ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประวัติศาสตร์โลก"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
เป็นเเฟนกันนะ.🤪 ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
เป็นเเฟนกันนะ.🤪 |
|||
'''ประวัติศาสตร์โลก'''หรือ'''ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ'''เริ่มต้นที่[[ยุคหินเก่า]] ประวัติศาสตร์โลกไม่รวม[[ประวัติศาสตร์ธรรมชาติ]]ที่ไม่ใช่มนุษย์และ[[ควอเทอร์นารี|ประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา]] ยกเว้นตราบเท่าที่โลกธรรมชาตินั้นกระทบต่อชีวิตมนุษย์เป็นอย่างมาก ประวัติศาสตร์โลกประกอบด้วยการศึกษาทางโบราณคดีและหลักฐานลายลักษณ์อักษรตั้งแต่สมัยโบราณ ประวัติศาสตร์โบราณที่มีบันทึกเริ่มต้นจากการประดิษฐ์[[การเขียน]] ทว่า รากเหง้าแห่งอารยธรรมมีมาแต่ก่อนการประดิษฐ์การเขียน สมัยก่อนประวัติศาสตร์เริ่มต้นในยุคหินเก่า ต่อด้วย[[ยุคหินใหม่]]และ[[การปฏิวัติเกษตรกรรม]] (ระหว่าง 8000 ถึง 5000 ปีก่อนคริสตกาล) ใน[[พระจันทร์เสี้ยวอันอุดมสมบูรณ์]] (Fertile Crescent) การปฏิวัติเกษตรกรรมเป็นเครื่องหมายการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์มนุษย์ โดยมนุษย์เริ่มต้นทำการเกษตร คือ กสิกรรมและการเลี้ยงสัตว์อย่างเป็นระบบ<ref name="Tudge">{{cite book |
|||
| last = Tudge | first = Colin | authorlink = Colin Tudge |
|||
| title = [[Neanderthals, Bandits and Farmers|Neanderthals, Bandits and Farmers: How Agriculture Really Began]] |
|||
| year = 1998 | publisher = Weidenfeld & Nicolson | location = London | isbn = 0-297-84258-7 |
|||
}}</ref><ref>Bellwood, Peter. (2004). ''First Farmers: The Origins of Agricultural Societies'', Blackwell Publishers. ISBN 0-631-20566-7</ref><ref>Cohen, Mark Nathan (1977) ''The Food Crisis in Prehistory: Overpopulation and the Origins of Agriculture'', New Haven and London: Yale University Press. ISBN 0-300-02016-3.</ref> เมื่อเกษตรกรรมก้าวหน้าขึ้น มนุษย์ส่วนมากเปลี่ยนจากวิถีชีวิตเร่ร่อนมาเป็นตั้งถิ่นฐานเป็นเกษตรกรในนิคมถาวร การเร่ร่อนยังมีอยู่ในบางที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ห่างไกลซึ่งมีพืชที่เพาะปลูกได้ไม่กี่ชนิด<ref>See [[Jared Diamond]], ''[[Guns, Germs and Steel]]''.</ref> แต่ความมั่นคงสัมพัทธ์และผลิตภาพที่เพิ่มขึ้นจากกสิกรรมทำให้ชุมชนมนุษย์ขยายเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่า ซึ่งความก้าวหน้าในการขนส่งก็มีส่วนช่วย |
|||
เมื่อกสิกรรมพัฒนา การเพาะปลูกธัญพืชมีความซับซ้อนขึ้นและทำให้มี[[การแบ่งงานกันทำ]]เพื่อเก็บอาหารระหว่างฤดูเพาะปลูก จากนั้นการแบ่งงานทำให้เกิดชนชั้นสูงที่สุขสบายและพัฒนาการ[[นคร]] สังคมมนุษย์ที่ซับซ้อนมากขึ้นทำให้ระบบการเขียนและการบัญชีมีความจำเป็น หลายนครพัฒนาบนตลิ่งทะเลสาบและแม่น้ำ ตั้งแต่ 3000 ปีก่อนคริสตกาล เกิดนิคมโดดเด่นและมีการพัฒนา เช่นใน[[เมโสโปเตเมีย]] ริมตลิ่ง[[แม่น้ำไนล์]]แห่งอียิปต์ และหุบ[[แม่น้ำสินธุ]] อาจมีอารยธรรมคล้ายกันพัฒนาขึ้นตามแม่น้ำสำคัญในจีน แต่หลักฐานทางโบราณคดีของการสร้างเมืองอย่างกว้างขวางในที่นั้นชัดแจ้งน้อยกว่า |
|||
แต่ปัจจุบัน พบหลักฐานเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ |
|||
โบราณสถานเหอหมู่ตู้ ในประเทศจีน หรือ 7,000 ปีมาแล้ว ได้พบข้าวโบราณจำนวน 12 ตัน และเครื่องมือแปรรูปธัญพืช 170 กว่าชิ้น ในโบราณสถานเหอหมู่ตู้ เมืองอวี๋หยาว |
|||
ต่อมามีการพบขุดพบ “เม็ดข้าวคาร์บอน” หนึ่งเม็ดที่มีอายุมากกว่า 12,000 ปี ที่อวี้ฉานเหยียน อำเภอเต้า มณฑลหูหนาน ประเทศจีน |
|||
ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เก่าแก่กว่าโบราณสถานทุกแห่ง |
|||
มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้วิจัยเรียงลำดับของยีนในข้าวเจ้า พบว่า |
|||
“ลุ่มแม่น้ำแยงซีเกียงของจีนคือแหล่งกำเนิดเพียงแห่งเดียวของข้าวเจ้าเมื่อ 8,500 ปีก่อน” |
|||
[ที่มา cim.chinesecio] |
|||
ประวัติศาสตร์[[โลกเก่า]] (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง[[ยุโรป]]และเมดิเตอร์เรเนียน) โดยทั่วไปแบ่งเป็น[[ยุคโบราณ]] ถึง ค.ศ. 476, [[สมัยกลาง]] ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 5 ถึง 15 ซึ่งรวม[[ยุคทองของอิสลาม]] (ประมาณ ค.ศ. 750-1258) และ[[ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา]]ยุโรปตอนต้น (เริ่มต้นประมาณ ค.ศ. 1300), [[ยุคใหม่ตอนต้น]] ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งรวม[[ยุคเรืองปัญญา]] และ[[ยุคใหม่ตอนปลาย]] นับแต่[[การปฏิวัติอุตสาหกรรม]]ถึงปัจจุบัน รวมทั้ง[[ประวัติศาสตร์ร่วมสมัย]] ตะวันออกใกล้โบราณ กรีซโบราณและโรมโบราณมีความโดดเด่นในยุคโบราณ ในประวัติศาสตร์ยุโรปตะวันตก การเสียกรุงโรมมักยึดเป็นการสิ้นสุดของยุคโบราณและการเริ่มต้นของสมัยกลาง ขณะที่ยุโรปตะวันออกมีการเปลี่ยนผ่านจาก[[จักรวรรดิโรมัน]]เป็น[[จักรวรรดิไบแซนไทน์]] ซึ่งรุ่งเรืองต่อมาอีกเป็นเวลานาน กลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 การประดิษฐ์[[การพิมพ์]]สมัยใหม่ของ[[โยฮันน์ กูเทนแบร์ก]]<ref>{{cite web|accessdate=2008-05-20|url=http://www.open2.net/historyandthearts/discover_science/gberg_synopsis.html|title=What Did Gutenberg Invent?|publisher=BBC}}</ref> ซึ่งใช้[[การสื่อสาร]]แบบเคลื่อนที่ได้และเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เป็นจุดสิ้นสุดของยุคกลางและนำไปสู่[[การปฏิวัติวิทยาศาสตร์]]<ref>Grant, Edward. The Foundations of Modern Science in the Middle Ages: Their Religious, Institutional, and Intellectual Contexts. Cambridge: Cambridge Univ. Pr., 1996.</ref> เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 18 การสะสมความรู้และเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ได้ถึงจำนวนวิกฤต (critical mass) อันนำมาซึ่ง[[การปฏิวัติอุตสาหกรรม]]<ref>ดูเพิ่มใน Charles. ''Understanding the Industrial Revolution'' (2000) [http://www.questia.com/PM.qst?a=o&d=102816164 online edition]</ref> |
|||
ในส่วนอื่นของโลก เช่น ตะวันออกใกล้โบราณ จีนโบราณ และอินเดียโบราณ |
|||
[[เมื่อกล่าวถึงจีนโบราน จะหมายถึง: |
|||
เทียนอ่องสี หรือ ฝูซี (Fuxi) |
|||
อี้จิ้ง 8 ทิศ ผู้วางรากฐาน ของตัวอักษรภาพ |
|||
ตี่อ่องสี หรือ เสินหนง (Shennong) |
|||
ฉักกะลักษณ์ 64 ขยาย อี้จิ้ง |
|||
ริเริ่มนำใบชานั้นไปต้มกับน้ำ |
|||
ผู้วางรากฐาน ของตัวอักษรเลขฐานสอง |
|||
จักรพรรดิเหลืองหวงตี้(Haung Di) |
|||
กำเนิดตัวอักษร,เข็มทิศ,เครื่องปั่นดินเผา และการปลูหหม่อนเลี้ยงไหม]] |
|||
เส้นเวลาทางประวัติศาสตร์ได้คลี่ออกต่างกัน อย่างไรก็ดี จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 18 เนื่องจากการค้าโลกที่ขยายตัวและการล่าอาณานิคม ทำให้ประวัติศาสตร์ของอารยธรรมโลกส่วนมากสานเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ในช่วงสองร้อยกว่าปีล่าสุด การเติบโตของความรู้ เทคโนโลยี การพาณิชย์ และศักยภาพการทำลายล้างของสงครามได้เร่งให้เกิดขึ้น ก่อให้เกิดโอกาสและอันตรายซึ่งปัจจุบันกำลังเผชิญชุมชนมนุษย์ที่อยู่อาศัยบนดาวเคราะห์ดวงนี้<ref>[http://stateoftheworld.reuters.com Reuters – The State of the World] The story of the 21st century</ref><ref>{{cite web|url=http://www.sciam.com/article.cfm?chanID=sa006&articleID=00031010-F7DA-1304-B72683414B7F0000 |title=Scientific American Magazine (September 2005 Issue) The Climax of Humanity |publisher=Sciam.com |date=2005-08-22 |accessdate=2009-04-18}}</ref> |
|||
== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ == |
== ยุคก่อนประวัติศาสตร์ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 06:05, 10 มิถุนายน 2562
เป็นเเฟนกันนะ.🤪
ยุคก่อนประวัติศาสตร์
มนุษย์โฮโมเซเปียนส์ หรือมนุษย์ปัจจุบันเริ่มปรากฏครั้งแรกบนโลกในช่วง 400,000 ถึง 250,000 ปีทีผ่านมา ระหว่างยุคหินเก่า หลังจากวิวัฒนาการยาวนานของมนุษย์ ทักษะการประดิษฐ์เครื่องมือของมนุษย์นั้นมีมาตั้งแต่มนุษย์ยุคก่อนอย่างโฮโม อีเร็กตัสแล้ว มนุษย์ยังรู้จักใช้ไฟในการให้ความร้อน และปรุงอาหาร นอกจากนั้นแล้วมนุษย์ยุคปัจจุบันยังได้พัฒนาภาษา และยังมีพิธีกรรมหลังความตาย และเริ่มดำรงชีวิตด้วยการไล่ล่า-หาเก็บและเป็นสังคมเร่ร่อน
มนุษย์ในยุคปัจจุบันหรือโฮโมซาเปียนส์เริ่มกระจายตัวจากแอฟริกา ไปยังบริเวณยุโรปและเอเชียซึ่งยังไม่มีน้ำแข็งปกคลุมอย่างรวดเร็ว และขยายถิ่นฐานไปยังอเมริกาเหนือและโอเชียเนีย ในช่วงที่ยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุดกำลังเข้าสู่ช่วงสูงสุด เมื่ออุณหภูมิของอาณาเขตระหว่างซีกโลกร้อนกับขั้วโลก (Temperate Zone) เริ่มลดต่ำลงจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ มนุษย์จึงหยุดขยายตัวไปทางเหนือและใต้ แต่เน้นกระจายในอาณาเขตที่ไม่มีน้ำแข็งจนครอบคลุมโลกทั้งใบในช่วง 12,000 ปีที่แล้ว
การปฏิวัติเกษตรกรรมเริ่มขึ้นครั้งแรกในราวๆ 10,000 ปีก่อนคริสตกาล การทำเกษตรกรรมเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดระบบการจัดการ และสร้างอาหารส่วนเกิน (surplus) จากการบริโภคทำให้เกิดการค้าขายได้ การเกษตรสร้างระบบเมืองในยุคแรก ทำให้เกิดการค้าขาย การผลิต และอำนาจทางการเมือง สำหรับผู้ไม่ได้ผลิตในภาคการเกษตร [1][2] [3]
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/91/Sumerian_26th_c_Adab.jpg/220px-Sumerian_26th_c_Adab.jpg)
การพัฒนาระบบเมืองยังทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านภาษา และความรุ่งเรืองของอารยธรรมตามมา ดังจะเห็นได้จากในช่วง 40,000 ปีก่อนคริสตกาลก่อนจะมีเมืองเกิดขึ้น มีหลักฐานการสร้างที่อยู่อาศัยที่มนุษย์สร้างขึ้นในตอนเหนือของแคว้นปัญจาบ และเอเชียกลาง (Bactria) ในช่วง 7,000 ปีก่อนคริสตกาล มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มปลูกข้าวบาร์เลย์ และเลี้ยงแกะกับแพะ ในบริเวณดังกล่าว ในช่วงนั้น คนเริ่มอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งสร้างโดยอิฐและดินเหนียว ซึ่งบางส่วนยังคงเหลือให้เห็นในปัจจุบัน แหล่งอารยธรรมแรกเป็นแหล่งอารยธรรมเมโสโปเตเมียตอนล่างของชาวสุเมเรียน ในช่วง 3500 ปีก่อนคริสตกาล[4][5] ตามมาด้วยอารยธรรมอียิปต์ บริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ ในช่วง 3300 ปีก่อนคริสตกาลและอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ในช่วงเดียวกัน [6][7] ระบบเมืองเริ่มซับซ้อนมากขึ้นจากระบบทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ละอารยธรรมมีความแตกต่างจากอารยธรรมอื่นเนื่องจากอารยธรรมต่างๆ ยังไม่สัมพันธ์กัน เริ่มมีระบบการเขียน และการค้าขาย
ความเชื่อทางศาสนาในช่วงนี้ให้ความเคารพในโลก ท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์[8] และการเปรียบปรากฏการณ์หรือสิ่งไม่มีชีวิตต่างๆ ให้เป็นเทพเจ้า หรือเปรียบเหมือนมนุษย์ มีการสร้างปูชนียสถานไว้เคารพสักการะ นำไปสู่การสร้างเทวสถาน และระบบนักบวช ในที่สุด
ยุคโบราณ
อู่อารยธรรม
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/af/All_Gizah_Pyramids.jpg/220px-All_Gizah_Pyramids.jpg)
ยุคสำริดเป็นหนึ่งยุคตามการแบ่งระบบสามยุค ซึ่งได้แก่ ยุคหิน ยุคสำริด และยุคเหล็ก ซึ่งอธิบายประวัติศาสตร์ยุคต้นของอรรยาธรรมในบางส่วนของโลกได้เป็นอย่างดี เราจะเริ่มเห็นระบบเมือง และการเติบโตของอารยธรรมของบริเวณพื้นที่อุดมสมบูรณ์ในยุคเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามลุ่มแม่น้ำต่างๆ เช่นลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟติสในเมโสโปเตเมีย ลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ ลุ่มแม่น้ำสินธุ ในอินเดีย และลุ่มแม่น้ำฮวงโหในจีน
เราเริ่มเห็นความรุ่งเรืองของเมโสโปเตเมียในช่วงสังคมของชาวสุเมเรียน ชาวสุเมเรียนมีระบบการเขียนโดยใช้อักษรคูนิฟอร์ม ซึ่งเป็นอักษรภาพที่มีลักษณะคล้ายลิ่มราวๆ 3000 ปีก่อนคริสตกาล และตัวอักษรก็ค่อยถูกพัฒนาให้เรียบง่ายและเป็นนามธรรมมากขึ้น การเขียนอักษรคูนิฟอร์มนั้นต้องเขียนในแผ่นดินเหนียวด้วยต้นกก การเขียนช่วยในการบริหารเมืองที่ใหญ่ขึ้นได้ง่ายขึ้นมาก และในยุคนี้ยังได้เห็นพัฒนาการทางด้านการทหารเช่นรถม้าและทหารม้า ทำให้เคลื่อนพลได้เร็วขึ้น
การพัฒนาเหล่านี้นำไปสู่การสร้างจักรวรรดิ โดยจักรวรรดิแรกที่ควบคุมดินแดนขนาดใหญ่และประกอบไปด้วยหลายเมืองเกิดขึ้นในอียิปต์ด้วยการรวมกันของอียิปต์ตอนล่างและตอนบนในช่วง 3100 ปีก่อนคริสตกาล ในอีกพันปีต่อมาก็เกิดจักรวรรดิอาคาเดียนในเมโสโปเตเมียก็เจริญรุ่งเรืองขึ้น[9] พร้อมๆ กับการสถาปนาราชวงศ์เซี่ยของจีนในช่วง 2200 ปีก่อนคริสตกาล
เส้นเวลา
- เวลาที่ปรากฏดังกล่าวเป็นการประมาณเท่านั้น รายละเอียดสามารถตรวจสอบได้ในบทความเฉพาะด้านต่างๆ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/th/timeline/co414gehrrvkuqhj80xpxrh3un3of1a.png)
ยุคแกนหลักความคิด (Axial Age)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/7/72/Angkor_wat_temple.jpg/220px-Angkor_wat_temple.jpg)
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาลมีการพัฒนาแนวคิดทางศาสนาและปรัชญาครั้งใหญ่ในหลายๆ แหล่งอารยธรรมอย่าง ลัทธิขงจื้อในจีน ศาสนาพุทธและเชนในอินเดีย ศาสนาโซโรอัสเตอร์ในเปอร์เซีย ศาสนาเอกเทวนิยมและศาสนายิวในอียิปต์โบราณ และในช่วงคริตศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล โสกราตีส และ เพลโตก็ได้วางรากฐานของปรัชญากรีกโบราณ
ทางด้านจีนเองก็ได้รับอิทธิพลการคิดมาจากสามสำนักสำคัญจนถึงปัจจุบันได้แก่ ลัทธิเต๋า,[10] ลัทธิกฎหมาย[11] และ ลัทธิขงจื้อ.[12]ซึ่งแพร่หลายไปยังทั้งเกาหลีและญี่ปุ่น
ทางด้านยุโรปเองได้รับอิทธิพลมาจากปรัชญากรีกโบราณอย่าง โสกราตีส[13] เพลโต,[14] และอริสโตเติล,[15][16] ซึ่งแพร่หลายไปยังทั่วทั้งยุโรปและตะวันออกกลางในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลจากการพิชิตดินแดนของอเล็กซานเดอร์มหาราช[17][18][19]
ยุคจักรวรรดิ
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/a/ad/Parthenon_from_west.jpg/220px-Parthenon_from_west.jpg)
ช่วงพันปีระหว่าง 500 ปีก่อนคริสตกาลจนถึง ค.ศ. 500 เกิดจักรวรรดิที่กว้างใหญ่อย่างไม่เคยมีมาก่อน กองทัพที่ถูกฝึกมาอย่างดี อุดมการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียว และการปกครองที่เป็นระบบทำให้จักรพรรดิสามารถปกครองประชากรภายใต้อาณัติถึงหลายสิบล้านคน
ประวัติศาสตร์โลกช่วงนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีก้าวหน้าค่อนข้างช้าแต่มั่นคง พัฒนาการครั้งสำคัญอย่างโกลนและคันไถจะเกิดขึ้นทุกๆ สองสามศตวรรษ อย่างไรก็ตามในบางภูมิภาคกลับมีช่วงพัฒนาทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วมากเช่นแถบเมดิเตอร์เรเนียนในช่วงเฮเลนมีสิ่งประดิษฐ์คิดค้นจำนวนมาก [20] [21] [22] ช่วงพัฒนาดังกล่าวตามมาด้วยช่วงการถดถอยทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นระหว่างการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันและช่วงยุคกลางตอนต้นที่ตามมา
อำนาจของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เกิดจากการผนวกดินแดนโดยใช้กำลังทหารและการตั้งถิ่นฐานเพื่อปกป้องศูนย์กลางทางการเกษตร[23] สันติภาพชั่วคราวที่เกิดจากระบบจักรวรรดิก่อให้เกิดเส้นทางการค้าขายระหว่างประเทศ เส้นทางที่โดดเด่นที่สุดได้แก่เส้นทางการค้าหลายสายในแถบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเกิดในยุคเฮเลนิสติกและเส้นทางสายไหม
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/2/23/PtolemyWorldMap.jpg/220px-PtolemyWorldMap.jpg)
จักรวรรดิทุกแห่งต่างเผชิญกับปัญหาเดียวกันคือการจัดการกองกำลังทหารขนาดใหญ่และการสร้างการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจ ความยุ่งยากในการปกครองประชากรทั้งหมดทำให้เจ้าของที่ดินขนาดใหญ่เริ่มมีอำนาจมากขึ้นและท้าทายระบบการรวมศูนย์อำนาจ การโจมตีจากชนเผ่าอนารยชนต่างๆ ตามขอบชายแดนทำให้การปกครองส่วนกลางเริ่มระส่ำระสาย เกิดสงครามกลางเมืองในจักรวรรดิฮั่นของจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 220 ในขณะเดียวกันก็เกิดการแบ่งขั้วและแยกศูนย์อำนาจขึ้นในจักรวรรดิโรมัน
ในโลกตะวันตก ชาวกรีกได้สร้างอารยธรรมซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน จนหลายศตวรรษต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล ชาวโรมันเริ่มขยายเขตแดนด้วยการใช้กำลังทหารและการล่าอาณานิคม ในยุคสมัยจักรพรรดิออกัสตัส(ปลายศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล) โรมยึดครองอาณาเขตทั้งหมดรอบเมดิเตอเรเนียน ในยุคสมัยจักรพรรดิทราจัน(ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 2) โรมยึดครองอาณาเขตส่วนใหญ่ของอังกฤษและเมโสโปเตเมีย
ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล อาณาเขตส่วนใหญ่ของเอเชียใต้ถูกรวบรวมเป็นจักรวรรดิโมริยะโดยพระเจ้าจันทรคุปต์เมารยะ และรุ่งเรืองที่สุดในยุคพระเจ้าอโศกมหาราช คริสตวรรษที่ 3 จักรวรรดิคุปตะเข้าครอบครองอาณาเขตนี้และเข้าสู่ยุคทองของอายธรรมอินเดียโบราณ มีราชวงศ์ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเข้ามาครองครองเอเชียใต้จำนวนมากทั้งจาลุกยะ ราษฏรกูฏ ฮอยซาลา และวิชัยนคร ท่ามกลางความรุ่งเรืองของวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม ศิลปกรรม วรรณกรรม และปรัชญาซึ่งอุปถัมภ์โดยกษัตริย์องค์ต่างๆ
ในขณะเดียวกัน ราชวงศ์ฮั่นได้ยึดครองเอเชียตะวันออกเป็นจักรวรรดิจีนที่เก่าแก่ ราชวงศ์ฮั่นได้รับยกย่องว่าเป็นโรมตะวันออก (Rome of China) ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของเส้นทางสายไหม ในขณะที่แสนยานุภาพทางทหารของโรมันแทบไม่สามารถเอาชนะได้ จีนฮั่นได้พัฒนาการทำแผนที่ การต่อเรือ และการเดินเรือ โลกตะวันออกได้สร้างเตาหลอมโลหะ ทำให้สามารถผลิตเครื่องมือจากทองแดงที่สามารถปรับแต่งได้อย่างละเอียด เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ในยุคโบราณ จีนฮั่นพัฒนาระบบการปกครอง การศึกษา คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/9f/Llullaillaco_mummies_in_Salta_city%2C_Argentina.jpg/220px-Llullaillaco_mummies_in_Salta_city%2C_Argentina.jpg)
![](http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/62/80_-_Machu_Picchu_-_Juin_2009_-_edit.jpg/220px-80_-_Machu_Picchu_-_Juin_2009_-_edit.jpg)
อารยธรรมอเมริกาเริ่มต้นเมื่อประมาณ 2000 ปีก่อนคริสตกาลในแถบเมโสอเมริกา [24] เกิดสังคมก่อนยุคโคลัมเบียนอย่างแหล่งอารยธรรมมายาและจักรวรรดิแอซเท็ก หลังจากการล่มสลายของวัฒนธรรมเริ่มต้นอย่าง วัฒนธรรมโอเมก [25] อารยธรรมมายาเริ่มขยายตัวในแถบยูกาตัง และจักรวรรดิแอซเท็ก ก็ได้รับเอาวัฒนธรรมข้างเคียง และกวาดต้อนเอาชนเผ่าต่างๆ เช่น ชนเผ่าทอลเต็ก
ในอเมริกาใต้ คริสตวรรษที่ 14 และ 15 มีการขยายตัวของจักรวรรดิอินคา จักรวรรดิอินคาแห่งตาวันตินซูยู ได้ตั้งเมืองกุสโกเป็นเมืองหลวง และขยายตัวไปตามเทือกเขาแอนดีส เป็นแหล่งอารยธรรมวงกว้างที่สุดอันหนึ่งก่อนยุคโคลัมเบียน[26][27] จักรวรรดิอินคามีความรุ่งเรืองและทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดระบบถนนของชาวอินคาและการก่ออิฐอย่างไม่มีใครเทียบได้
การล่มสลายของจักรวรรดิ
จักรวรรดิในแถบยูเรเชียส่วนใหญ่ตั้งอยู่แถบที่ราบชายฝั่งทะเล ดังนั้นชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งใช้ม้าเป็นพาหนะหลัก เช่นพวกมองโกลและพวกเติร์ก จึงเริ่มยึดครองพื้นที่โดยเริ่มจากแถบเอเชียกลาง ประกอบกับการประดิษฐ์โกลนและการเพาะเลี้ยงม้าให้แข็งแรง ทำให้ม้าสามารถรับน้ำหนักกำลังพลพร้อมชุดเกราะได้ และทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนกลายเป็นภัยคุกคามต่อแหล่งอารยธรรมในระยะยาว
การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันอย่างช้าๆ [28][29] กินเวลายาวนานจากคริสต์ศตวรรษที่ 2 ไปอีกหลายศตวรรษ ประกอบกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของศาสนาคริสต์จากดินแดนตะวันออกกลางสู่ดินแดนตะวันตก ทำให้จักรวรรดิโรมันตะวันตกตกอยู่ภายใต้การนำของอนารยชนชาวเยอรมันในคริตศตวรรษที่ 5 ในที่สุด[30] องค์กรทางการเมืองต่างแตกกระจายเป็นรัฐจำนวนมาก ซึ่งต่างก็มีความสัมพันธ์กับคริสตจักรโรมันคาทอลิกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จักรวรรดิโรมันบางส่วนบริเวณเมดิเตอเรเนียนตะวันออกแตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์[31] อีกหลายศตวรรษต่อมามีการสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปีค.ศ. 962 ทำให้ยุโรปตะวันตกกลับมารวมตัวกันได้อย่างชั่วคราว[32] ซึ่งกินบริเวณประเทศเยอรมนี ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ เบลเยี่ยม อิตาลี และฝรั่งเศสบางส่วนในปัจจุบัน
ในจักรวรรดิจีน ราชวงศ์ต่างๆ ผลัดกันขึ้นมาปกครองดินแดนแถบนี้ [33][34] หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก[35] และสิ้นสุดลงของยุคสามก๊ก ชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือเริ่มคุกคามจีนในช่วงคริสศตวรรษที่ 4 ยึดจีนตอนเหนือบางส่วนและสร้างเป็นอาณาจักรเล็กๆ หลายอาณาจักร ราชวงศ์สุยรวมจีนขึ้นมาใหม่อีกครั้งในปี 581 และภายใต้การปกครองของราชวงศ์ถัง (618-907) จักรวรรดิจีนก้าวเข้าสู่ยุคทองเป็นครั้งที่สอง แต่ราชวงศ์ถังก็ล่มสลายนำไปสู่ยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร ราชวงศ์ซ่งก็รวมจีนอีกครั้งในปี 982 แต่โดยแรงกดดันจากชนเผ่าเร่ร่อนทางตอนเหนือ ตอนเหนือของจีนจึงตกเป็นของชนเผ่าแมนจูในปี 1141 และจักรวรรดิมองโกลเข้าครองครองประเทศจีนทั้งประเทศในปี 1279 รวมผืนแผ่นดินยูเรเชียเกือบทั้งหมด ยกเว้นก็แต่ยุโรปกลาง ยุโรปตะวันออก เอเชียใต้ส่วนใหญ่ และเกาะญี่ปุ่น
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
- ↑ Stearns, Peter N. (2001-09-24). The Encyclopedia of World History: Ancient, Medieval, and Modern, Chronologically Arranged. Houghton Mifflin Company. ISBN 0-395-65237-5.
{{cite book}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ Chandler, T. Four Thousand Years of Urban Growth: An Historical Census. Lewiston, NY: Edwin Mellen Press, 1987.
- ↑ Modelski, G. World Cities: –3000 to 2000. Washington, DC: FAROS 2000, 2003.
- ↑ Ascalone, Enrico. Mesopotamia: Assyrians, Sumerians, Babylonians (Dictionaries of Civilizations; 1) . Berkeley: University of California Press, 2007 (paperback, ISBN 0-520-25266-7).
- ↑ Lloyd, Seton. The Archaeology of Mesopotamia: From the Old Stone Age to the Persian Conquest.
- ↑ Allchin, Bridget (1997). Origins of a Civilization: The Prehistory and Early Archaeology of South Asia. New York: Viking.
- ↑ Allchin, Raymond (ed.) (1995). The Archaeology of Early Historic South Asia: The Emergence of Cities and States. New York: Cambridge University Press.
- ↑ Turner, Patricia, and Charles Russell Coulter,Dictionary of Ancient Deities, New York, Oxford University Press, 2001.
- ↑ Wells, H. G. (1921), 'The Outline of History: Being A Plain History of Life and Mankind', New York, Macmillan Company, p. 137.
- ↑ Miller, James. Daoism: A Short Introduction (Oxford: Oneworld Publications, 2003). ISBN 1-85168-315-1
- ↑ "Chinese Legalism: Documentary Materials and Ancient Totalitarianism". Worldfuturefund.org. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ "Confucianism and Confucian texts". Comparative-religion.com. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ "Socrates". 1911 Encyclopaedia Britannica. 1911.
- ↑ Stanford Encyclopedia of Philosophy: Plato
- ↑ "The Catholic Encyclopedia". Newadvent.org. 1907-03-01. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ "The Internet Encyclopedia of Philosophy". Utm.edu. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ PDF: A Bibliography of Alexander the Great by Waldemar Heckel
- ↑ Alexander III the Great, entry in historical sourcebook by Mahlon H. Smith
- ↑ "Trace Alexander's conquests on an animated map". Ac.wwu.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ June 15, 2008. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ Camp, J. M., & Dinsmoor, W. B. (1984). Ancient Athenian building methods. Excavations of the Athenian Agora, no. 21. [Athens]: American School of Classical Studies at Athens.
- ↑ Drachmann, A. G. (1963). The mechanical technology of Greek and Roman antiquity, a study of the literary sources. Copenhagen: Munksgaard.
- ↑ Oleson, J. P. (1984). Greek and Roman mechanical water-lifting devices: the history of a technology. Phoenix, 16 : Tome supplémentaire. Dordrecht: Reidel.
- ↑ Morgan, L. H. (1877). Ancient society; or, Researches in the lines of human progress from savagery, through barbarism to civilization. New York: H. Holt and Company.
- ↑ "Central America". MSN Encarta Online Encyclopedia 2006. Archived 2009-10-31.
- ↑ "Olmec Origins in The Southern Pacific Lowlands". Authenticmaya.com. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ History of the Inca Empire Inca history, society and religion.
- ↑ Map and Timeline of Inca events
- ↑ "Detailed history of the Roman Empire". Roman-empire.info. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.
- ↑ Edward Gibbon.http://www.fordham.edu/halsall/source/gibbon-fall.html "General Observations on the Fall of the Roman Empire in the West"], from the Internet Medieval Sourcebook. Brief excerpts of Gibbon's theories.
- ↑ Gibbon, Edward (1906). in J.B. Bury (with an Introduction by W.E.H. Lecky): [[The History of the Decline and Fall of the Roman Empire|The Decline and Fall of the Roman Empire]] (Volumes II, III, and IX). New York: Fred de Fau and Co..
- ↑ Bury,John Bagnall (1923). http://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/secondary/BURLAT/home.html History of the Later Roman Empire]. Macmillan & Co., Ltd..
- ↑ Bryce, J. B. (1907). The Holy Roman empire. New York: MacMillan.
- ↑ Gascoigne, Bamber (2003). The Dynasties of China: A History. New York: Carroll & Graf. ISBN 1-84119-791-2.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - ↑ Gernet, Jacques (1982). A history of Chinese civilization. Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 0-521-24130-8.
{{cite book}}
: Cite ไม่รู้จักพารามิเตอร์ว่างเปล่า :|coauthors=
(help) - ↑ "Han Dynasty by Minnesota State University". Mnsu.edu. สืบค้นเมื่อ 2009-04-18.