อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย
![]() อาควิเทเนียในการเดินทางครั้งแรกที่ท่าเรือนิวยอร์ก 5 มิถุนายน ค.ศ. 1914
| |
ประวัติ | |
---|---|
![]() | |
ชื่อ | อาควิเทเนีย (Aquitania) |
ตั้งชื่อตาม | กัลลิอาอากวีตานิอา[3] |
เจ้าของ |
|
ผู้ให้บริการ | คูนาร์ดไลน์ |
ท่าเรือจดทะเบียน | ![]() |
เส้นทางเดินเรือ |
|
Ordered | 8 ธันวาคม 1910[1] |
อู่เรือ | จอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ไคลด์แบงก์ สกอตแลนด์[1] |
Yard number | 409[2] |
ปล่อยเรือ | ธันวาคม 1910 |
Christened | 21 เมษายน 1913 โดยเคาน์เตสแห่งเดอร์บี |
สร้างเสร็จ | 1914 |
ส่งมอบเสร็จ | 24 พฤษภาคม 1914 |
Maiden voyage | 30 พฤษภาคม 1914[1] |
บริการ | 1914–1950 |
หยุดให้บริการ | 1950 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ปลดระวางในปี 1949 และถูกทำลายในปี 1950[1] |
ลักษณะเฉพาะ | |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ตัน): | 45,647 ตันกรอส[4] |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 49,430 ตัน |
ความยาว: | 901 ฟุต (274.6 เมตร)[4] |
ความกว้าง: | 97 ฟุต (29.6 เมตร)[4] |
ความสูง: |
|
กินน้ำลึก: | 36 ฟุต (11 เมตร)[1] |
ดาดฟ้า: | 10 ชั้น |
ระบบพลังงาน: | กังหันไอน้ำ Parsons ขับใบจักรโดยตรง กำลัง 59,000 แรงม้า (44,000 กิโลวัตต์) [4] |
ระบบขับเคลื่อน: | 4 × ใบจักร[4] |
ความเร็ว: |
|
ความจุ: |
|
ลูกเรือ: | 972 คน[1] |
อาร์เอ็มเอส อาควิเทเนีย (อังกฤษ: RMS Aquitania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติบริติชของบริษัทคูนาร์ดไลน์ ให้บริการตั้งแต่ ค.ศ. 1914 ถึง 1950 ออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยบริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี เมืองไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ ปล่อยลงน้ำในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1913[5] ออกเดินทางครั้งแรกในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 จากลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ไปยังนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา อาควิเทเนียเป็นเรือลำที่สามในโครงการเรือเดินสมุทรเร็วขนาดใหญ่จำนวนสามลำของคูนาร์ดไลน์ที่นำโดยอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย (RMS Lusitania) และอาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (RMS Mauretania) อาควิเทเนียเป็นเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟลำสุดท้ายที่ปลดระวาง
ไม่นานหลังอาควิเทเนียเริ่มให้บริการ สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็ได้ปะทุขึ้น ในช่วงเวลานี้เรือถูกดัดแปลงเป็นเรือลาดตระเวนเสริมก่อนจะถูกใช้เป็นเรือขนส่งทหารและเรือพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการทัพกัลลิโพลี และกลับมาให้บริการเดินเรือข้ามแอตแลนติกอีกครั้งใน ค.ศ. 1920 ร่วมกับมอริเทเนียและอาร์เอ็มเอส เบเรนแกเรีย (RMS Berengaria) ในช่วงเวลานี้เรือได้รับการยกย่องว่าเป็นเรือที่สวยงามที่สุดลำหนึ่ง โดยผู้โดยสารมักเรียกเรือด้วยชื่อเล่นว่า "เรือที่สวยงาม" (The Ship Beautiful)[4] แม้จะมีการควบรวมกิจการระหว่างคูนาร์ดไลน์กับไวต์สตาร์ไลน์ใน ค.ศ. 1934 แต่อาควิเทเนียก็ยังคงให้บริการต่อไป เดิมทีบริษัทมีแผนจะปลดประจำการและแทนที่ด้วยอาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (RMS Queen Elizabeth) ใน ค.ศ. 1940
ทว่าเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น จึงทำให้เรือลำนี้ยังคงต้องให้บริการต่อไปอีก 10 ปี ในช่วงสงครามจนถึงปี ค.ศ. 1947 เรือทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหารโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำทหารแคนาดาที่ประจำการอยู่ในยุโรปกลับบ้าน และถูกใช้ในการขนส่งผู้อพยพไปยังแคนาดาหลังสงคราม กระทั่งคณะกรรมการการค้าพิจราณาว่าเรือไม่เหมาะสมสำหรับการบริการเชิงพาณิชย์อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้อาควิเทเนียจึงถูกปลดระวางใน ค.ศ. 1949 และถูกขายในปีถัดมา
หลังทำหน้าที่เป็นเรือโดยสารนาน 36 ปี อาควิเทเนียปิดฉากอาชีพด้วยการเป็นเรือที่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดของคูนาร์ดไลน์ ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่ถึง 6 ปีก่อนจะถูกทำลายโดยอาร์เอ็มเอส ไซเทีย (RMS Scythia) ที่มีอายุการใช้งาน 37 ปี ใน ค.ศ. 2004 สถิติการให้บริการของอาควิเทเนียตกไปอยู่อันดับ 3 เมื่ออาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ 2 (RMS Queen Elizabeth II) กลายเป็นเรือที่มีอายุการใช้งานยาวนานที่สุดของคูนาร์ดไลน์แทน
ทั้งนี้ผู้โดยสารมักเรียกอาควิเทเนียด้วยชื่อเล่นว่า "เรือที่สวยงาม" เนื่องมาจากการตกแต่งภายในที่สวยงาม และ "เรือเก่าที่เชื่อถือได้ของคูนาร์ด" (Cunard's Old Reliable) จากบทบาทในช่วงสงคราม
ภูมิหลัง
[แก้]
ต้นกำเนิดของอาควิเทเนียมีที่มาจากการแข่งขันกันระหว่างสองบริษัทเดินเรือชั้นนำของอังกฤษนั่นคือไวต์สตาร์ไลน์กับคูนาร์ดไลน์ โอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิกลำใหม่ของไวต์สตาร์ล้วนมีขนาดใหญ่กว่าเรือรุ่นล่าสุดของคูนาร์ดอย่างลูซิเทเนียและมอริเทเนียประมาณ 15,000 ตันกรอส ถึงแม้เรือแฝดของคูนาร์ดจะมีเร็วกว่าเรือของไวต์สตาร์อย่างเห็นได้ชัด แต่เรือของไวต์สตาร์กลับถูกมองว่าหรูหรากว่า เพื่อรักษาบริการเรือด่วนข้ามแอตแลนติกรายสัปดาห์ คูนาร์ดจึงจำเป็นต้องมีเรืออีกลำ และตัดสินใจสร้างเรือเลียนแบบเรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ แม้จะแลกกับความเร็วแต่เรือลำใหม่ของคูนาร์ดจะมีขนาดใหญ่และหรูหรากว่า[4][6][7]
แผนการสร้างเรือลำใหม่นี้เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1910 วิศวกรได้ร่างแบบเบื้องต้นหลายแบบเพื่อกำหนดแนวทางหลักของเรือ โดยตั้งเป้าหมายความเร็วเฉลี่ยไว้ที่ 24 นอต ในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน บริษัทได้ยื่นข้อเสนอการสร้างไปยังอู่ต่อเรือหลายแห่งก่อนจะตัดสินใจเลือกจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี (John Brown & Company) ซึ่งเคยสร้างลูซิเทเนียมาก่อน คูนาร์ดตั้งชื่อเรือลำใหม่นี้ว่า "อาควิเทเนีย" เพื่อให้มีความต่อเนื่องกับชื่อของเรือแฝดลำก่อนหน้า โดยทั้งสามลำมีชื่อตามมณฑลของจักรวรรดิโรมันโบราณได้แก่ ลูซีตานิอา (Lusitania), เมารีตานิอา (Mauretania) และกัลลิอาอากวีตานิอา (Gallia Aquitania)[8]
การออกแบบ การสร้าง และการเปิดตัว
[แก้]
อาควิเทเนียได้รับการออกแบบโดยเลนเนิร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) นาวาสถาปนิกของคูนาร์ด[4] เรือลำนี้เป็นเรือที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากไม่มีเรือแฝดที่มีขนาดหรือการตกแต่งภายในที่เหมือนกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต่างกับลูซิเทเนียกับมอริเทเนีย หรือโอลิมปิกกับไททานิก เพสเกตต์วาดแผนให้เรือลำนี้มีขนาดใหญ่และกว้างกว่าลูซิเทเนียและมอริเทเนีย (ยาวกว่าประมาณ 40 เมตร (130 ฟุต)) แม้จะมีปล่องไฟขนาดใหญ่ 4 ต้น แลดูคล้ายกับเรือแฝดความเร็วสูงชื่อดัง แต่เพสเกตต์ยังออกแบบโครงสร้างบนของเรือให้มีลักษณะ "โปร่งโล่งด้วยกระจก" ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากเรือลำเล็กกว่าอย่างอาร์เอ็มเอส คาร์เมเนีย (RMS Carmania) อีกหนึ่งผลงานการออกแบบของเขาเอง จุดเด่นอีกอย่างที่ดัดแปลงมาจากคาร์เมเนียคือการเพิ่มช่องระบายอากาศทรงสูง 2 ตัวที่หัวเรือ แม้จะมีขนาดภายนอกใหญ่กว่าโอลิมปิก แต่ระวางขับน้ำและระวางบรรทุกกลับมีขนาดน้อยกว่า[9] ปลาย ค.ศ. 1910 ขณะวางกระดูกงูของอาควิเทเนีย เพสเกตต์ได้เดินทางไปกับโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1911 เพื่อสัมผัสประสบการณ์บนเรือที่มีขนาดเกือบ 50,000 ตัน รวมทั้งศึกษาและเก็บข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับใช้กับเรือลำใหม่ของบริษัท[9]
อาควิเทเนียถูกสร้างขึ้นที่อู่ต่อเรือของบริษัทจอห์นบราวน์แอนด์คอมปานี ในเมืองไคลด์แบงก์ ประเทศสกอตแลนด์ สถานที่ที่สร้างเรือส่วนใหญ่ของคูนาร์ด[5] กระดูกงูถูกวางบนพื้นที่เดียวกันกับที่เคยใช้สร้างลูซิเทเนีย และต่อมาก็ได้ถูกใช้สร้างเรือควีนแมรี ควีนเอลิซาเบธ และควีนเอลิซาเบธ 2 ด้วย[10] ในวันพิธีปล่อยเรือ ตัวเรือถูกทาด้วยสีเทาอ่อนเพื่อใช้ในการถ่ายภาพเช่นเดียวกับมอริเทเนีย ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในสมัยนั้นสำหรับเรือลำแรกในชั้นใหม่ เพราะสีนี้จะทำให้เส้นสายของเรือมีความชัดเจนขึ้นในภาพถ่ายขาวดำ หลังพิธีปล่อยตัวเรือก็ถูกทาสีดำอีกครั้งขณะอยู่ในอู่แห้ง[11]

หลังเหตุการณ์ไททานิกอับปาง อาควิเทเนียกลายเป็นหนึ่งในเรือรุ่นใหม่ลำแรก ๆ ที่มีเรือชูชีพเพียงพอสำหรับผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมด[4] เรือชูชีพ 80 ลำรวมถึงเรือยนต์ 2 ลำที่ติดตั้งอุปกรณ์วิทยุไร้สายมาร์โคนีถูกบรรจุไว้ในทั้งเดวิตแบบคอหงส์ (swan-neck) และแบบเวลิน (Welin) ที่ทันสมัยกว่า[12] นอกจากนี้ยังมีการสร้างท้องเรือสองชั้นและห้องผนึกน้ำที่ออกแบบมาเพื่อให้เรือยังคงลอยน้ำได้แม้จะมีน้ำท่วมห้องถึงห้าห้อง[13] ตามข้อกำหนดกระทรวงทหารเรืออังกฤษ อาควิเทเนียได้รับการออกแบบมาให้สามารถดัดแปลงเป็นเรือพาณิชย์ลาดตระเวนติดอาวุธได้ และตัวเรือยังได้รับการเสริมความแข็งแรงเพื่อติดตั้งปืนสำหรับใช้งานในหน้าที่ดังกล่าว เรือลำนี้มีระวางขับน้ำประมาณ 49,430 ตัน แบ่งเป็นตัวเรือ 29,150 ตัน เครื่องจักร 9,000 ตัน และถ่านหิน 6,000 ตัน[14]
อาควิเทเนียถูกปล่อยลงน้ำในวันที่ 21 เมษายน ค.ศ. 1913 หลังได้รับการทำพิธีโดยอลิซ สแตนลีย์ เคาน์เตสแห่งดาร์บี จากนั้นจึงมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า ตกแต่งภายใน และปรับแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ภายในเวลา 13 เดือน โดยการติดตั้งทั้งหมดนี้ได้รับการควบคุมดูแลโดยอาร์เทอร์ โจเซฟ เดวิส (Arthur Joseph Davis) และชาลส์ มิวส์ (Charles Mewès)[9] วันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 เรือได้รับการทดสอบเดินทะเลและสามารถทำความเร็วได้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1 นอต ต่อมาในวันที่ 14 พฤษภาคม เรือเดินทางมาถึงแม่น้ำเมอร์ซีย์และอยู่ที่ท่าเรือเป็นเวลา 15 วันเพื่อทำความสะอาดครั้งใหญ่และตกแต่งขั้นสุดท้ายก่อนออกเดินทางเที่ยวปฐมฤกษ์[15]
ลักษณะเฉพาะของเรือ
[แก้]
อาควิเทเนียเป็นเรือลำแรกของคูนาร์ดที่มีความยาวเกิน 900 ฟุต (270 เมตร)[9] และมีความต่างจากเรือเดินสมุทรสี่ปล่องไฟบางลำเช่นเรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์ อาควิเทเนียไม่มีปล่องไฟปลอม แต่ละปล่องถูกใช้งานเพื่อระบายควันจากหม้อไอน้ำของเรือจริง[16][17]
ไอน้ำถูกผลิตโดยหม้อไอน้ำสกอตช์แบบปลายคู่ (double-ended Scotch boilers) จำนวน 21 ใบ แต่ละใบมีเตาไฟ 8 เตา ยาว 22 ฟุต (6.7 เมตร) และมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 17 ฟุต 8 นิ้ว (5.4 เมตร) ถูกจัดไว้ใน 4 ห้องหม้อไอน้ำ[18] แต่ละห้องมีเครื่องไล่เถ้า 7 ตัวที่มีกำลังสูบประมาณ 4,500 ตันต่อชั่วโมง และสามารถใช้เป็นเครื่องสูบน้ำท้องเรือฉุกเฉินได้ด้วย[18]
ไอน้ำถูกส่งไปขับเคลื่อนกังหันไอน้ำพาร์สันส์ในห้องเครื่อง 3 ห้องในระบบขยายแรงดันสามเท่า (triple expansion system) สำหรับ 4 เพลาใบจักร[18] ห้องเครื่องยนต์กราบซ้ายติดตั้งกังหันแรงดันสูงเดินหน้า (หนัก 240 ตัน ยาว 40 ฟุต 2 นิ้ว (12.2 เมตร) ขยายแรงดันสี่ช่วง) และกังหันถอยหลัง (หนัก 120 ตัน ยาว 22 ฟุต 11 นิ้ว (7.0 เมตร)) สำหรับเพลาใบจักรซ้าย ห้องเครื่องยนต์กลางติดตั้งกังหันแรงดันต่ำสองตัวที่สามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ในตัวเดียวกัน (ยาว 54 ฟุต 3 นิ้ว (16.5 เมตร) ขยายแรงดันเก้าช่วงในกังหันเดินหน้า และสี่ช่วงในกังหันถอยหลัง) สำหรับเพลาใบจักรกลางสองเพลา และห้องเครื่องยนต์กราบขวาติดตั้งกังหันแรงดันปานกลางเดินหน้า (ยาว 41 ฟุต 6.5 นิ้ว (12.7 เมตร)) และกังหันแรงดันสูงถอยหลัง (เหมือนกับกังหันแรงดันสูงกราบซ้าย) สำหรับเพลาใบจักรขวา[18][19]
ห้องไฟฟ้าตั้งอยู่บนชั้น G ใต้ระดับน้ำ ประกอบด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าของบริติชเวสติงเฮาส์ขนาด 400 กิโลวัตต์ 4 เครื่อง ผลิตไฟกระแสตรง 225 โวลต์พร้อมระบบไฟฟ้าฉุกเฉินจากเครื่องกำเนิดไฟฟ้าดีเซลขนาด 30 กิโลวัตต์บนชั้น A[20] จ่ายไฟให้กับหลอดไฟประมาณ 10,000 ดวงและมอเตอร์ไฟฟ้าประมาณ 180 ตัว[20] อาควิเทเนียมีหวูดไอน้ำทำจากทองเหลืองติดตั้งอยู่ที่ปล่องไฟต้นที่ 1 และ 2
สัดส่วนเรือ
[แก้]- ความยาว: 901 ฟุต (274.6 เมตร)
- ความกว้าง: 97 ฟุต (29.6 เมตร)
- ความสูง:
- 164 ฟุต (50 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องไฟ
- 94 ฟุต (28.6 เมตร) จากกระดูกงูถึงดาดฟ้าชั้นเรือบด
- กินน้ำลึก: 36 ฟุต (11 เมตร)
- ขนาด: 45,647 ตันกรอส, ระวางขับน้ำ 49,430 ตัน
ความเร็ว
[แก้]- ความเร็วบริการ: 24 นอต (44 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 28 ไมล์ต่อชั่วโมง)
- ความเร็วสูงสุด: 25 นอต (45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 29 ไมล์ต่อชั่วโมง)
ลักษณะทั่วไป
[แก้]- ปล่องไฟ: 4 ต้น สูงต้นละ 70 ฟุต (21 เมตร) ใช้เส้นเคเบิลตรึงปล่องละ 10 คู่ รวมทั้งหมด 20 เส้น ติดหวูดไอน้ำบนปล่องที่ 1 และ 2
- การทาสี: ปลายปล่องไฟทาสีดำ ตัวปล่องทาสีแดง (สีแดงคูนาร์ด) มีแถบสีดำ 3 แถบคาดรอบปล่อง, โครงสร้างบนทาสีขาวงาช้าง, ตัวเรือทำสีดำ, ท้องเรือใต้ระดับน้ำทาสีแดง มีแถบสีขาวคั่นระหว่างตัวเรือกับท้องเรือ, ใบจักรสีทองบรอนซ์
- หัวเรือ: เสากระโดงเรือ 1 ต้น, สมอเรือ 2 ตัว, ปั้นจั่น 7 ตัว สำหรับสมอเรือ 1 ตัว, ช่องสินค้า 2 ช่อง
- ท้ายเรือ: เสากระโดงเรือ 1 ต้น, สะพานเทียบเรือ, หางเสือ 1 ตัว, สมอเรือ 2 ตัว, ปั้นจั่น 3 ตัว, ช่องสินค้า 1 ช่อง
- ห้องเก็บสินค้า: 10 ห้อง (ห้องมาตรฐาน 5 ห้อง, ห้องแช่แข็ง 2 ห้อง, ห้องเก็บสัมภาระ 2 ห้อง และห้องไปรษณีย์ 1 ห้อง)
- ใบจักร: 4 เพลา เพลาละ 4 พวง
- ดาดฟ้า: 10 ชั้น; ชั้นเรือบด, ชั้น A–H และชั้นห้องเครื่อง
- เรือบด: 80 ลำ, มีเครื่องยนต์ 2 ลำพร้อมวืทยุไร้สาย
- ความจุผู้โดยสาร:
- ค.ศ. 1914: 3,230 คน แบ่งเป็นชั้นหนึ่ง 618 คน, ชั้นสอง 614 คน และชั้นสาม 2,004 คน
- ค.ศ. 1926: 2,200 คนแบ่งเป็น ชั้นหนึ่ง 610 คน, ชั้นสอง 950 คน และชั้นสาม 640 คน
- ลูกเรือ: 972 คน
ภายใน
[แก้]
ใน ค.ศ. 1914 อาควิเทเนียมีความจุผู้โดยสาร 3,220 คน (ชั้นหนึ่ง 618 คน ชั้นสอง 614 คน และชั้นสาม 2,004 คน) แต่หลังการปรับปรุงใหม่ใน ค.ศ. 1926 จำนวนตัวเลขก็ลดลงเหลือชั้นหนึ่ง 610 คน ชั้นสอง 950 คน และชั้นนักท่องเที่ยว 640 คน แม้ข้อกำหนดเดิมจะระบุจำนวนลูกเรือไว้ที่ 972 คน แต่บางครั้งเรือลำนี้ก็บรรทุกลูกเรือประมาณ 1,100 คน[8]
แม้รูปลักษณ์ของอาควิเทเนียจะขาดความเพรียวบางคล้ายเรือยอช์ตเหมือนดังเรือแฝดอย่างมอริเทเนียและลูซิเทเนีย แต่ความยาวและความกว้างที่เพิ่มขึ้นทำให้ห้องส่วนกลางมีขนาดใหญ่และกว้างขวางขึ้น พื้นที่ส่วนกลางของเรือออกแบบโดยอาร์เทอร์ โจเซฟ เดวิส สถาปนิกชาวอังกฤษจากบริษัทตกแต่งภายในมิวส์แอนด์เดวิส (Mewès and Davis) ที่เคยดูแลการก่อสร้างและตกแต่งโรงแรมริตซ์ในกรุงลอนดอน และตัวเดวิสเองก็เคยออกแบบธนาคารหลายแห่งในเมืองนั้น ชาลส์ มิวส์ หุ้นส่วนของเขาได้ออกแบบการตกแต่งภายในของโรงแรมริตซ์ในกรุงปารีส และได้รับการว่าจ้างโดยอัลเบิร์ต บัลลิน จากสายการเดินเรือแฮมเบิร์กอเมริกา (HAPAG) ของเยอรมันให้ตกแต่งภายในเรือเอสเอส อเมริกา (SS Amerika) ลำใหม่ของบริษัทในปี ค.ศ. 1905[9]

ในช่วงหลายปีก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มิวส์ได้รับมอบหมายให้ตกแต่งเรือลำใหม่ขนาดยักษ์ทั้งสามลำของ HAPAG ได้แก่เอสเอส อิมเพอราทอร์, ฟาเทอร์ลันท์ และบิสมาร์ค ขณะที่เดวิสได้รับมอบหมายให้ตกแต่งเรืออาควิเทเนีย[9] ในข้อตกลงระหว่างคูนาร์ดกับแฮมเบิร์กอเมริกาไลน์ซึ่งเป็นคู่แข่งกัน มิวส์และเดวิสได้ทำงานแยกกัน โดยมิวส์ทำงานในเยอรมัน และเดวิสทำงานในอังกฤษ แต่ละฝ่ายไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดงานของตนให้ฝ่ายตรงข้ามทราบ แม้ข้อตกลงนี้จะถูกละเมิดไปแล้วเกือบจะแน่นอน แต่การตกแต่งภายในชั้นหนึ่งของอาควิเทเนียส่วนใหญ่เป็นผลงานของเดวิส ห้องอาหารแบบหลุยส์ที่ 16 นั้นได้รับอิทธิพลจากผลงานของมิวส์ในเรือของ HAPAG แต่ดูเหมือนว่าการทำงานร่วมกันมายาวนานหลายปีจะทำให้ผลงานของทั้งสองแทบแยกไม่ออก อันที่จริงเดวิสควรได้รับเครดิตสำหรับห้องสูบบุหรี่สไตล์คาโรลีนและห้องรับรองสไตล์ปัลลาดีโอ ซึ่งเป็นการตีความรูปแบบของสถาปนิกจอห์น เวบบ์[21]

ชั้นสองมีห้องรับอาหาร ห้องนั่งเล่นหลายห้อง ห้องสูบบุหรี่ ร้านกาแฟ และยิมเนเซียม ซึ่งเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่หาได้ยากในชั้นสองของเรือโดยสารข้ามมหาสมุทรของอังกฤษในสมัยนั้น ชั้นสามมีพื้นที่ส่วนกลางหลายแห่ง ระเบียงทางเดิน และห้องน้ำรวมสามห้อง[21] ห้องโดยสารของอาควิเทเนียให้ความสะดวกสบายอย่างมาก ชั้นหนึ่งประกอบด้วยห้องชุดสุดหรู 8 ห้องที่ตั้งชื่อตามจิตรกรชื่อดัง ห้องโดยสารชั้นหนึ่งจำนวนมากมีห้องน้ำแต่ไม่ใช่ทั้งหมด ห้องโดยสารชั้นสองมีขนาดใหญ่กว่าปกติ ส่วนใหญ่สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 3 คนแทนที่จะเป็น 4 คนตามมาตรฐาน สิ่งอำนวยความสะดวกของชั้นสามนั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าเรือลำอื่น ๆ อย่างมาก ขณะที่เรือส่วนใหญ่ของคูนาร์ดจะจำกัดพื้นที่ชั้นสามที่ไว้บริเวณส่วนหน้าของเรือ แต่บนอาควิเทเนียพื้นที่ดังกล่าวกลับทอดยาวไปตลอดความยาวของเรือ และมีพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่หลายแห่ง ห้องรับประทานอาหารขนาดใหญ่สามห้อง และระเบียงทางเดินทั้งกลางแจ้งและแบบปิด[22]
ตลอด 35 ปีของการให้บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในเรืออาควิเทเนียมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ตัวอย่างเช่น การเพิ่มโรงภาพยนตร์ในระหว่างการปรับปรุงเรือระหว่าง ค.ศ. 1932–1933[23] และการปรับปรุงชั้นนักท่องเที่ยวในคริสต์ทศวรรษ 1920 เพื่อมอบความสะดวกสบายที่มากขึ้นให้กับผู้โดยสารที่มีงบประมาณจำกัด[24]
ช่วงต้นและสงครามโลก
[แก้]
อาควิเทเนียออกเดินทางครั้งแรกในวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1914 ภายใต้การบัญชาการของกัปตันวิลเลียม ทอมัส เทอร์เนอร์ และเดินทางถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 5 มิถุนายน[1][14] การเดินทางครั้งนี้และการมาถึงนครนิวยอร์กได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างมาก[25] เพียง 15 วันก่อนหน้านั้นเอสเอส ฟาเทอร์ลันท์ ของเยอรมันซึ่งเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนั้นได้เริ่มให้บริการเป็นครั้งแรก การเดินทางครั้งแรกนี้ถือเป็นเรื่องศักดิ์ศรีของชาติในสายตาสื่อมวลชน[26] กระนั้น เหตุการณ์นี้ก็ถูกบดบังด้วยการอับปางของอาร์เอ็มเอส เอ็มเพรสออฟไอร์แลนด์ (RMS Empress of Ireland) ที่รัฐเกแบ็กในวันก่อนหน้า ซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากการจมน้ำมากกว่า 1,000 คน[27] ไม่มีผู้โดยสารคนใดยกเลิกการเดินทางบนอาควิเทเนีย แม้เหตุการณ์ไททานิกอับปางจะก่อเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างมากก็ตาม[15] ในการเดินทางเที่ยวแรกนี้ อาควิเทเนียบรรทุกผู้โดยสารประมาณ 1,055 คน คิดเป็นเพียงหนึ่งในสามของความจุทั้งหมด เหตุผลที่ทำให้ผู้โดยสารจำนวนน้อยกว่าปกตินั้นเป็นเพราะความเชื่อโชคลางที่ทำให้ผู้คนบางกลุ่มไม่กล้าเดินทางในเที่ยวแรกของเรือลำใหม่[ต้องการอ้างอิง] การเดินทางครั้งนี้ทำให้ทั้งลูกเรือและบริษัทพอใจเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วเฉลี่ยตลอดการเดินทางระยะทาง 3,181 ไมล์ทะเล (5,891 กิโลเมตร; 3,661 ไมล์) วัดจากลิเวอร์พูลถึงเรือประภาคารที่ช่องแคบแอมโบรสอยู่ที่ 23.1 นอต (42.8 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 26.6 ไมล์ต่อชั่วโมง)[14] โดยคำนวณเวลาที่หยุดเรือ 5 ชั่วโมงเนื่องจากหมอกและภูเขาน้ำแข็ง[28] เรือลำนี้ทำความเร็วเกิน 25 นอตได้ในช่วงเวลาหนึ่ง นอกจากนี้การใช้ถ่านหินของเรือยังน้อยกว่าลูซิเทเนียและมอริเทเนียอย่างเห็นได้ชัด ผู้โดยสารหลายคนต่างเพลิดเพลินกับการเดินทาง ในเที่ยวขากลับความสำเร็จของเรือก็ยังคงอยู่ โดยเรือบรรทุกผู้โดยสารทั้งหมด 2,649 คนซึ่งเป็นสถิติใหม่สำหรับเรือโดยสารอังกฤษที่ออกจากนิวยอร์ก[29]

เมื่ออาควิเทเนียเดินทางถึงท่าเรือต้นทางก็ได้รับการปรับปรุงเล็กน้อย ซึ่งเป็นการนำข้อสังเกตที่ได้จากการเดินทางข้ามมหาสมุทรสองครั้งแรกมาปรับใช้ (เป็นเรื่องปกติสำหรับเรือโดยสารหลังการเดินทางไปกลับครั้งแรก)[29] ในช่วงครึ่งหลังของเดือนมิถุนายนและตลอดเดือนกรกฎาคมของปีนั้นมีการเดินทางไปกลับอีกสองครั้ง เลนเนิร์ด เพสเกตต์ สถาปนิกของเรือได้เดินทางไปกับเรือในเที่ยวเหล่านั้นเพื่อหาข้อบกพร่องและช่องทางการปรับปรุงต่าง ๆ ตลอดการเดินทางข้ามแอตแลนติก 6 ครั้งแรกมีผู้โดยสารทั้งหมด 11,208 คนเดินทางไปกับเรือลำนี้ แต่การให้บริการของเรือก็ถูกขัดขวางอย่างฉับพลันด้วยการปะทุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ที่ทำให้เรือต้องหยุดให้บริการผู้โดยสารเป็นเวลา 6 ปี[30][31]
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1914 อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ แห่งออสเตรียถูกลอบปลงพระชนม์และโลกก็เข้าสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในไม่ช้า อาควิเทเนียถูกแปลงเป็นเรือพาณิชย์ลาดตระเวนติดอาวุธในวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 1914 ซึ่งมีการเตรียมการไว้ในขั้นตอนการออกแบบเรือลำนี้ ในวันที่ 8 สิงหาคม หลังถอดของตกแต่งออกและติดตั้งปืนใหญ่แทน เรือลำนี้ก็ถูกส่งออกไปลาดตระเวน ในวันที่ 22 สิงหาคม เรือลำนี้ได้ชนกับเรือลำหนึ่งชื่อแคนาเดียน ไม่นานหลังจากนั้นกระทรวงทหารเรือก็ตระหนักว่าเรือโดยสารขนาดใหญ่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งานสูงเกินไปที่จะนำไปใช้เป็นเรือลาดตระเวน ต่อมาในวันที่ 30 กันยายนเรือจึงได้รับการซ่อมแซม ถอดอาวุธ และส่งคืนคูนาร์ดไลน์[32][4]

หลังไม่ได้ใช้งานมาระยะหนึ่ง ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1915 อาควิเทเนียก็ถูกกระทรวงทหารเรือเรียกกลับมาและปรับเปลี่ยนให้เป็นเรือขนส่งทหาร จากนั้นก็ทำการเดินทางไปยังดาร์ดะเนลส์ บ้างก็แล่นคู่กับบริแทนนิกหรือมอริเทเนีย ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคมของปีนั้น มีทหารประมาณ 30,000 นายถูกขนส่งไปยังสนามรบด้วยเรือลำนี้[32] ต่อมาอาควิเทเนียถูกแปลงเป็นเรือพยาบาล และทำหน้าที่ในบทบาทนั้นในการทัพกัลลิโพลี[1][33] ใน ค.ศ. 1916 ปีที่เอชเอ็มเอชเอส บริแทนนิก เรือธงของไวต์สตาร์และหนึ่งในคู่แข่งสำคัญของอาควิเทเนียได้อับปางลง อาควิเทเนียถูกส่งกลับไปยังแนวหน้าเพื่อขนส่งทหาร และใน ค.ศ. 1917 เรือก็ถูกจอดนิ่งอยู่ที่ช่องแคบโซเลนต์[1][34] ใน ค.ศ. 1918 ภายใต้การบัญชาการของกัปตันเจมส์ ชาลส์ เรือลำนี้ได้กลับมาแล่นบนทะเลหลวงอีกครั้งในฐานะเรือขนส่งทหาร โดยทำหน้าที่ขนส่งทหารจากอเมริกาเหนือไปยังอังกฤษ เรือออกเดินทางจากท่าเรือแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เป็นจำนวนหลายเที่ยว ที่ท่าเรือแห่งนี้ศิลปินและช่างภาพหลายคนรวมถึงแอนโทนีโอ เจคอบเซนก็ได้บันทึกภาพลายพรางของเรือลำนี้ไว้ ครั้งหนึ่งอาควิเทเนียเคยบรรทุกทหารกว่า 8,000 นาย และตลอด 9 ครั้งของการเดินทาง เรือได้ขนส่งทหาทั้งหมดประมาณ 60,000 นาย ในช่วงเวลาดังกล่าวเรือได้ชนกับยูเอสเอส ชอว์ (DD-68) ทำให้หัวเรือรบพังยับเยิน อุบัติเหตุครั้งนี้มีลูกเรือของเรือรบอเมริกันเสียชีวิต 12 นาย[35]
หลังสงครามสิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1918 อาควิเทเนียก็ถูกปลดประจำการทางทหาร ต่อมาในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1919 เรือได้ชนกับเรือบรรทุกสินค้าของอังกฤษชื่อลอร์ดดัฟเฟอริน (Lord Dufferin) ที่นครนิวยอร์ก ทำให้ลอร์ดดัฟเฟอรินอับปางลง และอาควิเทเนียได้ช่วยเหลือลูกเรือทั้งหมดเอาไว้[36] ต่อมาลอร์ดดัฟเฟอรินถูกกู้ขึ้นมาและนำไปเกยตื้น[37]
ระหว่างสงคราม
[แก้]ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1919 อาควิเทเนียเริ่มให้บริการแบบ "รัดเข็มขัด" ของคูนาร์ดไลน์ระหว่างเซาแทมป์ตัน แชร์บูร์ และนิวยอร์ก ในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน อาควิเทเนียถูกนำเข้าอู่เรืออาร์มสตรองวิทเวิร์ธในนิวคาสเซิล เพื่อทำการปรับปรุงสำหรับให้บริการหลังสงคราม เรือถูกเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมาเป็นการใช้น้ำมันแทน ซึ่งช่วยลดจำนวนลูกเรือในห้องเครื่องได้มาก[1][38] อุปกรณ์และงานศิลปะดั้งเดิมที่ถอดออกไปเมื่อคราวปรับปรุงเรือเพื่อใช้ทางทหารถูกนำออกมาจากคลังและติดตั้งใหม่ ในช่วงเวลานี้มีการสร้างสะพานเดินเรือขึ้นมาใหม่ด้านบน เนื่องจากเจ้าหน้าที่ร้องเรียนเกี่ยวกับทัศนวิสัยเหนือหัวเรือ ห้องควบคุมเรือชั้นที่สองนี้สามารถพบได้ในภาพถ่ายในช่วงหลัง และสะพานเดินเรือชั้นล่างเดิมก็ถูกติดแผ่นเหล็กปิดหน้าต่าง[39]
คริสต์ทศวรรษ 1920
[แก้]
อาควิเทเนียกลับมาให้บริการเชิงพาณิชย์อีกครั้งในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1920 โดยออกเดินทางจากลิเวอร์พูลพร้อมผู้โดยสาร 2,433 คน การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จ เรือสามารถรักษาความเร็วได้ดี ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่าการใช้เชื้อเพลิงน้ำมันนั้นประหยัดกว่าถ่านหินอย่างมาก[40] การเดินทางมาถึงท่าเรือนิวยอร์กของเรือลำนี้ถูกบันทึกเป็นภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Manhatta ภาพยนตร์สารคดีรุ่นบุกเบิกใน ค.ศ. 1921 โดยแสดงภาพเรือที่ถูกเรือลากจูงผลักไปยังจุดหมาย เดือนต่อ ๆ มาก็เป็นไปในทิศทางที่ดีเช่นกันแม้ว่าจะมีการนัดหยุดงานของพนักงานต้อนรับบนเรือในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1921[41] ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ อาควิเทเนียเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่เพียงลำเดียวที่ให้บริการของคูนาร์ดไลน์ เนื่องจากมอริเทเนียกำลังซ่อมแซมหลังเกิดเพลิงไหม้ ดังนั้น ค.ศ. 1921 จึงเป็นปีพิเศษของอาควิเทเนีย ในปีนั้นเรือได้ข้ามแอตแลนติกไป 30 ครั้ง (ไปกลับ 15 เที่ยว) และทำลายสถิติโดยขนส่งผู้โดยสารไปทั้งหมด 60,587 คน (26,331 คนในชั้นสาม) เฉลี่ยกว่า 2,000 คนต่อการเดินทางหนึ่งครั้ง[42] ในปีถัดมา มอริเทเนียกลับมาร่วมให้บริการกับคูนาร์ดไลน์อีกครั้ง อาควิเทเนียจึงร่วมให้บริการกับมอริเทเนียและเบเรนแกเรีย (เดิมคือเอสเอส อิมเพอราทอร์ ของเยอรมัน) ภายหลังทั้งสามลำนี้เป็นที่รู้จักในชื่อ "เดอะบิกทรี" (The Big Three)[4][43]
ใน ค.ศ. 1924 สหรัฐออกกฎหมายจำกัดคนเข้าเมืองใหม่ ทำให้จำนวนผู้โดยสารชั้นสามลดลงอย่างมากจากจำนวนกว่า 26,000 คนที่อาควิเทเนียขนส่งใน ค.ศ. 1921 เหลือประมาณ 8,200 คนใน ค.ศ. 1925 เป็นผลให้จำนวนลูกเรือลดลงเหลือประมาณ 850 คนจากเดิม 1,200 คน[43] ชั้นสามจึงไม่ใช่กุญแจสำคัญในการทำกำไรของเรือลำนี้อีกต่อไป คูนาร์ดจึงต้องปรับตัว ชั้นสามค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นชั้นนักท่องเที่ยว ซึ่งให้บริการที่ดีในราคาประหยัด ใน ค.ศ. 1926 เรือผ่านการปรับปรุงครั้งใหญ่ซึ่งลดจำนวนผู้โดยสารเหลือประมาณ 2,200 คนจากเดิม 3,300 คน[44]
อย่างไรก็ตาม คูนาร์ดได้ประโยชน์จากการห้ามขายสุราในสหรัฐที่เริ่มขึ้นใน ค.ศ. 1919 เนื่องจากเรือสหรัฐถือเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนสหรัฐตามกฎหมาย ดังนั้นจึงไม่สามารถเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนเรือเหล่านั้นได้ ผู้โดยสารที่ต้องการดื่มจึงเลือกเดินทางด้วยเรืออังกฤษแทนเพื่อจะทำเช่นนั้น[45] อาควิเทเนียประสบความสำเร็จอย่างมากและสร้างผลกำไรแก่บริษัทเป็นจำนวนมาก ใน ค.ศ. 1929 เรือได้รับการปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยมีการเพิ่มห้องน้ำในห้องโดยสารชั้นหนึ่งหลายห้องและปรับปรุงห้องโดยสารชั้นนักท่องเที่ยว แม้จะมีคู่แข่งรายใหม่เช่น เอสเอส เบรเมิน ของเยอรมันเข้ามาให้บริการ แต่อาควิเทเนียก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างมากหลังให้บริการมาแล้ว 15 ปี[46]
วิกฤตการณ์ ค.ศ. 1929 และผลพวง
[แก้]หลังเกิดเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์ตกใน ค.ศ. 1929 เรือหลายลำได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและจำนวนผู้โดยสารที่ลดลง อาควิเทเนียเองก็ประสบปัญหาเช่นกันเนื่องจากมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถจ่ายค่าโดยสารราคาแพงได้ คูนาร์ดจึงส่งอาควิเทเนียไปล่องเรือสำราญราคาถูกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะชาวอเมริกันที่ต้องการเลี่ยงการห้ามขายสุราในประเทศตน[47] นอกจากนี้ ยังเกิดปัญหาอีกประการหนึ่งนั่นคือเอสเอส เบรเมิน และเอสเอส อ็อยโรปา ของบริษัทนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์สามารถชิงบลูริบบันด์และลูกค้าไปได้จำนวนมาก[48] ใน ค.ศ. 1934 จำนวนผู้โดยสารบนอาควิเทเนียลดลงเหลือประมาณ 13,000 คนจากเดิม 30,000 คนใน ค.ศ. 1929[49] แม้กระนั้น เรือลำนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก และในต้นคริสต์ทศวรรษ 1930 อาควิเทเนียเป็นเรือที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสามรองจากเรือของเยอรมันอีกสองลำ[47]

เพื่อให้เรือยังคงทันสมัย คูนาร์ดได้ทำการปรับปรุงอาควิเทเนียโดยเพิ่มโรงภาพยนตร์เข้าไประหว่าง ค.ศ. 1932–1933 ในขณะเดียวกัน เพื่อปรับปรุงฝูงเรือให้ทันสมัย บริษัทได้สั่งต่อเรืออาร์เอ็มเอส ควีนแมรี แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ ทำให้บริษัทไม่สามารถระดมทุนสร้างเรือได้เต็มจำนวน บริษัทจึงตัดสินใจควบรวมกิจการกับคู่แข่งอย่างไวต์สตาร์ไลน์ใน ค.ศ. 1934 เพื่อดำเนินการสร้างควีนแมรีให้สำเร็จซึ่งเริ่มให้บริการใน ค.ศ. 1936[50] "ซี. อาร์. บอนซอร์ ผู้เขียนในปี ค.ศ. 1963 กล่าวว่า "ตั้งแต่ปี 1936 เป็นต้นมา มีความจำเป็นต้องเร่งความเร็วสูงสุดของอาควิเทเนียเพื่อให้สามารถแล่นคู่กับควีนแมรีได้อย่างเหมาะสม ดังนั้นการเดินทางด้วยความเร็ว 24 นอตจึงกลายเป็นเรื่องปกติ[51]
อาควิเทเนียเกยตื้นในช่องแคบโซเลนต์ในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1934 แต่สามารถลอยตัวได้อีกครั้งในวันเดียวกัน[52] การรวมกิจการของทั้งสองบริษัทกลายเป็นบริษัทคูนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์ ทำให้เกิดเรือส่วนเกินจำนวนมากภายใต้การเป็นเจ้าของโดยบริษัทเดียว ดังนั้นเรือเก่าเช่นมอริเทเนียและโอลิมปิกจึงถูกปลดระวางและส่งไปอู่ตัดเรือทันที อย่างไรก็ตาม อาควิเทเนียกลับไม่ได้ถูกปลดระวางแม้จะมีอายุมากแล้วก็ตาม[53] วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1935 อาควิเทเนียเกยตื้นที่ทอร์นโนลล์ ในช่องแคบโซเลนต์ใกล้กับเซาแทมป์ตัน แต่ด้วยความช่วยเหลือของเรือลากจูงสิบลำในช่วงน้ำขึ้นสูง เรือก็สามารถลอยตัวได้อีกครั้ง[1] เมื่ออาร์เอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธ (RMS Queen Elizabeth) มีกำหนดเข้าประจำการใน ค.ศ. 1940 หนังสือพิมพ์ต่างคาดการณ์ว่าอาควิเทเนียจะถูกขายเป็นเศษเหล็กในปีนั้น เนื่องจากควีนเอลิซาเบธเข้ามาแทนที่เรือลำนี้ในเส้นทางแอตแลนติกเหนือ อย่างไรก็ตาม ผลงานและประสิทธิภาพของเรือยังคงสร้างความพอใจแก่บริษัทและสงครามโลกครั้งที่สองก็ได้ปะทุขึ้น ทำให้เรือเดินสมุทรลำเก่านี้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ใน ค.ศ. 1939 จำนวนผู้โดยสารที่ร่ำรวยบนเรือเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ในขณะนั้นเรือจะมีอายุถึง 26 ปีแล้วก็ตาม[54]
สงครามโลกครั้งที่สอง
[แก้]อาควิเทเนียซึ่งมีความจุบรรทุกทหารปกติ 7,400 นายเป็นหนึ่งในกลุ่มเรือโดยสารขนาดใหญ่และเร็วพิเศษเพียงไม่กี่ลำที่สามารถแล่นบนทะเลได้โดยอิสระโดยไม่ต้องมีเรือคุ้มกัน และสามารถขนส่งทหารจำนวนมากได้ ทำให้ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจทั่วโลกตามความต้องการ[55] กลุ่มเรือเหล่านี้มักถูกเรียกว่า "สัตว์ประหลาด" จนกระทั่งลอนดอนขอให้หยุดใช้คำนี้ เรือเหล่านี้ประกอบด้วยอาควิเทเนีย, ควีนแมรี, ควีนเอลิซาเบธ, มอริเทเนีย II, อีล-เดอ-ฟร็องส์ และนิวอัมสเตอร์ดัม โดยมีกลุ่ม "สัตว์ประหลาดน้อย" ซึ่งเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ที่สามารถแล่นได้อย่างอิสระพร้อมทหารจำนวนมาก คิดเป็นส่วนใหญ่ของกำลังพลและการปรับใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นของสงคราม[56]

แผนการแทนที่อาควิเทเนียด้วยควีนเอลิซาเบธที่ทันสมัยกว่าใน ค.ศ. 1940 นั้นถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการปะทุของสงครามโลกครั้งที่สองใน ค.ศ. 1939[4] วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1939 อาควิเทเนียจอดอยู่ที่ท่าเทียบเรือ 90 ในนิวยอร์ เพื่อรอการแปลงเพื่อใช้เป็นเรือขนส่งทหารร่วมกับควีนแมรี ใกล้เคียงกันที่ท่าเทียบเรือ 88 ก็มีเรือของฝรั่งเศสจอดอยู่คือ เอสเอส อีลเดอฟร็องส์ (SS Île de France) และเอสเอส นอร์ม็องดี (SS Normandie)[1][4] อาควิเทเนียกลับเซาแทมป์ตันและถูกเรียกเข้าประจำการในวันที่ 18 พฤศจิกายน[57]
ภารกิจขนส่งทหารครั้งแรกของอาควิเทเนียคือการนำทหารแคนาดาไปยังสกอตแลนด์ในขบวนเรือ TC1 ร่วมกับอาร์เอ็มเอส เอ็มเพรสออฟบริเตน, เอ็มเพรสออฟออสเตรเลีย, ดัชเชสออฟเบดฟอร์ด, มอนาร์กออฟเบอร์มิวดา, เรือหลวง ฮูด, วอร์สไปท์, บาแรม, เรโซลูชัน, รีพัลส์, และฟิวเรียสในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1939[1] ระหว่างนั้นมีการวางแผนการขนส่งทหารจากออสเตรเลียและนิวซีแลนด์จำนวนมากไปยังสุเอซและแอฟริกาเหนือ โดยมีแผนสำรองว่าอาจเปลี่ยนเส้นทางไปยังสหราชอาณาจักรหากจำเป็น โดยการขนส่งครั้งนี้จะใช้รหัส "US" และมอบหมายให้เรือโดยสารข้ามแอตแลนติกขนาดใหญ่ลำต่าง ๆ เข้าร่วมปฏิบัติการ[58] กองเรือเร็วที่ได้รับการกำหนดรหัส US.3 ประกอบด้วยอาควิเทเนียและเรือโดยสารขนาดใหญ่ได้แก่ ควีนแมรี, มอริเทเนีย II, เอ็มเพรสออฟบริเตน, เอ็มเพรสออฟแคนาดา, เอ็มเพรส ออฟเจแปน และแอนดีส[59] อาควิเทเนีย, เอ็มเพรสออฟบริเตน และเอ็มเพรสออฟเจแปน หลังรับทหารนิวซีแลนด์ขึ้นเรือที่เวลลิงตันในเดือนพฤษภาคมแล้ว ก็ได้แล่นออกไปพร้อมกับการคุ้มกันจากเอชเอ็มเอเอส แคนเบอร์รา, ออสเตรเลีย และเอชเอ็มเอ็นซีเอส เลแอนเดอร์ เพื่อมารวมกับกองกำลังออสเตรเลียที่ซิดนีย์ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 1940[60] เมื่อมาถึงซิดนีย์ ควีนแมรีกับมอริเทเนียได้เข้าร่วมขบวนเรือและออกเดินทางในวันเดียวกัน ในวันรุ่งขึ้น เอ็มเพรสออฟแคนาดาจากเมลเบิร์นก็ได้เข้าร่วมขบวนเรือด้วย ก่อนจะแวะจอดที่ฟรีแมนเทิลระหว่างวันที่ 10–12 พฤษภาคม และเดินทางต่อไปยังโคลัมโบตามแผนการเดิม[60] วันที่ 15 พฤษภาคม ขณะกำลังเดินทางไปยังโคลัมโบครึ่งทาง ขบวนเรือก็ถูกสั่งเปลี่ยนเส้นทางเนื่องจากกองทัพเยอรมันรุกเข้าฝรั่งเศสอย่างรวดเร็ว ปลายทางสุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นกูร็อก ประเทศสกอตแลนด์ โดยจะผ่านเคปทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ และฟรีทาวน์ ประเทศเซียร์ราลีโอน ที่ซึ่งจะมีการเสริมกำลังคุ้มกันด้วยเรือต่าง ๆ รวมถึงเรือบรรทุกเครื่องบินหลวงเฮอร์มีสและอาร์กัส และเรือลาดตระเวนประจัญบานหลวงฮูด[61] ขบวนเรือมาถึงแม่น้ำไคลด์และเทียบท่าที่กูร็อกในวันที่ 16 มิถุนายน ค.ศ. 1940[62]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1941 อาควิเทเนียที่ถูกทาสีใหม่เป็นสีเทาอย่างเรือรบในขณะนั้นได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์ อาณานิคมของอังกฤษ และออกเดินทางจากที่นั่นไปมีส่วนข้องเกี่ยวกับการสูญเสียเรือลาดตระเวนเอชเอ็มเอเอส ซิดนีย์ ของออสเตรเลีย ซิดนีย์ได้เข้าร่วมในยุทธนาวีกับเรือลาดตระเวนเสริมคอร์โมรันของเยอรมัน มีการคาดเดาที่ยังไม่ได้รับการยืนยันมากมายว่าคอร์โมรันคาดหวังที่จะพบกับอาควิเทเนีย หลังสายลับในสิงคโปร์แจ้งให้ลูกเรือคอร์โมรันทราบถึงการออกเดินทางของเรือลำนี้ และวางแผนซุ่มโจมตีในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกของเพิร์ท แต่กลับพบกับซิดนีย์ในวันที่ 19 พฤศจิกายนแทน ทั้งสองลำสูญเสียไปหลังการต่อสู้อย่างดุเดือด เช้าวันที่ 24 พฤศจิกายน ขณะอาควิเทเนียกำลังเดินทางจากสิงคโปร์ไปซิดนีย์ ได้พบเห็นและช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือเยอรมัน 26 คน แต่เรือได้รักษาความเงียบทางวิทยุและไม่ส่งสัญญาณใด ๆ กระทั่งเข้าใกล้แหลมวิลสันส์พรอมอนทอรีในวันที่ 27 พฤศจิกายน[63] กัปตันได้ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามหยุดช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรืออับปาง[1] ไม่มีผู้รอดชีวิตจากซิดนีย์เลย
เดือนธันวาคม ได้เห็นการปะทุของสงครามในแปซิฟิก ตามมาด้วยการรุกคืบของญี่ปุ่นทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมุ่งหน้าสู่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนกำลังป้องกันใหม่[64] วันที่ 28 ธันวาคม อาควิเทเนียพร้อมด้วยเรือขนส่งขนาดเล็กอีกสองลำออกเดินทางจากซิดนีย์โดยบรรทุกทหารออสเตรเลีย 4,150 นายและอุปกรณ์หนัก 10,000 ตันมุ่งหน้าไปยังพอร์ตมอร์สบี ในนิวกินี (ในวันเดียวกัน ยูเอสเอส ฮิวส์ตัน และเรือรบสหรัฐลำอื่น ๆ ที่มาจากทางเหนือได้เดินทางมาถึงดาร์วินโดยมียูเอสเอส เพนซาโคลา และส่วนหนึ่งของกองเรือคุ้มกันฟิลิปปินส์ที่ถูกเปลี่ยนเส้นทางอยู่ห่างออกไปประมาณ 300 ไมล์ทะเล (480 กิโลเมตร)) อาควิเทเนียกลับถึงซิดนีย์อีกครั้งในวันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 1942[65] ภารกิจต่อไปคือการเสริมกำลังให้กับสิงคโปร์และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกของเนเธอร์แลนด์ โดยอาควิเทเนียจะทำหน้าที่ขนส่งทหารออสเตรเลีย (ซึ่งอุปกรณ์ของพวกเขาอยู่ในขบวนเรือ MS.1) ในฐานะขบวนเรือเดี่ยว MS.2 ภายใต้การคุ้มกันของเอชเอ็มเอเอส แคนเบอร์รา[66] เรือลำนี้เป็นเพียงพาหนะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเคลื่อนพลจำนวนมากขนาดนี้ เดิมทีมีการพิจารณาให้ขนส่งไปยังสิงคโปร์โดยตรง แต่เนื่องจากความเสี่ยงจากเครื่องบินที่จะโจมตีทรัพย์สินที่มีค่าและกำลังพลจำนวนมากจึงทำให้แผนการเปลี่ยนไป แทนที่จะเดินทางต่อไป อาควิเทเนียได้ออกเดินทางจากซิดนีย์ในวันที่ 10 มกราคม และถึงอ่าวราไตที่ช่องแคบซุนดาในวันที่ 20 มกราคม ที่นั่นมีการถ่ายย้ายกำลังพล 3,456 นาย (รวมถึงทหารเรือ ทหารอากาศ และพลเรือนบางส่วน) [66] โดยมีกำลังทหารเรือคุ้มกันไปยังเรือขนาดเล็ก 7 ลำ (6 ลำในจำนวนนั้นเป็นเรือของบริษัทเคพีเอ็มของเนเธอร์แลนด์) ซึ่งจะเดินทางต่อไปยังสิงคโปร์ในฐานะขบวนเรือ MS.2A[66] อาควิเทเนียกลับไปยังซิดนีย์ในวันที่ 31 มกราคม[66]

เมื่อสหรัฐเข้าร่วมสงคราม อาควิเทเนียซึ่งในขณะนั้นสามารถบรรทุกกำลังพลได้ 4,500 นายได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ขนส่งทหารสหรัฐไปยังออสเตรเลียในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ด้วยต้องทำการซ่อมแซมที่จำเป็นจึงทำให้แผนการดังกล่าวล่าช้าออกไป เนื่องจากความลึกของตัวเรืออาควิเทเนียเป็นอันตรายต่อท่าเรือในออสเตรเลียและหมู่เกาะในแปซิฟิก[67] อาควิเทเนียจึงใช้เวลาในเดือนมีนาคมและเมษายน ค.ศ. 1942 ขนส่งทหารจากชายฝั่งตะวันตกของสหรัฐไปยังฮาวาย[68][69] ต่อมาอาควิเทเนียถูกย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวในแปซิฟิกเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนย้ายกำลังพลจากสหรัฐไปยังอังกฤษ โดยออกเดินทางจากนิวยอร์กในวันที่ 30 เมษายน ในขบวนเรือขนาดใหญ่ที่ขนส่งทหารราว 19,000 นาย[70] วันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1942 อาควิเทเนียบรรทุกกำลังพลที่กูร็อกเพื่อมุ่งหน้าไปยังสมรภูมิในตะวันออกกลาง โดยออกเดินทางในขบวนเรือ WS19P ในวันที่ 1 มิถุนายน พร้อมด้วยเรือพิฆาตและเผชิญกับสภาพอากาศเลวร้าย แต่เนื่องจากความเร็วที่มากกว่า อาควิเทเนียจึงแยกตัวออกเดินทางเพียงลำเดียวในวันที่ 7 มิถุนายน โดยใช้รหัสขบวนเรือว่า WS19Q[71] ท่าเรือแรกที่จอดคือฟรีทาวน์ (แอฟริกาตะวันตก) เป็นเวลา 48 ชั่วโมงในวันที่ 11 มิถุนายน จากนั้นก็จอดที่ไซมอนส์ทาวน์ ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นเวลา 3 วันในวันที่ 20 มิถุนายน ต่อมาก็จอดที่อันต์ซีรานานา ประเทศมาดากัสการ์ เป็นเวลา 48 ชั่วโมงตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน และจอดที่สตีเมอร์พอยต์ ในเอดินเป็นเวลา 24 ชั่วโมงในวันที่ 3 กรกฎาคม ก่อนจะปล่อยผู้โดยสารลงจากเรือที่ท่าเรือเทฟวิก ประเทศอียิปต์ในวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1942[72] การเดินทางกลับมีเส้นทางผ่านดีเอโกซัวเรซ เคปทาวน์ ฟรีทาวน์ และมุ่งหน้าไปยังบอสตัน ภายในเดือนกันยายน อาควิเทเนียได้เข้าร่วมภารกิจขนส่งทหารรูปแบบสามเหลี่ยมระหว่างสหรัฐ สหราชอาณาจักร และมหาสมุทรอินเดีย[73]
ในฐานะส่วนหนึ่งของการเคลื่อนย้ายทหารออสเตรเลียครั้งใหญ่จากแอฟริกาเหนือเพื่อกลับไปป้องกันประเทศออสเตรเลียและเริ่มปฏิบัติการรุกในแปซิฟิกตะวันตกเฉียงใต้ อาควิเทเนีย, ควีนแมรี, อีล-เดอ-ฟร็องส์, นิวอัมสเตอร์ดัม และเรือพาณิชย์ลาดตระเวนติดอาวุธ เอชเอ็มเอส ควีนออฟเบอร์มิวดา (HMS Queen of Bermuda) ได้ร่วมกันขนส่งกองพลที่ 9 ของกองทัพออสเตรเลียกลับไปยังซิดนีย์ในปฏิบัติการแพมเฟลตระหว่างเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1943[74]
ในช่วงเตรียมการสำหรับการบุกครองยุโรปใน ค.ศ. 1944 การส่งกำลังบำรุงไปยังอังกฤษนั้นต้องพึ่งพาอาควิเทเนียและ "เรือยักษ์" ลำอื่น ๆ เป็นอย่างมาก และไม่มีการเตรียมการใด ๆ เพื่อรองรับการหยุดให้บริการของเรือเหล่านี้เพื่อการขนส่งอื่น ๆ[75]
การขึ้นเรือในช่วงสงครามที่นิวยอร์กมีรายละเอียดอธิบายไว้ในรายละเอียดการเดินทางของกลุ่มพิเศษกองทัพเรือที่ 56 (Special Navy Advance Group 56 - SNAG 56) ซึ่งต่อมากลายเป็นโรงพยาบาลฐานทัพเรือหมายเลข 12 ที่โรงพยาบาลโรยัลวิกตอเรีย ในเน็ตลีย์ ประเทศอังกฤษ เพื่อรับผู้บาดเจ็บจากนอร์ม็องดี หน่วยนี้ถูกส่งไปยังเจอร์ซีย์ซิตีผ่านทางรถไฟ โดยใช้เส้นทางที่อ้อมคดเคี้ยว จากนั้นภายใต้การปกปิดของความมืด พวกเขาก็ขึ้นเรือข้ามฟากไปยังท่าเทียบเรือ 86 ที่ถูกปกปิดในนิวยอร์ก ที่นั่นมีวงดนตรีบรรเลงเพลงและสภากาชาดแจกกาแฟและโดนัทเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะขึ้นเรือ "N.Y. 40" รหัสเรียกอาควิเทเนียของท่าเรือนิวยอร์ก เรือออกเดินทางในเช้าวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1944 โดยบรรทุกทหารเรือราว 1,000 นาย และทหารบก 7,000 นาย โดยเดินทางถึงงกูร็อก ประเทศสกอตแลนด์ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์[76]
ในช่วงเวลา 8 ปีที่ทำหน้าที่ทางทหาร อาควิเทเนียเดินทางเป็นระยะทางมากกว่า 500,000 ไมล์ และขนส่งทหารเกือบ 400,000 นาย[1][77] ไปกลับจากสถานที่ที่ห่างไกล เช่น นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย แปซิฟิกใต้ กรีซ และมหาสมุทรอินเดีย[78] ไมเคิล แกลลาเกอร์ นักประวัติศาสตร์ของคูนาร์ดกล่าวว่า "วินสตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ให้เครดิตแก่อาควิเทเนีย, ควีนแมรี, และควีนเอลิซาเบธ ว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สงครามโลกครั้งที่สองในยุโรปยุติเร็วขึ้นหนึ่งปี"
หลังสงครามและปลดระวาง
[แก้]
หลังเสร็จสิ้นภารกิจขนส่งทหาร เรือก็ถูกส่งคืนคูนาร์ด–ไวต์สตาร์ไลน์ใน ค.ศ. 1948 และผ่านการปรับปรุงเพื่อกลับมาให้บริการขนส่งผู้โดยสาร จากนั้นจึงถูกใช้ในการขนส่งเจ้าสาวสงครามและลูก ๆ ของพวกเขาไปยังแคนาดาภายใต้สัญญาเช่าจากรัฐบาลแคนาดา บริการครั้งสุดท้ายนี้สร้างความผูกพันพิเศษระหว่างอาควิเทเนียกับแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย ท่าเรือปลายทางของการเดินทางอพยพเหล่านี้[79][4]

อาควิเทเนียออกเดินทางในเที่ยวเรือเชิงพาณิชย์ครั้งสุดท้ายจากแฮลิแฟกซ์ไปยังเซาแทมป์ตันระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน ถึง 1 ธันวาคม ค.ศ. 1949 หลังทำหน้าที่เสร็จสิ้น อาควิเทเนียก็ถูกปลดระวางในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1949 เมื่อใบรับรองของคณะกรรมการการค้าหมดอายุ เนื่องจากสภาพของเรือเสื่อมโทรม และการปรับปรุงเรือให้ได้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่โดยเฉพาะกฎระเบียบเกี่ยวกับอัคคีภัยนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงเกินไป ดาดฟ้ารั่วในสภาพอากาศเลวร้าย ผนังกั้นน้ำและปล่องไฟผุกร่อนจนสามารถแทงนิ้วทะลุผ่านได้ มีข่าวลือว่าในระหว่างงานเลี้ยงอาหารกลางวันของบริษัทบนเรือ มีเปียโนตกลงมาจากดาดฟ้าชั้นบนทะลุผ่านหลังคาของห้องอาหารแห่งหนึ่ง ภายหลังได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องเท็จ[4][80]

หลังการเดินทางครั้งสุดท้ายในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1950 จากเซาแทมป์ตันไปยังฟาสเลน เรือลำนี้ก็ถูกขายให้กับบริษัทเหล็กและเหล็กกล้าแห่งอังกฤษ (British Iron and Steel Corporation) เพื่อนำไปตัดเป็นเศษเหล็กในราคา 125,000 ปอนด์ ที่ฟาสเลน ประเทศสกอตแลนด์[1] การรื้อถอนเรือใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี และแล้วเสร็จในที่สุดในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1951[80] เป็นการปิดฉากอาชีพการเดินเรือที่ครอบคลุมระยะทาง 3 ล้านไมล์ในการเดินทางไปกลับ 450 เที่ยว อาควิเทเนียขนส่งผู้โดยสาร 1.2 ล้านคน ตลอดเวลาการให้บริการทางทะเลที่ยาวนานเกือบ 36 ปี ทำให้เป็นเรือด่วนที่ให้บริการยาวนานที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 อาควิเทเนียเป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ลำเดียวและลำสุดท้ายที่ให้บริการและรอดจากสงครามโลกทั้งสองครั้ง นอกจากนี้ยังเป็นเรือโดยสารสี่ปล่องไฟลำสุดท้ายที่ถูกขายเป็นเศษเหล็ก[77] สามารถชมพังงาเรือและแบบจำลองของอาควิเทเนียในมาตราส่วนละเอียดได้ที่นิทรรศการของคูนาร์ดไลน์ ณ พิพิธภัณฑ์ทางทะเลแห่งแอตแลนติก ในแฮลิแฟกซ์
ใน ค.ศ. 1963 นักเขียนทางทะเล เอ็น. อาร์. พี. บอนเซอร์ ได้เขียนถึงอาควิเทเนียไว้ว่า "คูนาร์ดได้รับเรือลำเก่าของพวกเขากลับคืนมาในปี 1948 แต่ไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซม ในช่วง 35 ปีที่ให้บริการ อาควิเทเนียแล่นไปแล้วกว่า 3 ล้านไมล์ และนอกเหนือจากเรือกลไฟของอัลแลนไลน์อีกหนึ่งหรือสองลำแล้ว ก็ไม่มีเรือลำใดให้บริการภายใต้เจ้าของเดียวมานานเท่านี้"[81][82][83]
แกลเลอรี
[แก้]
|
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 Pocock, Michael. "MaritimeQuest – Aquitania (1914) Builder's Data". www.maritimequest.com. สืบค้นเมื่อ 6 April 2018.
- ↑ "HMS Aquitania". Scottish Built Ships: the history of shipbuilding in Scotland. Caledonian Maritime Research Trust. สืบค้นเมื่อ 27 July 2017.
- ↑ Chirnside 2008, p. 8.
- ↑ 4.00 4.01 4.02 4.03 4.04 4.05 4.06 4.07 4.08 4.09 4.10 4.11 4.12 4.13 4.14 4.15 "TGOL – Aquitania". thegreatoceanliners.com. สืบค้นเมื่อ 12 June 2021.
- ↑ 5.0 5.1 "'Aquitania (1914 – 1950 ; 45,674 tons ; Served in two World Wars)". chriscunard.com. 2009. สืบค้นเมื่อ 11 January 2009.
- ↑ Le Goff 1998, p. 37
- ↑ Le Goff 1998, p. 33
- ↑ 8.0 8.1 Chirnside 2008, p. 8
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 Chirnside 2008, p. 13
- ↑ "About QE2". สืบค้นเมื่อ 2009-05-02. Queen Elizabeth 2 : About QE2 : General Information. Retrieved 2 May 2009
- ↑ Piouffre 2009, p. 52.
- ↑ International Marine Engineering & (July 1914), pp. 281–282.
- ↑ Chirnside 2008, p. 14
- ↑ 14.0 14.1 14.2 International Marine Engineering & (July 1914), p. 277.
- ↑ 15.0 15.1 Chirnside 2008, p. 19
- ↑ Chirnside 2008, pp. 58–59
- ↑ Chirnside 2008, p. 40
- ↑ 18.0 18.1 18.2 18.3 International Marine Engineering & (July 1914), p. 282.
- ↑ Chirnside 2008, pp. 14–15
- ↑ 20.0 20.1 International Marine Engineering & (July 1914), p. 283.
- ↑ 21.0 21.1 Chirnside 2008, p. 10
- ↑ Chirnside 2008, p. 88
- ↑ Chirnside 2008, p. 45
- ↑ Aquitania, Down the Years, Mark Chirnside's Reception Room. Accesses 24 February 2013
- ↑ Newspaper articles heralding the new ship on her maiden trip to New York
- ↑ Le Goff 1998, p. 52
- ↑ Le Goff 1998, p. 28
- ↑ The Detroit Times 'Aquitania' Sets New Record For Ocean Passage' June 5 1914
- ↑ 29.0 29.1 Chirnside 2008, p. 23
- ↑ Chirnside 2008, p. 26
- ↑ The Pine Bluff Daily Graphic; "Government Assumes Control of Aquitania For Transport Purposes" July 31, 1914
- ↑ 32.0 32.1 Chirnside 2008, p. 27
- ↑ Le Goff 1998, p. 55
- ↑ Chirnside 2008, p. 33
- ↑ Chirnside 2008, p. 34
- ↑ "Lord Reading's ship in collision". The Times. No. 42038. London. 3 March 1919. col E, p. 10.
- ↑ "Casualty reports". The Times. No. 42038. London. 3 March 1919. col A, p. 16.
- ↑ Le Goff 1998, p. 54
- ↑ Chirnside 2008, p. 35
- ↑ Chirnside 2008, p. 36
- ↑ Chirnside 2008, p. 42
- ↑ Chirnside 2008, p. 44
- ↑ 43.0 43.1 Chirnside 2008, p. 43
- ↑ Chirnside 2008, p. 49
- ↑ Chirnside 2008, p. 51
- ↑ Chirnside 2008, p. 52
- ↑ 47.0 47.1 Chirnside 2008, p. 62
- ↑ Le Goff 1998, p. 73
- ↑ Chirnside 2008, p. 91
- ↑ Chirnside 2008, p. 64
- ↑ Bonsor, C. R. "North Atlantic Seaway" c. 1963
- ↑ "Casualty reports". The Times. No. 46661. London. 25 January 1934. col G, p. 20.
- ↑ Chirnside 2008, p. 66
- ↑ Chirnside 2008, p. 67
- ↑ Gill 1968, pp. 36–37.
- ↑ Chirnside 2008, p. 74
- ↑ Gill 1968, pp. 84–85, 103, 112.
- ↑ Gill 1968, p. 103.
- ↑ 60.0 60.1 Gill 1968, p. 113.
- ↑ Gill 1968, pp. 113–114.
- ↑ Gill 1968, p. 114.
- ↑ Gill 1957, p. 452.
- ↑ Gill 1957, pp. 486–512.
- ↑ Gill 1957, p. 512.
- ↑ 66.0 66.1 66.2 66.3 Gill 1957, p. 523–524.
- ↑ Leighton et al., p. 158, 203.
- ↑ Leighton et al., p. 158.
- ↑ Gill 1968, p. 37.
- ↑ Leighton et al., p. 362.
- ↑ "WS (Winston Specials) Convoys in WW2 – 1942 Sailings". www.naval-history.net. สืบค้นเมื่อ 6 April 2018.
- ↑ Diary LAC A Richardson, 1230298
- ↑ Leighton et al., p. 364.
- ↑ Gill 1968, p. 287.
- ↑ Leighton et al., p. 298.
- ↑ Hudson 1946, pp. 7–11.
- ↑ 77.0 77.1 Chirnside 2008, p. 89
- ↑ Chirnside 2008, p. 76
- ↑ Chirnside 2008, p. 85
- ↑ 80.0 80.1 Chirnside 2008, p. 86
- ↑ North Atlantic Seaway: An Illustrated History of the Passenger Services Linking the Old World with the New, with 1960 Supplement Hardcover – 1960 by N. R. P. Bonsor with later succeeding volumes updated
- ↑ British passenger liners of the five oceans, a record of the British passenger lines and their liners from 1838 to the present day (1963 when published) by Charles Robert Vernon Gibbs, LCCN 63-23868, ASIN B000KF490M
- ↑ Business Reference Services: Ships and Ship Registers: Sources of Information Library of Congress referral page Retrieved 27 May 2017
บรรณานุกรม
[แก้]- Chirnside, Mark (2008). RMS Aquitania: The Ship Beautiful. The History Press. ISBN 9-780752-444444.
- Gill, G. Hermon (1957). Royal Australian Navy, 1939–1942. Australia in the War of 1939–1945. Series 2 – Navy. Vol. 1. Canberra: Australian War Memorial. OCLC 848228.
- Gill, G. Hermon (1968). Royal Australian Navy, 1939–1942. Australia in the War of 1939–1945. Series 2 – Navy. Vol. 2. Canberra: Australian War Memorial. OCLC 65475.
- Hudson, Henry W. (1946). The Story of SNAG 56. Cambridge, Mass.: Harvard University Press.
- "The New Cunard Express Liner Aquitania". International Marine Engineering. Aldrich Publishing Company. XIX (July 1914): 277–283. 1914. สืบค้นเมื่อ 19 October 2014.
- Layton, Kent; Fitch, Tad (2016). The Unseen Aquitania: the ship in rare illustrations. Stroud, Gloucestershire: The History Press. ISBN 978-0750967358.
- Leighton, Richard M; Coakley, Robert W (1968) [1st. Pub. 1955]. The War Department – Global Logistics And Strategy 1940–1943. United States Army in World War II. Vol. 1. Washington, DC: Center of Military History, United States Army. LCCN 55060001.
- Leighton, Richard M; Coakley, Robert W (1968) [1st. Pub. 1955]. The War Department – Global Logistics And Strategy 1943–1945. United States Army in World War II. Vol. 2. Washington, DC: Center of Military History, United States Army. LCCN 55060001.
- Le Goff, Olivier (1998). Les Plus Beaux Paquebots du Monde (ภาษาฝรั่งเศส). Solar. ISBN 978-2263027994.
- Navy Department – Headquarters of the Commander in Chief, United States Fleet; Commander, Tenth Fleet (1945). "United States Naval Administration in World War II – History of Convoy and Routing". Naval History & Heritage Command. สืบค้นเมื่อ 20 October 2014.
- Osborne, Richard; Spong, Harry & Grover, Tom (2007). Armed Merchant Cruisers 1878–1945. Windsor, UK: World Warship Society. ISBN 978-0-9543310-8-5.
- Piouffre, Gérard (2009). Le Titanic ne répond plus (ภาษาฝรั่งเศส). Paris: Larousse. ISBN 978-2-03-584196-4.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Aquitania Home at "Atlantic Liners.com"
- "Aquitania". Chris' Cunard Page. สืบค้นเมื่อ 16 February 2010.
- A First-Hand Account of a Second World War Voyage on the Aquitania (PDF Download)
- Aquitania on Lost Liners.com เก็บถาวร 1 เมษายน 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- Atlantic Liners: A Trio of Trios, by J. Kent Layton
- Grace's Guide page on Aquitania
- Great Ships
- University of Kentucky
- Liverpool Echo
- Lloyd's Register Foundation
- RMS Aquitania Archival Collection - GG Archives