เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก
![]() เรือพยาบาลหลวง (เอชเอ็มเอชเอส) บริแทนนิก
| |
ประวัติ | |
---|---|
![]() | |
ชื่อ | เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก (HMHS Britannic) |
เจ้าของ | ![]() |
ผู้ให้บริการ | ![]() |
ท่าเรือจดทะเบียน | ลิเวอร์พูล, อังกฤษ |
Ordered | 1911 |
อู่เรือ | ฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์, เบลฟาสต์, ไอร์แลนด์เหนือ |
Yard number | 433[1] |
ปล่อยเรือ | 30 พฤศจิกายน 1911 |
เดินเรือแรก | 26 กุมภาพันธ์ 1914 |
สร้างเสร็จ | 12 ธันวาคม 1915 |
บริการ | 23 ธันวาคม 1915 (เรือพยาบาล) |
หยุดให้บริการ | 21 พฤศจิกายน 1916 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ชนกับทุ่นระเบิดของ SM U-73 และอับปางในวันที่ 21 พฤศจิกายน 1916 ใกล้กับเกาะเคีย ในทะเลอีเจียน |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | ชั้นโอลิมปิก |
ขนาด (ตัน): | 48,158 ตันกรอส |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 53,200 ตัน |
ความยาว: | 882.9 ฟุต (269.1 เมตร) |
ความกว้าง: | 94 ฟุต (28.7 เมตร) |
ความสูง: | 175 ฟุต (53 เมตร) (วัดจากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ) |
กินน้ำลึก: | 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร) |
ความลึก: | 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร, 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมี Sun deck, Boat (ชั้น A), Promenade (ชั้น B), C-G, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (เป็นพื้นที่สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ หรือพื้นทีสำหรับเพลาใบจักร เป็นต้น) |
ระบบพลังงาน: |
|
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักร 3 ตัว ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต 6 นิ้ว ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ ส่วนใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 3 ใบ |
ความเร็ว: |
|
ความจุ: | ผู้โดยสาร 3,309 คน |
เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก (อังกฤษ: HMHS Britannic อ่านว่า /brɪˈtænɪk/) หรือชื่อเต็มคือ เรือพยาบาลหลวงบริแทนนิก (His Majesty's Hospital Ship Britannic) เป็นเรือพยาบาลสัญชาติอังกฤษ เป็นเรือลำสุดท้ายและมีขนาดใหญ่ที่สุดในโครงการเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกของสายการเดินเรือไวต์สตาร์ (White Star Line) และเป็นเรือลำที่สองของไวต์สตาร์ที่ใช้ชื่อ 'บริแทนนิก' เธอเป็นเรือฝาแฝดของอาร์เอ็มเอส โอลิมปิก (RMS Olympic) และอาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) และตั้งใจจะเข้ามาประจำการในฐานะเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก แต่ถูกเกณฑ์เข้ามาเป็นเรือพยาบาลเสียก่อนในปี 1915 จนกระทั่งอับปางลงในทะเลอีเจียน ใกล้กับเกาะเคีย, ประเทศกรีซในเดือนพฤศจิกายน 1916 ในช่วงเวลานั้นเธอเป็นเรือพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในโลก[ต้องการอ้างอิง]
เรือบริแทนนิกได้รับการออกแบบให้มีความปลอดภัยมากที่สุดในบรรดาเรือทั้งสามลำ โดยมีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบระหว่างการก่อสร้างเนื่องจากได้รับบทเรียนจากการอับปางของไททานิก เธอถูกจอดไว้ที่อู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ (Harland and Wolff) ในเมืองเบลฟาสต์เป็นเวลาหลายเดือนก่อนจะถูกเกณฑ์ไปเป็นเรือพยาบาล และทำหน้าที่ระหว่างสหราชอาณาจักรและดาร์ดะเนลส์ ระหว่างปี 1915–1916
ในเช้าวันที่ 21 พฤศจิกายน 1916 เรือบริแทนนิกได้ชนทุ่นระเบิดของกองทัพเรือจักรวรรดิเยอรมันใกล้กับเกาะเคีย ประเทศกรีซ และอับปางในอีก 55 นาทีต่อมา คร่าชีวิตผู้คนไป 30 คนจากทั้งหมด 1,066 คน และผู้รอดชีวิตได้รับการช่วยเหลือจากน้ำและเรือชูชีพ ซึ่งนับเป็นเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดที่อับปางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[3]
ต่อมาไวต์สตาร์ไลน์ได้รับมอบเรือเดินสมุทรเอสเอส บิสมาร์ค (SS Bismarck) จากเยอรมัน เพื่อเป็นการชดเชยสำหรับการสูญเสียเรือบริแทนนิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าปฏิกรรมสงคราม และถูกเปลี่ยนชื่อเป็นอาร์เอ็มเอส มาเจสติก (RMS Majestic)
ในปี 1975 ได้มีการค้นพบซากเรือโดยฌาคส์ คูสโต (Jacques Cousteau) ซึ่งนับเป็นเรือโดยสารที่จมอยู่ใต้ทะเลที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก[4]
การเปลี่ยนแปลงการออกแบบ[แก้]

เดิมขนาดของเรือบริแทนนิกจะคล้ายกับเรือพี่สาวของเธอ แต่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงในขณะที่กำลังก่อสร้างหลังจากการอับปางของเรือไททานิก ด้วยระวางบรรทุก 48,158 ตัน ทำให้เธอใหญ่กว่าเรือพี่สาวของเธอในแง่ของพื้นที่ภายใน แต่ไม่ได้ทำให้เธอเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากเรือเดินสมุทรเอสเอส วาเทอร์แลนด์ (SS Vaterland) ของเยอรมัน ครองตำแหน่งนี้อยู่ด้วยระวางบรรทุกที่สูงกว่ามาก[5]
การเปลี่ยนแปลงหลังการอับปางของไททานิก[แก้]

อาร์เอ็มเอส บริแทนนิก มีรูปลักษณ์ตัวเรือคล้ายกับเรือพี่สาวของเธอ แต่หลังจากการอับปางเรือไททานิกและการไต่สวนที่ตามมา ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบหลายอย่างกับเรือบริแทนนิก โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนการเปิดตัวเรือ เช่น การเพิ่มความกว้างลำเรือเป็น 94 ฟุต (29 เมตร) เพื่อให้สามารถทำตัวเรือสองชั้น (double hull) ตามแนวห้องเครื่องยนต์และห้องหม้อไอน้ำได้ และเพิ่มความสูงของกำแพงกั้นน้ำ 6 ใน 15 แห่ง ขึ้นไปที่ดาดฟ้าชั้น B
นอกจากนี้ ยังเพิ่มขนาดของเครื่องยนต์กังหันไอน้ำเป็น 18,000 แรงม้า (13,000 กิโลวัตต์) จากเดิมที่เป็น 16,000 แรงม้า (12,000 กิโลวัตต์) ที่ติดตั้งบนเรือสองลำก่อนหน้าเพื่อชดเชยความกว้างของลำเรือที่เพิ่มขึ้น และกำแพงกั้นน้ำได้รับการปรับปรุงให้เรือยังสามารถลอยลำอยู่ได้หากมีน้ำท่วมอย่างน้อย 6 ห้อง[6]

การเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดคือ การติดตั้งดาวิต (davits; เครนแขวนเรือชูชีพ) ที่มีลักษณะคล้ายกับเครนขนาดใหญ่ (crane-like davits) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและสามารถเก็บเรือชูชีพได้ถึง 6 ลำในตัวเดียว เดิมได้รับการออกแบบให้ติดตั้ง 8 ตัว แต่มีเพียง 5 ตัวเท่านั้นที่ติดตั้งจริงก่อนจะเข้าประจำการในสงคราม ซึ่งต่างจากดาวิตแบบเวลิน (Welin-type davits) ที่ควบคุมด้วยมือบนเรือไททานิกและโอลิมปิก[7][8]
เครนดาวิตไฟฟ้าได้รับการออกแบบให้สามารถปล่อยเรือชูชีพไปยังอีกฝั่งของเรือได้โดยที่ไม่มีปล่องไฟกีดขวาง ทำให้สามารถปล่อยเรือชูชีพได้ทั้งหมดทุกลำ แม้ว่าเรือจะเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งก็ตาม ดังนั้นเครนดาวิตทั้ง 5 ตัวจึงถูกติดตั้งไว้ระหว่างปล่องไฟเพื่อจุดประสงค์นี้
ลิฟต์ซึ่งก่อนหน้านี้จะหยุดที่ดาดฟ้าชั้น A ได้รับการปรับปรุงให้สามารถขึ้นไปถึงดาดฟ้าชั้นเรือบดได้[9]
เรือบริแทนนิกมีเรือชูชีพทั้งหมด 48 ลำ แต่ละลำบรรทุกคนได้อย่างน้อย 75 คน ดังนั้น เรือชูชีพสามารถบรรทุกคนได้อย่างน้อย 3,600 คน ซึ่งเกินความจุสูงสุดของเรือที่ 3,309 คน
ลักษณะเฉพาะของเรือ[แก้]

สัดส่วนเรือ[แก้]
- ความยาว: 882.9 ฟุต (269.1 เมตร)
- ความกว้าง: 94 ฟุต (28.7 เมตร)
- ความสูง: 175 ฟุต (53 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ
- ความสูงตัวเรือ: 64 ฟุต 6 นิ้ว (19.7 เมตร)
- กินน้ำลึก: 34 ฟุต 7 นิ้ว (10.5 เมตร)
- น้ำหนัก: 48,158 ตันกรอส (GRT)
- ระวางขับน้ำ: 53,200 ตัน
ลักษณะทั่วไป[แก้]
- สี: ปล่องไฟทาสีเหลืองทั้งปล่อง, ตัวเรือและโครงสร้างบนเรือ (superstructure) ทาสีขาว โดยมีแถบสีทองคาดระหว่างตัวเรือกับโครงสร้างบนเรือ, สัญลักษณ์กาชาดสีแดง 6 จุด และแถบสีเขียวคาดกลางตลอดความยาวตัวเรือ, ท้องเรือใต้แนวน้ำทาสีแดง
- ปล่องไฟ: 4 ปล่อง แต่ละปล่องสูง 62 ฟุต (18.8 เมตร) กว้าง 19 ฟุต (5.7 เมตร) ยาว 24.5 ฟุต (7.4 เมตร) ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 12 เส้น ทำมุม 3.27 องศาจากแนวตั้งฉาก ติดหวูดไอน้ำทุกปล่อง ใช้ระบายควัน 3 ปล่องแรก ส่วนปล่องสุดท้ายใช้ระบายอากาศและทำให้ดูสมดุล
- เสากระโดงเรือ: 2 ต้น ที่หัวเรือและท้ายเรือ สูงต้นละ 154.1 ฟุต (47 เมตร)
- หัวเรือ: ออกแบบให้มีที่ตัดน้ำแข็งทางหัวเรือ, สมอเรือ 2 ตัว, ปั้นจั่นยกสมอ 1 ตัว, เสากระโดงเรือ 1 ต้น และช่องขนสินค้า
- ท้ายเรือ: หางเสือ 1 ตัว, สะพานเทียบเรือ, ปั้นจั่นยกสินค้า 4 ตัว
- วัสดุสร้างเรือ: โครงเรือทำจากเหล็ก, โครงสร้างภายในทำจากไม้, เปลือกเรือภายในและภายนอกทำจากเหล็กกล้า, พื้นดาดฟ้าเรือปูด้วยไม้สัก, ปล่องไฟทำจากเหล็กกล้า, เสากระโดงเรือทำจากไม้สนสปรูซ
- ดาดฟ้า: 10 ชั้น; 7 ชั้นสำหรับผู้โดยสาร และ 3 ชั้นสำหรับลูกเรือ โดยมีซันเด็ค (Sun deck), ชั้นเรือบด (Boat deck), Promenade (ชั้น A-B), ชั้น C-G, ชั้นท้องเรืออีก 2 ชั้น (สำหรับหม้อน้ำ, เชื้อเพลิง, เครื่องยนต์, ห้องผนึกน้ำ, ประตูกั้นน้ำ และเพลาใบจักร)
- ปั้นจั่นดาวิตไฟฟ้า (crane-like davits): 8 ตัว จุเรือชูชีพได้ตัวละ 6 ลำ รวมทั้งหมด 48 ลำ (ติดตั้งจริงเพียง 5 ตัว รวมทั้งหมด 30 ลำ)
- เรือชูชีพ: 48 ลำ แต่ละลำบรรทุกคนได้อย่างน้อย 75 คน ดังนั้นสามารถบรรทุกคนได้อย่างน้อย 3,600 คน ซึ่งเกินความจุสูงสุดของเรือที่ 3,309 คน
- ตำแหน่งห้องวิทยุสื่อสาร: ชั้นเรือบด กราบซ้าย ถัดจากห้องสะพานเดินเรือ
- ตะเกียงส่งสัญญาณ: 2 ดวง ติดตั้งทั้งกราบซ้ายและขวา บริเวณปีกสะพานเดินเรือชั้นเรือบด
- สมอเรือ: 2 ตัว ตำแหน่งกราบซ้ายและขวาหัวเรือ หนัก 27 ตัน/ตัว
- ปั้นจั่นไฟฟ้า: 6 ตัว; 2 ตัว บนชั้น C ด้านหน้าโครงสร้างบนเรือ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck), 2 ตัว บนชั้น B ค่อนไปทางท้ายเรือ, 2 ตัว บนชั้น C ด้านหลังโครงสร้างบนเรือ ใกล้กับช่องสินค้า (Well deck)
- โกดังสินค้า: 9 แห่ง (ห้องมาตรฐาน 6 ห้อง ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ 1 ห้อง)
- ลิฟต์สินค้า: 2 ตัว (ตัวแรกจากชั้น A ไปชั้น D, ตัวที่สองจากชั้น D ไปชั้น G และลงท้องเรือโดยบันได)
- กำแพงกั้นน้ำ: 15 แนว แบ่งเป็น 16 ห้อง พร้อมประตูประตูผนึกน้ำทำงานด้วยไฟฟ้า
- ความจุผู้โดยสาร: 3,309 คน
- ลูกเรือ: ประมาณ 900 คน
ระบบพลังงาน[แก้]
- เชื้อเพลิง: ถ่านหิน
- หม้อไอน้ำ: 29 ตัว ติดตั้งในห้องหม้อไอน้ำ 6 ห้อง แบ่งเป็น:
- หม้อไอน้ำแบบเติมถ่านได้ 2 ฝั่ง (double-ended) 24 เตา (6 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
- หม้อไอน้ำแบบเติมถ่านได้ฝั่งเดียว (single-ended) 5 เตา (3 ช่องเตาต่อหม้อน้ำ 1 ตัว)
- อัตราสิ้นเปลือง: ถ่านหิน 825 ตัน/วัน
- น้ำจืด 14,000 แกลลอน/วัน
ระบบขับเคลื่อน[แก้]
- เครื่องยนต์: เครื่องยนต์ 4 กระบอกสูบไอน้ำแบบ Triple Expansion จำนวน 2 เครื่อง ขับเคลื่อนโดยตรงกับใบจักรซ้าย-ขวา ให้กำลัง 32,000 แรงม้า (12,000 กิโลวัตต์) และไอน้ำความดันต่ำที่ผ่านการใช้จากเครื่องยนต์ทั้งสองชุดจะเข้าสู่เครื่องยนต์กังหันไอน้ำความดันต่ำ ขับเคลื่อนผ่านชุดเกียร์สู่ใบจักรกลาง ให้กำลัง 18,000 แรงม้า (15,000 กิโลวัตต์) ให้กำลังรวม 50,000 แรงม้า (37,000 กิโลวัตต์)
- ใบจักร: 3 ตัว ทำจากสัมฤทธิ์ โดยใบจักรกลางมีขนาด 16 ฟุต 6 นิ้ว (5 เมตร) ดุมใบจักรเป็นกรวยครอบ พวงใบจักรมี 4 ใบ ส่วนใบจักรซ้ายและขวามีขนาด 23 ฟุต 6 นิ้ว (7.1 เมตร) ไม่มีกรวยครอบที่ดุม พวงใบจักรมี 3 ใบ
- หางเสือ: 1 ตัว หนัก 102.6 ตัน ยึดด้วยพานพับ 6 จุด
ความเร็ว[แก้]
- ความเร็วสูงสุด: 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง)
- ความเร็วบริการ: 21 นอต (39 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 24 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ประวัติ[แก้]
จุดกำเนิด[แก้]
ในปี ค.ศ. 1907 เจ. บรูซ อิสเมย์ ผู้จัดการทั่วไปของไวต์สตาร์ไลน์ และลอร์ดเพียร์รี ประธานอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้ตัดสินใจสร้างเรือเดินสมุทรจำนวนสามลำที่มีขนาดที่ไม่มีเรือลำไหนเทียบได้ เพื่อมาแข่งขันกับเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) และอาร์เอ็มเอส มอริทาเนีย (RMS Mauretania) ของคิวนาร์ดไลน์ ไม่ใช่ในด้านของความเร็ว แต่เป็นในด้านความหรูหราและความปลอดภัย[10] ชื่อของเรือทั้งสามลำได้รับการตัดสินใจในภายหลังและแสดงถึงความตั้งใจของผู้ออกแบบเรือ ได้แก่: โอลิมปิก, ไททานิก และบริแทนนิก[11]
การก่อสร้างเรือโอลิมปิกและไททานิกได้เริ่มขึ้นก่อนในปี ค.ศ. 1908 และ 1909 ตามลำดับ[12] เรือทั้งสองลำนั้นมีขนาดใหญ่มากจนจำเป็นต้องสร้างปั้นจั่นสนามขนาดใหญ่พิเศษโดยเฉพาะ ที่เรียกกันว่าปั้นจั่นสนามอาร์รอล (Arrol Gantry) และขยายขนาดของสถานที่ก่อสร้างเพื่อให้กว้างพอที่จะสร้างเรือทั้งสองลำพร้อมกันได้[13]
เรือทั้งสามลำได้รับการออกแบบให้มีความยาว 270 เมตร และมีน้ำหนักรวมมากกว่า 45,000 ตัน ส่วนความเร็วที่ออกแบบไว้คือประมาณ 22 นอต ซึ่งต่ำกว่าความเร็วของเรือลูซิทาเนีย และมอริทาเนีย แต่ก็ยังสามารถข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์[14]
ข่าวลือเรื่องการเปลี่ยนชื่อ[แก้]

มีข่าวลือว่า เดิมเรือบริแทนนิกจะใช้ชื่อว่า 'ไจแกนติก' (Gigantic) แต่ถูกเปลี่ยนไปในภายหลัง เพื่อไม่ให้ชื่อไปแข่งขันหรือหรือสร้างการเปรียบเทียบกับเรือไททานิก[15][16]
หลักฐานหนึ่งคือโปสเตอร์ของเรือที่มีชื่อ 'ไจแกนติก' อยู่ด้านบน และหลักฐานอื่น ๆ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ของอเมริกันในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1911 ที่รายงานว่าไวต์สตาร์ไลน์จะสร้างเรือชื่อ 'ไจแกนติก' และหนังสือพิมพ์อื่น ๆ จากทั่วโลก ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและหลังจากการอับปางของเรือไททานิก[17][18][19][20]
เรื่องดังกล่าวทั้งไวต์สตาร์ไลน์และอู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ได้ปฏิเสธมาโดยตลอด[21][22]
ทอม แมคคลัสกี้ (Tom McCluskie) นักประวัติศาสตร์และผู้เก็บเอกสารสำคัญของฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ ระบุว่าเขา "ไม่เคยเห็นการอ้างอิงอย่างเป็นทางการถึงชื่อ ไจแกนติก ที่ถูกใช้หรือเสนอสำหรับเรือลำที่สามของโครงการเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิก"[23][24] แต่ส่วนที่ถูกเขียนด้วยลายมือในสมุดสั่งซื้อในเดือนมกราคม ค.ศ. 1912 เป็นเพียงการอ้างถึงความกว้างของเรือเท่านั้น ไม่ใช่ชื่อของเรือแต่อย่างใด[24]
การก่อสร้าง[แก้]

กระดูกงูของเรือบริแทนนิกถูกวางในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1911 ที่อู่ต่อเรือฮาร์แลนด์แอนด์วูลฟฟ์ ในเบลฟาสต์ บนพื้นที่เดิมที่ใช้สร้างเรือโอลิมปิก ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเงินของอู่ต่อเรือ[8] การส่งมอบเรือมีกำหนดการในช่วงต้นปี ค.ศ. 1914[25] แต่เนื่องจากการปรับปรุงเรือที่ซึ่งเป็นผลมาจากการอับปางของเรืไททานิก ทำให้เรือบริแทนนิกต้องเสร็จล่าช้าออกไปจนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914[26]


อาร์เอ็มเอส บริแทนนิก ปล่อยลงน้ำเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1914 ในพิธีปล่อยเรือมีการกล่าวสุนทรพจน์ต่อหน้าสื่อมวลชน และมีงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่การเปิดตัวเรือ[27] หลังจากนั้นก็เริ่มทำการตกแต่งเรือ และนำเรือเข้าอู่แห้งในเดือนกันยายนเพื่อติดตั้งใบจักร[28]
ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็เริ่มต้นขึ้น อู่ต่อเรือทั้งหมดที่มีสัญญากับกรมทหารเรือ (Admiralty) จะได้รับความสำคัญในการใช้วัสดุสร้างเรือก่อน ส่วนเรือโดยสารทั้งหมดรวมถึงเรือบริแทนนิกถูกชะลอออกไป จึงทำให้งานตกแต่งเรือบริแทนนิกดำเนินการไปอย่างช้า ๆ[29]
ทางการทหารเรือต้องการเรือจำนวนมากเพื่อใช้เป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธหรือขนส่งทหารในสงคราม ซึ่งกรมทหารเรือจะจ่ายเงินให้บริษัทเจ้าของเรือ เพื่อใช้เรือของพวกเขา แต่ความเสี่ยงที่จะสูญเสียเรือระหว่างการปฏิบัติการนั้นสูง[29]
ดัดแปลงเป็นเรือพยาบาล[แก้]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1915 เรือบริแทนนิกเสร็จสิ้นการทดสอบเครื่องยนต์ในการจอดเทียบท่า และเตรียมพร้อมสำหรับการเข้าประจำการฉุกเฉินในช่วงสงคราม ซึ่งมีการแจ้งล่วงหน้าเพียง 1 เดือนเท่านั้น ในเดือนเดียวกันนั้นยังมีการสูญเสียครั้งใหญ่ครั้งแรกของเรือเดินสมุทรพลเรือนในสงคราม เมื่อเรืออาร์เอ็มเอส ลูซิทาเนีย (RMS Lusitania) ของคิวนาร์ดไลน์ ถูกตอร์ปิโดยิงใส่และอับปางลงใกล้กับชายฝั่งไอร์แลนด์โดยเรือดำน้ำเยอรมัน SM U-20[30]
ในเดือนต่อมา กรมทหารเรือตัดสินใจใช้เรือโดยสารที่เพิ่งได้รับมาจากการร้องขอเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในการลำเลียงทหารในการทัพกัลลิโพลี ซึ่งเรือลำแรกที่ออกเดินทางคือเรืออาร์เอ็มเอส มอริทาเนีย (RMS Mauretania) และอาร์เอ็มเอส แอควิทาเนีย (RMS Aquitania) ของคิวนาร์ดไลน์
การยกพลขึ้นบกที่กัลลิโพลีได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นหายนะสำหรับทหารอังกฤษ และจำนวนผู้เสียชีวิตก็มากขึ้น ความต้องการเรือพยาบาลขนาดใหญ่สำหรับการรักษาและอพยพผู้บาดเจ็บก็เกิดขึ้น เรือแอควิทาเนียถูกเปลี่ยนไปทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลในเดือนสิงหาคม จากนั้นในวันที่ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1915 เรือบริแทนนิกก็ได้รับการร้องขอให้เป็นเรือพยาบาล หลังจากจอดเทียบท่าอยู่ในเบลฟาสต์[ต้องการอ้างอิง]
อาร์เอ็มเอส บริแทนนิก ถูกทาสีใหม่ด้วยสีขาวทั้งลำ และได้รับลวดลายใหม่เป็นสัญลักษณ์กาชาดสีแดงขนาดใหญ่และแถบสีเขียวคาดกลางตลอดความยาวเรือ และได้รับการเปลี่ยนคำนำหน้าเป็น "เอชเอ็มเอชเอส (HMHS)" (His Majesty's Hospital Ship; เรือพยาบาลหลวง)[29] และอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกัปตันชาร์ลส์ อัลเฟรด บาร์ตเลตต์ (Charles Alfred Bartlett)[31]
ภายในมีเรือการติดตั้งเตียง 3,309 เตียง และห้องผ่าตัดอีกหลายห้อง พื้นที่สาธารณะถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักสำหรับผู้บาดเจ็บ ห้องพักบนชั้น B ถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักของแพทย์ ห้องรับประทานอาหารและห้องรับรองผู้โดยสารชั้นหนึ่งบนชั้น D ถูกเปลี่ยนเป็นห้องผ่าตัด[31] และติดตั้งเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1915[29]
เข้าประจำการครั้งแรก[แก้]

หลังจากได้รับคำสั่งให้เข้าประจำการในวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1915 ที่ลิเวอร์พูล เรือบริแทนนิกได้รับมอบหมายให้จัดทีมแพทย์ซึ่งประกอบด้วยพยาบาล 101 คน เจ้าหน้าที่ชั้นประทวน 336 นาย และเจ้าหน้าที่ชั้นสัญญาบัตร 52 นาย รวมทั้งลูกเรือ 675 คน[31]

ในวันที่ 23 ธันวาคม เรือบริแทนนิกเดินทางออกจากเมืองลิเวอร์พูลเพื่อไปยังท่าเรือมูดรอส บนเกาะเลมนอส ในทะเลอีเจียนเพื่อนำทหารที่ป่วยและบาดเจ็บกลับมา เธอเข้าร่วมกับเรืออีกหลายลำในเส้นทางเดียวกัน รวมทั้งเรือโอลิมปิก, มอริทาเนีย และแอควิทาเนีย[32][33] และแวะพักที่เนเปิลส์เพื่อเติมถ่านหินก่อนจะเดินทางต่อไปยังมูดรอส หลังจากที่กลับมายังอังกฤษ เธอได้ทำหน้าที่เป็นโรงพยาบาลลอยน้ำนอกเกาะไวต์เป็นเวลา 4 สัปดาห์[34]
การเดินทางครั้งที่สามเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม – 4 เมษายน ค.ศ. 1916[35]
เรือบริแทนนิกสิ้นสุดการรับราชการทหารในวันที่ 6 มิถุนายน ค.ศ. 1916 จึงได้เดินทางกลับไปยังเบลฟาสต์เพื่อดัดแปลงกลับมาเป็นเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก รัฐบาลอังกฤษจ่ายเงินชดเชยให้กับไวต์สตาร์ไลน์เป็นเงิน 75,000 ปอนด์ (8,346,643 ปอนด์ในปัจจุบัน) การดัดแปลงกินเวลาหลายเดือนก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยการเรียกคืนเรือกลับเข้ามารับราชการทหารอีกครั้ง[36]
ถูกเรียกกลับ[แก้]

กรมทหารเรือเรียกคืนเรือบริแทนนิกกลับเข้าประจำการในฐานะเรือพยาบาลอีกครั้งเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 1916 และกลับสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นเที่ยวที่สี่ในวันที่ 24 กันยายนปีเดียวกัน[37]
ในวันที่ 29 กันยายน ระหว่างทางไปเนเปิลส์ เธอได้พบกับพายุที่รุนแรงแต่เรือไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ[38]
ในวันที่ 9 ตุลาคม เรือบริแทนนิกออกเดินทางเป็นครั้งที่ห้า จากเซาแทมป์ตันไปยังมูดรอส เมื่อเรือมาถึงมูดรอส ลูกเรือได้ถูกกักตัวเนื่องจากเกิดการเจ็บป่วยที่เกิดจากอาหารเป็นพิษ[39]
ชีวิตบนเรือเป็นไปตามกิจวัตร; เวลา 06.30 น. ผู้ป่วยถูกปลุกให้ตื่น และทำความสะอาดสถานที่, เวลา 06.30 น. เสิร์ฟอาหารเช้า จากนั้นกัปตันออกตรวจเรือ, เวลา 12.30 น. เสิร์ฟอาหารกลางวัน ผู้ป่วยและผู้ที่ต้องการไปเดินเล่นสามารถทำได้จนถึงเวลาเสิร์ฟน้ำชาในเวลา 16.30 น., เวลา 20:30 น. ผู้ป่วยเข้านอนและกัปตันออกตรวจเรืออีกครั้ง[40] บนเรือมีชั้นเรียนแพทย์สำหรับฝึกอบรมพยาบาล[41]
เดินทางเที่ยวสุดท้าย/อับปาง[แก้]


หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางครั้งที่ห้าครั้งไปยังเขตสงครามตะวันออกกลาง เรือบริแทนนิกได้กลับมายังสหราชอาณาจักรเพื่อส่งผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ
เรือบริแทนนิกออกจากเซาแทมป์ตันไปยังเมืองเลมนอสเมื่อเวลา 14:23 น. ของวันที่ 12 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งที่หกของเธอไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน[31] เรือแล่นผ่านยิบรอลตาร์ในเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันที่ 15 พฤศจิกายน และมาถึงเนเปิลส์ในเช้าวันที่ 17 พฤศจิกายน เพื่อแวะเติมถ่านหินตามปกติ[42]
พายุทำให้เรือต้องเทียบท่าอยู่ที่เนเปิลส์จนถึงบ่ายของวันที่ 19 กันยายน แล้วจึงออกเดินทางต่อ พายุสงบลงในเช้าวันที่ 20 กันยายน เรือแล่นผ่านช่องแคบเมสซีนาโดยไม่มีปัญหาใด ๆ และอ้อมแหลมมะตะบันในช่วงรุ่งสางของวันที่ 21 พฤศจิกายน ในตอนเช้า เรือบริแทนนิกแล่นด้วยความเร็วสูงสุดเข้าสู่ช่องแคบเคีย[42]
ขณะนั้นบนเรือมีผู้โดยสาร 1,066 คน แบ่งเป็นลูกเรือ 673 คน, เสนารักษ์ทหารบก (Royal Army Medical Corps; RAMC) 315 คน, พยาบาล 77 คน และกัปตัน[43]
เสียงระเบิดบนเรือ[แก้]

เวลา 08:12 น. ของวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ได้เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นระหว่างโกดังสินค้าที่ 2 และ 3 ทำให้เรือเกิดการสั่นสะเทือนอย่างแรง[44] สาเหตุของเสียงไม่ปรากฏแน่ชัดในเวลานั้น ต่อมามีการเปิดเผยว่าเรือได้ชนกับทุ่นระเบิดใต้น้ำที่เรือดำน้ำ SM U-73 ของฝ่ายเยอรมันวางไว้
ปฏิกิริยาบนเรือเกิดขึ้นในทันที แพทย์และพยาบาลบางคนออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีปฏิกิริยาในลักษณะเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนบนเรือไม่รู้สึกถึงแรงระเบิด และคิดว่าเรือแค่ชนกับเรือลำเล็ก แต่ความรุนแรงของสถานการณ์ก็ปรากฏชัดขึ้นในไม่ช้า[45] แรงระเบิดได้สร้างความเสียหายให้กับกำแพงกั้นน้ำระหว่างโกดังสินค้าที่ 1 กับส่วนหน้าเรือ[44] กำแพงกั้นน้ำ 4 ห้องแรกถูกน้ำท่วมอย่างรวดเร็ว อุโมงค์คนคุมไฟและห้องหม้อไอน้ำ 6 ห้องได้รับความเสียหายอย่างหนักและกำลังถูกน้ำท่วม[44]
กัปตันบาร์ตเลตต์สั่งให้ปิดประตูกันน้ำทันที, ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ และสั่งให้ลูกเรือเตรียมเรือชูชีพ[44]
สัญญาณ SOS ถูกส่งออกไปในทันที และเรืออีกหลายลำในบริเวณนั้นได้รับ เช่น เอชเอ็มเอส สเคิร์จ (HMS Scourge) และเอชเอ็มเอส เฮโรอิก (HMS Heroic) แต่เรือบริแทนนิกไม่ได้รับสัญญาณตอบกลับมา เนื่องจากกัปตันบาร์ตเลตต์และเจ้าหน้าที่วิทยุไร้สายบนเรือไม่ทราบว่าแรงระเบิดทำให้สายรับข้อความบนเสากระโดงเรือขาดออก หมายความว่าแม้ว่าเรือจะยังสามารถส่งสัญญาณวิทยุได้ แต่เธอก็ไม่สามารถรับสัญญาณได้อีกต่อไป[46]
เนื่องจากอุโมงค์คนคุมไฟเสียหาย ทำให้ประตูกันน้ำระหว่างห้องหม้อไอน้ำที่ 6 และ 5 ไม่สามารถปิดได้อย่างสนิท[44] น้ำจึงไหลไปทางท้ายเรือไปยังห้องหม้อไอน้ำที่ 5 ซึ่งถึงขีดจำกัดของเรือแล้ว (เรือจะสามารถลอยอยู่ได้ หากกำแพงกั้นน้ำถูกน้ำท่วมอย่างน้อย 6 ห้อง)[47]
กำแพงกั้นน้ำที่สำคัญถัดไปคือ ระหว่างห้องหม้อไอน้ำที่ 5 และ 4 และประตูไม่เสียหายและน่าจะรับประกันความอยู่รอดของเรือได้ อย่างไรก็ตาม มีช่องหน้าต่างเปิดอยู่ ซึ่งได้จมอยู่ใต้น้ำภายในไม่กี่นาทีหลังจากการระเบิด เนื่องจากพยาบาลได้เปิดช่องหน้าต่างเพื่อระบายอากาศในห้องผู้ป่วยโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเรือเริ่มจม น้ำก็เริ่มทะลักเข้าหน้าทางต่างและไหลไปยังท้ายเรือจากกำแพงกั้นระหว่างห้องหม้อไอน้ำที่ 5 และ 4 จึงทำให้น้ำท่วมห้องกั้นน้ำมากกว่า 6 ห้อง และเรือบริแทนนิกไม่สามารถลอยลำอยู่ได้[47]
ปฏิบัติการอพยพ[แก้]

เพียง 2 นาทีหลังจากการระเบิด คนงานที่อยู่ในท้องเรือชั้นล่างสุดถูกอพยพ, ในเวลาประมาณ 10 นาที เรือบริแทนนิกก็อยู่ในสภาพเหมือนกันกับ 1 ชั่วโมงหลังจากที่เรือไททานิกชนกับภูเขาน้ำแข็ง, 15 นาที ช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่บนดาดฟ้าชั้น E ก็จมอยู่ใต้น้ำ, น้ำที่เข้าสู่ส่วนท้ายของเรือจากกำแพงกั้นน้ำระหว่างห้องหม้อไอน้ำที่ 4 และ 5 ได้ทำให้เรือบริแทนนิกเอียงไปทางกราบขวาอย่างรวดเร็วเนื่องจากน้ำหนักของน้ำที่ท่วมเข้ามาทางกราบขวาเรือ[48]
กัปตันบาร์ตเลตต์ได้ออกคำสั่งให้นำเรือไปยังเกาะที่ใกล้ที่สุดเพื่อพยายามนำเรือไปเกยหาด แต่ผลกระทบจากการเอียงของเรือ และน้ำหนักของหางเสือทำให้การพยายามนำเรือไปเกยหาดภายใต้กำลังของเรือทำได้ยาก เนื่องจากแรงระเบิดทำให้เฟืองบังคับเลี้ยวของเรือหลุดออก ซึ่งทำให้เรือไม่สามารถเลี้ยวได้จากพังงา ต่อมากัปตันได้สั่งให้เร่งความเร็วใบจักรกราบซ้ายให้ขับด้วยความเร็วที่สูงกว่าใบจักรกราบขวา ซึ่งช่วยให้เรือแล่นเข้าหาเกาะได้บ้าง[48]
เวลา 08:25 น. มีการเตรียมอพยพคนบนเรือ กัปตันบาร์ตเลตต์ออกคำสั่งให้เตรียมเรือชูชีพ แต่ยังไม่อนุญาตให้หย่อนเรือลงไปในน้ำ ทุกคนนำสิ่งของที่มีค่าที่สุดติดตัวไปด้วยก่อนที่จะอพยพออกไป อนุศาสนาจารย์ของเรือกู้พระคัมภีร์ของเขา ผู้ป่วยและพยาบาลไม่กี่คนรวมตัวกัน เสนารักษ์ทหารบก (Royal Army Medical Corps) ตรวจสอบห้องโดยสารเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้บนเรือ[48]
เวลา 08:30 น. เรือเริ่มเอียงมากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกเรือคนอื่น ๆ เริ่มกลัวว่าเรือจะเอียงมากเกินไป พวกเขาจึงตัดสินใจนำเรือชูชีพลำแรกลงน้ำโดยไม่รอคำสั่ง[48] มีเรือชูชีพ 2 ลำถูกนำลงน้ำที่ฝั่งกราบซ้ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถูกใบจักรเรือที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำและยังไม่หยุดหมุนฟันเรือชูชีพแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนทำให้มีผู้เสียชีวิต[49]
หลังจากนั้น กัปตันบาร์ตเลตต์ออกคำสั่งให้หยุดเรือและการทำงานของใบจักรเรือโดยทันที เนื่องจากเห็นว่าเรือไม่สามารถเดินทางไปยังเกาะที่ใกล้ที่สุดได้ทันเวลา
ช่วงเวลาสุดท้าย[แก้]

เวลา 08:50 น. ผู้ที่อยู่บนเรือส่วนใหญ่ขึ้นเรือชูชีพและปล่อยเรือชูชีพไปได้ 35 ลำ เมื่อถึงจุดนี้ กัปตันบาร์ตเล็ตต์สรุปว่าเรือบริแทนนิกกำลังจมช้าลง ดังนั้นเขาจึงสั่งให้หยุดการอพยพและสั่งให้สตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ด้วยความหวังว่าเขาจะยังสามารถนำเรือไปขึ้นฝั่งได้[50]
เวลา 09:00 น. กัปตันบาร์ตเลตต์ได้รับแจ้งว่าน้ำท่วมได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากเรือเคลื่อนไปข้างหน้า และท่วมมาถึงชั้น D แล้ว เมื่อเห็นว่าไม่สามารถที่จะไปถึงฝั่งได้ทันเวลา กัปตันบาร์ตเลตต์จึงออกคำสั่งสุดท้ายให้ดับเครื่องยนต์และเป่าหวูดเรือยาวเป็นครั้งสุดท้ายสองครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณให้สละเรือ[51]
เมื่อน้ำท่วมถึงสะพานเดินเรือ กัปตันและลูกเรือก็เดินขึ้นไปบนดาดฟ้าและลงไปในน้ำ ว่ายน้ำไปขึ้นเรือชูชีพแบบพับได้ ซึ่งพวกเขายังคงประสานงานปฏิบัติการอพยพต่อไป[52]
เวลา 09:05 น. เรือบริแทนนิกค่อย ๆ ตะแคงไปทางกราบขวาและปล่องไฟก็พังลงมาทีละปล่องในขณะที่เรือจมลงอย่างรวดเร็ว เมื่อท้ายเรือโผล่พ้นน้ำ หัวเรือก็ชนกับก้นทะเล เนื่องจากความยาวของเรือบริแทนนิกนั้นมากกว่าระดับความลึกของน้ำ (บริเวณนั้นมีความลึกเพียง 400 ฟุต (122 เมตร) เท่านั้น) แรงกระแทกทำให้หัวเรือเสียหายอย่างหนัก ก่อนที่ทั้งลำจะจมลงสู่ก้นทะเลใกล้กับเกาะคีย์ (Kea Island) ในเวลา 09:07 น. ซึ่งเป็นเวลา 55 นาทีหลังการระเบิด[51] มีผู้เสียชีวิตเพียงแค่ 30 คน ที่เหลือได้ทำการลงเรือชูชีพและเอาตัวรอดได้สำเร็จ เนื่องจากพยาบาลและลูกเรือมีการฝึกซ้อมมาอย่างดี
เหตุการณ์เรือบริแทนนิกอับปาง นับเป็นเหตุการณ์เรือที่ใหญ่ที่สุดที่อับปางในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่อับปาง[53]
ไวโอเล็ต เจสโซป (Violet Jessop) หนึ่งในผู้รอดชีวิต ซึ่งเคยรอดชีวิตจากการอับปางของเรือไททานิก และเรือโอลิมปิกเมื่อครั้งที่ชนกับเรือหลวงฮอว์ค (HMS Hawke) บรรยายถึงวินาทีสุดท้ายของเรือว่า:[54]
- "หัวเรือจมลงเล็กน้อย จากนั้นก็จมลงและยังคงจมลงเรื่อย ๆ สิ่งของทั้งหมดบนดาดฟ้าตกลงไปในทะเลเหมือนกับของเล่นเด็ก จากนั้นเรือก็ตะแคงอย่างน่ากลัว ท้ายเรือตั้งขึ้นไปในอากาศหลายร้อยฟุต จนกระทั่งเสียงกึกก้องสุดท้าย เรือก็หายไปในความลึก เสียงของเรือที่ดังก้องอยู่ในน้ำด้วยความรุนแรงที่ไม่นึกไม่ฝัน...."
การช่วยเหลือผู้รอดชีวิต[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เรือเดินสมุทร[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ซากเรือ[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ผลหลังจากการจม[แก้]
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]
การอับปางของเรือถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์โทรทัศน์เรื่อง "บริแทนนิค" ในปี 2000 นำแสดงโดยเอ็ดเวิร์ด อัตเตอร์ตัน, อแมนด้า ไรอัน, แจ็กเกอลีน บิสเซ็ต และจอห์น ริส-เดวีส์ เป็นเรื่องราวสมมติที่มีสายลับชาวเยอรมันก่อวินาศกรรมในเรือลำนี้ เนื่องจากเรือได้แอบขนส่งอาวุธยุทโธปกรณ์
สารคดีของบีบีซี 2 เรื่อง โศกนาฏกรรมเรือแฝดของไททานิก – หายนะของบริแทนนิก (Titanic's Tragic Twin – the Britannic Disaster) ออกอากาศเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2016 นำเสนอภาพของซากเรือในปัจจุบันและพูดคุยกับญาติของผู้รอดชีวิต[55]
นวนิยายเรื่อง The Deep ในปี 2020 มีฉากส่วนหนึ่งอยู่บนเรือบริแทนนิก และไททานิก และมีเนื้อหาเกี่ยวกับการอับปางของเรือทั้งสองลำ[56]
โปสการ์ด[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ Lynch (2012), p. 161.
- ↑ "HMHS Britannic (1914) Builder Data". MaritimeQuest. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กันยายน 2008. สืบค้นเมื่อ 9 สิงหาคม 2008.
- ↑ Vladisavljevic, Brana. "Titanic's sister ship Britannic could become a diving attraction in Greece". Lonely Planet. Retrieved 9 October 2021.
- ↑ "HMHS Britannic", Wikipedia (ภาษาอังกฤษ), 2023-07-28, สืบค้นเมื่อ 2023-07-29
- ↑ Chirnside 2011, p. 217.
- ↑ Chirnside 2011, p. 220.
- ↑ Chirnside 2011, p. 224.
- ↑ 8.0 8.1 Piouffre 2009, p. 307.
- ↑ Bonsall, Thomas E. (1987). "8". Titanic. Baltimore, Maryland: Bookman Publishing. p. 54. ISBN 978-0-8317-8774-5.
- ↑ Chirnside 2011, p. 12.
- ↑ Piouffre 2009, p. 41
- ↑ Chirnside 2011, p. 19.
- ↑ Chirnside 2011, p. 14.
- ↑ Chirnside 2011, p. 18.
- ↑ Bonner, Kit; Bonner, Carolyn (2003). Great Ship Disasters. MBI Publishing Company. p. 60. ISBN 0-7603-1336-9.
- ↑ Lynch (2012), p. 161.
- ↑ "24 Apr 1912 – WHITE STAR'S NEXT GREAT LINER. – Trove". Trove.nla.gov.au. 24 เมษายน 1912. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2022.
- ↑ "25 Nov 1911 – A MAMMOTH STEAMER. – Trove". Trove.nla.gov.au. 25 พฤศจิกายน 1911. สืบค้นเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2022.
- ↑ The Madison Daily Leader เก็บเมื่อ 5 ตุลาคม 2018 ที่เวย์แบ็กแมชชีน. สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2018
- ↑ Las Vegas Optic: "1,000 FOOT SHIP MAY DOCK IN NEW YORK" เก็บเมื่อ 5 ตุลาคม 2018 ที่เวย์แบ็กแมชชีน, 21 พฤศจิกายน 1911..สืบค้นเมื่อ 4 ตุลาคม 2018.
- ↑ Bonsall, Thomas E. (1987). "8". Titanic. Baltimore, Maryland: Bookman Publishing. p. 54. ISBN 978-0-8317-8774-5.
- ↑ "HMHS Britannic". ocean-liners.com. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 19 ธันวาคม 2005. สืบค้นเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2006.
- ↑ Joshua Milford: What happened to Gigantic? เก็บถาวร 5 มีนาคม 2016 ที่เวย์แบ็กแมชชีน. สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2014.
- ↑ 24.0 24.1 Mark Chirnside: Gigantic Dossier เก็บถาวร 3 มีนาคม 2016 ที่เวย์แบ็กแมชชีน. เข้าชม 1 พฤษภาคม 2012.
- ↑ Chirnside 2011, p. 216.
- ↑ Chirnside 2011, p. 242.
- ↑ Chirnside 2011, p. 238.
- ↑ Chirnside 2011, p. 239.
- ↑ 29.0 29.1 29.2 29.3 Chirnside 2011, p. 240.
- ↑ Le Goff 1998, p. 50
- ↑ 31.0 31.1 31.2 31.3 Chirnside 2011, p. 241.
- ↑ Chirnside 2011, p. 92.
- ↑ Chirnside 2011, p. 94.
- ↑ Chirnside 2011, p. 244.
- ↑ Chirnside 2011, p. 245.
- ↑ Chirnside 2011, p. 246.
- ↑ Chirnside 2011, p. 247.
- ↑ Chirnside 2011, p. 249.
- ↑ Chirnside 2011, p. 250.
- ↑ Chirnside 2011, p. 243.
- ↑ Chirnside 2011, p. 254.
- ↑ 42.0 42.1 Chirnside 2011, p. 253.
- ↑ "Sinking". Hospital Ship HMHS Britannic. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 10 สิงหาคม 2015.
- ↑ 44.0 44.1 44.2 44.3 44.4 Chirnside 2011, p. 260.
- ↑ Chirnside 2011, p. 259.
- ↑ Chirnside 2011, p. 256.
- ↑ 47.0 47.1 Chirnside 2011, p. 258.
- ↑ 48.0 48.1 48.2 48.3 Chirnside 2011, p. 257.
- ↑ Chirnside 2011, p. 258.
- ↑ Chirnside 2011, p. 260.
- ↑ 51.0 51.1 Chirnside 2011, p. 261.
- ↑ « Britannic » เก็บถาวรเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2009 ที่เวย์แบ็กแมชชีน, Titanic-titanic.com. เข้าถึงเมื่อ 12 กรกฎาคม 2009.
- ↑ "PBS Online – Lost Liners – Britannic". PBS. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 14 ตุลาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 9 พฤศจิกายน 2008.
- ↑ Gleick, Elizabeth; Carassava, Anthee (26 October 1998). "Deep Secrets". Time International (South Pacific Edition). No. 43. p. 72.
- ↑ Rees, Jasper (5 December 2016). "Titanic's Tragic Twin: The Britannic Disaster felt under-researched but the survivor testimony was grimly fascinating – review". เดอะเดลีเทเลกราฟ. ลอนดอน. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 ธันวาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2023.
- ↑ "'The Deep' book review – Voyage of nightmares and memories". เดอะนิวอินเดียนเอ็กซ์เพรส. เก็บจากต้นฉบับเมื่อ 17 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 5 สิงหาคม 2023.