อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ขณะเร่งความเร็วสูงสุด ในการทดสอบทางทะเล ในปี 1907
ประวัติ
สหราชอาณาจักร
ชื่ออาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (RMS Mauretania)
ตั้งชื่อตามมอริเทเนีย
เจ้าของ
ผู้ให้บริการ คิวนาร์ด ไลน์
เส้นทางเดินเรือเซาแธมป์ตัน - โคบห์ - นิวยอร์ก
อู่เรือสวอนฮันเตอร์ แอนด์ วิกแฮม ริชาร์ดสัน นอร์ทัมเบอร์แลนด์, อังกฤษ
Yard number367
ปล่อยเรือ18 สิงหาคม 1904
สร้างเสร็จ11 พฤศจิกายน 1907
Maiden voyage16 พฤศจิกายน 1907
บริการ1907–1934
หยุดให้บริการกันยายน 1934
รหัสระบุ
ความเป็นไปปลดระวางในปี 1934 และถูกแยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์, สกอตแลนด์
ลักษณะเฉพาะ
ชั้น: ชั้นลูซิเทเนีย
ประเภท: เรือเดินสมุทร
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 31,938 ตัน
ความยาว: 790 ฟุต (240.8 เมตร)
ความกว้าง: 88 ฟุต (26.8 เมตร)
ความสูง: 144 ฟุต (43.9 เมตร) จากกระดูกงู ถึงยอดสุด
กินน้ำลึก: 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร)
ดาดฟ้า: 8 ชั้น
ระบบพลังงาน: กังหันไอน้ำพาร์สันส์ (Parsons) แบบขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง (แรงดันสูง 2 เครื่อง แรงดันต่ำ 2 เครื่อง) ให้กำลังรวม 76,000 แรงม้า (57,000 กิโลวัตต์) ก่อนจะเพิ่มเป็น 90,000 แรงม้า (67,000 กิโลวัตต์) ในปี 1929
ระบบขับเคลื่อน: จักรปีก 3 ใบจักร จำนวน 4 จักร
ความเร็ว:

ความเร็วบริการ: 25 นอต (46 กม./ชม.; 29 ไมล์ต่อชม.)

ความออกแบบ: 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์ต่อชม.)[1][2]
ความจุ:

2,165 คน แบ่งเป็น:

  • ชั้นหนึ่ง 563 คน
  • ชั้นสอง 464 คน
  • ชั้นสาม 1,138 คน
ลูกเรือ: 802 คน[1]
หมายเหตุ: เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1907 และ เรือที่เร็วที่สุดในโลก 1910

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) หรือชื่อเต็มคือ เรือไปรษณีย์หลวงมอริเทเนีย (Royal Mail Steamer Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษ ของสายการเดินเรือคิวนาร์ด ออกแบบโดยลีโอนาร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน (Swan Hunter & Wigham Richardson) ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 และได้เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งเรืออาร์เอ็มเอส โอลิมปิก ได้ปล่อยลงน้ำในปี 1910[3]

เรือมอริเทเนียได้รับรางวัลบลูริบันด์ (Blue Riband) ในการเดินทางไปทิศตะวันออกได้ในการเดินทางกลับครั้งแรกของเธอในเดือนธันวาคม 1907 จากนั้นได้รับรางวัลอีกครั้งในการเดินทางไปทิศตะวันตกในปี 1909 และครองสถิติความเร็วทั้งสองรายการเป็นเวลา 20 ปี จนถึงปี 1929

ชื่อของเรือนำมาจาก มอริเทเนีย ซึ่งเป็นจังหวัดของโรมันโบราณ บนชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแอฟริกา ไม่ใช่ประเทศมอริเตเนียแต่อย่างใด[4] ระบบการตั้งชื่อที่คล้ายกันนี้ยังนำไปใช้ในการตั้งชื่อเรืออาร์เอ็มเอส แอควิเทเนีย (RMS Aquitania) ซึ่งเป็นเรือแฝดลำน้อง

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ให้บริการจนถึงเดือนกันยายน 1934 แล้วจึงปลดระวาง และขายแยกชิ้นส่วนในเมืองรอสไฟฟ์ (Rosyth) ประเทศสกอตแลนด์ ในปี 1935

เบื้องหลัง[แก้]

ใบจักรของอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย เทียบกับขนาดของคนงาน

ในปี ค.ศ. 1897 เรือเดินสมุทรเอสเอส ไกเซอร์ วิลเฮล์ม เดอร์ โกรส (SS Kaiser wilhelm der Grosse) ของเยอรมันได้กลายเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 25 ไมล์ต่อชั่วโมง) และได้ยึดรางวัลบลูริบันด์จากอาร์เอ็มเอส คัมปาเนีย (RMS Campania) และอาร์เอ็มเอส ลูคาเนีย (RMS Lucania) ของคิวนาร์ดไลน์ ทำให้เยอรมันเริ่มเข้ามามีอำนาจเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก และในปี 1906 เยอรมันมีเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟขนาดใหญ่ถึง 5 ลำในการให้บริการ โดยที่ 4 ลำในนั้นเป็นของสายการเดินเรือนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์

ในช่วงเวลาเดียวกันบริษัทอินเตอร์เนชั่นแนล เมอร์แคนไทล์ มารีน (International Mercantile Marine Co.) ของเจ. พี. มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกันกำลังพยายามผูกขาดการค้าทางเรือและได้เข้าซื้อกิจการของไวต์สตาร์ไลน์ (White Star Line) ซึ่งเป็นสายการเดินเรือที่สำคัญแห่งหนึ่งของอังกฤษ[5]

ในการเผชิญกับภัยคุกคามเหล่านี้ คิวนาร์ดไลน์มุ่งมั่นที่จะกอบกู้ชื่อเสียงของการเดินทางทางทะเลกลับมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่เพื่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังเพื่อสหราชอาณาจักรด้วย[5][6]

ในปี 1902 คิวนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษได้บรรลุข้อตกลงร่วมกันในการสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่สองลำ ได้แก่ อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) และอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (RMS Mauretania)[5] โดยรับประกันความเร็วในการให้บริการไม่น้อยกว่า 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) ต่อมารัฐบาลอังกฤษได้ให้กู้เงิน 2,600,000 ปอนด์ (252 ล้านปอนด์ ในปี 2015) สำหรับการต่อเรือ[7] ในอัตราดอกเบี้ย 2.75% ซึ่งจะต้องชำระคืนภายในระยะเวลา 20 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าเรือทั้งสองลำต้องสามารถดัดแปลงเป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ (Armed merchant cruisers) ได้หากจำเป็น[8] และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจากกองทัพเรือที่จัดให้คิวนาร์ดไลน์ได้รับเงินเพิ่มอีกจํานวนหนึ่งต่อปีสําหรับเงินอุดหนุนทางไปรษณีย์[9][10]

การออกแบบและการสร้าง[แก้]

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ก่อนการปล่อยลงน้ำในปี 1906 ในไทน์ไซด์ (Tyneside)

เรือมอริเทเนีย และลูซิเทเนีย ได้รับการออกแบบโดย ลีโอนาร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) สถาปนิกเรือของคิวนาร์ดไลน์ โดยอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์ (Swan Hunter) จะทำการต่อเรือเดินสมุทรที่มีความเร็วในการให้บริการที่กำหนดไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปานกลางตามแผนและเงื่อนไขของสัญญาเงินอุดหนุนทางไปรษณีย์

การออกแบบดั้งเดิมของเพสเกตต์ในปี 1902 คือการออกแบบให้เรือมีปล่องไฟสามปล่อง และเครื่องยนต์ของเรือถูกกำหนดให้เป็นเครื่องยนต์ลูกสูบ (reciprocating engines) แบบจำลองขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมของเรือปรากฏในนิตยสาร Shipbuilder

ต่อมาคิวนาร์ดได้ตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบเครื่องยนต์เป็นกังหันไอน้ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ในขณะนั้น และการออกแบบของเรือก็ได้รับการแก้ไขอีกครั้งเมื่อเพสเกตต์เพิ่มปล่องไฟที่สี่ในแบบของเรือ

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1904 การก่อสร้างเรือก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการวางกระดูกงู[11] ตามธรรมเนียมแล้ว ตัวเรือจะถูกทาสีด้วยสีเทาอ่อนเพื่อจุดประสงค์ในการถ่ายภาพระหว่างการปล่อยเรือ ซึ่งเป็นประเพณีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือลำแรกในชั้นใหม่ เนื่องจากทำให้ลำเรือชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ ตัวเรือของเธอถูกทาสีดำหลังจากการเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์ของเธอ[12]

พิธีปล่อยเรือลงน้ำอย่างเป็นทางการของอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ในวันที่ 20 กันยายน 1906
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย หลังจากปล่อยเรือลงน้ำ

ในวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ได้ถูกปล่อยลงน้ำและได้รับการขนานนามโดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก[13] ในช่วงเวลาของการเปิดตัว เธอเป็นสิ่งก่อสร้างที่เคลื่อนที่ได้ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา [14] และมีระวางบรรทุกมวลรวมที่ใหญ่กว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย

ความแตกต่างทางสายตาที่สำคัญระหว่างเรือมอริเทเนีย และลูซิทาเนีย คือเรือมอริเทเนีย มีความยาวมากกว่า 5 ฟุต และมีช่องระบายอากาศต่างกัน[15] เรือมอริเทเนีย ยังมีกังหันอีกสองขั้นในกังหันด้านหน้าของเธอ ซึ่งทำให้เธอแล่นเร็วกว่าลูซิทาเนียเล็กน้อย

เรือมอริเทเนีย และลูซิเทเนีย เป็นเรือเพียงสองลำที่มีกังหันไอน้ำแบบขับตรง ซึ่งในเรือลำต่อ ๆ มา ส่วนใหญ่จะใช้กังหันที่มีเฟืองทดรอบ [16] การใช้กังหันไอน้ำในเรือมอริเทเนียถือเป็นการใช้งานที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาเทคโนโลยีใหม่ในขณะนั้น ซึ่งพัฒนาโดยชาร์ลส์ อัลเจอนอน พาร์สันส์ (Charles Algernon Parsons)[17] ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างมากที่ความเร็วสูง ต่อมาท้ายเรือของมอริเทเนียได้รับการเสริมความแข็งแรงและใบจักรก็ได้รับการออกแบบใหม่ก่อนเข้าประจำการ ซึ่งช่วยลดแรงสั่นสะเทือน[18]

การแบ่งดาดฟ้าของอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย

มอริเทเนีย ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับรสนิยมสมัยเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก ฮาโรลด์ เปโต้ (Harold Peto) และห้องสาธารณะของเธอได้รับการตกแต่งโดยบริษัทตกแต่งภายในชื่อดังของลอนดอนสองแห่ง คือ Ch. Mellier & Sons และ Turner & Lord [19] [20] ตกแต่งด้วยไม้ 28 ชนิดที่แตกต่างกัน พร้อมด้วยหินอ่อน พรม และเครื่องตกแต่งอื่น ๆ เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมที่สวยงามในห้องสูบบุหรี่ [19] [21]

ผนังไม้สำหรับห้องสาธารณะชั้นหนึ่งของเรือถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือ 300 คนจากปาเลสไตน์ [22] ห้องรับประทานอาหารหนึ่งได้รับการตกแต่งตามสไตล์ฟรานซิสที่ 1 และประดับประดาด้วยช่องรับแสงทรงโดมขนาดใหญ่ [21] และลิฟต์อีกหลายตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากสำหรับเรือเดินสมุทร โดยประตูลิฟต์ทำจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบา ถูกติดตั้งถัดจากบันไดแกรนด์ที่ทำจากไม้วอลนัท [21]

คุณลักษณะใหม่คือ Verandah Café บนดาดฟ้าชั้นเรือบด ซึ่งผู้โดยสารจะได้รับบริการเครื่องดื่มในสภาพแวดล้อมที่มีการป้องกันสภาพอากาศ แม้ว่าสิ่งนี้จะถูกปิดภายในหนึ่งปีเนื่องจากได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่สมจริง [19]

เทียบกับเรือชั้นโอลิมปิก[แก้]

Mauretania's side plan, ป. 1907
White Star Line's Olympic and Titanic's side plan, ป. 1911
แผนภาพเปรียบเทียบด้านข้างของอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (บน) กับอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (ล่าง)

เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคิวนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน

เรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เปิดตัวและให้บริการก่อนที่เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก จะพร้อมให้บริการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่งของมหาสมุทร จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คิวนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่า แอควิเทเนีย (Aquitania) ซึ่งจะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า[ต้องการอ้างอิง]

เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคิวนาร์ดทั้งสองลำ[ต้องการอ้างอิง]

แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด แรงสั่นสะเทือนจะรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่อาศัยได้[23] ในทางตรงกันข้าม เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง

ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย มีหัวเรือที่ตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิก ออกแบบมาเพื่อให้เรือสามารถพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ผลที่ตามมาที่คาดไม่ถึงก็คือเรือของคิวนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจ แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่สงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างส่วนบน (superstructure)[24]

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย และเรือเทอร์บิเนียในปี ค.ศ. 1907

เรือชั้นโอลิมปิกยังแตกต่างจากเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ในขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาว ระหว่างหม้อไอน้ำและห้องเครื่องยนต์ และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของเรือไททานิกในปี 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งลดระดับลงไม่ได้[25] นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ําท่วมคลังถ่านหินเพียง 3 แห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ความสูงจุดเปลี่ยนศูนย์เสถียร (Metacentric Height) เป็นลบ[26] ในทางกลับกัน เรือไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความลาดเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก[27]

เรือลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิก 4 ลำ) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม

หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบนดาวิต (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนดาวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับได้ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติโดยตรง และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ จำเป็นต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้[28]

ช่วงแรก (1906–1914)[แก้]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (1914–1919)[แก้]

หลังสงคราม (1919–1934)[แก้]

เกษียณอายุและปลดระวาง[แก้]

หลังปลดระวาง[แก้]

ในวัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]

ดูเพิ่ม[แก้]

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Maritimequest
  2. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ Liner
  3. Maxtone-Graham 1972, pp. 41–43.
  4. Maxtone-Graham 1972, p. 24.
  5. 5.0 5.1 5.2 Maxtone-Graham 1972, p. 11.
  6. Floating Palaces. (1996) A&E. TV documentary. Narrated by Fritz Weaver.
  7. UK Retail Price Index inflation figures are based on data from Clark, Gregory (2017). "The Annual RPI and Average Earnings for Britain, 1209 to Present (New Series)". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ June 11, 2022.
  8. Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
  9. Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
  10. Vale, Vivian, The American Peril: Challenge to Britain on the North Atlantic, 1901–04, pp. 143–183.
  11. "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-24. สืบค้นเมื่อ 2023-07-24.
  12. Piouffre 2009.
  13. Maxtone-Graham 1972, p. 25.
  14. "RMS Mauretania Construction". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
  15. Layton 2007, p. 44.
  16. Williams, Trevor. (1982) A short history of twentieth-century technology.
  17. Maxtone-Graham 1972, p. 15.
  18. Maxtone-Graham 1972, pp. 38–39.
  19. 19.0 19.1 19.2 "RMS Mauretania Fitting Out". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-23. สืบค้นเมื่อ 25 November 2008.
  20. Maxtone-Graham 1972, p. 31.
  21. 21.0 21.1 21.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 33–36.
  22. Maxtone-Graham 1972, p. 33.
  23. Archibald, Rick & Ballard, Robert.The Lost Ships of Robert Ballard, Thunder Bay Press: 2005; p. 46.
  24. Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; pp. 51–52.
  25. "British Wreck Commissioner's Inquiry, Day 19, Testimony of Edward Wilding, recalled (20227)". Titanic Inquiry Project.
  26. Layton 2010, p. 55.
  27. Hackett & Bedford 1996, p. 171.
  28. Simpson 1972, p. 159.