ข้ามไปเนื้อหา

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (ค.ศ. 1906)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย บนแม่น้ำไทน์ในปี ค.ศ. 1907
ประวัติ
สหราชอาณาจักร
ชื่อมอริเทเนีย
ตั้งชื่อตามเมารีตานิอา
เจ้าของ1906–1934: คูนาร์ดไลน์ 1934–1935: คูนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์
ผู้ให้บริการ คูนาร์ดไลน์
ท่าเรือจดทะเบียนสหราชอาณาจักร ลิเวอร์พูล
เส้นทางเดินเรือลิเวอร์พูลควีนส์ทาวน์นิวยอร์ก (1907–1919) เซาแทมป์ตันแชร์บูร์นิวยอร์ก (1919–1934)
Ordered1904
อู่เรือสวอนฮันเตอร์, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, ประเทศอังกฤษ
Yard number735
ปล่อยเรือ18 สิงหาคม 1904
เดินเรือแรก20 กันยายน 1906
Christened20 กันยายน 1906 โดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก
ส่งมอบเสร็จ11 พฤศจิกายน 1907
Maiden voyage16 พฤศจิกายน 1907
บริการ1907–1934
หยุดให้บริการกันยายน 1934
รหัสระบุสัญญาณเรียกขานไร้สาย: MGA (ถึงปี 1934)
ความเป็นไปแยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์
ลักษณะเฉพาะ
ประเภท: เรือเดินสมุมร
ขนาด (ตัน):
  • 31,938 ตันกรอส
  • 12,797 ตันเนต
ขนาด (ระวางขับน้ำ): 44,610 ตัน
ความยาว: 790 ฟุต (240.8 เมตร)
ความกว้าง: 88 ฟุต (26.8 เมตร)
กินน้ำลึก: 33 ฟุต (10.1 เมตร)
ความลึก: 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร)
ดาดฟ้า: 8
ระบบพลังงาน:
  • กังหันไอน้ำพาร์สันส์แบบขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง (แรงดันสูง 2 ตัว แรงดันต่ำ 2 ตัว)
  • กำลังสูงสุด 68,000 แรงม้า (51,000 กิโลวัตต์) เมื่อเปิดตัว, 76,000 แรงม้า (57,000 กิโลวัตต์) ในการทดสอบความเร็ว และเพิ่มขึ้นเป็น 90,000 แรงม้า (67,000 กิโลวัตต์) ในปี 1928
ระบบขับเคลื่อน: 4 × ใบจักร จักรละ 4 พวง
ความเร็ว: 25 นอต (46 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง) – 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) (ความเร็วในการให้บริการตามการออกแบบ)
ความจุ:
  • ผู้โดยสารทั้งหมด 2,165 คน:
    • ชั้นหนึ่ง 563 คน
    • ชั้นสอง 464 คน
    • ชั้นสาม 1,138 คน
ลูกเรือ: 802 คน
หมายเหตุ:

อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติบริติช ออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยบริษัทสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮมริชาร์ดสันแม่น้ำไทน์ ประเทศอังกฤษ เพื่อให้บริการแก่สายการเดินเรือคูนาร์ด โดยมีพิธีปล่อยเรือลงน้ำในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 เคยเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งการเปิดตัวอาร์เอ็มเอส โอลิมปิกใน ค.ศ. 1910 มอริเทเนียได้รับบลูริบบันด์สำหรับการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันออกในการเดินทางกลับครั้งแรกในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1907 และต่อมาก็สามารถคว้ารางวัลเดิมอีกครั้งสำหรับการข้ามมหาสมุทรไปทางทิศตะวันตกในการเดินทางที่เร็วที่สุดในช่วงฤดูกาลเดินเรือ ค.ศ. 1909 และสามารถรักษาสถิติความเร็วทั้งสองนี้ไว้ได้นานถึง 20 ปี[1]

ชื่อเรือได้มาจากเมารีตานิอา มณฑลหนึ่งของโรมโบราณที่ตั้งอยู่ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา ไม่ได้มาจากประเทศมอริเตเนียในปัจจุบันที่อยู่ทางตอนใต้อย่างที่เข้าใจกัน[2] การตั้งชื่อในลักษณะเดียวกันนี้ยังถูกนำไปใช้กับคู่วิ่งของมอริเทเนียคืออาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) ซึ่งตั้งชื่อตามมณฑลของโรมโบราณที่อยู่ทางเหนือของเมารีตานิอา ตรงข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์ ในประเทศโปรตุเกส[2] มอริเทเนียให้บริการจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 ก่อนสายการเดินเรือคูนาร์ด–ไวต์สตาร์จะทำการปลดระวาง และเริ่มการแยกชิ้นส่วนเรือที่รอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ใน ค.ศ. 1935

ภูมิหลัง

[แก้]
คนงานยืนอยู่ใต้ใบจักรสามพวงดั้งเดิมของมอริเทเนียในอู่แห้ง

ใน ค.ศ. 1897 เอ็สเอ็ส ไคเซอร์วิลเฮ็ล์มแดร์โกรเซอ (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) เรือโดยสารสัญชาติเยอรมันกลายเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลกด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 25 ไมล์ต่อชั่วโมง) ทำให้เรือลำนี้สามารถคว้าบลูริบบันด์มาจากอาร์เอ็มเอส คัมปาเนีย (RMS Campania) และอาร์เอ็มเอส ลูเคเนีย (RMS Lucania) ของคูนาร์ดไลน์ได้สำเร็จ เยอรมนีได้ครองความเป็นเจ้าแห่งมหาสมุทรแอตแลนติก และภายใน ค.ศ. 1906 พวกเขาก็มีซูเปอร์ไลเนอร์ (superliner) สี่ปล่องไฟให้บริการถึง 5 ลำ โดย 4 ใน 5 ลำนั้นเป็นของนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์

ในช่วงเวลาเดียวกัน เจ. พี. มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกัน กำลังพยายามผูกขาดธุรกิจการเดินเรือผ่านบริษัทเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศ (International Mercantile Marine Co. หรือ IMM) และได้เข้าซื้อกิจการไวต์สตาร์ไลน์ สายการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสายสำคัญอีกสายหนึ่งอังกฤษไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว[3]

ด้วยภัยคุกคามเหล่านี้ คูนาร์ดไลน์จึงมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูเกียรติยศและความเป็นผู้นำในวงการเรือเดินสมุทร ไม่เพียงแต่เพื่อประโยชน์ของบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเพื่อเกียรติภูมิของสหราชอาณาจักรด้วย[3][4] ใน ค.ศ. 1902 คูนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษบรรลุข้อตกลงในการสร้างซูเปอร์ไลเนอร์สองลำคือ ลูซิเทเนียและมอริเทเนีย[3] โดยมีการรับประกันความเร็วในการให้บริการขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) รัฐบาลอังกฤษให้เงินกู้จำนวน 2,600,000 ปอนด์ (281 ล้านปอนด์ใน ค.ศ. 2023)[5] เพื่อใช้ในการต่อเรือ โดยมีอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 และมีกำหนดชำระคืนภายในเวลา 20 ปีพร้อมเงื่อนไขว่าเรือดังกล่าวต้องสามารถดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธ (armed merchant cruiser) ได้หากจำเป็น[6] เงินทุนเพิ่มเติมได้รับการจัดหาเมื่อกระทรวงทหารเรืออนุมัติให้คูนาร์ดไลน์ได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มเป็นรายปีสำหรับการขนส่งไปรษณีย์[6][7]

การออกแบบและการสร้าง

[แก้]

การสร้าง

[แก้]
มอริเทเนียระหว่างการสร้าง 4 พฤษภาคม ค.ศ. 1906

มอริเทเนียและลูซิเทเนียได้รับการออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ นาวาสถาปนิกของคูนาร์ดไลน์ โดยมีบริษัทสวอนฮันเตอร์และบริษัทจอห์นบราวน์ทำงานตามแบบของซูเปอร์ไลเนอร์ที่มีความเร็วบริการที่กำหนดไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปานกลางตามเงื่อนไขของสัญญาเงินอุดหนุนไปรษณีย์ ใน ค.ศ. 1902 เพสเกตต์ได้ออกแบบเรือโดยกำหนดให้มีปล่องไฟสามต้น ซึ่งในขณะนั้นมีแผนจะติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบเป็นระบบขับเคลื่อน แบบจำลองขนาดใหญ่ของเรือดังกล่าวปรากฏอยู่ในนิตยสาร Shipbuilder คูนาร์ดไลน์ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงระบบขับเคลื่อนหลักเป็นกังหันไอน้ำชนิดใหม่ของพาร์สันส์ และการออกแบบของเรือก็ได้รับการปรับปรุงอีกครั้งเมื่อเพสเกตต์เพิ่มปล่องไฟต้นที่สี่เข้าไปในโครงสร้างเรือ การต่อเรือลำนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการด้วยพิธีวางกระดูกงูในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1904[8] ตามธรรมเนียม ตัวเรือจะถูกทาสีด้วยสีเทาอ่อนเพื่อวัตถุประสงค์ในการถ่ายภาพในระหว่างการปล่อยเรือ ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติทั่วไปในสมัยนั้นสำหรับเรือลำแรกในชั้นเรือใหม่ เพราะจะทำให้เส้นสายของเรือชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ หลังการเดินทางครั้งแรก ตัวเรือของเรือก็ถูกทาสีดำ[9]

ปล่อยลงน้ำ

[แก้]
พิธีปล่อยเรือมอริเทเนีย วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906
มอริเทเนียหลังการปล่อยลงน้ำ

วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 มอริเทเนียถูกปล่อยลงน้ำโดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก[10] ณ ขณะที่ปล่อยลงน้ำ เรือลำนี้ถือเป็นโครงสร้างเคลื่อนที่ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา[11] และมีระวางบรรทุกรวมมากกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย ความต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดระหว่างมอริเทเนียกับลูซิเทเนียคือ มอริเทเนียมีความยาวมากกว่า 5 ฟุต และมีช่องระบายอากาศต่างกัน[12] มอริเทเนียยังมีใบพัดกังหันในส่วนหน้าเพิ่มอีกสองขั้น ทำให้มีความเร็วสูงกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย มอริเทเนียและลูซิเทเนียเป็นเรือเพียงสองลำที่ใช้กังหันไอน้ำขับเคลื่อนใบจักรโดยตรงที่สามารถครอบครองบลูริบบันด์ได้ ในขณะที่เรือลำหลัง ๆ นั้นมักใช้กังหันไอน้ำแบบเฟืองทดรอบ[13] การนำกังหันไอน้ำมาใช้ในมอริเทเนียถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาโดยชาลส์ อัลเจอร์นอน พาร์สันส์ ในวงกว้างที่สุด ณ ขณะนั้น[14] ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ความเร็วสูง ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา มอริเทเนียจึงได้รับการเสริมโครงสร้างท้ายเรือและปรับปรุงใบจักรใหม่ก่อนเริ่มให้บริการ เป็นส่งผลให้การสั่นสะเทือนลดลง[15]

ภายใน

[แก้]
ชั้นต่าง ๆ ของมอริเทเนีย

มอริเทเนียได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับรสนิยมสมัยเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการออกแบบโดยสถาปนิก แฮโรลด์ พีโต และห้องสาธารณะของเรือได้รับการตกแต่งโดยซีเอช. เมลลิเออร์ แอนด์ซันส์ (Ch. Mellier & Sons) และเทอร์เนอร์แอนด์ลอร์ด (Turner and Lord) บริษัทออกแบบชื่อดังสองแห่งจากลอนดอน[16][17] โดยใช้ไม้ถึง 28 ชนิด รวมถึงหินอ่อน ผ้าทอ และเฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมอันน่าทึ่งในห้องสูบบุหรี่[16][18] แผ่นไม้บุผนังห้องสาธารณะชั้นหนึ่งของเรือเชื่อกันว่าถูกแกะสลักโดยช่างฝีมือ 300 คนจากปาเลสไตน์ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้และไม่จำเป็น โดยอาจถูกทำโดยอู่ต่อเรือหรือผู้รับเหมา ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับพื้นที่ชั้นสองและชั้นสามส่วนใหญ่[19] ห้องอาหารชั้นหนึ่งทำจากไม้โอกสีฟาง ได้รับการตกแต่งในแบบฟรานซิสที่ 1 และมีหลังคาโดมสกายไลต์ขนาดใหญ่[18] มีการติดตั้งลิฟต์หลายตัว นับเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ที่หาได้ยากบนเรือโดยสารในสมัยนั้น โดยมีการใช้ตะแกรงอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาซึ่งเป็นวัสดุใหม่ในสมัยนั้นมาติดตั้งอยู่ข้างบันไดใหญ่ที่ทำจากไม้วอลนัตของมอริเทเนีย[18] สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ที่โดดเด่นคือระเบียงคาเฟ่ (Verandah Café) บนดาดฟ้าชั้นเรือบด ซึ่งเป็นพื้นที่รับประทานเครื่องดื่มที่ได้รับการป้องกันจากสภาพอากาศ แต่ด้วยการออกแบบดังกล่าวไม่เป็นไปตามความเป็นจริง จึงมีการปิดล้อมพื้นที่ดังกล่าวภายในระยะเวลาหนึ่งปี[16]

เทียบกับเรือชั้นโอลิมปิก

[แก้]
Mauretania's side plan, ป. 1907
White Star Line's Olympic and Titanic's side plan, ป. 1911
แผนภาพเปรียบเทียบด้านข้างของมอริเทเนีย (บน) กับโอลิมปิก (ล่าง)

เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคูนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน

ลูซิเทเนียและมอริเทเนียเปิดตัวและให้บริการก่อนที่โอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิกจะพร้อมให้บริการหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่ง จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คูนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่าอาควิเทเนีย (Aquitania) ที่จะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่และหรูหรากว่า[ต้องการอ้างอิง]

เรือชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนียและมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคูนาร์ดทั้งสอง[ต้องการอ้างอิง]

แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในลูซิเทเนีย และมอริเทเนียได้ส่งผลกระทบต่อทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่ได้[20] ตรงกันข้าม เรือชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง

ลูซิเทเนียและมอริเทเนียมีหัวเรือตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิกที่ออกแบบมาเพื่อให้เรือพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ผลพวงที่คาดไม่ถึงก็คือเรือของคูนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจแม้อยู่ในสภาพอากาศสงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างบน (superstructure)[21]

มอริเทเนียและเทอร์บิเนียใน ค.ศ. 1907

เรือชั้นโอลิมปิกยังต่างจากลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาวระหว่างหม้อไอน้ำ ห้องเครื่อง และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของไททานิกใน ค.ศ. 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งหย่อนลงไม่ได้[22] นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ำท่วมคลังถ่านหินเพียงสามแห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ความสูงจุดเปลี่ยนศูนย์เสถียร (Metacentric Height) เป็นลบ[23] กลับกัน ไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก[24]

ลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิกสี่ลำ) ซึ่งเป็นวิถีปฏิบัติทั่วไปสำหรับซูเปอร์ไลเนอร์ ณ ขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม

หลังไททานิกอับปาง ลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบนเดวิต (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) เป็นผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนเดวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติ และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ ต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้[25]

ช่วงต้น

[แก้]
มอริเทเนียแล่นผ่านประภาคารโลว์ไลส์ที่ปากแม่น้ำไทน์ในการเดินทางครั้งแรก

มอริเทเนียออกเดินทางครั้งแรกจากลิเวอร์พูลในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 โดยมีกัปตันจอห์น พริตชาร์ด เป็นผู้บัญชาการ แต่ไม่สามารถทำลายสถิติความเร็วและบลูริบบันด์เนื่องจากประสบกับพายุรุนแรงในระหว่างการเดินทาง เป็นผลให้สมอสำรองหลุดออกจากเรือ เรือยังได้รับความเสียหายเล็กน้อยบริเวณโครงสร้างบนของเรือ ถึงกระนั้น ในการเดินทางกลับครั้งแรก (30 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม ค.ศ. 1907) เรือก็สามารถทำลายสถิติการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันออก[1] ด้วยความเร็วเฉลี่ย 23.69 นอต (43.87 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 27.26 ไมล์ต่อชั่วโมง)[1] ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1907 มอริเทเนียเดินทางกลับมายังนครนิวยอร์กและเทียบท่าที่ท่าเทียบเรือ 54 ในแม่น้ำนอร์ท ระหว่างนั้นเกิดพายุฝนกระหน่ำพร้อมลมกระโชกแรง ทำให้เสาผูกบนท่าเทียบเรือ 54 หัก มอริเทเนียลอยออกนอกท่าและหัวเรือหันไปชนเรือท้องแบนหลายลำที่กำลังขนถ่านหินมาเติมและขนเถ้าออกจากมอริเทเนีย เรือท้องแบนโรนและทอมฮิกเคน รวมถึงยูเรกา 32 และยูเรกา 36 ได้รับความเสียหาย และเรือท้องแบนเอลลิส พี. โรเจอส์สูญหายไป[26][27]

มอริเทเนียระหว่างการทดสอบความเร็ว นอกชายฝั่งแหลมเซนต์แอบส์ ประเทศสกอตแลนด์ เมื่อวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1907 ทำความเร็วสูงสุดได้ 25.73 นอต (47.65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง)

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1909 มอริเทเนียสามารถคว้าบลูริบบันด์สำหรับการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางทิศตะวันตกได้เร็วที่สุด ซึ่งจะเป็นสถิติที่ยืนยงอยู่ยาวนานกว่าสองทศวรรษ[1] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 มอริเทเนียหลุดจากทุ่นผูกที่แม่น้ำเมอร์ซีย์ เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในนิวยอร์กในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1910 ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย เป็นเหตุให้ต้องยกเลิกการเดินทางเที่ยวพิเศษในช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปยังนิวยอร์ก ด้วยเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน คูนาร์ดจึงเปลี่ยนกำหนดการเดินทางของมอริเทเนียเพื่อให้ลูซิเทเนียที่เพิ่งเดินทางกลับจากนิวยอร์กภายใต้การบัญชาการของกัปตันเจมส์ ชาลส์ออกเดินทางแทน ลูซิเทเนียทำหน้าที่แทนมอริเทเนียในการเดินทางในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเพื่อส่งผู้โดยสารกลับนิวยอร์ก[28] มอริเทเนียออกเดินทางจากลิเวอร์พูลมุ่งหน้าสู่นิวยอร์กในวันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 และเทียบท่าอยู่ที่ควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงที่เกิดเหตุการณ์การอัปปางของไททานิก มอริเทเนียได้ขนส่งบัญชีรายการสินค้าของไททานิก ซึ่งส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ในเวลานั้น เอ. เอ. บูธ ประธานบริษัทคูนาร์ด กำลังเดินทางอยู่บนเรือมอริเทเนียและเป็นผู้ริเริ่มจัดพิธีไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ไททานิก[29]

มอริเทเนียแล่นผ่านปราสาทวีมีส์และหอนาฬิกาสเตชัน บริเวณเส้นทางวัดระยะทางทะเล สเกลมอร์ลี ในช่วงปลาย ค.ศ. 1907

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1913 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร และสมเด็จพระราชินีแมรี ได้เสด็จเยี่ยมชมเรือมอริเทเนีย ซึ่งในขณะนั้นเป็นเรือพาณิชย์ที่เร็วที่สุดของอังกฤษ เป็นผลให้เรือลำนี้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้น ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1914 ขณะที่มอริเทเนียกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซมประจำปีในลิเวอร์พูล เกิดเหตุถังแก๊สระเบิดขึ้นขณะช่างกำลังซ่อมแซมกังหันไอน้ำเครื่องหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย[30] และบาดเจ็บอีก 6 ราย ความเสียหายต่อเรือมีเพียงเล็กน้อย ต่อมาเรือได้เข้ารับการซ่อมแซมในอู่แห้งกลัดสโตนแห่งใหม่และกลับมาให้บริการอีกครั้งหลังจากนั้นสองเดือน[31]

สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

[แก้]

หลังสหราชอาณาจักรประกาศสงครามต่อเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 มอริเทเนียก็รีบมุ่งหน้าไปยังแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เพื่อความปลอดภัย และเดินทางถึงเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ไม่นานหลังจากนั้น มอริเทเนียและอาควิเทเนียก็ได้รับคำขอจากรัฐบาลอังกฤษให้ดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ติดอาวุธ[32] แต่เนื่องจากขนาดที่ใหญ่โตมโหฬารและการบริโภคเชื้อเพลิงมหาศาล ทำให้ทั้งสองลำไม่เหมาะสำหรับภารกิจดังกล่าว[33] และกลับมาให้บริการพลเรือนอีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม ต่อมาเนื่องด้วยจำนวนผู้โดยสารข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกลดลงอย่างมาก มอริเทเนียจึงถูกจอดพักไว้ที่ท่าเรือลิเวอร์พูลจนถึงวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ตรงกับช่วงเวลาที่ลูซิเทเนียถูกเรือดำน้ำเยอรมันโจมตีจนอับปาง[ต้องการอ้างอิง]

เอชเอ็มที มอริเทเนีย พร้อมลายพรางแบบเรขาคณิตแบบที่สอง ออกแบบโดยนอร์แมน วิลคินสัน

มอริเทเนียถูกวางแผนให้เข้ามาแทนที่ลูซิเทเนียในการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกหลังจากที่ลูซิเทเนียอับปาง แต่ภายหลังรัฐบาลอังกฤษได้สั่งให้มอริเทเนียมาทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลเพื่อนำทหารอังกฤษไปยังสมรภูมิกัลลิโพลี[33] เรือลำนี้สามารถเลี่ยงการโจมตีโดยเรือดำน้ำเยอรมันได้เพราะความเร็วสูงและฝีมือการเดินเรือของลูกเรือ ในฐานะเรือขนส่งกำลังพล เรือถูกทาสีเทาเข้มและมีปล่องไฟสีดำเช่นเดียวกับเรือลำอื่นในยุคเดียวกัน[ต้องการอ้างอิง]

เอชเอ็มเอชเอส มอริเทเนีย ป. 1915

เมื่อกองกำลังร่วมของจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มประสบกับการสูญเสียอย่างหนัก มอริเทเนียก็ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลร่วมกับอาควิเทเนียและบริแทนนิกของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อทำการรักษาผู้บาดเจ็บจนถึงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 ขณะทำหน้าที่ทางการแพทย์ เรือถูกทาสีขาว มีปล่องไฟสีเหลืองอ่อน พร้อมกาชาดสีแดงขนาดใหญ่รอบตัวเรือ[34] นอกจากนี้ ยังอาจมีป้ายสัญญาณส่องสว่างทางกราบขวาและซ้ายของเรือ 7 เดือนต่อมาในปลาย ค.ศ. 1916 มอริเทเนียได้รับคำขอจากรัฐบาลแคนาดาให้กลับมาทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งกำลังพลอีกครั้ง เพื่อขนส่งทหารแคนาดาจากแฮลิแฟกซ์ไปยังลิเวอร์พูล[33] หน้าที่ในสงครามของเรือลำนี้ยังไม่สิ้นสุดลงเมื่อสหรัฐประกาศสงครามต่อเยอรมนีใน ค.ศ. 1917 และเรือลำนี้ได้ทำการขนส่งทหารอเมริกันหลายพันนาย[ต้องการอ้างอิง]

เรือลำนี้เป็นที่รู้จักในกระทรวงทหารเรือว่าเรือหลวงทูเบอโรส (HMS Tuberose)[35] กระทั่งสงครามสิ้นสุดลง[33] แต่คูนาร์ดไลน์ไม่เคยเปลี่ยนชื่อเรือลำนี้ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 มอริเทเนียได้รับการนำลวดลายพรางตาแบบใหม่มาประยุกต์ใช้ถึงสองแบบ ซึ่งเป็นรูปแบบสีนามธรรม ออกแบบโดยนอร์แมน วิลคินสัน ใน ค.ศ. 1917 โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนแก่เรือรบข้าศึก ลายพรางแบบแรกที่นำมาใช้ในช่วงต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 มีลักษณะโค้งมนตามธรรมชาติ และประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีสีเขียวมะกอกเป็นพื้นหลัก ผสมกับสีดำ เทา และน้ำเงิน แบบที่สองเป็นการออกแบบเชิงเรขาคณิตที่เรียกกันทั่วไปว่า "แดซเซิล" (dazzle) ซึ่งเริ่มนำมาใช้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 ส่วนใหญ่ประกอบด้วยสีน้ำเงินเข้มและสีเทาหลายจุด พร้อมสีดำบางส่วน หลังการทำหน้าที่ในสงคราม เรือลำนี้ก็ได้รับการทาสีใหม่ด้วยสีเทาหม่น และในที่สุดก็กลับมาใช้สีประจำคูนาร์ดอย่างสมบูรณ์ภายในกลาง ค.ศ. 1919[ต้องการอ้างอิง]

หลังสงคราม

[แก้]
มอริเทเนียที่กูราเซา ป. 1925

มอริเทเนียกลับมาให้บริการพลเรือนอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1919 ในเส้นทางเซาแทมป์ตัน–นิวยอร์ก

มอริเทเนียทำการทดสอบความเร็วสูงสุดในระยะทาง 1 ไมล์ทะเล ในปี ค.ศ. 1922

ตารางการเดินเรือที่หนาแน่นของเรือลำนี้ทำให้ไม่สามารถทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่ตามกำหนดใน ค.ศ. 1920 ได้ อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1921 คูนาร์ดได้สั่งระงับการให้บริการของเรือลำนี้เนื่องจากเกิดเหตุเพลิงไหม้บนดาดฟ้า E และตัดสินใจทำการซ่อมแซมครั้งใหญ่ให้กับเรือ[36] เรือกลับไปยังอู่เรือไทน์ สถานที่ที่เรือถูกสร้างขึ้นเพื่อทำการดัดแปลงหม้อน้ำให้ใช้เชื้อเพลิงน้ำมันเตา[37] และกลับมาบริการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 คูนาร์ดพบว่ามอริเทเนียประสบปัญหาในการรักษาความเร็วในการให้บริการตามปกติ

ภาพมอริเทเนียที่บันทึกไว้ใน ค.ศ. 1928 โดยใช้กระบวนการออโตโครมลูมิแยร์

แม้ความเร็วบริการของเรือจะดีขึ้นและปัจจุบันใช้น้ำมันเตาเพียง 680 ตันต่อวันเมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 910 ตันต่อวันในอดีต แต่เรือลำนี้ก็ยังไม่สามารถทำความเร็วในการให้บริการได้เทียบเท่ากับช่วงก่อนสงคราม ในการเดินทางข้ามมหาสมุทรครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 1922 เรือสามารถทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 19 นอต (35 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 22 ไมล์ต่อชั่วโมง)[ต้องการอ้างอิง]

ในเวลาดังกล่าวมีการปรับปรุงเรือโดยการปิดล้อมบริเวณพื้นที่ทางเดินบนเรือชั่วคราว และดัดแปลงปล่องไฟให้มีรูปร่างเป็นวงรี ทำให้มีลักษณะคล้ายกับลูซิเทเนียอย่างมาก คูนาร์ดเห็นว่าระบบกังหันไอน้ำของเรือที่เคยเป็นเทคโนโลยีปฏิวัติวงการนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมครั้งใหญ่โดยด่วน[36] ใน ค.ศ. 1923 มีการเริ่มซ่อมแซมเรือครั้งใหญ่ในเซาแทมป์ตัน โดยการถอดกังหันไอน้ำของเรือออก เมื่อการซ่อมใหญ่ดำเนินมาถึงครึ่งทาง คนงานอู่เรือได้ประกาศหยุดงาน ทำให้การทำงานทั้งหมดต้องหยุดชะงัก คูนาร์ดจึงสั่งให้ลากเรือไปยังแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อดำเนินการให้แล้วเสร็จ ณ อู่เรือแห่งอื่น[38] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1924 เรือก็ได้กลับมาให้บริการในเส้นทางแอตแลนติกอีกครั้ง[36]

มอริเทเนียที่เซาแทมป์ตันใน ค.ศ. 1933
มอริเทเนียและอาร์เอ็มเอส แอรันเดลแคสเซิล ในอ่าวฟุงชาล หมู่เกาะมาเดรา ป. ค.ศ. 1934

ในช่วงหลายปีต่อมา คูนาร์ดได้พิสูจน์แล้วว่าการปรับปรุงมอริเทเนียครั้งนั้นส่งผลดีอย่างเห็นได้ชัด เรือได้รับความนิยมอย่างมากและประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ใน ค.ศ. 1928 มอริเทเนียผ่านการปรับปรุงตกแต่งภายในใหม่เพื่อเพิ่มความหรูหราและทันสมัย ทว่าในปีถัดมา สถิติความเร็วของเรือก็ถูกทำลายโดยเอ็สเอ็ส เบรเมิน (SS Bremen) ของเยอรมัน[39] ด้วยความเร็ว 28 นอต (52 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 32 ไมล์ต่อชั่วโมง) ในวันที่ 27 สิงหาคม คูนาร์ดได้อนุญาตให้อดีตเรือเดินสมุทรเร็วมีโอกาสสุดท้ายในการทวงคืนสถิติจากเรือลำใหม่ของเยอรมัน แต่ถึงแม้จะพยายามอย่างเต็มที่ ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นรองสถิติเล็กน้อย เรือถูกนำออกจากการให้บริการ และมีการปรับปรุงเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มกำลังขับเคลื่อนให้ได้ความเร็วในการให้บริการที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ เบรเมินเป็นตัวแทนของเรือเดินสมุทรรุ่นใหม่ที่มีกำลังขับเคลื่อนและเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าเรือของคูนาร์ดไลน์ที่มีอายุใช้งานมานาน[39] แม้มอริเทเนียจะไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งชาวเยอรมันได้ แต่เรือลำนี้ก็พ่ายไปเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งหลังการปรับปรุงการออกแบบมานานหลายทศวรรษและการทำลายสถิติความเร็วของตนเองทั้งในเส้นทางมุ่งตะวันออกและตะวันตก ใน ค.ศ. 1929 มอริเทเนียชนกับเรือข้ามฟากขนส่งรถไฟบริเวณใกล้กับประภาคารรอบบินส์รีฟ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และความเสียหายของเรือก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว[ต้องการอ้างอิง]

ใน ค.ศ. 1930 ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากเรือโดยสารลำใหม่ในเส้นทางแอตแลนติก มอริเทเนียจึงถูกเปลี่ยนบทบาทเป็นเรือสำราญโดยเฉพาะ[40] โดยให้บริการเดินเรือสำราญ 6 วันจากนิวยอร์กไปยังท่าเทียบเรือ 21 แฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย[41] ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 มอริเทเนียทำการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจำนวน 28 คน และแมวของเรือขนสินค้าชื่อโอวิเดีย (Ovidia) ที่ประสบเหตุอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแหลมเรซ นิวฟันด์แลนด์ ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 400 ไมล์ทะเล (740 กิโลเมตร; 460 ไมล์)[42][43] ใน ค.ศ. 1932 เรือถูกทาสีขาวให้เข้ากับบริการเรือสำราญ เมื่อคูนาร์ดควบรวมกิจการกับไวต์สตาร์ใน ค.ศ. 1934 มอริเทเนีย พร้อมด้วยโอลิมปิก โฮเมริก และเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ล้าสมัยลำอื่น ๆ ก็ถูกพิจารณาว่าเกินความจำเป็นและถูกนำออกจากการให้บริการ[ต้องการอ้างอิง]

ปลดระวาง

[แก้]
โอลิมปิก (ซ้าย) และมอริเทเนีย (ขวา) ซึ่งเคยเป็นคู่แข่งกันมาก่อน ได้จอดเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือตะวันตกแห่งใหม่ของเซาแทมป์ตัน ก่อนที่มอริเทเนียจะถูกส่งไปยังอู่ตัดเรือในรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์

คูนาร์ด-ไวต์สตาร์ไลน์นำมอริเทเนียออกจากการให้บริการหลังการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งสุดท้ายจากนิวยอร์กไปยังเซาแทมป์ตันในเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 การเดินทางนั้นทำได้ด้วยความเร็วเฉลี่ย 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง) สอดคล้องกับข้อกำหนดเดิมตามสัญญาเงินอุดหนุนไปรษณีย์ จากนั้นเรือได้ถูกจอดไว้ที่ท่าเรือเซาแทมป์ตันเพื่อยุติบทบาทการให้บริการอันยาวนานตลอดเวลา 28 ปี[37]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ตกแต่งภายในของเรือถูกนำออกประมูลโดยบริษัทแฮมป์ตันแอนด์ซันส์ (Hampton and Sons) และในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน เรือก็ออกเดินทางจากเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้ายมุ่งหน้าสู่อู่ตัดเรือของบริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ (Metal Insudtries) ที่รอสไฟฟ์[37] หนึ่งในอดีตกัปตันของเรือลำนี้ พลเรือจัตวา เซอร์อาร์เทอร์ รอสตรอน กัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย ในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากไททานิก ได้มาส่งเรือลำนี้ในการเดินทางครั้งสุดท้ายจากเซาแทมป์ตัน รอสตรอนปฏิเสธที่จะขึ้นเรือก่อนการเดินทางครั้งสุดท้าย โดยกล่าวว่าตนต้องการจดจำเรือลำนี้ไว้ในสภาพที่ตนเคยบังคับการ[ต้องการอ้างอิง]

มอริเทเนียพร้อมเสากระโดงที่ถูกตัดเพื่อให้สามารถแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ท ออกเดินทางจากเซาแทมป์ตันเพื่อมุ่งสู่การเดินทางครั้งสุดท้ายไปยังรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในวันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 สามารถมองเห็นโอลิมปิกอยู่ด้านหลัง

ระหว่างการเดินทางสู่รอสไฟฟ์ มอริเทเนียได้แวะพัก ณ สถานที่ที่ตนถือกำเนิดบนแม่น้ำไทน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาชม มีการยิงจรวดจากสะพานเดินเรือ มีการส่งต่อข้อความ และนายกเทศมนตรีนิวคาสเซิลก็ได้ขึ้นมาบนเรือ[44] นายกเทศมนตรีได้กล่าวอำลาเรือในนามชาวนิวคาสเซิล และกัปตันคนสุดท้าย เอ. ที. บราวน์ ก็ได้ทำการแล่นเรือมุ่งหน้าสู่รอสไฟฟ์ต่อไป ประมาณ 30 ไมล์ทางเหนือของนิวคาสเซิลคือท่าเรือเล็ก ๆ ของแอมเบิล นอร์ทัมเบอร์แลนด์ สภาเทศบาลท้องถิ่นได้ส่งโทรเลขไปยังเรือโดยมีใจความว่า "ยังคงเป็นเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดบนท้องทะเล" ซึ่งมอริเทเนียได้ตอบกลับไปว่า "ขอแสดงความนับถือและขอบคุณมายังท่าเรือแห่งสุดท้ายและใจดีที่สุดในอังกฤษ"[45] จนถึงปัจจุบัน แอมเบิลยังคงเป็นที่รู้จักในนาม "แอมเบิล ท่าเรือที่เป็นมิตรที่สุด" และสัญลักษณ์นี้ยังคงปรากฏให้เห็นบนป้ายบอกทางเมื่อเข้าสู่เมือง หลังจากที่เสากระโดงถูกตัดให้สั้นลงเพื่อให้เรือสามารถแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ทได้ เรือลำนี้จึงถูกส่งไปยังสถานที่แยกชิ้นส่วนเรือ[ต้องการอ้างอิง]

มอริเทเนียระหว่างการแยกชิ้นส่วนในรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ใน ค.ศ. 1935

มอริเทเนียมาถึงรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในช่วงเช้ามืดประมาณ 06:00 น. ของวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 ขณะเกิดพายุลมระดับปานกลาง โดยแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ท ภายในเวลา 06.30 น. เรือผ่านประตูทางเข้าอู่ตัดเรือของบริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ภายใต้การบังคับบัญชาของรองกัปตันวินซ์ มีนักเป่าปี่สกอตคนหนึ่งที่ท่าเรือบรรเลงเพลงโศกเพื่อไว้อาลัยแก่เรือลำดังกล่าว มีรายงานถึงนักประพันธ์และนักประวัติศาสตร์ จอห์น แมกซ์โทน-เกรแฮม ว่าเมื่อการทำงานของเครื่องจักรขนาดใหญ่ของเรือได้หยุดลงเป็นครั้งสุดท้าย เรือเกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงราวกับจะร่ำลา มอริเทเนียเปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 8 กรกฎาคม โดยมีผู้เข้าชมกว่า 20,000 คน รายทั้งหมดได้ถูกนำไปบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลในท้องถิ่น การแยกชิ้นส่วนเริ่มต้นขึ้นในเวลาไม่นานหลังจากนั้นและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว โดยปกติแล้ว การแยกชิ้นส่วนเรือจะกระทำบนอู่แห้ง แต่ในกรณีพิเศษ เรือลำนี้ถูกแยกชิ้นส่วนขณะลอยอยู่ในอู่แห้ง โดยมีการใช้ระบบไม้ระแนงและเครื่องหมายดินสอที่ซับซ้อนเพื่อตรวจสอบสมดุลของเรืออย่างต่อเนื่อง ภายในหนึ่งเดือน ปล่องไฟของเรือก็ถูกถอดออก ภายใน ค.ศ. 1936 เรือลำนี้กลายสภาพเป็นเพียงซากเรือที่ไร้ค่า และถูกนำไปเกยตื้นที่แอ่งน้ำขึ้นน้ำลงของเมทัลอินดัสตรีส์ ก่อนจะถูกนำไปรื้อถอนโครงสร้างที่เหลือทั้งหมดภายใน ค.ศ. 1937[46][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]

เพื่อป้องกันไม่ให้บริษัทคู่แข่งนำชื่อไปใช้และเพื่อสงวนชื่อไว้สำหรับเรือของคูนาร์ด-ไวต์สตาร์ไลน์ลำใหม่ในอนาคต จึงมีการเปลี่ยนชื่อเรือกลไฟล้อพายโดยสารลำหนึ่งของบริษัทเรดฟันเนิล (Red Funnel) เป็นมอริเทเนียชั่วคราวก่อนจะมีการเปิดตัวเรืออาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ลำใหม่ใน ค.ศ. 1938[47][ต้องการเลขหน้า]

การปลดระวางมอริเทเนียถูกคัดค้านจากผู้โดยสารที่ภักดีต่อเรือลำนี้อย่างมากมายรวมถึงประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ ที่เขียนจดหมายส่วนตัวเพื่อคัดค้านการแยกชิ้นส่วนเรือลำนี้[4]

หลังปลดระวาง

[แก้]
ตัวอักษร "E" จากมอริเทเนีย กู้คืนมาได้ในขณะที่เรือถูกแยกชิ้นส่วน ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี ในนิวคาสเซิล
ระฆังของมอริเทเนีย ในวันรำลึกประจำปี ค.ศ. 2012

ระฆังของเรือจัดแสดงอยู่ในห้องรับรองของบริษัท ลอยด์ส เรจิสเตอร์ กรุป จำกัด ถนนเฟนเชิร์ช กรุงลอนดอน ในวันรำลึกประจำปี ลอยด์สเรจิสเตอร์จะร่วมยืนไว้อาลัยเป็นเวลาสองนาที และวางพวงมาลาบนฐานระฆังเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารผ่านศึกทั้งชายและหญิง

เฟอร์นิเจอร์บางส่วนจากมอริเทเนียถูกนำไปติดตั้งในบริเวณบาร์และร้านอาหารในบริสตอลที่มีชื่อว่า บาร์มอริเทเนีย (ปัจจุบันคือจาวา บริสตอล) ตั้งอยู่บนถนนพาร์ก บาร์แห่งนี้ตกแต่งด้วยแผงไม้มะฮอกกานีแอฟริกาเก่าแก่ที่แกะสลักและปิดทองอย่างวิจิตรบรรจง ซึ่งนำมาจากห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของเรือ[48] ป้ายนีออนที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองการเปิดให้บริการใน ค.ศ. 1937 บนผนังด้านทิศใต้ยังคงโฆษณาเรือมอริเทเนียอยู่ และตัวอักษรที่ใช้ติดหัวเรือก็ถูกนำมาประดับไว้เหนือทางเข้า

นอกจากนี้ ห้องอ่านเขียนหนังสือชั้นหนึ่งเกือบทั้งหมด พร้อมด้วยโคมระย้าดั้งเดิมและชั้นหนังสือปิดทองแกะสลักได้ถูกนำมาใช้เป็นห้องประชุมที่สตูดิโอไพน์วูด ทางตะวันตกของลอนดอน สีเดิมที่ส่องประกายราวกับต้นซิคามอร์เงินเงาได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาจนกลายเป็นสีเหลืองอำพัน[4] ตามรายการโทรทัศน์ของแชนแนลโฟร์ที่กล่าวถึงอสังหาริมทรัพย์ริมทะเลได้มีการนำห้องนั่งเล่นชั้นสองทั้งหมดจากเรือถูกนำมาใช้ตกแต่งภายในของบ้านสีขาวและน้ำเงินที่หันหน้าออกสู่ท่าเรือพูล ห้องรับรองนี้มีระเบียงวงกลมที่ประกอบด้วยเสาราวระเบียงโดยรอบ ซึ่งเป็นของดั้งเดิมจากเรือ แผงผนังตกแต่งและอุปกรณ์อื่น ๆ ได้ถูกนำมาใช้ในการตกแต่งโถงทางเข้าและโรงละครของโรงภาพยนตร์วินด์เซอร์ในคาร์ลุก ซึ่งปัจจุบันปิดตัวลงแล้ว[49] ส่วนหนึ่งของแผงไม้ตกแต่งถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างส่วนต่อเติมของโบสถ์คาทอลิกเซนต์จอห์นเดอะแบปติสต์ ในแพดิแฮม แลงคาเชอร์ ซึ่งแล้วเสร็จใน ค.ศ. 1937[50]

ใน ค.ศ. 2010 มีการค้นพบและบูรณะเสาอิงไม้มะฮอกกานีแอฟริกันจากห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของเรือ ซึ่งมีการแกะสลักลวดลายดอกอะแคนทัสปิดทองและหัวเสารูปแกะที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ ตั้งแต่ ค.ศ. 2012 เป็นต้นมา เสานี้ถูกจัดแสดงอย่างถาวรในห้องผนวกเซเกดูนัมของพิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี ในวอลเซนด์ ห่างจากจุดที่แกะสลักและติดตั้งในอู่เรือสวอนฮันเตอร์เพียงไม่กี่ร้อยหลาเมื่อกว่าหนึ่งศตวรรษก่อน มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ตกแต่งของเรือลำนี้จำนวนมากที่ถูกเก็บรักษาไว้ในของสะสมส่วนบุคคล รวมถึงส่วนประกอบขนาดใหญ่ เช่น บัวผนัง แผงผนัง ฝ้าเพดาน และตัวอย่างใบพัดของกังหันไอน้ำ[51] เครื่องสั่งจักรบนห้องถือท้ายสำหรับกังหันไอน้ำแรงดันสูงด้านกราบซ้ายจากมอริเทเนียจัดแสดงอยู่ในล็อบบีของอาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ 2 (RMS Queen Elizabeth 2) ที่ปัจจุบันถูกปรับปรุงเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่ดูไบ

แบบจำลองมอริเทเนียในพิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี นิวคาสเซิล ที่หัวเรือมอริเทเนียคือเรือเทอร์บิเนียของชาลส์ พาร์สันส์ ซึ่งสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1897 การจัดแสดงนี้เป็นการจำลองเหตุการณ์การพบกันของเรือทั้งสองลำ (ขณะนั้นเป็นเรือกังหันไอน้ำลำแรกและใหญ่ที่สุดในโลก) ในวันที่ 22 ตุลาคม ค.ศ. 1907 อันเป็นวันเดินทางของมอริเทเนียจากแม่น้ำไทน์ไปยังลิเวอร์พูลเพื่อการส่งมอบอย่างเป็นทางการ

แบบจำลองต้นฉบับของมอริเทเนียถูกจัดแสดงอยู่ที่สถาบันสมิธโซเนียน วอชิงตัน ดี.ซี. หลังอยู่บนอาร์เอ็มเอส ควีนแมรี (RMS Queen Mary) ที่ปลดระวางมาเป็นเวลานานแล้วในลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย เดิมทีตัวเรือมีสีดำ แต่ถูกสีขาวตามแบบฉบับเรือสำราญในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1930 หลังจากที่ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ มอบเป็นของขวัญให้แก่ควีนแมรี[52] แบบจำลองมอริเทเนียอีกหนึ่งลำจัดแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ดิสคัฟเวอรี ในนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ โดยยังคงรักษาสีดั้งเดิมเอาไว้

แบบจำลองขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยผู้สร้างเรือแสดงให้เห็นถึงมอริเทเนียในตัวเรือสีขาวสำหรับการล่องเรือสำราญ จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ทางทะเลแอตแลนติก ในส่วนจัดแสดงของบริษัทคูนาร์ด ณ แฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เดิมทีเป็นแบบจำลองของลูซิเทเนีย ต่อมามีการดัดแปลงเพื่อให้เป็นตัวแทนของมอริเทเนียหลังจากที่ลูซิเทเนียถูกตอร์ปิโด[53]

แบบจำลองขนาดใหญ่ของผู้สร้างอีกลำหนึ่งจัดแสดงอยู่บนควีนเอลิซาเบธ 2 ที่ปัจจุบันจอดอยู่ในดูไบ แบบจำลองนี้เดิมทีเคยเป็นลูซิเทเนีย และเช่นเดียวกับแบบจำลองที่พิพิธภัณฑ์ทางทะเลแอตแลนติก ได้มีการดัดแปลงให้เป็นมอริเทเนียหลังจากที่ลูซิเทเนียอับปางไป[54] เมื่อตรวจสอบแบบจำลอง สามารถระบุได้ว่าเป็นลูซิเทเนียจากการพิจารณาโครงสร้างรองรับเรือชูชีพที่ต่างกัน และส่วนหน้าของสะพานเดินเรือที่อยู่บนดาดฟ้าเรือบด[ต้องการอ้างอิง] แบบจำลองของเรือซึ่งคูนาร์ดได้ว่าจ้างให้สร้างขึ้น ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งชาติ กรีนิช[55]

รายชื่อกัปตัน

[แก้]

รายการนี้อิงตามข้อมูลที่มีอยู่และอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ วันที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:

  1. จอห์น พริตชาร์ด (John Pritchard) (16 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 1907) บัญชาการในการเดินทางเที่ยวแรก
  2. ทีโอดอร์ วิลเลียม แชลเมอส์ (Theodore William Chalmers) (7 ธันวาคม 1907 – 11 กุมภาพันธ์ 1911) บัญชาการเรือเป็นเวลานานหลายปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเรือในฐานะเรือที่เชื่อถือได้และรวดเร็ว
  3. เจมส์ ชาลส์ (James Charles) (12 กุมภาพันธ์ 1911 – 16 เมษายน 1912) บัญชาการเรือในช่วงที่เรือทำลายสถิติความเร็ว และในช่วงที่ไททานิกอับปาง
  4. เฮอร์เบิร์ต ออกัสตัส วอเตอร์ (Herbert Augustus Water) (17 เมษายน – 13 พฤศจิกายน 1912) เข้ารับตำแหน่งต่อจากภัยพิบัติไททานิก และยังคงให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของมอริเทเนียต่อไป
  5. วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner) (14 พฤศจิกายน 1912 – 12 กรกฎาคม 1913) นำมอริเทเนียผ่านปีแห่งการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ประสบความสำเร็จ และได้เห็นการเยือนของกษัตริย์จอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี
  6. แฮโรลด์ อาร์เทอร์ ไบรต์ (Harold Arthur Bright) (13 กรกฎาคม 1913 – 30 เมษายน 1914) บัญชาการมอริเทเนียระหว่างการเสด็จประพาส และดูแลการปรับปรุงประจำปีของเรือที่ลิเวอร์พูล ซึ่งน่าเศร้าที่ประสบเหตุถังแก๊สระเบิดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต
  7. อาร์เทอร์ เฮนรี รอสตรอน (Arthur Henry Rostron) (1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 1914) ผู้โด่งดังจากวีรกรรมช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากไททานิก เคยเป็นผู้บัญชาการเรือมอริเทเนียในช่วงสั้น ๆ ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น
  8. วิลเลียม ไมลส์ (William Miles) (5 สิงหาคม 1914 – 1920) บัญชาการเรือผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเรือทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ
  9. เบนจามิน เจมส์ วิลเลียมส์ (Benjamin James Williams) (1920 – 1924) บัญชาการเรือในระหว่างการฟื้นฟูเรือหลังสงคราม และดูแลการกลับคืนสู่บริการพลเรือนของเรือ
  10. จอร์จ ชาลส์ เอ็ดการ์ เทอร์เนอร์ (George Charles Edgar Turner) (1924 –1929) นำพาเรือผ่านฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จหลายฤดูกาล และดูแลการปรับปรุงครั้งสุดท้ายของเรือ ก่อนสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือจะถูกทำลาย
  11. อาร์เทอร์ โรแลนด์ บราวน์ (Arthur Roland Brown) (1929 – 1934) บัญชาการเรือในช่วงปีสุดท้ายของการเป็นเรือเดินสมุทรก่อนจะถูกเปลี่ยนเป็นเรือสำราญ

ในวัฒนธรรมประชานิยม

[แก้]

มอริเทเนียเป็นที่จดจำในบทเพลงชื่อ "The fireman's lament" หรือ "Firing the Mauretania" ซึ่งรวบรวมโดยเรด ซัลลิแวน[56] เพลงเริ่มต้นด้วยท่อนที่ว่า "ในปี 1924 ฉัน ... ได้งานบนเรือมอริเทเนีย" แต่ทว่าในท่อนต่อมากลับกล่าวถึงการ "ตักถ่านหินตั้งแต่เช้ายันค่ำ" ซึ่งเป็นไปไม่ได้ใน ค.ศ. 1924 เนื่องจากเรือลำนี้เปลี่ยนมาใช้น้ำมันเตาแล้ว และยังกล่าวถึง "เตาไฟ" จำนวน 64 เตา ฮิวอี โจนส์ ได้บันทึกเสียงเพลงนี้ด้วยเช่นกัน แต่ในท่อนสุดท้ายของเวอร์ชันของเขาได้มีการกล่าวถึง "เหล่าคนเล็มถ่านทั้งหมด" ในขณะที่เวอร์ชันของเรด ซัลลิแวน ได้กล่าวถึง "เหล่าคนตักถ่าน"[i]

นวนิยายเรื่อง The Thief ของไคลฟ์ คัสเลอร์ ซึ่งมีไอแซก เบลล์เป็นตัวละครหลัก มีฉากหลังอยู่บนเรือมอริเทเนีย เกิดเหตุเพลิงไหม้รุนแรงบริเวณห้องเก็บสัมภาระด้านหน้า แต่สามารถควบคุมสถานการณ์ให้สงบลงได้

มอริเทเนียยังถูกกล่าวถึงในบทกวีชื่อ "The Secret of the Machines" ของรัดยาร์ด คิปลิง:

เรือด่วนกำลังรอคำสั่งของท่านอยู่!

ท่านจะพบมอริเทเนียจอดอยู่ที่ท่าเรือ,
กระทั่งกัปตันหมุนคันบังคับใต้ฝ่ามือ,

แล้วนครเก้าชั้นอันมหึมาก็ออกสู่ทะเล

ในฉากเปิดของภาพยนตร์ไททานิคที่กำกับโดยเจมส์ แคเมอรอน ตัวละครโรส เดวิต บูเคเตอร์ ซึ่งรับบทโดยเคต วินสเล็ต ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับไททานิกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ประทับใจว่า "ไม่เห็นจะน่าตื่นเต้นกันอะไรนักหนา" ขณะเดียวกันก็มีการเปรียบเทียบโดยนัยกับมอริเทเนียซึ่งเป็นเรือที่มีชื่อเสียงในยุคเดียวกันว่า "ใหญ่พอ ๆ กับมอริเทเนียนั่นแหละ" คาลีดอน ฮ็อกลีย์ แฟนหนุ่มผู้หยิ่งยโสของเธอ ซึ่งรับบทโดยบิลลี เซน อธิบายให้เธอฟังอย่างไม่ถูกต้องว่าไททานิก "ยาวกว่าตั้งร้อยฟุต" และ "หรูหรากว่า" เรือลำเก่าอย่างมอริเทเนียมาก

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง Maiden Voyage ผลงานของโรเจอร์ ฮาร์วีย์ นักเขียนชาวอังกฤษ มีฉากหลังอยู่ที่นิวคาสเซิลในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 นั้นได้นำเสนอภาพพจน์ที่ถูกต้องและแม่นยำเกี่ยวกับการต่อเรือมอริเทเนีย รวมถึงตัวละครที่เกี่ยวข้องกับระบบเครื่องยนต์กังหันไอน้ำของเรือลำนี้ จุดสูงสุดของเรื่องคือความรักสองคู่และเรื่องระทึกใจเกิดขึ้นเมื่อเรือลำนี้เข้าใกล้นิวยอร์กในระหว่างการเดินทางครั้งแรก

เป็นเรือที่สเปนเซอร์ ดัตตัน ใช้ในการนำส่งสารจากป้าของเขาเพื่อให้เขากลับไปยังฟาร์มเยลโลว์สโตนใน ค.ศ. 1923[57]

ในแอนิเมชันเรื่อง Candy Candy ออกอากาศใน ค.ศ. 1976 มีตอนหนึ่งที่ดำเนินเรื่องบนเรือมอริเทเนีย ตามเนื้อเรื่อง ตัวละครหลักชื่อ แคนดี ไวต์ เดินทางไปศึกษาต่อที่ลอนดอนจากนิวยอร์กโดยมอริเทเนีย และหลังจากนั้นไม่นาน เทอรัส แกรนเชสเตอร์ คนรักของแคนดีก็เดินทางกลับนิวยอร์กโดยเรือลำเดียวกัน

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 Maxtone-Graham 1972, pp. 41–43.
  2. 2.0 2.1 Maxtone-Graham 1972, p. 24.
  3. 3.0 3.1 3.2 Maxtone-Graham 1972, p. 11.
  4. 4.0 4.1 4.2 Floating Palaces. (1996) A&E. TV documentary. Narrated by Fritz Weaver.
  5. United Kingdom Gross Domestic Product deflator figures follow the Measuring Worth "consistent series" supplied in Thomas, Ryland; Williamson, Samuel H. (2018). "What Was the U.K. GDP Then?". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ 2 February 2020.
  6. 6.0 6.1 Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
  7. Vale, Vivian, The American Peril: Challenge to Britain on the North Atlantic, 1901–04, pp. 143–183.
  8. "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-24. สืบค้นเมื่อ 2023-07-24.
  9. Piouffre 2009, p. 52.
  10. Maxtone-Graham 1972, p. 25.
  11. "RMS Mauretania Construction". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
  12. Layton 2007, p. 44.
  13. Williams, Trevor. (1982) A short history of twentieth-century technology. Oxford University Press, p. 174.
  14. Maxtone-Graham 1972, p. 15.
  15. Maxtone-Graham 1972, pp. 38–39.
  16. 16.0 16.1 16.2 "RMS Mauretania Fitting Out". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-23. สืบค้นเมื่อ 25 November 2008.
  17. Maxtone-Graham 1972, p. 31.
  18. 18.0 18.1 18.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 33–36.
  19. Maxtone-Graham 1972, p. 33.
  20. Archibald, Rick & Ballard, Robert.The Lost Ships of Robert Ballard, Thunder Bay Press: 2005; p. 46.
  21. Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; pp. 51–52.
  22. "British Wreck Commissioner's Inquiry, Day 19, Testimony of Edward Wilding, recalled (20227)". Titanic Inquiry Project.
  23. Layton 2010, p. 55.
  24. Hackett & Bedford 1996, p. 171.
  25. Simpson 1972, p. 159.
  26. Anonymous, The Federal Reporter, Volume 174, St. Paul, Minnesota: West Publishing Company, 1910, pp. 166–175.
  27. Department of Commerce and Labor Bureau of Navigation Fortieth Annual List of Merchant Vessels of the United States for the Year Ending June 30, 1908, Washington, D.C.: Government Printing Office, 1908, p. 383.
  28. Layton 2007, p. 120.
  29. "TIP – Titanic Related Ships – Mauretania – Cunard Line".
  30. [1][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  31. Tansley, Janet (13 January 2016). "Nostalgia: Cunard's super ship RMS Mauretania".
  32. Layton 2007, pp. 170–171.
  33. 33.0 33.1 33.2 33.3 "RMS Mauretania War Service". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
  34. "Luxury liner played vital war role". BBC News. 13 November 2014.
  35. Ocean liners of the past: the Cunard express liners Lusitania and Mauretania. Published by Patrick Stephens, 1970 (p. 207).
  36. 36.0 36.1 36.2 "RMS Mauretania Final (Service)". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
  37. 37.0 37.1 37.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 342–345.
  38. "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-06. สืบค้นเมื่อ 2023-12-16.
  39. 39.0 39.1 Maxtone-Graham 1972, p. 255.
  40. Maxtone-Graham 1972, p. 340.
  41. "Website Update | Nova Scotia Archives". novascotia.ca. 20 April 2020.
  42. "Swedish steamer abandoned". The Times. No. 45675. London. 20 November 1930. col E, p. 16.
  43. "Rescued Swedish crew". The Times. No. 45676. London. 21 November 1930. col F, p. 13.
  44. "Welcome to North Atlantic Run". www.northatlanticrun.com.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  45. "Why we are known as "The Friendliest Port" – The Ambler". 11 December 2012.
  46. Longo, Eric K. (8 July 2010). "Mauretania 75th Anniversary". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  47. Adams, R. B. [1986] Red Funnel and Before. Kingfisher Publications.[ต้องการเลขหน้า]
  48. "Mauretania back on the market – News – Bristol 24/7". 10 November 2016.
  49. Graham, Hugh (30 April 2017). "Step aboard Dorset's most unusual holiday home". The Sunday Times (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
  50. "Padiham – St John the Baptist". Catholic Trust for England and Wales and English Heritage. 2011. สืบค้นเมื่อ 19 August 2019.
  51. Longo, Eric K. "The Mauretania Pilaster". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  52. "Ship model, RMS Mauretania". National Museum of American History (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.
  53. Paul Moloney, "Toronto's Lusitania model bound for Halifax", Toronto Star, 30 January 2010.
  54. "The Mauretania model on board QE2" The QE2 Story[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
  55. "Ship models – magnificent Mauretania". 28 May 2015.
  56. Hugill, Stan in Spin, The Folksong Magazine, Volume 1, # 9, 1962.
  57. Maiden Voyage by Roger Harvey, New Generation (2017), ISBN 978-1-78719-357-4

หมายเหตุ

[แก้]


อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "lower-roman" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="lower-roman"/> ที่สอดคล้องกัน