื่อช่วยให้ค้นพบตัวเอง" และสนับสนุนให้ผู้คนใช้คำว่า เอเซ็กชวล เพื่อนิยามตนเอง "ตราบเท่าที่สมเหตุสมผลที่จะเรียกเช่นนั้น"[17] เอเซ็กชวลมักเรียกโดยย่อว่า เอซ (ace) เป็นคำย่อจากการออกเสียงว่า เอเซ็กชวล[18] และชุมชนของเอเซ็กชวลโดยรวมก็ถูกเรียกว่า ชุมชนเอซ (ace community)[19][20]
ความสัมพันธ์
[แก้]แม้ว่าเอเซ็กชวลไม่มีการดึงดูดทางเพศ แต่เอเซ็กชวลบางคนอาจมีความสัมพันธ์ในเชิงโรแมนติกที่บริสุทธิ์ ในขณะที่บางคนอาจไม่มี[4][21] บางคนที่ระบุตนว่าเป็นเอเซ็กชวลกล่าวว่าตนมีประสบการณ์ดึงดูดทางเพศ แม้ว่าจะไม่มีความต้องการที่จะมีกิจกรรมทางเพศ เอเซ็กชวลบางคนก็ขาดความต้องการที่จะมีกิจรรรมทางกายที่ไม่ใช่ทางเพศเช่นการกอดหรือการจับมือ ในขณะที่เอเซ็กชวลคนอื่น ๆ ก็อาจจะเลือกที่จะทำกิจกรรมดังกล่าว[8][9][12][14] คนที่เป็นเอเซ็กชวลอาจจะแสวงหาความสัมพันธ์ที่ไม่มีความโรแมนติกและไม่มีกิจกรรมทางเพศ เรียกว่าเป็น "ความสัมพันธ์แบบเควียร์เพลโตนิก"[18]
เอเซ็กชวลบางคนอาจจะมีกิจกรรมทางเพศเนื่องจากความอยากรู้อยากเห็น[12] บางคนอาจจะสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในรูปการปลดปล่อยเดี่ยว ในขณะที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องกระทำเช่นนั้น[14][22][23] ความต้องการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองและกิจกรรมทางเพศอื่น ๆ มักถูกเรียกโดยเอเซ็กชวลว่าเป็น แรงขับดันทางเพศ (sex drive) ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่แยกต่างหากจากการดึงดูดทางเพศและการเป็นเอเซ็กชวล เอเซ็กชวลที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองโดยทั่วไปถือว่าเป็นการปล่อยสารคัดหลั่งจากร่างกายมนุษย์ตามปกติ มากกว่าจะถือว่าเป็นสัญญาณของเรื่องเพศแอบแฝง และเอเซ็กชวลบางคนก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องน่าพึงพอใจ[12][24] ชายที่เป็นเอเซ็กชวลบางคนไม่สามารถทำให้เกิดการแข็งตัวขององคชาตและไม่สามารถสอดใส่ได้[25] เอเซ็กชวลแต่ละคนยังมีมุมมองที่แตกต่างกันในเรื่องกิจกรรมทางเพศ บางคนอาจมีกิจกรรมทางเพศเพื่อประโยชน์ของคู่รัก ในขณะที่คนอื่นอาจจะไม่ชอบแนวคิดนี้อย่างมาก แม้ว่าเอเซ็กชวลโดยทั่วไปจะไม่ได้ต่อต้านเรื่องเพศโดยภาพรวมก็ตาม[12][14][23]
หลายคนที่ระบุตนว่าเป็นเอเซ็กชวลก็อาจจะเลือกรับอัตลักษณ์อื่น ซึ่งมักรวมถึงอัตลักษณ์ทางสถานะเพศและรสนิยมทางโรแมนติกประเภทต่าง ๆ ด้วย[26] เหล่านี้มักรวมเข้ากับอัตลักษณ์เอเซ็กชวลของบุคคล และเอเซ็กชวลอาจระบุตนว่าเป็นเฮเทโรเซ็กชวล เลสเบียน เกย์ หรือไบเซ็กชวลในแง่ความความโรแมนติกหรืออีกด้านหนึ่งของรสนิยมทางเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศนอกเหนือไปจากการระบุตนว่าเป็นเอเซ็กชวล[21] ในแง่ที่เป็นโรแมนติกของรสนิยมทางเพศก็อาจระบุได้ด้วยอัตลักษณ์โรแมนติกที่หลากหลาย เช่น ไบโรแมนติก เฮเทโรโรแมนติก โฮโมโรแมนติก หรือแพนโรแมนติก และผู้ที่ไม่มีประสบการณ์การดึงดูดทางโรแมนติกอาจระบุตนด้วยคำว่าเอโรแมนติก[14][21] การแยกจากกันระหว่างรสนิยมทางโรแมนติกและรสนิยมทางเพศนี้อธิบายได้โดยทั่วไปด้วยแบบจำลองการดึงดูดแบบแยกส่วน (split attraction model) ซึ่งระบุว่าความดึงดูดทางโรแมนติกและความดึงดูดทางเพศไม่ได้เชื่อมโยงกันอย่างเคร่งครัดสำหรับทุกผู้คน บุคคลผู้ที่เป็นทั้งเอโรแมนติกและเอเซ็กชวลบางครั้งจะรู้จักในคำเรียกว่า "เอโร-เอซ" ("aro-ace" หรือ "aroace")[27]
เกรย์เอเซ็กชวล
[แก้]คำว่า "เกรย์เอเซ็กชวล" หมายถึงสเปกตรัมระหว่างเอเซ็กชวลและที่ไม่ใช่เอเซ็กชวล (มักระบุว่าว่าเป็นอัลโลเซ็กชวล)[28] บุคคลผู้ที่ระบุตนว่าเป็นเกรย์เอเซ็กชวลอาจมีประสบการณ์การดึงดูดทางเพศเป็นครั้งคราว หรือเพียงมีประสบการณ์ดึงดูดทางเพศในฐานะองค์ประกอบรองเมื่อมีความผูกพันทางอารมณ์ที่มั่นคงและแน่นแฟ้นกับคู่เป้าหมาย รู้จักในคำเรียกว่า เดมิเซ็กชวล[14][29]
งานวิจัย
[แก้]ความแพร่หลาย
[แก้]นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องว่าบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลมีจำนวนน้อย โดยคิดเป็นร้อยละ 1 ของประชากรหรือน้อยกว่า[31] เอเซ็กชวลไม่ใช่เรื่องใหม่ในเพศวิถีของมนุษย์ แต่เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ในวจนิพนธ์ระดับสาธารณะ[32] เมื่อเทียบกับเพศวิถีอื่น ๆ แล้ว เอเซ็กชวลได้รับความสนใจน้อยจากชุมชนวิทยาศาสตร์ โดยมีข้อมูลเชิงปริมาณเกี่ยวกับความแพร่หลายของเอเซ็กชวลในจำนวนที่น้อย[33][34] เอส. อี. สมิท (S. E. Smith) แห่งหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดียนไม่แน่ใจว่าบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลมีจำนวนเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่ แต่ค่อนข้างโน้มเอียงไปในทางเชื่อว่าพบเห็นได้มากขึ้น[32] อัลเฟรด คินซีย์ (Alfred Kinsey) จำแนกบุคคลตั้งแต่ระดับ 0 หรือ 6 ตามรสนิยมทางเพศของแต่ละบุคคลตั้งแต่เฮเทโรเซ็กชวล (ดึงดูดทางเพศต่อคนต่างเพศ) ถึงโฮโมเซ็กชวล (ดึงดูดทางเพศต่อคนเพศเดียวกัน) รู้จักในชื่อว่ามาตราคินซีย์ (Kinsey scale) เขายังรวมประเภทที่เรียกว่า "เอ็กซ์" (X) สำหรับบุคคลที่ "ไม่มีการสัมผัสหรือปฏิกิริยาทางสังคมและทางเพศ"[35][36] แม้ว่าในปัจจุบัน ลักษณะนี้จัดอยู่ในประเภทตัวแทนของเอเซ็กชวล[37] นักวิชาการจัสติน เจ. เลห์มิลเลอร์ (Justin J. Lehmiller) กล่าวว่า "ประเภทเอ็กซ์ของคินซีย์ให้ความสำคัญของการขาดพฤติกรรมทางเพศ ในขณะที่คำนิยามสมัยใหม่ของเอเซ็กชวลให้ความสำคัญกับการขาดการดึงดูดทางเพศ ด้วยเหตุนี้มาตราคินซีย์จึงอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการจำแนกประเภทของเอเซ็กชวลอย่างถูกต้อง"[30] คินซีย์ระบุว่าร้อยละ 1.5 ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่จัดอยู่ในประเภทเอ็กซ์[35][36] ในหนังสือเล่มที่สองของคินซีย์ที่ชื่อ เซ็กชวลบีเฮฟวิเออร์อินเดอะฮิวแมนฟีเมล (Sexual Behavior in the Human Female; แปลว่า พฤติกรรมทางเพศในมนุษย์เพศหญิง) ได้รายงานรายละเอียดของบุคคลจัดอยู่ในประเภทเอ็กซ์ว่า: ผู้หญิงที่ไม่แต่งงาน = 14–19%, ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว = 1–3%, ผู้หญิงที่เคยแต่งงาน = 5–8%, ผู้ชายที่ยังไม่แต่งงาน = 3–4%, ผู้ชายที่แต่งงานแล้ว = 0%, และผู้ชายที่เคยแต่งงาน = 1–2%[36]
ข้อมูลเชิงประจักษ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับประชากรที่เป็นเอเซ็กชวลปรากฏในปี พ.ศ. 2537 เมื่อคณะนักวิจัยในสหราชอาณาจักรได้ทำการสำรวจประชากรชาวอังกฤษจำนวน 18,876 คน โดยได้รับแรงกระตุ้นจากความต้องการข้อมูลเกี่ยวกับเพศในช่วงการระบาดของโรคเอดส์ การสำรวจใช้คำถามเกี่ยวกับการดึงดูดทางเพศ ซึ่งร้อยละ 1.05 ของผู้ตอบแบบสอบถามตอบว่าตน "ไม่เคยรู้สึกดึงดูดทางเพศกับใครเลย"[38] การศึกษาปรากฏการณ์นี้ดำเนินต่อไปโดยแอนโทนี โบแกร์ต (Anthony Bogaert) นักวิจัยด้านเพศวิถีชาวแคนาดาในปี พ.ศ. 2547 ซึ่งสำรวจประชากรเอเซ็กชวลในชุดการศึกษา งานวิจัยของโบแกร์ตระบุว่าร้อยละ 1 ของประชากรอังกฤษไม่มีประสบการณ์การดึงดูดทางเพศ แต่เขาเชื่อว่าตัวเลขร้อยละ 1 นี้ไม่ได้สะท้อนถึงสัดส่วนประชากรที่อาจระบุได้ว่าเป็นเอเซ็กชวลที่อาจมีจำนวนมากกว่านี้ได้อย่างถูกต้อง สังเกตได้ว่าร้อยละ 30 ของผู้ที่ได้รับการติดต่อเพื่อขอสำรวจในครั้งแรกจะไม่เข้าร่วมในการสำรวจ เนื่องจากผู้ที่มีประสบการณ์ทางเพศน้อยมักจะปฏิเสธที่เข้าร่วมการศึกษาเกี่ยวกับเพศวิถี และผู้ที่เป็นเอเซ็กชวลมักมีประสบการณ์ทางเพศน้อยกว่าผู้ที่เป็นอัลโลเซ็กชวล (มีการดึงดูดทางเพศ) จึงมีแนวโน้มว่าผู้ที่เป็นเอเซ็กชวลจะมีตัวแทนประชากรน้อยเกินควรในหมู่ผู้เข้าร่วมตอบแบบสอบถาม การศึกษาเดียวกันนี้พบว่าจำนวนผู้ที่เป็นโฮโมเซ็กชวลและไบเซ็กชวลมีจำนวนรวมกันประมาณร้อยละ 1.1 ของประชากร ซึ่งน้อยกว่าที่การศึกษาอื่น ๆ ระบุไว้อย่างมาก[15][39]
ในการศึกษาของไอค์เคน (Aicken) และคณะ ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2556 ให้ข้อมูลที่แตกต่างกับตัวเลขร้อยละ 1 ของโบแกร์ต ชี้ให้เห็นว่าจากข้อมูลนัตซัล-2 (Natsal-2) ตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ถึง พ.ศ. 2544 ความแพร่หลายของเอเซ็กชวลในอังกฤษมีเพียงร้อยละ 4 ในช่วงอายุ 16-44 ปี[16][40] สัดส่วนนี้บ่งบอกว่าลดลงจากตัวเลขร้อยละ 0.9 ที่ระบุจากข้อมูตนัตซัล-1 (Natsal-1) ที่รวบรวมมาในช่วงอายุเดียวกันเมื่อสิบปีก่อน[40] การวิเคราะห์ในปี พ.ศ. 2558 โดยโบแกร์ตยังพบการลดลงที่คล้ายคลึงกันระหว่างข้อมูลนัตซัล-1 และนัตซัล-2[41] ไอค์เค็น, เมอร์เซอร์ (Mercer) และคาสเซล (Cassell) พบหลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับความแตกต่างทางชาติพันธุ์ของผู้ตอบแบบถามที่ไม่มีประสบการณ์การดึงดูดทางเพศ ทั้งผู้ชายและผู้หญิงที่มาจากอินเดียและปากีสถานมีแนวโน้มสูงที่จะรายงานว่าขาดการดึงดูดทางเพศ[40]
ในการสำรวจที่จัดทำโดยยูกัฟ (YouGov) ในปี พ.ศ. 2558 ผู้ใหญ่ชาวอังกฤษจำนวน 1,632 คนถูกถามให้ลองจำแนกตัวเองตามมาตราคินซีย์ ร้อยละ 1 ของผู้เข้าร่วมตอบว่า "ไม่มีเพศวิถี" รายละเอียดของผู้เข้าร่วมคือผู้ชายร้อยละ 0 และผู้หญิงร้อยละ 2 และเป็นร้อยละ 1 ในทุกช่วงอายุ[42]
รสนิยมทางเพศ สุขภาพจิต และสาเหตุ
[แก้]มีการถกเถียงกันเป็นอย่างมากว่าเอเซ็กชวลเป็นรสนิยมทางเพศหรือไม่[4][5] เอเซ็กชวลถูกเปรียบให้เทียบเท่ากับภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไป (hypoactive sexual desire disorder, HSDD) ซึ่งมาจากการวินิจฉัยในคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับที่ 4 (DSM-4) ซึ่งทั้งสองกรณีบ่งบอกถึงการขาดการดึงดูดทางเพศกับบุคคลใด ๆ ภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไปถูกนำมาใช้อ้างถึงเพื่อระบุเอเซ็กชวลให้เป็นปัญหาทางการแพทย์ แต่เอเซ็กชวลโดยทั่วไปไม่ถือว่าเป็นความผิดปกติหรือการทำหน้าที่ผิดปรกติ (เช่น การไม่บรรลุจุดสุดยอดทางเพศ, ภาวะสิ้นยินดี เป็นต้น) เนื่องจากไม่จำเป็นต้องระบุว่าบุคคลนั้นมีปัญหาทางการแพทย์หรือปัญหาที่เกี่ยวกับผู้อื่นทางสังคม[9][21][43] บุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลไม่เหมือนบุคคลที่มีภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไป เพราะบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลโดยปกติไม่พบ "ความทุกข์ใจที่ชัดเจน" และ "ปัญหาระหว่างบุคคล" เกี่ยวกับความรู้สึกในเรื่องเพศวิถีหรือโดยทั่วไปขาดอารมณ์ทางเพศ เอเซ็กชวลคือเป็นการขาดหรือไม่มีการดึงดูดทางเพศเป็นลักษณะเฉพาะตลอดชีวิต[15][21] การศึกษาหนึ่งพบว่าเมื่อเทียบกับอาสามัครเป็นมีภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไป บุคคลที่เป็นเป็นเอเซ็กชวลมีรายงานว่าระดับของความต้องการทางเพศ, ประสบการณ์ทางเพศ, ความทุกข์เกี่ยวกับเพศ และอาการซึมเศร้าในระดับต่ำ[44] นักวิจัยริชาดส์ (Richards) และบาร์เกอร์ (Barker) รายงานว่าเอเซ็กชวลไม่มีอัตราของภาวะการแสดงออกทางอารมณ์ช้า (alexithymia), ภาวะซึมเศร้า และความผิดปกติทางบุคลิกภาพที่ไม่สมส่วน[21] อย่างไรก็ตาม บางบุคคลอาจระบุว่าเป็นเอเซ็กชวลแม้ว่าสภาวะที่ไม่ใช่เซ็กชวลจะอธิบายได้ด้วยความผิดปกติดังกล่าวข้างต้นอย่างน้อยหนึ่งอย่างก็ตาม[45]
ตั้งแต่มีการจำหน่ายของคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 (DSM-5) ในปี พ.ศ. 2556 ซึ่งแบ่งภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไปออกเป็นการวินิจฉัยสำหรับภาวะความผิดปกติของการตื่นตัวทางเพศในเพศหญิง (female sexual arousal disorder) และภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไปในเพศชาย (male hypoactive sexual desire disorder) ความผิดปกติทั้งสองอย่างนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นประเด็นปัญหาคล้ายคลึงกับภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไป (HSDD)[46] แม้ว่าคู่มือการวินิจฉัยและสถิติสำหรับความผิดปกติทางจิตฉบับที่ 5 จะกล่าวถึงเอเซ็กชวลว่าเป็นเกณฑ์คัดออกจากความผิดปกติทั้งสองอย่างนี้ แตจำเป็นที่บุคคลต้องระบุตัวเองว่าเป็นเอเซ็กชวลเพื่อให้เข้าข่ายการวินิจฉัยแยกส่วนต่าง และข้อกำหนดนี้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นการกำหนดบังคับการวินิจฉัยให้บุคคลที่อาจจะเป็นเอเซ็กชวล แต่ยังไม่ระบุตนเองว่าเป็นเอเซ็กชวล[47] จากข้อมูลเมื่อปี พ.ศ. 2564 ภาวะความต้องการทางเพศน้อยเกินไปยังคงถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายหญิงข้ามเพศ (ทรานเจนเดอร์)[48]
การศึกษาแรกที่ให้ข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับเอเซ็กชวลตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2526 โดยพอลลา นูเรียส (Paula Nurius) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรสนิยมทางเพศและสุขภาพจิต[49] อาสาสมัคร 689 คนซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่เรียนในชั้นเรียนวิชาจิตวิทยาหรือสังคมวิทยา ได้รับการสำรวจหลายครั้งโดยรวมถึงการใช้มาตราวัดความอยู่ดี 4 ด้าน ผลการสำรวจพบว่าเอเซ็กชวลมีแนวโน้มที่จะมีความภูมิใจแห่งตน (self-esteem) ต่ำและมีแนวโน้มจะมีภาวะซึมเศร้ามากกว่าสมาชิกที่มีรสนิยมทางเพศอื่น ๆ ร้อยละ 25.88 ของเฮเทโรเซ็กชวล, ร้อยละ 26.54 ของไบเซ็กชวล (เรียกว่า "แอมไบเซ็กชวล"), ร้อยละ 29.88 ของโฮโมเซ็กชวล และร้อยละ 33.57 ของเอเซ็กชวลมีรายงานว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความภูมิใจแห่งตน และมีแนวโน้มคล้ายกันที่จะเป็นภาวะซึมเศร้า นูเรียสไม่เชื่อว่าผลการสำรวจนี้ให้ข้อสรุปที่ชัดเจนด้วยเหตุผลหลายประการ[49][50]
ในการศึกษาปี พ.ศ. 2556 ยูล (Yule) และคณะ ตรวจสอบความแปรปรวนของสุขภาพจิตระหว่างชาวคอเคเซียนที่เป็นเฮเทโรเซ็กชวล, โฮโมเซ็กชวล, ไบเซ็กชวล และเอเซ็กชวล ผลการวิจัยรวมผู้เข้าร่วมชาย 203 คนและหญิง 603 คน ยูลและคณะพบว่าผู้เข้าร่วมชายที่เป็นเอเซ็กชวลมีแนวโน้มจะรายงานว่าความผิดปกติทางอารมณ์มากกว่าผู้ชายคนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผู้เข้าร่วมชายที่เป็นเฮเทโรเซ็กชวล กรณีเดียวกันนี้พบในผู้เข้าร่วมหญิงที่เป็นเอเซ็กชวลเมื่อเทียบกับผู้เข้าร่วมหญิงที่เป็นเฮเทโรเซ็กชวล อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่ไม่ใช่เฮโทโรเซ็กชวลและไม่ใช่เอเซ็กชวลมีอัตราของความผิดปกติทางอารมณ์ที่สูงที่สุด ผู้ร่วมทั้งสองเพศที่เป็นเอเซ็กชวลมีแนวโน้มที่จะมีภาวะวิตกกังวลมากว่าผู้เข้าร่วมที่เป็นเฮเทโรเซ็กซลและที่ไม่เป็นเฮเทโรเซ็กชวลคนอื่น ๆ เนื่องจากผู้เข้าร่วมเป็นเอเซ็กชวลมีแนวโน้มที่จะมีรายงานว่ามีความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายเมื่อเร็ว ๆ นี้ มากกว่าผู้เข้าร่วมที่เป็นเฮเทโรเซ็กชวล ยูลและคณะตั้งสมมติฐานว่าความแตกต่างบางประการอาจเกิดจากการเลือกปฏิบัติหรือปัจจัยทางสังคมอื่น ๆ[51]
ในเรื่องเกี่ยวกับประเภทของรสนิยมทางเพศ เอเซ็กชวลอาจถูกโต้แย้งว่าไม่ใช่ประเภทที่มีความสำคัญที่จะเพิ่มไปในความต่อเนื่องของรสนิยมทางเพศ แทนที่จะถูกโต้แย้งว่าเป็นการขาดรสนิยมทางเพศหรือเพศวิถี[5] ข้อโต้แย้งอื่น ๆ เสนอว่าเอเซ็กชวลเป็นการปฏิเสธเพศวิถีตามธรรมชาติของบุคคล และเป็นความผิดปกติที่เกิดจากความละอายในเรื่องเพศ, ความวิตกกังวล หรือการล่วงละเมิดทางเพศ บางครั้งมีการใช้ความเชื่อดังกล่าวนี้ในการอธิบายถึงเอเซ็กชวลที่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองหรือมีกิจกรรมทางเพศเป็นครั้งคราวเพื่อเอาใจคู่รัก[5][23][25] ในบริบททางการเมืองของเรื่องอัตลักษณ์รสนิยมทางเพศ เอเซ็กชวลอาจช่วยเติมเต็มหน้าที่ทางการเมืองของประเภทอัตลักษณ์รสนิยมทางเพศได้ในทางปฏิบัติ[28]
ความคิดเห็นที่ว่าเอเซ็กชวลเป็นความผิดปกติทางเพศเป็นที่ถกเถียงกันในชุมชนเอเซ็กชวล ผู้ที่ระบุตนว่าเป็นเอเซ็กชวลมักเห็นว่าควรจะถือว่าเอเซ็กชวลเป็นรสนิยมทางเพศ[4] นักวิชาการที่โต้แย้งว่าเอเซ็กชวลเป็นรสนิยมทางเพศอาจชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของรสนิยมทางเพศที่แตกต่างกันออกไป[5][8][25] นักวิชาการเหล่านี้และบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลหลายคนเชื่อว่าการขาดการดึงดูดทางเพศก็ชัดเจนเพียงพอแล้วที่จะจัดให้เป็นประเภทหนึ่งของรสนิยมทางเพศ[52] นักวิจัยโต้แย้งว่าเอเซ็กชวลไม่ได้เลือกที่จะไม่มีการต้องการทางเพศ และโดยทั่วไปจะเริ่มค้นหาความแตกต่างในพฤติกรรมทางเพศในช่วงวัยรุ่น ด้วยเหตุที่ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นที่ประจักษ์ จึงเป็นเหตุผลที่ว่าเอเซ็กชวลเป็นมากกว่าทางเลือกทางพฤติกรรม และไม่ใช่สิ่งที่สามารถจะรักษาได้เหมือนความผิดปกติ[25][53] นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ว่าการระบุตนว่าเอเซ็กชวลกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นหรือไม่[54]
การวิจัยเกี่ยวกับสมุฏฐานวิทยาของรสนิยมทางเพศเมื่อนำมาใช้กับเอเซ็กชวลก็มีปัญหาเกี่ยวกับคำนิยามของรสนิยมทางเพศที่ไม่ได้รับการนิยามอย่างสอดคล้องโดยนักวิจัยว่ารวมไปถึงเอเซ็กชวลด้วย[55] ในขณะที่ความเป็นเฮเทโรเซ็กชวล โฮโมเซ็กชวล และไบเซ็กชวลมักระบุได้ในช่วงปีแรก ๆ ของวัยก่อนวัยรุ่น (แม้จะไม่เสมอไป) ด้านความเป็นเอเซ็กชวลไม่ทราบแน่ชัดว่าระบุได้เมื่อใด "ไม่แน่ชัดว่าลักษณะเหล่านี้ [หมายถึง "การขาดความสินใจหรือความต้องการทางเพศ"] ถูกคิดว่าสิ่งที่เป็นตลอดชีพ หรืออาจจะได้รับมา"[12]
เกณฑ์หนึ่งที่มักใช้กำหนดรสนิยมทางเพศมักจะเสถียรขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ในการวิเคราะห์ในปี พ.ศ. 2559 ในวารสาร อาร์ไคฟ์ออฟเซ็กซ์บีเฮฟวิเออร์ (Archives of Sexual Behavior) บร็อตโต (Brotto) และคณะพบว่า "มีเพียงข้อมูลสนับสนุนที่อ่อน" สำหรับเกณฑ์นี้ที่พบในบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวล[56] การวิเคราะห์ข้อมูลจากการศึกษาระยะยาวระดับชาติเกี่ยวกับสุขภาพวัยรุ่นถึงวัยผู้ใหญ่ (National Longitudinal Study of Adolescent to Adult Health) โดย สตีเวน เครนเนย์ (Stephen Cranney) พบว่าบุคคล 14 คน[a] ที่รายงานว่าไม่มีการดึงดูดทางเพศในการศึกษาระลอกที่ 3 (ซึ่งอาสาสมัครมีอายุตั้งแต่ 18 ถึง 26 ปี) มีเพียง 3 คนที่ระบุเช่นเดิมในระลอกที่ 4 หลังจากนั้น 6 ปี[58] อย่างไรก็ตาม เครนนีย์สังเกตว่าการระบุอัตลักษณ์ของเอเซ็กชวลในระลอกที่ 3 ยังคงมีความสำคัญในฐานะตัวทำนายของการระบุอัตลักษณ์เอเซ็กชวลในระลอกถัดไป เครนนีระบุว่าการตีความข้อมูลนี้มีความซับซ้อนเนื่องจากไม่มี "มาตรฐานเชิงปริมาณใด ๆ ที่กำหนดว่าความต้องการทางเพศจะต้องคงอยู่นานแค่ไหนก่อนที่จะถือว่าเสถียรหรือมีมากเพียงพอที่จะถือว่าเป็นรสนิยม"[57]
กิจกรรมทางเพศและเพศวิถี
[แก้]ขณะที่เอเซ็กชวลบางคนสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองในรูปการปลดปล่อยเดี่ยวหรือมีเพศสัมพันธ์เพื่อประโยชน์ของคู่รัก ส่วนเอเซ็กชวลคนอื่นไม่ทำเช่นนั้น (ดูด้านบน)[12][14][22] ฟิสเชอร์ (Fischer) และคณะรายงานว่า "นักวิชาการที่ศึกษาสรีรวิทยาเกี่ยวกับเอเซ็กชวลให้ความเห็นว่าบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลสามารถกระตุ้นอวัยวะเพศให้ตื่นตัวได้ แต่อาจประสบความยากลำบากกับสิ่งที่เรียกว่าการตื่นตัวเชิงจิตวิสัย (subjective arousal)" หมายความว่า "ในขณะที่ร่างกายเกิดการตื่นตัวทางเพศ ในเชิงจิตวิสัยคือที่ระดับของจิตใจและอารมณ์แล้ว จะไม่รู้สึกถึงการตื่นตัวตามไปด้วย"[16]
สถาบันคินซีย์สนับสนุนการสำรวจขนาดเล็กอีกครั้งในหัวข้อนี้ในปี พ.ศ. 2550 ซึ่งพบว่าผู้ระบุตนเองว่าเป็นเอเซ็กชวล "รายงานว่ามีความต้องการทางเพศกับคู่นอนน้อยลง ความสามารถในการตื่นตัวทางเพศน้อยลง และการเร้าทางเพศน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับผู้ที่ไม่ใช่เอเซ็กชวลในเรื่องระดับความยับยั้งทางเพศหรือความต้องการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง[12]
บทความปี พ.ศ. 2520 ชื่อเรื่องว่า เอเซ็กชวลแอนด์ออโตเอโรติกวีเมน: ทูอินวิซิเบิลกรุปส์ (Asexual and Autoerotic Women: Two Invisible Groups; แปลว่า "หญิงเอเซ็กชวลและออโตเอโรติก: สองกลุ่มที่ไม่ถูกมองเห็น") โดยไมรา ที. จอห์นสัน (Myra T. Johnson) เป็นบทความที่อุทิศให้ความเป็นเอเซ็กชวลในมนุษย์อย่างชัดเจน[59] จอห์นสันให้คำนิยามของเอเซ็กชวลเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง "ที่ดูเหมือนจะไม่ชอบการมีกิจกรรมทางเพศ ไม่ว่าสภาพทางร่างกายและจิตใจ ประวัติทางเพศที่แท้จริง และสถานภาพสมรสหรือแนวทางทางอุดมการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม" จอห์นสันเปรียบผู้หญิงที่เป็นออโตเอโรติก (พึงพอใจกับการหาความสุขทางเพศจากร่างกายตนเอง) กับผู้หญิงที่เป็นเอเซ็กชวลว่า "ผู้หญิงที่เป็นเอเซ็กชวล ... ไม่มีความต้องการทางเพศเลย [แต่] ผู้หญิงที่เป็นออโตเอโรติก ... ถือว่ามีความต้องการดังกล่าวแต่ชอบที่จะสนองความต้องการเพียงลำพัง" หลักฐานของจอห์นสันส่วนใหญ่เป็นจดหมายถึงบรรณาธิการซึ่งพบในนิตยสารผู้หญิงที่เขียนโดยผู้หญิงที่เป็นเอเซ็กชวล/ออโตเอโรติก จอห์นสันกล่าวว่าพวกเธอเหล่านี้คือผู้ที่ไม่ถูกมองเห็น "ถูกกดขี่โดยฉันทามติว่าพวกเธอไม่มีอยู่จริง" และถูกปล่อยทิ้งไว้ข้างหลังโดยทั้งขบวนการปฏิวัติทางเพศและขบวนการสตรีนิยม จอห์นสันแย้งว่าสังคมเพิกเฉยหรือปฏิเสธการมีตัวตนของพวกเธอและยืนกรานว่าพวกเธอจะต้องเป็นพวกผู้ถือสันโดษด้วยเหตุผลทางศาสนา เป็นโรคประสาท หรือเป็นเอเซ็กชวลด้วยเหตุผลทางการเมือง[59][60]
ในการศึกษาที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2522 ในวารสารแอดวานซ์อินเดอะสทัดดีออฟอาฟเฟ็กต์ (Advances in the Study of Affect) ฉบับที่ 5 รวมถึงอีกบทความหนึ่งที่ใช้ข้อมูลเดียวกันและตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2523 ในวารสารเจอร์นัลออฟเพอร์ซันนาลิตีแอนด์โซเชียลไซโคโลจี (Journal of Personality and Social Psychology) ไมเคิล ดี. สตอมส์ (Michael D. Storms) แห่งมหาวิทยาลัยแคนซัสสรุปมโนทัศน์ใหม่ของตนเกี่ยวกับมาตราคินซีย์ โดยที่คินซีย์วัดรสนิยมทางเพศโดยพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศจริงร่วมกับจินตนาการและความต้องการทางเพศ สตอร์มใช้เฉพาะจินตนาการและความต้องการทางเพศ อย่างไรก็ตาม สตอร์มวางความต้องการทางเพศแบบต่างเพศและความต้องการทางเพศแบบร่วมเพศไว้บนแกนที่แยกกันแทนที่จะอยู่ที่ปลายสองด้านของมาตราเดี่ยว ซึ่งช่วยให้สามารถแยกความแตกต่างระหว่างความเป็นไบเซ็กชวล (แสดงทั้งความต้องการทางเพศแบบต่างเพศและร่วมเพศในระดับที่เทียบได้กับเฮเทโรเซ็กชวลและโฮโมเซ็กชวลตามลำดับ) และความเป็นเอเซ็กชวล (แสดงระดับความต้องการทางเพศแบบต่างเพศเมื่อเทียบกับเฮเทโรเซ็กชวล และระดับความต้องการทางเพศแบบร่วมเพศเมื่อเทียบกับโฮโมเซ็กชวล เป็นระดับน้อยหรือไม่มีเลย) มาตรานี้มีการอธิบายถึงเอเซ็กชวลเป็นครั้งแรก[61] สตอมส์คาดการณ์ว่านักวิจัยจำนวนมากที่ดำเนินการตามมาตราของคินซีย์อาจจัดประเภทของเอเซ็กชวลผิดเป็นไบเซ็กชวล เพราะทั้งคู่ถูกกำหนดเพียงจากการขาดความพึงพอใจในเรื่องสภาวะเพศของคู่นอน[62][63]
ในการศึกษาในปี พ.ศ. 2526 โดยพอลลา นูเรียส ซึ่งรวมอาสาสมัคร 689 คน (ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่เรียนในชั้นเรียนวิชาจิตวิทยาหรือสังคมวิทยา) มีการใช้มาตราวัดจินตนาการและมาตราวัดความต้องการทางเพศในสองมิติเพื่อวัดรสนิยมทางเพศ จากผลการศึกษา ผู้ตอบแบบสอบถามได้รับคะแนนตั้งแต่ 0 ถึง 100 สำหรับความต้องการทางเพศแบบต่างเพศ และจาก 0 ถึง 100 สำหรับความต้องการทางเพศแบบร่วมเพศ ผู้ตอบแบบสอบถามที่ได้คะแนนน้อยกว่า 10 ทั้งคู่จะถูกระบุว่าเป็น "เอเซ็กชวล" ซึ่งมีจำนวนคิดเป็นร้อยละ 5 ของผู้ชายและร้อยละ 10 ของผู้หญิง ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเอเซ็กชวลรายงานถึงความถี่ของกิจกรรมทางเพศและความถี่ของความต้องการกิจกรรมทางเพศหลายหลายรูปแบบที่น้อยลงมาก ซึ่งรวมไปถึงการมีคู่นอนหลายคน กิจกรรมทางเพศทางทวารหนัก การมีเพศสัมพันธ์ในสถานที่ต่าง ๆ และกิจกรรมทางเพศด้วยตนเอง[49][50]
ชุมชน
[แก้]ประวัติศาสตร์ของชุมชนเอเซ็กชวลยังไม่มีเอกสารในงานวิชาการในปัจจุบัน[64] แม้ว่าเว็บไซต์ส่วนตัวหลายแห่งสำหรับผู้อยู่ใต้คำนิยามของเอเซ็กชวลในภายหลังจะปรากฏออนไลน์ในช่วงทศวรรษ 1990[65] แต่นักวิชาการเชื่อว่าชุมชนของผู้ที่ระบุตัวเองว่าเป็นเอเซ็กชวลเริ่มต้นก่อตั้งในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 โดยได้รับการส่งเสริมจากความนิยมของชุมชนออนไลน์[66] ชุมชนขนาดเล็กที่มีออนไลน์ ได้แก่ "Leather Spinsters", "Nonolibidoism Society" และ "Haven for the Human Amoeba" จากเอกสารโดย Volkmar Sigusch[65] ในปี พ.ศ. 2544 นักเคลื่อนไหวสิทธิเดวิด เจย์ก่อตั้งเอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์ก (เอเว็น) โดยมีเป้าเหมายคือ "สร้างการยอมรับและการอภิปรายเกี่ยวกับเอเซ็กชวลในระดับสาธารณะ และส่งเสริมการเติบโตของสังคมเอเซ็กชวล"[4][13]
เอเซ็กชวลบางคนเชื่อว่าการมีส่วนร่วมในชุมชนเอเซ็กชวลเป็นสิ่งที่สำคัญ เนื่องจากพวกเขามักจะแสดงความรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับในสังคมวงกว้าง[26] ชุนชนอย่างเอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์กสามารถเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังค้นหาคำตอบเมื่อยังสงสัยในรสนิยมทางเพศของตน อย่างการให้การสนับสนุนหากใครรู้สึกว่าการขาดการดึงดูดทางเพศของตนเป็นสาเหตุของโรค ชุมชนเอเซ็กชวลออนไลน์ยังสามารถทำหน้าที่ให้ข้อมูลคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องเอเซ็กชวล.[67] อย่างไรก็ตาม การเข้าร่วมในชุนชนออนไลน์ในหมู่คนที่เป็นเอเซ็กชวลมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน บางคนตั้งคำถามถึงวัตถุประสงค์ของชุนชนออนไลน์ ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องพึ่งพาความสนับสนุนจากชุมชนออนไลน์อย่างมาก จากข้อมูลของเอลิซาเบท แอบบอตต์ (Elizabeth Abbott) เอเซ็กชวลมักมีตัวตนในสังคมอยู่เสมอ แม้ว่าบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลจะคงสถานะด้อยกว่าก็ตาม เธอกล่าวเพิ่มเติมว่าในขณะที่ความล้มเหลวของสมรสเท่าเทียมถูกเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นศีลสมรสในยุคกลาง และบางครั้งถูกใช้เป็นเหตุผลในการยกเลิกการสมรส แต่เอเซ็กชวลจะไม่เคยถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายต่างจากโฮโมเซ็กชวล อย่างไรก็ตาม การเติบโตของการสื่อสารออนไลน์และเครือข่ายสังคมเมื่อไม่นานมานี้เอื้อต่อการเติบโตของชุมชนที่สร้างขึ้นจากอัตลักษณ์เอเซ็กชวล[68]
คำว่า squish เป็นคำที่ใช้โดยชุมชนเอเซ็กชวลเพื่อระบุถึงการหลงรักของผู้ที่ไม่ใช่เซ็กชวล (ผู้มีการดึงดูดทางเพศต่อเพศตรงข้าม)[18]
สัญลักษณ์
[แก้]ในปี พ.ศ. 2552 สมาชิกของเอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์กเข้าร่วมในฐานะเอเซ็กชวลเป็นครั้งแรกในไพรด์พาเรดของอเมริกาที่ซานฟรานซิสโก[69] ในปี พ.ศ. 2553 หลังการถกเถียงเป็นระยะเวลาหนึ่งเกี่ยวกับการมีอยู่ของธงไพรด์เพื่อแสดงออกถึงเอเซ็กชวลรวมถึงระบบในการสร้างสรรค์ธงดังกล่าว ในที่สุดก็มีการประกาศธงไพรด์ของเอเซ็กชวลอย่างเป็นทางการ แบบสุดท้ายเป็นแบบที่ได้รับความนิยมและได้รับการให้คะแนนเสียงมากที่สุดจากการลงคะแนนเสียงแบบเปิดออนไลน์[70] สีของธงเป็นแถบแนวนอน 4 สีได้แก่สีดำ เทา ขาว และม่วง จากบนลงล่าง มีความหมายถึงเอเซ็กชวล เกรย์เอเซ็กชวล อัลโลเซ็กชวล และชุมชนตามลำดับ[71][72][73] ตั้งแต่นั้นมาจึงใช้ธงนี้เป็นสัญลักษณ์แทนเอเซ็กชวลทั้งหมด[70] สมาชิกบางคนของชุมชนเอเซ็กชวลเลือกที่จะสวมแหวนสีดำเพิ่มเติมที่นิ้วกลางของมือข้างขวา รู้จักกันในชื่อว่า "แหวนเอซ" (ace ring) เพื่อใช้ระบุตัวตนว่าเป็นเอเซ็กชวล[74] เอเซ็กชวลบางคนใช้ไพ่เอซเพื่อใช้ระบุรสนิยมทางโรแมนติกของตน เช่น เอซโพดำหมายถึงเอโรแมนติก และเอซโพแดงหมายถึงไม่ได้เป็นเอโรแมนติก[18]
กิจกรรม
[แก้]ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557 เอเซ็กชวลวิซิบิลิตีแอนด์เอดูเคชันเน็ตเวิร์กจัดงานประชุมเอเซ็กชวลนานาชาติครั้งที่สอง ในฐานะส่วนหนึ่งของงานอีเวนต์เวิลด์ไพรด์ในนครโทรอนโต งานประชุมครั้งแรกจัดขึ้นในงานเวิร์ลไพรด์ 2012 เมื่อปี พ.ศ. 2555 ในกรุงลอนดอน[75] ในงานประชุมครั้งที่สองมีผู้เข้าร่วมราว 250 คน เป็นการชุมนุมของเอเซ็กชวลที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน[76] การประชุมประกอบด้วยการนำเสนอ การอภิปราย และการประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การวิจัยเกี่ยวกับเอเซ็กชวล ความสัมพันธ์แบบเอเซ็กชวล และอัตลักษณ์ร่วม
สัปดาห์เอซ (Ace Week) หรือเดิมมีชื่อว่า สัปดาห์แห่งความตระหนักรู้ของเอเซ็กชวล (Asexual Awareness Week) จัดขึ้นตลอดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนตุลาคม เป็นช่วงเวลาแห่งการตระหนักรู้ (awareness period) ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและสร้างความความตระหนักรู้ถึงเอเซ็กชวล (รวมถึงเกรย์เอเซ็กชวล)[77][78] ก่อตั้งโดยซารา เบท บรูกส์ (Sara Beth Brooks) ในปี พ.ศ. 2553[79][80]
วันเอเซ็กชวลนานาชาติ (International Asexuality Day; IAD) เป็นงานเฉลิมฉลองประจำปีของชุมชนเอเซ็กชวลซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 6 เมษายน[81] วัตถุประสงค์ของการจัดงานในวันนี้คือ "เพื่อให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับประชาคมระหว่างประเทศ โดยก้าวข้ามขอบเขตของกลุ่มผู้พูดภาษาอังกฤษและโลกตะวันตกไปไกลเพื่อให้ครอบคลุมมากที่สุด"[82] คณะกรรมการระหว่างประเทศใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งปีในการเตรียมงาน รวมไปถึงการเผยแพร่ข้อมูลทางเว็บไซต์และสื่อสิ่งพิมพ์[83] คณะกรรมการนี้กำหนดให้วันที่จัดงานเป็นวันที่ 6 เมษายนเพื่อหลีกเลี่ยงการไปชนกับวันสำคัญอื่น ๆ จำนวนมากทั่วโลกเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าวันงานอาจต้องมีการทบทวนและอาจเปลี่ยนแปลงในปีถัด ๆ ไป[82][84] วันเอเซ็กชวลนานาชาติครั้งแรกเฉลิมฉลองในปี พ.ศ. 2564 และมีองค์กรของเอเซ็กชวลจากอย่างน้อย 26 ประเทศเข้าร่วม[81][85][86] กิจกรรมต่าง ๆ ในงานได้แก่ การพบปะเสมือนจริง, โปรแกรมสนับสนุนทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ และการแบ่งปันเรื่องราวโดยศิลปะรูปแบบต่าง ๆ[87]
ศิลปะและวรรณกรรม
[แก้]บันเทิงคดี
[แก้]มีการตีพิมพ์ผลงานบันเทิงคดีหลายเรื่องที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับเอเซ็กชวล:
- Summer Bird Blue (ค.ศ. 2018) โดย Akemi Dawn Bowman[89]
- Absolutely No Thoughts Of Pounding... (ค.ศ. 2021) โดย Chuck Tingle[90][91]
- Let's Talk About Love (ค.ศ. 2018) โดย Claire Kann[90][91]
- How To Train Your Dragon series (ค.ศ. 2003–2015) โดย Cressida Cowell [90][91]
- เรื่องสั้นโดยดาร์ซี ลิตเติล แบดเจอร์ (Darcie Little Badger) และ Elatsoe (ค.ศ. 2020)[90][91]
- The Circus Infinite (ค.ศ. 2022) โดย Khan Wong[89]
- The Lady's Guide to Petticoats and Piracy (ค.ศ. 2018) โดย Mackenzi Lee[90][91]
- The Bruising of Qilwa โดย Naseem Jamnia[89]
- Convenience Store Woman (ค.ศ. 2018) โดยซายากะ มูราตะ[90][91]
- Every Heart a Doorway (ค.ศ. 2016) โดย Seanan McGuire[90][91]
สารคดี
[แก้]มีการตีพิมพ์บทความและหนังสือสารคดีที่เกี่ยวกับเอเซ็กชวล:
- Ace: What Asexuality Reveals About Desire, Society, and the Meaning of Sex (ค.ศ. 2021)[92]
- Ace Voices: What it Means to Be Asexual, Aromantic, Demi or Grey-Ace (ค.ศ. 2022)[93]
- Ace and Aro Journeys: A Guide to Embracing Your Asexual or Aromantic Identity (ค.ศ. 2023)[94]
- Asexual Erotics: Intimate Readings of Compulsory Sexuality (ค.ศ. 2019)[95]
- นิตยสาร Aze[90][91]
- Ending the Pursuit: Asexuality, Aromanticism, and Agender Identity (ค.ศ. 2024)[96]
- How to Be Ace: A Memoir of Growing Up Asexual (ค.ศ. 2021)[97]
- Refusing Compulsory Sexuality (ค.ศ. 2022)[98]
- Sounds Fake But Okay: An Asexual and Aromantic Perspective on Love, Relationships, Sex, and Pretty Much Anything Else (ค.ศ. 2023)[99]
ศาสนา
[แก้]จากการศึกษาพบว่าไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาและเอเซ็กชวลอย่างนัยสำคัญทางสถิติ[100] เนื่องจากการเป็นเอเซ็กชวลมีอยู่ทั้งในบุคคลที่นับถือศาสนาและบุคคลที่ไม่นับถือศาสนาด้วยสัดส่วนใกล้เคียงกัน[100] การเป็นเอเซ็กชวลเป็นเรื่องที่ปกติมากในหมู่นักบวชที่ถือพรหมจรรย์ เนื่องจากผู้ที่ไม่เป็นเอเซ็กชวลมักถูกกีดกันโดยคำสาบานแห่งพรหมจรรย์[39] จากการศึกษาของไอค์เคนและอื่น ๆ ผู้ตอบแบบสอบถามชาวมุสลิมตอบว่าตนไม่มีประสบการณ์การดึงดูดทางเพศรูปแบบใด ๆ ในสัดส่วนที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับผู้ตอบแบบสอบถามชาวคริสต์ศาสนิกชน[100]
เนื่องจากการใช้คำว่า "เอเซ็กชวล" เพิ่งจะเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน ศาสนาส่วนใหญ่จึงไม่มีจุดยืนชัดเจนในเรื่องนี้[101]
ในพระวรสารนักบุญมัทธิว 19:11-12 พระเยซูตรัสว่า "ไม่ใช่ทุกคนจะรับคำสอนนี้ได้ ยกเว้นคนที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น เพราะคนที่เป็นขันทีตั้งแต่เกิดก็มี คนที่มนุษย์ทำให้เป็นขันทีก็มี คนที่ทำตัวเองให้เป็นขันทีเพราะเห็นแก่แผ่นดินสวรรค์ก็มี ใครรับได้ก็ให้รับเอาเถิด"[102] อรรถกถาจารย์ของคัมภีร์ไบเบิลบางท่านตีความว่า "คนที่เป็นขันทีตั้งแต่เกิด" หมายความรวมถึงเอเซ็กชวลด้วย[102][103] ในขณะที่ศาสนาคริสต์ไม่ได้กล่าวถึงเอเซ็กชวลโดยตรง แต่ก็เคารพนับถือการถือพรหมจรรย์ เปาโลอัครทูตถูกเขียนระบุว่าเป็นผู้ถือพรหมจรรย์ ก็ได้รับการระบุโดยผู้เขียนบางคนว่าเป็นเอเซ็กชวล[104] เปาโลอัครทูตเขียนในพระธรรม 1 โครินธ์: 7:6–9 ว่า
ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้เป็นการอนุญาต ไม่ใช่สั่ง ข้าพเจ้าต้องการให้ทุกคนเป็นเหมือนข้าพเจ้า แต่ว่าแต่ละคนก็ได้รับของประทานของตัวเองจากพระเจ้า คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกที่ไม่แต่งงานและพวกแม่ม่ายว่า การที่พวกเขาจะอยู่เหมือนข้าพเจ้าก็ดีแล้ว แต่ถ้าควบคุมตัวไม่อยู่ ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะว่าแต่งงานเสียก็ดีกว่ามีใจเร่าร้อนด้วยกามราคะ
การเลือกปฏิบัติและการคุ้มครองทางกฎหมาย
[แก้]การศึกษาในปี พ.ศ. 2555 ที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการกรุปโพรเซสเซสแอดน์อินเทอร์กรุปรีเลชันส์ (Group Processes & Intergroup Relations) รายงานว่าเอเซ็กชวลถูกตีตราในทางลบในแง่ของอคติ การลดทอนความเป็นมนุษย์ และการเลือกปฏิบัติมากกว่าชนกลุ่มน้อยทางเพศอื่น ๆ อย่างเกย์ เลสเบียน และไบเซ็กชวล ทั้งบุคคลที่เป็นโฮโมเซ็กชวลและเฮเทโรเซ็กชวลไม่เพียงมองบุคคลที่เป็นเอเซ็กชวลอย่างเย็นชา แต่มองเหมือนเป็นสัตว์ที่ไม่ถูกควบคุม[105] อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาพบหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่แสดงถึงการเลือกปฏิบัติอย่างรุนแรงต่อชาวเอเซ็กชวลเพราะความเป็นเอเซ็กชวล[106] จูลี เด็กเกอร์ (Julie Decker) นักเคลื่อนไหว นักเขียน และบล็อกเกอร์ที่เป็นเอเซ็กชวลสังเกตเห็นว่าการล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงต่อเอเซ็กชวลอย่างการข่มขืนเพื่อบำบัด มักทำให้ชุมชนเอเซ็กชวลกลายเป็นเหยื่อ[107] นักสังคมวิทยา มาร์ก คาร์ริกัน (Mark Carrigan) มองอย่างเป็นกลาง โต้แย้งว่าในขณะที่เอเซ็กชวลมักประสบกับการถูกเลือกปฏิบัติ มันไม่ใช่เรื่องของการเกลียดชัง แต่ "เป็นเรื่องของการทำให้เป็นคนชายขอบมากกว่า เพราะผู้คนไม่เข้าใจเอเซ็กชวลอย่างแท้จริง"[108]
เอเซ็กชวลยังต้องเผชิญหน้ากับอคติจากชุมชนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[52][107] บุคคลที่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศหลายคนนึกว่าใครก็ตามที่ไม่ใช่โฮโมเซ็กชวลหรือไบเซ็กชวลจะต้องเป็นสเตรตหรือเฮเทโรเซ็กชวล[52] และมักแยกเอเซ็กชวลออกจากนิยามของเควียร์ของพวกตน[52] แม้ว่ามีองค์กรที่มีชื่อเสียงหลายแห่งที่อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือชุมชนกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ[52] แต่องค์กรเหล่านี้โดยทั่วไปก็ไม่ได้เข้าถึงเอเซ็กชวล[52] และไม่จัดหาสื่อห้องสมุดเกี่ยวเอเซ็กชวล[52] เมื่อนักเคลื่อนไหวสิทธิซารา เบท (Sara Beth) เปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศของตนว่าเอเซ็กชวลก็ได้รับการบอกจากกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศหลายคนว่าเอเซ็กชวลเข้าใจผิดในการระบุอัตลักษณ์ของตนและเรียกร้องความสนใจที่ไม่สมควรได้รับในการเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมในสังคม[107] องค์กรกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศอื่น ๆ อย่างเดอะเทรเวอร์โพรเจก (The Trevor Project) และกองกำลังเฉพาะแอลจีบีทีคิวแห่งชาติ (National LGBTQ Task Force) รวมเอเซ็กชวลไว้ด้วยอย่างชัดเจนเพราะว่าเอเซ็กชวลไม่ใช่เฮเทโรเซ็กชวล จึงสามารถรวมอยู่ในคำนิยามของเควียร์ได้[109][110] ปัจจุบันบางองค์กรได้เพิ่มอักษร A ให้กับคำย่อของ LGBTQ เพื่อรวมเอเซ็กชวลเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังเป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันในบางองค์กรเควียร์[111]
ในบางเขตอำนาจตามกฎหมาย เอเซ็กชวลได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย ประเทศบราซิลมีคำสั่งห้ามการระบุว่าเอเซ็กชวลเป็นอาการป่วยหรือการพยายามบำบัดรสนิยมทางเพศโดยผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ผ่านประมวลกฎหมายจริยธรรมแห่งชาติ[112] รัฐนิวยอร์กในประเทศสหรัฐอเมริการะบุว่าเอเซ็กชวลเป็นชนชั้นที่ได้รับการคุ้มครอง[113] อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเอเซ็กชวลไม่เป็นที่สนใจในระดับสาธารณะหรือถูกรวมอยู่ในการพิจารณาครั้งสำคัญ จึงไม่เป็นประเด็นทางกฎหมายเท่ากับรสนิยมทางเพศอื่น ๆ[39]
ในสื่อ
[แก้]การแสดงภาพเอเซ็กชวลในสื่อมีจำกัดและไม่ได้ค่อยมีการเปิดเผยหรือยืนยันโดยผู้สร้างหรือนักเขียน[115] ในผลงานที่สร้างขึ้นก่อนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 21 ตัวละครมักถูกสันนิษฐานโดยอัตโนมัติว่าเป็นเซ็กชวล (ผู้ที่มีการดึงดูดทางเพศ)[116] และการมีอยู่ของเพศวิถีของตัวละครไม่เคยถูกตั้งคำถาม[116] เซอร์อาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์เสนอภาพเชอร์ล็อก โฮมส์ที่เป็นตัวละครของตนให้เป็นผู้ที่ในปัจจุบันจัดว่าเป็นเอเซ็กชวล[114] ด้วยความตั้งใจจะบรรยายลักษณะนิสัยของตัวละครว่าสิ่งที่เป็นแรงผลักดันมีเพียงสติปัญญา และมีภูมิคุ้มกันต่อความปรารถนาทางเนื้อหนังมังสา[114] จักเฮด โจนส์ ตัวละครของอาร์ชีคอมิกส์ก็มีแนวโน้มว่าจะถูกสร้างให้เป็นเอเซ็กชวลโดยผู้สร้างเพื่อให้เป็นขั้วตรงข้ามกับอาร์ชี แอนดรูว์ซึ่งเป็นเฮเทโรเซ็กชวล อย่างมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี การแสดงภาพได้เปลี่ยนแปลง มีการทำซ้ำและรีบูตหลายชุดของซีรีส์ที่บอกโดยนัยว่าจักเฮดอาจเป็นเกย์หรืออาจเป็นเฮเทโรเซ็กชวล[114][117] ในปี พ.ศ. 2559 จักเฮดได้รับการยืนยันว่าเป็นเอเซ็กชวลในคอมิกของจักเฮดชุด นิวริเวอร์เดล[117] ผู้เขียนบทของรายการโทรทัศน์ ริเวอร์เดลในปี พ.ศ. 2560 ซึ่งสร้างจากคอมิกของอาชี เลือกจะแสดงภาพของจักเฮดว่าเป็นเฮเทโรเซ็กชวล แม้ว่าจะได้รับการเรียกร้องจะแฟน ๆ รวมถึงโคล สเพราส์นักแสดงผู้รับบทจักเฮดให้คงความเป็นเอเซ็กชวลของจักเฮด และให้ชุมชนของเอเซ็กชวลร่วมแสดงตัวตนร่วมกับชุมชนเกย์และไบเซ็กชวล ซึ่งทั้งเกย์และไบเซ็กชวลมีการนำเสนอในรายการทั้งคู่[118] การตัดสินใจนี้จุดชนวนให้การการสนทนาวิพากย์วิจารณ์เกี่ยวกับการลบเอเซ็กชวลในสื่อออกโดยเจตนารวมถึงผลที่ตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ชมอายุน้อย[119]
แอนโทนี โบแกร์ตจำแนกให้กิลลิกันซึ่งเป็นตัวละครในซีรีส์โทรทัศน์ในทศวรรษ 1960 เรือง กิลลิกันส์ไอส์แลนด์ (Gilligan's Island) ว่าเป็นเอเซ็กชวล[114] โบแกร์ตให้ความเห็นว่าผู้ผลิตของรายการน่าจะเสนอภาพให้กิลลิกันเป็นเอเซ็กชวลเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมรายการที่เป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่เข้าสู่วัยเริ่มเจริญพันธุ์และคาดว่ายังไม่มีความต้องการทางเพศ[114] ความเป็นเอเซ็กชวลของกิลลิกันยังเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตจงใจสร้างสถานการณ์ที่ตลกขบขันที่กิลลิกันปฏิเสธการเข้ามาตีสนิทกับหญิงที่มีเสน่ห์[114] ภาพยนตร์และรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ มักมีตัวละครหญิงที่มีเสน่ห์แต่ดูเหมือนจะเป็นเอเซ็กชวล ซึ่งถูกตัวละครเอกชายทำให้ "กลับใจ" เป็นเฮเทโรเซ็กชวลในตอนจบของรายการ[114] การแสดงภาพที่ไม่สมจริงเหล่านี้สะท้อนความเชื่อของชายที่เป็นเฮเทโรเซ็กชวลว่าผู้หญิงที่เป็นเอเซ็กชวลทุกคนแอบต้องการผู้ชาย[114]
เอเซ็กชวลในฐานะอัตลักษณ์ทางเพศแทนที่ในฐานะตัวตนทางชีววิทยากลายเป็นที่อภิปรายอย่างกว้างขวางในสื่อในช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 21[115] ซีรีส์ของเครือข่ายฟ็อกซ์เรื่อง หมอเฮาส์ นักบุญปากร้าย (House หรือ House, M.D.) นำเสนอคู่รัก "เอเซ็กชวล" ในตอน "ครึ่งที่ดีกว่า" (Better Half; พ.ศ. 2555) อย่างไรก็ตาม การนำเสนอนี้ถูกตั้งคำถามโดยสมาชิกของชุมชนเอเซ็กชวล เนื่องจากในตอนเผยว่าฝ่ายชายมีเนื้องอกต่อมของต่อมใต้สมองทำให้ความต้องการทางเพศลดลง และฝ่ายหญิงแสร้งทำเป็นเอเซ็กชวลเพื่อเอาใจเขา[120] นำไปสู่การโต้แย้งเกี่ยวกับนำเสนอนี้และมีคำร้องทางเชนจ์.โออาร์จีเพื่อให้เครือข่ายฟ็อกซ์พิจาณาใหม่เกี่ยวกับการนำเสนอตัวละครเอเซ็กชวลในอนาคต โดยกล่าวว่า "นำเสนอเอเซ็กชวลได้แย่มากที่ระบุว่าเป็นทั้งอาการป่วยทางการแพทย์และการหลอกลวง"[120] ตัวละครในบันเทิงคดีที่เป็นเอเซ็กชวลอื่น ๆ ได้แก่ สพันจ์บ็อบและแพทริคเพื่อนสนิท จาก สพันจ์บ็อบ สแควร์แพนส์[121][122][123] และท็อดด์ ชาเวส จากโบแจ๊ค ฮอร์สแมน (เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปเป็นอย่างดีจากชุมชนเอเซ็กชวลว่าเป็นการนำเสนอในเชิงบวก)[124]
ดูเพิ่ม
[แก้]- การขาดสังคมภาพ (asociality) – การขาดความสนใจในความสัมพันธ์ทางสังคมโดยทั่วไป
- การต่อต้านเพศ (antisexualism) – ทัศนคติของบุคคลที่ต่อต้านเพศวิถี
- รายนามบุคคลที่อยู่ในสเปกตรัมเอเซ็กชวล
- รักบริสุทธิ์ (platonic love) – ความรักใครที่ไม่มีความโรแมนติกและไม่มีเรื่องเพศมาเกี่ยวข้อง
- สมรสไร้เพศ (sexless marriage) – การแต่งงานที่ไม่มีเพศสัมพันธ์หรือมีแต่น้อย
- ภาวะเบื่อทางเพศ (sexual anorexia) – ภาวะที่สูญเสีย "ความอยาก" ปฏิสัมพันธ์ทางโรแมนติกและทางเพศ
- สิ่งเร้าเหนือปรกติ (supernormal stimulus) – รูปแบบของสิ่งเร้าที่ไม่ใช่เรื่องเพศ ตรงกันข้ามกับความรู้สึกทางเพศ
- ไทม์ไลน์ของประวัติศาสตร์เอเซ็กชวล
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ เลขตัวหารนี้เขียนผิดเป็น 25 คนในบทคัดย่อของการศึกษาระยะต้นของเครนนีย์ จำนวนบุคคลที่รายงานว่าไม่มีการดึงดูดทางเพศในระลอกที่ 3 คือ 14 คน ตามตารางที่ 2 ย่อหน้าแรกของหัวข้อ "การวิเคราะห์หลายตัวแปร" (Multivariate Analysis) และตามคำอธิบายที่ตามมาของเครนนีย์ว่า "โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จาก 14 คนที่ระบุว่า 'ไม่มีการดึงดูดทางเพศ' ในระลอกที่ 3 มีเพียง 3 คนที่ระบุเช่นเดิมในระลอกที่ 4 (ตารางที่ 2)"[57]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Robert L. Crooks; Karla Baur (2016). Our Sexuality. Cengage Learning. p. 300. ISBN 978-1305887428. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 Katherine M. Helm (2015). Hooking Up: The Psychology of Sex and Dating. ABC-CLIO. p. 32. ISBN 978-1610699518. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 22, 2020. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ Kelly, Gary F. (2004). "Chapter 12". Sexuality Today: The Human Perspective (7th ed.). McGraw-Hill. p. 401 (sidebar). ISBN 978-0-07-255835-7.
Asexuality is a condition characterized by a low interest in sex.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 4.6 4.7 Marshall Cavendish, บ.ก. (2010). "Asexuality". Sex and Society. Vol. 2. Marshall Cavendish. pp. 82–83. ISBN 978-0-7614-7906-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 16, 2015. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 Bogaert, AF (April 2015). "Asexuality: What It Is and Why It Matters". The Journal of Sex Research. 52 (4): 362–379. doi:10.1080/00224499.2015.1015713. PMID 25897566. S2CID 23720993.
- ↑ Bella DePaulo (September 5, 2016). "Sexual Orientation, Not a Sexual Dysfunction".
- ↑ Scherrer, Kristin (2008). "Coming to an Asexual Identity: Negotiating Identity, Negotiating Desire". Sexualities. 11 (5): 621–641. doi:10.1177/1363460708094269. PMC 2893352. PMID 20593009.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 Margaret Jordan Halter; Elizabeth M. Varcarolis (2013). Varcarolis' Foundations of Psychiatric Mental Health Nursing. Elsevier Health Sciences. p. 382. ISBN 978-1-4557-5358-1. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ May 7, 2014.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 DePaulo, Bella (September 26, 2011). "ASEXUALS: Who Are They and Why Are They Important?". Psychology Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 1, 2015. สืบค้นเมื่อ December 13, 2011.
- ↑ The American Heritage Dictionary of the English Language (3d ed. 1992), entries for celibacy and thence abstinence.
- ↑ "Sexual orientation, homosexuality and bisexuality". American Psychological Association. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 8, 2013. สืบค้นเมื่อ March 30, 2013.
- ↑ 12.00 12.01 12.02 12.03 12.04 12.05 12.06 12.07 12.08 12.09 12.10 12.11 Prause, Nicole; Cynthia A. Graham (2007). "Asexuality: Classification and Characterization" (PDF). Archives of Sexual Behavior. 36 (3): 341–356. doi:10.1007/s10508-006-9142-3. PMID 17345167. S2CID 12034925. สืบค้นเมื่อ April 4, 2022.
- ↑ 13.0 13.1 Swash, Rosie (February 25, 2012). "Among the asexuals". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 11, 2021. สืบค้นเมื่อ February 2, 2013.
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 14.4 14.5 14.6 Karli June Cerankowski; Megan Milks (2014). Asexualities: Feminist and Queer Perspectives. Routledge. pp. 89–93. ISBN 978-1-134-69253-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 16, 2014. สืบค้นเมื่อ July 3, 2014.
- ↑ 15.0 15.1 15.2 Bogaert, Anthony F. (2006). "Toward a conceptual understanding of asexuality". Review of General Psychology. 10 (3): 241–250. doi:10.1037/1089-2680.10.3.241. S2CID 143968129. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 14, 2012. สืบค้นเมื่อ August 31, 2007.
- ↑ 16.0 16.1 16.2 Nancy L. Fischer; Steven Seidman (2016). Introducing the New Sexuality Studies. Routledge. p. 183. ISBN 978-1317449188. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ "Overview". The Asexual Visibility and Education Network. 2008. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 19, 2016. สืบค้นเมื่อ January 6, 2016.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 Decker, Julie S. (2015). The Invisible Orientation: An Introduction to Asexuality. Simon and Schuster. ISBN 9781510700642. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 12, 2021. สืบค้นเมื่อ 20 April 2019.แม่แบบ:Page number needed
- ↑ Meg Barker (2012). Rewriting the Rules: An Integrative Guide to Love, Sex and Relationships. Routledge. p. 69. ISBN 978-0415517621. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ February 8, 2016.
- ↑ Shira Tarrant (2015). Gender, Sex, and Politics: In the Streets and Between the Sheets in the 21st Century. Routledge. pp. 254–256. ISBN 978-1317814764. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ May 24, 2021. สืบค้นเมื่อ February 8, 2016.
- ↑ 21.0 21.1 21.2 21.3 21.4 21.5 Christina Richards; Meg Barker (2013). Sexuality and Gender for Mental Health Professionals: A Practical Guide. SAGE. pp. 124–127. ISBN 978-1-4462-9313-3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 28, 2014. สืบค้นเมื่อ July 3, 2014.
- ↑ 22.0 22.1 Westphal, Sylvia Pagan. "Feature: Glad to be asexual". New Scientist. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 19, 2007. สืบค้นเมื่อ 11 November 2007.
- ↑ 23.0 23.1 23.2 Bridgeman, Shelley (5 August 2007). "No sex please, we're asexual". The New Zealand Herald. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 3, 2018. สืบค้นเมื่อ September 16, 2011.
- ↑ Yule, Morag A.; Brotto, Lori A.; Gorzalka, Boris B. (2014). "Sexual fantasy and masturbation among asexual individuals". The Canadian Journal of Human Sexuality. 23 (2): 89–95. doi:10.3138/cjhs.2409. S2CID 4091448.
- ↑ 25.0 25.1 25.2 25.3 Carrigan, Mark (August 2011). "There's More to Life Than Just Sex? Difference and Commonality Within the Asexual Community". Sexualities. 14 (4): 462–478. doi:10.1177/1363460711406462. S2CID 146445274.
- ↑ 26.0 26.1 MacNeela, Pádraig; Murphy, Aisling (December 30, 2014). "Freedom, Invisibility, and Community: A Qualitative Study of Self-Identification with Asexuality". Archives of Sexual Behavior. 44 (3): 799–812. doi:10.1007/s10508-014-0458-0. ISSN 0004-0002. PMID 25548065. S2CID 23757013.
- ↑ Kliegman, Julie (2021-10-29). "What Does AroAce Mean? Not Everyone Who's Aromantic Is Asexual". Bustle (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-08-04.
- ↑ 28.0 28.1 Chasin, CJ DeLuzio (2015). "Making Sense in and of the Asexual Community: Navigating Relationships and Identities in a Context of Resistance". Journal of Community & Applied Social Psychology. 25 (2): 167–180. doi:10.1002/casp.2203. ISSN 1099-1298.
- ↑ Adler, Melissa (2010). "Meeting the Needs of LGBTIQ Library Users and Their Librarians: A Study of User Satisfaction and LGBTIQ Collection Development in Academic Libraries". ใน Greenblatt, Ellen (บ.ก.). Serving LGBTIQ Library and Archives Users. North Carolina: McFarland & Company. ISBN 978-0-7864-4894-4.
- ↑ 30.0 30.1 Justin J. Lehmiller (2017). The Psychology of Human Sexuality. John Wiley & Sons. p. 250. ISBN 978-1119164708. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 20, 2021. สืบค้นเมื่อ November 29, 2017.
- ↑ Etaugh, Claire A.; Bridges, Judith S. (2017-10-16). Women's Lives: A Psychological Exploration, Fourth Edition (ภาษาอังกฤษ). Taylor & Francis. ISBN 978-1-315-44938-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2022. สืบค้นเมื่อ June 25, 2021.
- ↑ 32.0 32.1 Smith, S. E. (August 21, 2012). "Asexuality always existed, you just didn't notice it". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 8, 2015. สืบค้นเมื่อ March 11, 2013.
- ↑ LeBreton, Marianne E. (2014). Bogaert, Anthony F. (บ.ก.). "Understanding Asexuality". QED: A Journal in GLBTQ Worldmaking. 1 (3): 175–177. doi:10.14321/qed.1.3.0175. ISSN 2327-1574. JSTOR 10.14321/qed.1.3.0175.
- ↑ Poston, Dudley L.; Baumle, Amanda K. (2010). "Patterns of asexuality in the United States". Demographic Research. 23: 509–530. doi:10.4054/DemRes.2010.23.18. ISSN 1435-9871. JSTOR 26349603.
- ↑ 35.0 35.1 Kinsey, Alfred C. (1948). Sexual Behavior in the Human Male. W.B. Saunders. ISBN 978-0-253-33412-1.
- ↑ 36.0 36.1 36.2 Kinsey, Alfred C. (1953). Sexual Behavior in the Human Female. W.B. Saunders. ISBN 978-0-253-33411-4.
- ↑ Mary Zeiss Stange; Carol K. Oyster; Jane E. Sloan (February 23, 2011). Encyclopedia of Women in Today's World. SAGE Publications. p. 158. ISBN 978-1-4129-7685-5. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 14, 2020. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- ↑ Wellings, K. (1994). Sexual Behaviour in Britain: The National Survey of Sexual Attitudes and Lifestyles. Penguin Books.
- ↑ 39.0 39.1 39.2 Bogaert, Anthony F. (2004). "Asexuality: prevalence and associated factors in a national probability sample". Journal of Sex Research. 41 (3): 279–87. doi:10.1080/00224490409552235. PMID 15497056. S2CID 41057104.
- ↑ 40.0 40.1 40.2 Aicken, Catherine R. H.; Mercer, Catherine H.; Cassell, Jackie A. (2013-05-01). "Who reports absence of sexual attraction in Britain? Evidence from national probability surveys". Psychology & Sexuality. 4 (2): 121–135. doi:10.1080/19419899.2013.774161. ISSN 1941-9899. S2CID 62275856. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ October 14, 2018.
- ↑ Bogaert, A. F. (2015). "Asexuality: What It Is and Why It Matters". Journal of Sex Research. 52 (4): 362–379. doi:10.1080/00224499.2015.1015713. PMID 25897566. S2CID 23720993.
- ↑ "1 in 2 young people say they are not 100% heterosexual" (PDF). 2015-08-16. See the full poll results. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2021. สืบค้นเมื่อ 2018-12-31.
- ↑ Chasin, CJ DeLuzio (2013). "Reconsidering Asexuality and Its Radical Potential" (PDF). Feminist Studies. 39 (2): 405. doi:10.1353/fem.2013.0054. S2CID 147025548. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ March 3, 2014. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
- ↑ Brotto, L. A.; Yule, M. A.; Gorzalka, B..B. (2015). "Asexuality: An Extreme Variant of Sexual Desire Disorder?". The Journal of Sexual Medicine. 12 (3): 646–660. doi:10.1111/jsm.12806. PMID 25545124. S2CID 30504509.
- ↑ Karli June Cerankowski; Megan Milks (2014). Asexualities: Feminist and Queer Perspectives. Routledge. p. 246. ISBN 978-1-134-69253-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 12, 2015. สืบค้นเมื่อ July 3, 2014.
- ↑ Conley-Fonda, Brenna; Leisher, Taylor (2018-01-02). "Asexuality: Sexual Health Does Not Require Sex". Sexual Addiction & Compulsivity. 25 (1): 6–11. doi:10.1080/10720162.2018.1475699. ISSN 1072-0162. S2CID 149652679.
- ↑ Van Houdenhove, Ellen; Enzlin, Paul; Gijs, Luk (2017-04-01). "A Positive Approach Toward Asexuality: Some First Steps, But Still a Long Way to Go". Archives of Sexual Behavior (ภาษาอังกฤษ). 46 (3): 647–651. doi:10.1007/s10508-016-0921-1. ISSN 1573-2800. PMID 28091869. S2CID 20911875.
- ↑ Cocchetti, Carlotta; Ristori, Jiska; Mazzoli, Francesca; Vignozzi, Linda; Maggi, Mario; Fisher, Alessandra Daphne (November 2021). "Management of hypoactive sexual desire disorder in transgender women: a guide for clinicians". International Journal of Impotence Research (ภาษาอังกฤษ). 33 (7): 703–709. doi:10.1038/s41443-021-00409-8. ISSN 1476-5489. PMID 33558671. S2CID 231850308.
- ↑ 49.0 49.1 49.2 Elisabetta Ruspini; Megan Milks (2013). Diversity in family life. Policy Press. pp. 35–36. ISBN 978-1447300939. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ 50.0 50.1 Nurius, Paula (1983). "Mental Health Implications of Sexual Orientation". The Journal of Sex Research. 19 (2): 119–136. doi:10.1080/00224498309551174.
- ↑ Yule, Morag A.; Brotto, Lori A.; Gorzalka, Boris B. (2013). "Mental Health and Interpersonal Functioning in Self-Identified Asexual Men and Women". Psychology & Sexuality. 4 (2): 136–151. doi:10.1080/19419899.2013.774162. S2CID 147120909.
- ↑ 52.0 52.1 52.2 52.3 52.4 52.5 52.6 Decker, Julie Sondra (2015). The Invisible Orientation: An Introduction to Asexuality. New York City, New York: Skyhorse Publishing. ISBN 978-1-5107-0064-2. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ Over, Ray; Koukounas, Eric (1995). "Habituation of Sexual Arousal: Product and Process". Annual Review of Sex Research. 6 (1): 187–223. doi:10.1016/S0301-0511(01)00096-5. PMID 11473795. S2CID 35865728. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ January 20, 2013.
Cited from: Kelly, Gary F. (2004). Sexuality Today: The Human Perspective (7th ed.). McGraw-Hill. p. 401. ISBN 978-0-07-255835-7. - ↑ Meyer, Doug (2017). "The Disregarding of Heteronormativity: Emphasizing a Happy Queer Adulthood and Localizing Anti-Queer Violence to Adolescent Schools". Sexuality Research & Social Policy. 14 (3): 331–344. doi:10.1007/s13178-016-0272-7. S2CID 151482192.
- ↑ Garcia-Falgueras, A; Swaab, DF (2010). Sexual hormones and the brain: an essential alliance for sexual identity and sexual orientation. Endocr Dev. Endocrine Development. Vol. 17. pp. 22–35. doi:10.1159/000262525. ISBN 978-3-8055-9302-1. PMID 19955753.
- ↑ Brotto, L. A.; Yule, M. (2016). "Asexuality: Sexual Orientation, Paraphilia, Sexual Dysfunction, or None of the Above?". Archives of Sexual Behavior. 46 (3): 619–627. doi:10.1007/s10508-016-0802-7. PMID 27542079. S2CID 207092428.
- ↑ 57.0 57.1 Cranney, Stephen (2016). "Does Asexuality Meet the Stability Criterion for a Sexual Orientation?". Archives of Sexual Behavior. 46 (3): 637–638. doi:10.1007/s10508-016-0887-z. PMID 27815642. S2CID 40119928.
- ↑ Cranney, Stephen (2016). "The Temporal Stability of Lack of Sexual Attraction across Young Adulthood". Archives of Sexual Behavior. 45 (3): 743–749. doi:10.1007/s10508-015-0583-4. PMC 5443108. PMID 26228992.
- ↑ 59.0 59.1 Karli June Cerankowski; Megan Milks (2014). Asexualities: Feminist and Queer Perspectives. Routledge. p. 244. ISBN 978-1-134-69253-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ "Asexual and Autoerotic Women: Two Invisible Groups" found in ed. Gochros, H. L.; J. S. Gochros (1977). The Sexually Oppressed. Associated Press. ISBN 978-0-8096-1915-3
- ↑ Karli June Cerankowski; Megan Milks (2014). Asexualities: Feminist and Queer Perspectives. Routledge. p. 113. ISBN 978-1-134-69253-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 4, 2017.
- ↑ Storms, Michael D. (1980). "Theories of Sexual Orientation" (PDF). Journal of Personality and Social Psychology. 38 (5): 783–792. doi:10.1037/0022-3514.38.5.783. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ February 2, 2013.
- ↑ Storms, M. D. (1979). Sexual orientation and self-perception. ed. Pliner, Patricia et al. Advances in the Study of Communication and Affect. Volume 5: Perception of Emotion in Self and Others Plenum Press
- ↑ Carrigan, Mark; Gupta, Kristina; Morrison, Todd G. (2015). Asexuality and Sexual Normativity: An Anthology. Routledge. ISBN 978-0-415-73132-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ August 20, 2019.
- ↑ 65.0 65.1 Volkmar Sigusch. "Sexualitäten: Eine kritische Theorie in 99 Fragmenten". 2013. Campus Verlag [de].
- ↑ Abbie E. Goldberg (2016). The SAGE Encyclopedia of LGBTQ Studies. SAGE Publications. p. 92. ISBN 978-1483371290. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ October 5, 2017.
[...] The sociological literature has stressed the novelty of asexuality as a distinctive form of social identification that emerged in the early 21st century.
- ↑ Carrigan, Mark (2011). "There's more to life than sex? Differences and commonality within the asexual community". Sexualities. 14 (4): 462–478. doi:10.1177/1363460711406462. S2CID 146445274.
- ↑ Duenwald, Mary (July 9, 2005). "For Them, Just Saying No Is Easy". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ October 20, 2014. สืบค้นเมื่อ 17 September 2007.
- ↑ Anneli, Rufus (June 22, 2009). "Stuck. Asexuals at the Pride Parade". Psychology Today. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 9, 2022. สืบค้นเมื่อ July 15, 2013.
- ↑ 70.0 70.1 "Asexuality – Redefining Love and Sexuality". recultured. 9 January 2012. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 17, 2018. สืบค้นเมื่อ 7 August 2012.
- ↑ Bilić, Bojan; Kajinić, Sanja (2016). Intersectionality and LGBT Activist Politics: Multiple Others in Croatia and Serbia. Springer. pp. 95–96.
- ↑ Decker, Julie. The Invisible Orientation: An Introduction to Asexuality. Skyhorse.
- ↑ "Asexual". UCLA Lesbian Gay Bisexual Transgender Resource center. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2017. สืบค้นเมื่อ June 25, 2018.
- ↑ Chasin, CJ DeLuzio (2013). "Reconsidering Asexuality and Its Radical Potential". Feminist Studies. 39 (2): 405–426. doi:10.1353/fem.2013.0054. S2CID 147025548.
- ↑ Shira Tarrant (June 19, 2015). Gender, Sex, and Politics: In the Streets and Between the Sheets in the 21st Century. Taylor & Francis. pp. 278–. ISBN 978-1-317-81475-7. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 13, 2021. สืบค้นเมื่อ September 4, 2017.
- ↑ "World Pride Toronto: Asexuals march in biggest numbers yet". Toronto Star. June 23, 2014. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ November 18, 2021. สืบค้นเมื่อ 6 October 2014.
- ↑ Kumar, Shikha (2017-03-18). "Meet India's newest sexual minority: The asexuals". Hindustan Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2018. สืบค้นเมื่อ 2017-09-08.
- ↑ "AAW – About Us". asexualawarenessweek.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 7, 2016. สืบค้นเมื่อ 2016-01-03.
- ↑ Exton, Robyn (2016-11-14). "Aces Show Their Hand – What Is Asexuality And Why You Should Know About It". HuffPost. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 29, 2018. สืบค้นเมื่อ 2017-09-08.
- ↑ "About [prerelease]". asexualawarenessweek.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 4, 2017. สืบค้นเมื่อ 2017-09-04.
- ↑ 81.0 81.1 "International Asexuality Day". International Asexuality Day (IAD) (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 7, 2021. สืบค้นเมื่อ April 8, 2021.
- ↑ 82.0 82.1 "FAQ". International Asexuality Day (IAD) (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 7, 2021. สืบค้นเมื่อ April 8, 2021.
- ↑ "Redefining Perceptions Of Asexuality With Yasmin Benoit". noctismag.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2021. สืบค้นเมื่อ April 8, 2021.
- ↑ Flood, Rebecca (April 6, 2021). "Asexual Meaning as First International Asexuality Day Celebrated Around the World". Newsweek. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2021. สืบค้นเมื่อ April 7, 2021.
- ↑ Waters, Jamie (March 21, 2021). "'I don't want sex with anyone': the growing asexuality movement". The Guardian. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 1, 2021. สืบค้นเมื่อ April 7, 2021.
- ↑ O'Dell, Liam (April 6, 2021). "What is International Asexuality Day?". The Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 6, 2021. สืบค้นเมื่อ April 7, 2021.
- ↑ "In Nepal's growing queer movement, here's how asexuals are trying to amplify their voice". kathmandupost.com (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 9, 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-04-07.
- ↑ Brigid, Kathleen (Spring 2022). "Asexuality, Indigeneity, and Monstrous Isolation in the Works of Darcie Little Badger" (PDF). Feral Feminisms. 10 (2): 28–30.
- ↑ 89.0 89.1 89.2 Brittain, Rachel (2022-10-24). "Must-Read Asexual Books for Ace Week". BOOK RIOT (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2024-02-11.
- ↑ 90.0 90.1 90.2 90.3 90.4 90.5 90.6 90.7 "Feral Feminisms focuses special issue on aro/ace authors, scholars, creators". News (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-06-05. สืบค้นเมื่อ 2023-08-27.
- ↑ 91.0 91.1 91.2 91.3 91.4 91.5 91.6 91.7 "feral feminisms » Issue 10.2: Ace and Aro Reviews Issue". สืบค้นเมื่อ 2023-08-27.
- ↑ Chen, Angela (2021-09-14). Ace: What Asexuality Reveals About Desire, Society, and the Meaning of Sex (ภาษาอังกฤษ). Beacon Press. ISBN 978-0-8070-1473-8.
- ↑ Young, Eris (2022-12-21). Ace Voices: What it Means to Be Asexual, Aromantic, Demi or Grey-Ace (ภาษาอังกฤษ). Jessica Kingsley Publishers. ISBN 978-1-78775-699-1.
- ↑ Project, The Ace and Aro Advocacy (2023-04-21). Ace and Aro Journeys: A Guide to Embracing Your Asexual or Aromantic Identity (ภาษาอังกฤษ). Jessica Kingsley Publishers. ISBN 978-1-83997-639-1.
- ↑ Przybylo, Ela (2019). Asexual Erotics: Intimate Readings of Compulsory Sexuality (ภาษาอังกฤษ). Ohio State University Press. ISBN 978-0-8142-5542-1.
- ↑ Paramo, Michael (2024-02-08). Ending the Pursuit: Asexuality, Aromanticism and Agender Identity (ภาษาอังกฤษ). Unbound Publishing. ISBN 978-1-80018-286-8.
- ↑ Costello, Sarah; Kaszyca, Kayla (2023-02-21). Sounds Fake But Okay: An Asexual and Aromantic Perspective on Love, Relationships, Sex, and Pretty Much Anything Else (ภาษาอังกฤษ). Jessica Kingsley Publishers. ISBN 978-1-83997-002-3.
- ↑ Brown, Sherronda J. (September 13, 2022). Refusing Compulsory Sexuality. North Atlantic Books. ISBN 9781623177102.
- ↑ Costello, Sarah; Kaszyca, Kayla (21 February 2023). Sounds Fake But Okay: An Asexual and Aromantic Perspective on Love, Relationships, Sex, and Pretty Much Anything Else. Jessica Kingsley Publishers. ISBN 978-1839970016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 February 2023. สืบค้นเมื่อ 26 March 2023.
- ↑ 100.0 100.1 100.2 Aicken, Catherine R. H.; Mercer, Catherine H.; Cassell, Jackie A. (2015-09-07). "Who reports absence of sexual attraction in Britain? Evidence from national probability surveys". ใน Carrigan, Mark; Gupta, Kristina; Morrison, Todd G. (บ.ก.). Asexuality and Sexual Normativity: An Anthology. New York City, New York and London, England: Routledge. pp. 22–27. ISBN 978-0-415-73132-4. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ "Asexuality and Christianity" (PDF). Asexual Awareness Week. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ October 29, 2013. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ 102.0 102.1 Kaoma, Kapya (2018). Christianity, Globalization, and Protective Homophobia: Democratic Contestation of Sexuality in Sub-Saharan Africa. Boston, Massachusetts: Palgrave Macmillan. pp. 159–160. ISBN 978-3-319-66341-8. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ Cole, William Graham (2015) [1955]. Sex in Christianity and Psychoanalysis. Routledge Library Editions: Psychoanalysis. New York City, New York and London, England: Routledge. p. 177. ISBN 978-1138951792. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ Zuckerman, Phil (2003). An Invitation to Sociology of Religion. New York City, New York and London, England: Routledge. p. 111. ISBN 978-0-415-94125-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 23, 2019. สืบค้นเมื่อ January 11, 2018.
- ↑ MacInnis, Cara C.; Hodson, Gordon (2012). "Intergroup bias toward 'Group X': Evidence of prejudice, dehumanization, avoidance, and discrimination against asexuals". Group Processes & Intergroup Relations. 15 (6): 725–743. doi:10.1177/1368430212442419. S2CID 3056711.
- ↑ Gazzola, Stephanie B, and Melanie A. Morrison. "Asexuality: An emergent sexual orientation". Sexual Minority Research in the New Millennium.
- ↑ 107.0 107.1 107.2 Mosbergen, Dominique (June 20, 2013). "Battling Asexual Discrimination, Sexual Violence, and Corrective Rape". HuffPost. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ August 18, 2013. สืบค้นเมื่อ August 2, 2013.
- ↑ Wallis, Lucy (January 17, 2012). "What is it like to be asexual?". BBC News. BBC. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 6, 2019. สืบค้นเมื่อ January 1, 2014.
- ↑ The Trevor Project - FAQ about asexuality เก็บถาวร เมษายน 6, 2021 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The Trevor Project website. Retrieved April 4, 2018.
- ↑ "The a is Here to Stay". April 30, 2013. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 10, 2018. สืบค้นเมื่อ April 4, 2018.
- ↑ Mosbergen, Dominique (June 21, 2013). "LGBT, Asexual Communities Clash over Ace Inclusion". HuffPost. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 5, 2018. สืบค้นเมื่อ April 4, 2018.
- ↑ Psychiatrist Jairo Bouer talks about the "collateral effects" of "gay cure" bill เก็บถาวร มกราคม 15, 2014 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (ในภาษาโปรตุเกส)
- ↑ The Sexual Orientation Non-Discrimination Act ("SONDA") (State of New York, Office of the Attorney General, Civil Rights Bureau)
- ↑ 114.0 114.1 114.2 114.3 114.4 114.5 114.6 114.7 114.8 Bogaert, Anthony (2012). Understanding Asexuality. Lanham, Maryland: Rowman and Littlefield Publishers, Inc. pp. 36–39. ISBN 978-1-4422-0099-9. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ January 10, 2018.
- ↑ 115.0 115.1 Kelemen, Erick. "Asexuality". Encyclopedia of Sex and Gender. Ed. Fedwa Malti-Douglas. Vol. 1. Detroit: Macmillan Reference USA, 2007. 103. Gale Virtual Reference Library. Web. May 2, 2016.
- ↑ 116.0 116.1 Jackson, Stevi, and Sue Scott. Theorizing Sexuality. Maidenhead: Open UP, 2010. Web. May 2, 2016.
- ↑ 117.0 117.1 "Archie Comic Reveals Jughead Is Asexual". Vulture. February 8, 2016. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ December 7, 2017. สืบค้นเมื่อ December 14, 2017.
- ↑ "Cole Sprouse Is Bummed That RIVERDALE's Jughead Isn't Asexual | Nerdist". Nerdist. 2017-01-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 26, 2018. สืบค้นเมื่อ 2018-09-09.
- ↑ Revanche, Jonno. "'Riverdale's' Asexual Erasure Can Be More Harmful Than You Think". Teen Vogue. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 4, 2021. สืบค้นเมื่อ 2018-09-09.
- ↑ 120.0 120.1 Clark-Flory, Tracy (January 31, 2012). ""House" gets asexuality wrong". Salon. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ September 21, 2017. สืบค้นเมื่อ September 8, 2017.
- ↑ "Camp cartoon star 'is not gay'". 2002-10-09. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 29, 2019. สืบค้นเมื่อ 2019-11-25.
- ↑ "SpongeBob Asexual, Not Gay: Creator". People. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 25, 2021. สืบค้นเมื่อ 2019-11-25.
- ↑ "SpongeBob is asexual, says creator". Asexual Visibility and Education Network. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ July 26, 2020. สืบค้นเมื่อ 2019-11-25.
- ↑ Kliegman, Julie. "Todd's Asexuality on 'BoJack' Isn't a Perfect Depiction, But It's Made Me Feel Understood". Bustle. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 26, 2021. สืบค้นเมื่อ 2019-04-30.
อ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Bogaert, Anthony F. (August 9, 2012). Understanding Asexuality. Rowman & Littlefield Publishers. ISBN 978-1-4422-0101-9. สืบค้นเมื่อ July 27, 2013.
- Decker, Julie (September 2, 2014). The Invisible Orientation: An Introduction to Asexuality. Carrel Books. ISBN 978-1631440021. สืบค้นเมื่อ September 28, 2014.
- "We're married, we just don't have sex", The Guardian (UK), September 8, 2008
- "Asexuals leave the closet, find community" – SFGate.com
- "Asexuality", article by Mark Carrigan, in: The SAGE Encyclopedia of LGBTQ Studies Vol. 1 (A–G).
- Rle Eng. Leather Spinsters and Their Degrees of Asexuality St. Mary Pub. Co. of Houston, 1998.
- Geraldine Levi Joosten-van Vilsteren, Edmund Fortuin, David Walker, and Christine Stone, Nonlibidoism: The Short Facts. United Kingdom. ISBN 1447575555.
- Chen, Angela (September 15, 2020). Ace: What Asexuality Reveals About Desire, Society, and the Meaning of Sex. Beacon Press. ISBN 9780807013793.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Human asexuality