สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ คือรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย ซึ่งมักได้รับการอธิบายว่า เป็นการแตกแขนงมาจากสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในยุโรปและอเมริกาเหนือซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดกำเนิดสถาปัตยกรรมแขนงนี้ โดยปรับใช้ให้เข้ากับปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ในประเทศไทย โดยมากเน้นด้านภูมิอากาศที่แตกต่างกัน

ที่มา[แก้]

บริบท[แก้]

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เริ่มสร้างมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา ที่สร้างขึ้นในบริบทความเป็นสมัยใหม่ ในแต่ละประเทศซึ่งอาจมีความแตกต่างกันในทางการเมือง สังคม วัฒนธรรม และเทคโนโลยีในช่วงเวลาเดียวกัน หรือแตกต่างกันในศตวรรษดังกล่าว แต่มีความเชื่อมโยงกันในบางแง่มุม ในยุโรป ลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เป็นการออกแบบผังแบบเปิด การใช้คอนกรีต เหล็ก และกระจก การใช้เสาลอย การต่อต้านเครื่องประดับตกแต่ง เป็นต้น

ในประเทศไทยมีสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกที่สร้างขึ้นอย่างแพร่หลายตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึง พ.ศ. 2475[1] ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มีอาคารที่ผสานผัง วัสดุและงานระบบซึ่งตอบรับการใช้งานสมัยใหม่เข้ากับองค์ประกอบสถาปัตยกรรมไทย ที่เรียกว่า "สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์" ตัวอย่างเช่น หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งเป็นงานออกแบบร่วมกันระหว่างพระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์) และ พระพรหมพิจิตร (พรหม พรหมพิจิตร) งานสถาปัตยกรรมสมัยนี้เป็นการผสมผสานความรู้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ให้เข้ากับความคิดวิธีตามอย่างครูหรือสถาปัตยกรรมไทยประเพณี[2]

จุดเริ่มต้น[แก้]

ตึก 9 โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา (พ.ศ. 2513) ออกแบบโดยองอาจ สาตรพันธุ์

นับแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สถาปนิกไทยที่ได้รับการศึกษาจากยุโรปเริ่มมีบทบาทสำคัญในวงการออกแบบก่อสร้างในประเทศไทยแทนสถาปนิกต่างชาติ ได้แนวคิดทางด้านนวยุคนิยมมากขึ้นตามลำดับ สถาปนิกในช่วงพุทธทศวรรษ 2500–2520 ซึ่งได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ได้รับอิทธิพลของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ จึงทำให้เริ่มมีการชะงักของสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์[3]

ตัวอย่างแรก ๆ ของสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่คือ อาคารพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ ภายในบริเวณท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร (พ.ศ. 2519) ออกแบบโดยสุเมธ ชุมสาย ณ อยุธยา อาคารรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ยุคแรกเริ่ม มีลักษณะเป็นอาคารรูปทรงเรขาคณิตและเทคนิคการหล่อคอนกรีดแทนการก่ออิฐถือปูนแบบเดิม ๆ จัดวางผังอาคารโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเพื่อประหยัดการใช้พลังงาน ออกแบบแผงกันแดดแทนการใช้ชายคา พื้นผิวเปลือย แสดงเนื้อแท้ของวัสดุ หลายงานได้รับอิทธิพลจากเลอกอร์บูซีเย ตัวอย่างอาคารเช่น ตึก 9 โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา (พ.ศ. 2513) ออกแบบโดยองอาจ สาตรพันธุ์ โรงแรมอินทรา (พ.ศ. 2513) โชคชัยอินเตอร์ชั่นแนล (พ.ศ. 2512) ออกแบบโดยรังสรรค์ ต่อสุวรรณ และสำนักงานใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม (พ.ศ. 2524) เป็นต้น[4]

ปัจจุบัน[แก้]

การขยายตัวทางเศรษฐกิจขนานใหญ่ในช่วง พ.ศ. 2526–2539 ที่ทําให้เกิดการก่อสร้างอาคารจํานวนมาก มีงานออกแบบและสร้างในรูปแบบที่เรียกกันทั่วไปว่า "กล่องกระจก" หรืออาคารพาณิชยกรรมหรือพักอาศัยในรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกในอดีต[2] หลังวิกฤตต้มยำกุ้งในปี พ.ศ. 2540 สถาปัตยกรรมของไทยเกิดจากการผสมเอกลักษณ์ของอาคารพื้นถิ่นและอิทธิพลของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ เช่นผลงานของนิธิ สถาปิตานนท์, ดวงฤทธิ์ บุนนาค, อมตะ หลูไพบูลย์, วสุ วิรัชศิลป์ และปิตุพงษ์ เชาวกุล คำนึงถึงลักษณะทางภูมิศาสตร์และสภาพภูมิอากาศ[5]

อ้างอิง[แก้]

  1. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม สมัยรัชกาลที่ 4–พ.ศ. 2480. (กรุงเทพฯ : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553).
  2. 2.0 2.1 ชมชน ฟูสินไพบูลย์. "ประวัติศาสตร์นิพนธ์ด้านสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ในประเทศไทย". หน้าจั่ว. 2559 (13).
  3. Horayangkura, Vimolsiddhi (2010). "The Creation of Cultural Heritage: Towards Creating a Modern Thai Architectural Identity". Manusya Journal of Humanities. 13 (1): 7.
  4. "Modern Thai Architecture 1967-1987 อยากทันสมัย สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของไทย พ.ศ. 2510 — 2530". TCDC.
  5. Jenchieh Hung และ กุลธิดา ทรงกิตติภักดี. "New Waves of Thai Architects คลื่นระลอกใหม่จากสถาปัตยกรรมร่วมสมัยในประเทศไทย". สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์.