ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ความเครียด (จิตวิทยา)"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Tikmok (คุย | ส่วนร่วม)
แปลจากวิกีอังกฤษ (เต็ม)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{about |ความเครียดตามความหมายของสาขา[[จิตวิทยา]] |ความเครียดในความหมายอื่น ๆ |ความเครียด (แก้กำกวม)}}
{{about |ความเครียดตามความหมายของสาขา[[จิตวิทยา]] |ความเครียดในความหมายอื่น ๆ |ความเครียด (แก้กำกวม)}}
[[ไฟล์:Headache-1557872 960 720.jpg|thumb|right|
[[ไฟล์:Headache-1557872 960 720.jpg|thumb|right|
ชายผู้แสดงว่าเครียดโดยจับศีรษะด้วยมือทั้งสอง
ชายผู้มีกิริยาแสดงว่าเครียดคือจับศีรษะด้วยมือทั้งสอง
]]
]]
ในสาขา[[จิตวิทยา]] '''ความเครียด''' เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับ[[สิ่งเร้า]]/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ
ในสาขา[[จิตวิทยา]] '''ความเครียด''' เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับ[[สิ่งเร้า]]/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ
และโดยทั่วไปหมายถึง[[อารมณ์]]เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง ที่จะเกิดพร้อมกับการปรับตัวทาง[[สรีรภาพ]] ทาง[[ประชาน]] และทาง[[พฤติกรรม]]<ref>
และโดยทั่วไปหมายถึง[[อารมณ์]]เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทาง[[สรีรภาพ]] ทาง[[ประชาน]] และทาง[[พฤติกรรม]]<ref>
* {{Citation | title = stress | quote = In psychology, a physical or psychological stimulus such as very high heat, public criticism, or another noxious agent or experience which, when impinging upon certain individuals, produces psychological strain or disequilibrium. | work = Physicians' Desk Reference | year = 2006 }}
* {{Citation | title = stress | quote = In psychology, a physical or psychological stimulus such as very high heat, public criticism, or another noxious agent or experience which, when impinging upon certain individuals, produces psychological strain or disequilibrium. | work = Physicians' Desk Reference | year = 2006 }}
* {{Citation | work = Britannica Concise Encyclopedia | year = 2003 | publisher = Encyclopædia Britannica (UK) | title = stress | quote = In psychology, a state of bodily or mental tension resulting from factors that tend to alter an existent equilibrium.}}
* {{Citation | work = Britannica Concise Encyclopedia | year = 2003 | publisher = Encyclopædia Britannica (UK) | title = stress | quote = In psychology, a state of bodily or mental tension resulting from factors that tend to alter an existent equilibrium.}}
บรรทัด 13: บรรทัด 13:
{{cite journal | doi = 10.1016/j.healthplace.2010.08.009 | pmid = 20813575 | title = On how much one can take: Relocating exploitation and exclusion within the broader framework of allostatic load theory | journal = Health & Place | volume = 16 | issue = 6 | pages = 1291-3 | year = 2010 | last1 = Simandan | first1 = Dragos }}</ref>
{{cite journal | doi = 10.1016/j.healthplace.2010.08.009 | pmid = 20813575 | title = On how much one can take: Relocating exploitation and exclusion within the broader framework of allostatic load theory | journal = Health & Place | volume = 16 | issue = 6 | pages = 1291-3 | year = 2010 | last1 = Simandan | first1 = Dragos }}</ref>
การได้ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อ[[สุขภาพ]]
การได้ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อ[[สุขภาพ]]
เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น
เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น
มันยังเป็นปัจจัยเกี่ยวกับ[[แรงจูงใจ]] การปรับตัว และการตอบสนองต่อ[[สิ่งแวดล้อม]]
มันยังเป็นปัจจัยสร้าง[[แรงจูงใจ]] [[การปรับตัว]] และการตอบสนองต่อ[[สิ่งแวดล้อม]]
แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย
แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย
เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง [[กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด]] [[แผลเปื่อย]] และโรคทางใจ เช่น [[โรคซึมเศร้า]]<ref>
เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง [[กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด]] [[แผลเปื่อย]] และโรคทางใจ เช่น [[โรคซึมเศร้า]]<ref>
บรรทัด 20: บรรทัด 20:


ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม<ref>{{cite book | authors = Jones, Fiona; Bright, Jim; Clow, Angela | year = 2001 | url = https://books.google.com/books?id=QGsX-N28wjkC&lpg=PP1&dq=%22Stress%22&as_brr=3&hl=bg&pg=PA4#v=onepage&q&f=false | title = Stress: myth, theory, and research | publisher = Pearson Education | pages = 4 | archive-url = https://web.archive.org/web/20180508120314/https://books.google.com/books?id=QGsX-N28wjkC&lpg=PP1&dq=%22Stress%22&as_brr=3&hl=bg&pg=PA4 | archive-date = 2018-05-08}}</ref>
ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม<ref>{{cite book | authors = Jones, Fiona; Bright, Jim; Clow, Angela | year = 2001 | url = https://books.google.com/books?id=QGsX-N28wjkC&lpg=PP1&dq=%22Stress%22&as_brr=3&hl=bg&pg=PA4#v=onepage&q&f=false | title = Stress: myth, theory, and research | publisher = Pearson Education | pages = 4 | archive-url = https://web.archive.org/web/20180508120314/https://books.google.com/books?id=QGsX-N28wjkC&lpg=PP1&dq=%22Stress%22&as_brr=3&hl=bg&pg=PA4 | archive-date = 2018-05-08}}</ref>
แต่ก็อาจมีเหตุจาก[[การรับรู้]]ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรืออารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้รู้สึกเครียด<ref name=Simandan2010/>
แต่ก็อาจมีเหตุจาก[[การรับรู้]]ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือมีอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด<ref name=Simandan2010/>
นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะ[[การรับมือ (จิตวิทยา)|รับมือ]]ได้<ref name=Folkman2013>{{cite book | authors = Folkman, S | year = 2013 | title = Stress: appraisal and coping | work = Encyclopedia of behavioral medicine | location = New York | publisher = Springer | isbn = 978-1-4419-1005-9 | pages = 1913-1915 | quote = In his 1966 book, Psychological Stress and the Coping Process (Lazarus, 1966), Richard Lazarus defined stress as a relationship between the person and the environment that is appraised as personally significant and as taxing or exceeding resources for coping. }}</ref>
<!--เผื่ออนาคต Humans experience stress, or perceive things as threatening, when they do not believe that their resources for coping with obstacles (stimuli, people, situations, etc.) are enough for what the circumstances demand.
{{TOC limit |3}}
มนุษย์ประสบสิ่งที่ทำให้เครียด หรือรู้เห็นถึงสิ่งที่รู้สึกว่าเป็นภัย เมื่อไม่เชื่อว่ามีสมรรถภาพในการรับมือกับอุปสรรค (เช่น สิ่งเร้า คนอื่น สถานการณ์เป็นต้น) ที่จำเป็นต้องมี

When people think the demands being placed on them exceed their ability to cope, they then perceive stress.<ref name="Folkman, S. 2013">
== การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ==
Folkman, S., 2013. Stress: appraisal and coping. In ''Encyclopedia of behavioral medicine'' (pp. 1913-1915). Springer New York.
มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี<ref>{{cite journal | last = Gibbons | first = C. | date = 2012 | title = Stress, positive psychology and the National Student Survey | journal = Psychology Teaching Review | volume = 18 | issue = 2 | pages = 22-30}}</ref>
</ref>
คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล
{{qn | date = 2018-03}} -->
ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ
แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน

== รูปแบบต่าง ๆ ==
แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ<ref name= Selye>{{cite book | last = Selye | first = Hans | title = Stress without distress | year = 1974 | publisher = J.B. Lippincott Company | location = Philadelphia | page = 171}}</ref>
ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้<ref name = "Selye 1983">{{cite book | last = Selye | first = Hans | date = 1983 | title = Stress Research Issues for the Eighties | chapter = The Stress Concept: Past, Present and Future | editor-last = Cooper | editor-first = C. L. | location = New York, NY | publisher = John Wiley & Sons | pages = 1-20}}</ref>
แนวคิดเช่นนี้มีผลดีต่อการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก เพราะเป็นเหตุให้ทำงานอย่างมีความสุขแทนที่จะรู้สึกเบื่อซึ่งเกิดเมื่อมีความเครียดที่ไม่ดี

== ความเครียดที่ดีและไม่ดี ==
คำว่า eustress มาจากราก[[ภาษากรีก]] “eu” ซึ่งแปลว่าดี ดังที่ใช้ในคำว่า euphoria (ความเป็นสุขอย่างที่สุด)<ref name = "Selye 1975">{{cite journal | last = Selye | first = Hans | date = 1975 | title = Implications of Stress Concept | journal = New York State Journal of Medicine | volume = 75 | pages = 2139-2145}}</ref>
เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมองสิ่งที่ก่อความเครียด (stressor) ในแง่ดี<ref name=Fevre>{{cite journal | last = Fevre | first = Mark Le | author2 = Kolt, Gregory S. | author3 = Matheny, Jonathan | title = Eustress, distress and their interpretation in primary and secondary occupational stress management interventions: which way first? | journal = Journal of Managerial Psychology | date = 2006-01-01 | volume = 21 | issue = 6 | pages = 547-565 | doi = 10.1108/02683940610684391}}</ref>
ส่วนคำว่า distress มาจากรากคำ[[ภาษาละติน]] คือ “dis” ซึ่งมักใช้ในความหมายว่า "ตรงกันข้าม" เช่นคำว่า dissonance (ความไม่กลมกลืน) และ disagreement (ข้อขัดแย้ง)<ref name = "Selye 1975"/>

ความเครียดที่ไม่ดี/ความทุกข์ไม่ดีต่อคุณภาพชีวิต
ซึ่งเกิดเมื่อความต้องการเหนือสมรรถภาพการรับมือของบุคคลอย่างมาก<ref name= Fevre />

== {{anchor |Impact on health}} ผลต่อสุขภาพ ==
[[ไฟล์:In Line at the Medical Centre (7989958032).jpg|thumb|right| หญิงเครียดกำลังรอพบแพทย์]]
ความเครียดน่าจะสัมพันธ์กับความเจ็บป่วย<ref name=Folkman2013/><ref name=Simandan2010/>
ทฤษฎีที่เชื่อมความเครียดกับความเจ็บป่วยเสนอว่า ทั้งความเครียดฉับพลันและเรื้อรังอาจทำให้ป่วย โดยมีงานศึกษาหลายงานที่พบเช่นนี้<ref name="Schneiderman, N. 2005">{{cite journal | last1 = Schneiderman | first1 = N. | last2 = Ironson | first2 = G. | last3 = Siegel | first3 = S. D. | year = 2005 | title = Stress and health: psychological, behavioral, and biological determinants | journal = Annual Review of Clinical Psychology | volume = 1 | pages = 607-628 | doi = 10.1146/annurev.clinpsy.1.102803.144141 | pmid = 17716101 | pmc = 2568977}}</ref>
ตามทฤษฎีเช่นนี้ ความเครียดทั้งสองแบบอาจเปลี่ยนทั้ง[[พฤติกรรม]]และร่างกาย
พฤติกรรมรวมทั้ง[[การสูบบุหรี่]] [[การกิน]] และการออกกำลัง
ความเปลี่ยนแปลงทาง[[สรีรภาพ]]รวมทั้งการทำงานของ[[ระบบประสาทซิมพาเทติก]]/[[แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล]] และ[[ระบบภูมิคุ้มกัน]]<ref>{{cite journal | last1 = Herbert | first1 = T. B. | last2 = Cohen | first2 = S. | year = 1993 | title = Stress and immunity in humans: a meta-analytic review | journal = Psychosomatic Medicine | volume = 55 | issue = 4 | pages = 364-379 | doi = 10.1097/00006842-199307000-00004}}</ref>
อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับความเจ็บป่วยก็ต่าง ๆ กันมาก<ref>{{cite book | authors = Ogden, J | year = 2007 | title = Health Psychology: a textbook | edition = 4th | publisher = McGraw-Hill | pages = 281-282 }}</ref>

ความเครียดอาจทำให้บุคคลเสี่ยงโรคกายต่าง ๆ เช่น เป็น[[หวัด]]<ref>{{cite journal | doi = 10.1001/jama.1997.03550150035018 | pmid = 9333253 | title = Social Ties and Susceptibility to the Common Cold | journal = JAMA: the Journal of the American Medical Association | volume = 278 | issue = 15 | pages = 1231; author reply 1232 | year = 1997 | last1 = Edmunds | first1 = W. John }}</ref>
เหตุการณ์เครียดในชีวิต เช่น การเปลี่ยนงาน อาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือมีปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ<ref>Greubel, Jana and Kecklund, Göran. The Impact of Organizational Changes on Work Stress, Sleep, Recovery and Health. Industrial Health. Department for Psychology, University of Fribourg.</ref>

งานวิจัยแสดงว่า รูปแบบตัวก่อความเครียด (เช่น แบบฉับพลันหรือแบบเรื้อรัง) และลักษณะบุคคล เช่น อายุและสุขภาพ ที่มีอยู่แล้ว จะมีอิทธิพลต่อความเครียดที่เกิด<ref name="Schneiderman, N. 2005"/>
บุคลิกภาพของบุคคล (เช่น ระดับ [[neuroticism]])<ref name="Jeronimus2014">{{cite journal | doi = 10.1037/a0037009 | pmid = 25111305 | title = Mutual reinforcement between neuroticism and life experiences: A five-wave, 16-year study to test reciprocal causation | journal = Journal of Personality and Social Psychology | volume = 107 | issue = 4 | pages = 751-64 | year = 2014 | last1 = Jeronimus | first1 = Bertus F | last2 = Riese | first2 = Harriëtte | last3 = Sanderman | first3 = Robbert | last4 = Ormel | first4 = Johan }}</ref>
กรรมพันธุ์ และประสบการณ์ในวัยเด็ก เมื่อประกอบกับตัวก่อความเครียดหนักหรือความบาดเจ็บ<ref name="Jeronimus2013">{{cite journal | doi = 10.1017/S0033291713000159 | pmid = 23410535 | title = Negative and positive life events are associated with small but lasting change in neuroticism | journal = Psychological Medicine | volume = 43 | issue = 11 | pages = 2403-15 | year = 2013 | last1 = Jeronimus | first1 = B. F | last2 = Ormel | first2 = J | last3 = Aleman | first3 = A | last4 = Penninx | first4 = B. W. J. H | last5 = Riese | first5 = H }}</ref>
อาจเป็นตัวกำหนดการตอบสนองต่อตัวก่อความเครียด<ref name="Schneiderman, N. 2005"/>

ความเครียดเรื้อรังและการไม่มีหรือไม่ใช้ทรัพยากรเพื่อรับมือในบุคคลบ่อยครั้งจะสร้างปัญหาทางจิตวิทยา เช่น [[โรคซึมเศร้า]]และ[[โรควิตกกังวล]]<ref>{{cite journal | authors = Schlotz, W; Yim, IS; Zoccola, PM; Jansen, L; Schulz, P | year = 2011 | title = The perceived stress reactivity scale: Measurement invariance, stability, and validity in three countries | journal = Psychol Assess | pages = 80-94 }} </ref>
ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับตัอก่อความเครียดแบบเรื้อรัง
เป็นตัวก่อความเครียดที่อาจไม่หนักเท่ากับความเครียดฉับพลัน เช่น [[ภัยธรรมชาติ]]หรือ[[อุบัติเหตุ]] แต่จะคงยืนเป็นเวลานาน
และมักจะมีผลลบต่อสุขภาพมากกว่า เพราะมันคงยืนและทำให้ต้องตอบสนองทุก ๆ วัน
ซึ่งจะทำให้ร่างกายหมดกำลังได้เร็วกว่าและปกติจะเกิดเป็นระยะยะเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (เช่น ความเครียดเนื่องจากอยู่อาศัยในที่ไม่ปลอดภัย)
ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาได้พบว่า ผู้ดูแลคนป่วย โดยเฉพาะคนป่วยโรคสมองเสื่อม มีระดับความซึมเศร้าที่สูงกว่า และมีสุขภาพแย่กว่าผู้ไม่ต้องดูแลผู้ป่วย<ref>{{cite journal | doi = 10.1037/0882-7974.18.2.250 | pmid = 12825775 | title = Differences between caregivers and noncaregivers in psychological health and physical health: A meta-analysis | journal = Psychology and Aging | volume = 18 | issue = 2 | pages = 250-67 | year = 2003 | last1 = Pinquart | first1 = Martin | last2 = Sörensen | first2 = Silvia }}</ref>

งานศึกษายังพบด้วยยว่า ความเครียดเรื้อรังและความดุที่สัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบ A (ช่างแข่งขัน ชอบเข้าสังคม ทะเยอทะยาน ใจร้อน ดุ) บ่อยครั้งสัมพันธ์กับความเสี่ยง[[โรคหลอดเลือดหัวใจ]]มากกว่า
ซึ่งมีเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและระดับความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งสูง
โดยเป็นส่วนของการตอบสนองทางสรีรภาพต่อเหตุการณ์เครียด<ref>{{cite journal | authors = Kemeny, Margaret E | date = 2003-08 | title = The Psychobiology of Stress | journal = Current Directions in Psychological Science | volume = 12 | issue = 4 | pages = 124-129 }} </ref>

อย่างไรก็ดี บุคคลก็ยังอาจแข็งแกร่งทางจิต (hardiness) ซึ่งหมายถึงสมรรถภาพในการมีสุขภาพทางจิตดีแม้จะเครียดอยู่เสมอ ๆ<ref>{{cite book | authors = Kobasa, S. C | year = 1982 | title = The Hardy Personality: Toward a Social Psychology of Stress and Health | editors = Sanders, GS; Suls, J | work = Social Psychology of Health and Illness | location = Hillsdale, NJ | publisher = Lawrence Erlbaum Assoc | pages = 1-25 }}</ref>
นักจิตวิทยาในปัจจุบันกำลังศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลที่แข็งแกร่งสามารถรับมือกับความเครียดและหลีกเลี่ยงปัญหาทางร่างกายจิตใจที่สัมพันธ์กับการมีความเครียดสูง

ปัญหาเช่นอาการหลงผิด (delusion)<ref>{{Cite journal | doi = 10.1111/papt.12089 | title = Life hassles and delusional ideation: Scoping the potential role of cognitive and affective mediators | year = 2016 }}<!-- Kingston, C. & Schuurmans-Stekhoven, J. (2016). Life hassles and delusional ideation: Scoping the potential role of cognitive and affective mediators, ''Psychology and Psychotherapy: Theory, Research and Practice'' --></ref>
[[โรควิตกกังวล]] [[โรคซึมเศร้า]] และ[[ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ]] อาจสัมพันธ์กับความเครียด

ถึงกระนั้น ทุกคนก็จะเครียดบ้าง และแพทย์เท่านั้นที่จะ[[การวินิจฉัยทางการแพทยื|วินิจฉัย]]ได้ว่าเป็นโรคเครียด<ref>{{Cite news | url = https://www.verywellmind.com/requirements-for-ptsd-diagnosis-2797637 | title = PTSD Test: The Requirements for a Diagnosis | work = Verywell Mind | access-date = 2018-03-18 | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20180318120653/https://www.verywellmind.com/requirements-for-ptsd-diagnosis-2797637 | archivedate = 2018-03-18 }}</ref>
ตาม[[งานทบทวนวรรณกรรม]]ปี 2016 ความวิตกกังวลแบบก่อโรคและความเครียดเรื้อรังจะทำให้เขตสมองคือ[[ฮิปโปแคมปัส]]เสื่อมและทำงานพิการ<ref>{{cite journal | authors = Mah, L; Szabuniewicz, C; Fiocco, AJ | title = Can anxiety damage the brain? | journal = Current Opinion in Psychiatry | volume = 29 | issue = 1 | pages = 56-63 | year = 2016 | pmid = 26651008 | doi = 10.1097/YCO.0000000000000223 | type = Review}}</ref>

มันเชื่อมานานแล้วว่า [[อารมณ์]]เชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลและความซึมเศร้า อาจมีอิทธิพลต่อโรคกาย ซึ่งก็จะมีผลต่อกระบวนการทางชีวภาพอันอาจทำให้เสี่ยงโรคเพิ่มขึ้นในที่สุด
แต่งานศึกษาต่าง ๆ ก็ได้แสดงว่า นี่ไม่จริงเป็นบางส่วน
คือแม้ความเครียดดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ดี แต่ความรู้สึกว่า ความเครียดเป็นอันตรายก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นอีก<ref>
{{cite journal | doi = 10.1037/a0026743 | pmid = 22201278 | pmc = 3374921 | title = Does the perception that stress affects health matter? The association with health and mortality | journal = Health Psychology | volume = 31 | issue = 5 | pages = 677-84 | year = 2012 | last1 = Keller | first1 = Abiola | last2 = Litzelman | first2 = Kristin | last3 = Wisk | first3 = Lauren E | last4 = Maddox | first4 = Torsheika | last5 = Cheng | first5 = Erika Rose | last6 = Creswell | first6 = Paul D | last7 = Witt | first7 = Whitney P }}</ref><ref name="blog.ted.com">
{{cite web | url = http://blog.ted.com/could-stress-be-good-for-you-recent-research-that-suggests-it-has-benefits/ | title = Stress as a positive: Recent research that suggests it has benefits | date = 2013-09-04 | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20160911215227/http://blog.ted.com/could-stress-be-good-for-you-recent-research-that-suggests-it-has-benefits/ | archivedate = 2016-09-11 }}</ref>
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเครียดอย่างเรื้อรัง ก็จะเสี่ยงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรทางสรีรภาพ ทางอารมณ์ และทางพฤติกรรม<ref name="Jeronimus2014"/><ref name=Cohen2007>{{cite journal | doi = 10.1001/jama.298.14.1685 | pmid = 17925521 | title = Psychological Stress and Disease | journal = JAMA | volume = 298 | issue = 14 | pages = 1685-7 | year = 2007 | last1 = Cohen | first1 = Sheldon | last2 = Janicki-Deverts | first2 = Denise | last3 = Miller | first3 = Gregory E }}</ref>
ซึ่งอาจก่อโรค
ความเครียดเรื้อรังเป็นผลของเหตุการณ์เครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การดูแลคู่ชีวิตที่สมองเสื่อม หรือเป็นผลของเหตุการณ์เครียดชั่วคราวแต่รู้สึกเครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การถูกทำร้ายทางเพศ
<!--เผื่ออนาคต Experiments show that when healthy human individuals are exposed to acute laboratory stressors, they show an adaptive enhancement of some markers of natural immunity but a general suppression of functions of specific immunity.
By comparison, when healthy human individuals are exposed to real-life chronic stress, this stress is associated with a biphasic immune response where partial suppression of cellular and humoral function coincides with low-grade, nonspecific inflammation.
{{fact | date = 2018-05}} -->
แม้ความเครียดบ่อยครั้งจะเชื่อมกับความเจ็บป่วยหรือโรค แต่คนปกติโดยมากก็ยังไร้โรคแม้หลังจากประสบกับเหตุการณ์เครียดแบบเรื้อรัง
อนึ่ง บุคคลที่ไม่เชื่อว่าความเครียดจะมีผลต่อสุขภาพของตน ก็ไม่เสี่ยงเพิ่มต่อความเจ็บป่วย โรค หรือความตาย<ref name="blog.ted.com"/>
ซึ่งแสดงว่า ความเครียดมีอิทธิพลการก่อโรคในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน
เป็นความต่างเนื่องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์และทางจิตใจ
อนึ่ง อายุที่ประสบกับความเครียดจะเป็นตัวกำหนดผลของมันต่อสุขภาพด้วย
งานวิจัยแสดงว่า ความเครียดเรื้อรังในวัยเด็กจะมีผลต่อการตอบสนองทางชีวภาพ ทางจิตใจ และทางพฤติกรรมต่อความเครียดที่ได้รับต่อ ๆ มาตลอดชีวิต<ref>{{cite journal | doi = 10.1146/annurev.psych.60.110707.163551 | pmid = 19035829 | title = Health Psychology: Developing Biologically Plausible Models Linking the Social World and Physical Health | journal = Annual Review of Psychology | volume = 60 | pages = 501-24 | year = 2009 | last1 = Miller | first1 = Gregory | last2 = Chen | first2 = Edith | last3 = Cole | first3 = Steve W }}</ref>

เพราะความเครียดมีผลต่อกาย บางคนก็อาจไม่แยกแยะปัญหานี้กับโรคอื่น ๆ
ถ้าอาการชัดเจน (เช่น มีก้อนที่หน้าอก) บุคคลจะไปหาหมอไม่ว่าจะเครียดอยู่หรือไม่
แต่ถ้าอาการไม่ชัดเจน (เช่น ปวดหัว) ก็จะไม่ไปหาหมอเพราะเข้าใจว่าอาการมาจากความเครียดเมื่อสิ่งที่ทำให้เครียดเริ่มเกิดเร็ว ๆ นี้คือไม่เกิน 3 อาทิตย์ และจะไปหาหมอถ้าสิ่งที่ทำให้เครียดมีมานานกว่านั้น<ref>{{cite journal | pmid = 7732157 | year = 1995 | author1 = Cameron | first1 = L | title = Seeking medical care in response to symptoms and life stress | journal = Psychosomatic medicine | volume = 57 | issue = 1 | pages = 37-47 | last2 = Leventhal | first2 = E. A | last3 = Leventhal | first3 = H }}</ref>

=== มะเร็ง ===
ในสัตว์ ความเครียดมีผลต่อการเกิด การเติบโต และ[[การแพร่กระจาย]]ของเนื้องอกที่ตรวจดู
แต่งานศึกษาซึ่งพยายามเชื่อมความเครียดกับความชุกโรคมะเร็งในมนุษย์ก็มีผลไม่ชัดเจน
ซึ่งอาจเป็นเพราะงานศึกษาที่เหมาะสมออกแบบและทำได้ยาก<ref name = Cohen2007/>
ในงานศึกษาใน[[สหราชอาณาจักร]]งานหนึ่ง ความเชื่อว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งเป็นเรื่องสามัญ แต่ความสำนึกถึงปัจจัยเสี่ยงมะเร็งโดยทั่วไปก็จัดว่าน้อย<ref>{{cite journal | last1 = Shahab | first1 = Lion | last2 = McGowan | first2 = Jennifer A. | last3 = Waller | first3 = Jo | last4 = Smith | first4 = Samuel G. | title = Prevalence of beliefs about actual and mythical causes of cancer and their association with socio-demographic and health-related characteristics: Findings from a cross-sectional survey in England | journal = European Journal of Cancer | date = 2018-04 | doi = 10.1016/j.ejca.2018.03.029 | url = https://www.ejcancer.com/article/S0959-8049(18)30778-0/fulltext}}</ref>

== ตัวก่อความเครียดที่เป็นกลาง ==
ความเครียดเป็นการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่แน่นอน<ref name = "Selye 1983"/>
คือเป็นกลาง แต่ก็จะต่าง ๆ กันในระดับการตอบสนอง
มันเกี่ยวกับบริบทของบุคคลและว่า บุคคลมองสถานการณ์นั้นอย่างไร
นพ. เซ็ลเยได้นิยามความเครียดว่า "ผลที่ไม่เฉพาะเจาะจง (คือ สามัญ) ต่อความจำเป็นที่เกิดต่อร่างกาย ไม่ว่าจะทางจิตใจหรือทางกาย"<ref name = "Selye 1983"/>
นิยามนี้ครอบคลุมนิยามทางการแพทย์ที่กำหนดว่าเป็นความจำเป็นทางกาย และครอบคลุมนิยามของภาษาพูดโดยทั่วไปว่า เป็นความจำเป็นทางจิตใจ

แม้ตัวก่อความเครียดก็เป็นกลางโดยธรรมชาติเหมือนกัน คือ อาจทำให้ตอบสนองเป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดีก็ได้
โดยขึ้นอยู่กับบุคคลผู้จะตอบสนองทำให้เป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดี<ref name = "HNC">{{cite journal | last = Hargrove | first = M. B. | last2 = Nelson | first2 = D. L. | last3 = Cooper | first3 = C. L. | date = 2013 | title = Generating eustress by challenging employees: Helping people savor their work. | journal = Organizational Dynamics | volume = 42 | pages = 61-69 | doi = 10.1016/j.orgdyn.2012.12.008}}</ref>

== รูปแบบตัวก่อความเครียด ==
ตัวก่อความเครียด (stressor) เป็นเหตุการณ์ [[ประสบการณ์]] หรือ[[สิ่งเร้า]]ใดก็ได้ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้บุคคลเครียด<ref>{{cite web | title = stressor | url = http://www.collinsdictionary.com/dictionary/english/stressor | publisher = Collins English Dictionary {{snd}} Complete & Unabridged 11th Edition. Retrieved September 20, 2012, from CollinsDictionary.com | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20120620123917/http://www.collinsdictionary.com/dictionary/english/stressor | archivedate = 2012-06-20 }}</ref>
โดยบุคคลมองว่าเป็นภัยหรือเป็นข้อท้าทาย และอาจเป็นเรื่องทางกายหรือทางใจ
นักวิจัยพบว่า ตัวก่อความเครียดสามารถทำให้เสี่ยงโรคทางกายและใจมากขึ้น เช่น โรคหัวใจและความวิตกกังวล<ref name="pastorino">{{cite book | authors = Pastorino, E; Doyle-Portillo, S | year = 2009 | title = What is Psychology? | edition = 2nd | location = Belmont, CA | publisher = Thompson Higher Education }}</ref>

ตัวก่อความเครียดมีโอกาสมีผลต่อสุขภาพของบุคคลมากกว่า เมื่อมันเรื้อรัง ทำให้วุ่นวายมาก และมองว่าควบคุมไม่ได้<ref name="pastorino" />
ในสาขาจิตวิทยา นักวิชาการปกติจะจัดตัวก่อความเครียดเป็นหมวด 4 หมวดคือ วิกฤติการณ์/หายนะ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต ปัญหาในชีวิตประจำวัน และตัวก่อความเครียดพื้นหลัง

=== วิกฤติการณ์/หายนะ ===
ตัวก่อความเครียดเช่นนี้ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าหรือพยากรณ์ได้ และดังนั้น จึงควบคุมไม่ได้<ref name="pastorino" />
ตัวอย่างรวมทั้งภัยพิบัติใหญ่ต่าง ๆ เช่น [[น้ำท่วม]] [[แผ่นดินไหว]] และ[[สงคราม]]เป็นต้น
แม้จะมีน้อย แต่ก็เป็นเหตุให้เครียดมาก
งานวิจัยที่[[มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด]]พบว่า หลังภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้ประสบภัยจะเครียดมากขึ้น<ref name="pastorino" />

ส่วนความเครียดเนื่องจากการสู้รบเป็นทั้งแบบฉับพลันและแบบเรื้อรัง
เพราะต้องทำการอย่างรวดเร็วและเพราะแรงกดดันให้โจมตีก่อน อุบัติเหตุฆ่าฝ่ายเดียวกันจึงอาจเกิดได้
วิธีการป้องกันต้องลดความเครียด เน้นการฝึกระบุยานพาหนะและตัวระบุฝ่ายชนิดอื่น ๆ เพิ่มสำนึกถึงยุทธวิธี และการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องของผู้นำทุกระดับ<ref>Headquarters, Department of the Army (1994). Leader’s Manual for Combat Stress Control, FM 22-51, Washington DC.</ref>

=== เหตุการณ์สำคัญในชีวิต ===
ตัวอย่างสามัญของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตรวมทั้ง[[การแต่งงาน]] การเข้าเรียนใน[[มหาวิทยาลัย]] การเสียชีวิตของบุคคลที่รัก การได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว การย้ายที่อยู่เป็นต้น
เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะจัดว่าดีหรือไม่ดี อาจทำให้รู้สึกไม่แน่ใจหรือกลัว ซึ่งในที่สุดก็จะก่อความเครียด
ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบระดับความเครียดที่สูงขึ้นสำหรับนักเรียนมัธยมที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย โดยนักศึกษาปี 1 มีโอกาสเครียดเป็น 2 เท่าของนักศึกษาปีสุดท้าย<ref>{{cite journal | last1 = Teo | first1 = Loo Yee | first2 = Jia Yuin | last2 = Fam | title = Prevalence and determinants of perceived stress among undergraduate students in a Malaysian University | journal = Journal of Health and Translational Medicine | volume = 21 | issue = 1 | year = 2018 | pages = 1-5 | url = https://mjes.um.edu.my/index.php/jummec/article/view/11016 }}</ref>

แต่งานวิจัยก็พบว่า เหตุการณ์สำคัญในชีวิตไม่ค่อยเป็นตัวก่อความเครียดที่สำคัญ เพราะเกิดน้อยมาก<ref name="pastorino" />
ระยะเวลาหลังจากเริ่มเกิด และความเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เป็นปัจจัยกำหนดว่า มันเป็นเหตุให้เครียดหรือไม่ และเครียดแค่ไหน
นักวิจัยได้พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเดือนที่ผ่านมาโดยทั่วไปจะไม่เชื่อมกับความเครียดหรือความเจ็บป่วย แต่เหตุการณ์เครียดเรื้อรังที่เกิดมากกว่า 2-3 เดือนก่อนจะเชื่อมกับทั้งความเครียด ความเจ็บป่วย<ref name=pmid9619470>{{cite journal | doi = 10.1037/0278-6133.17.3.214 | pmid = 9619470 | title = Types of stressors that increase susceptibility to the common cold in healthy adults | journal = Health Psychology | volume = 17 | issue = 3 | pages = 214-23 | year = 1998 | last1 = Cohen | first1 = Sheldon | last2 = Frank | first2 = Ellen | last3 = Doyle | first3 = William J | last4 = Skoner | first4 = David P | last5 = Rabin | first5 = Bruce S | last6 = Gwaltney | first6 = Jack M }}</ref>
และการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพ<ref name="Jeronimus2014" />

อนึ่ง เหตุการณ์ดี ๆ ในชีวิตจะไม่เชื่อมกับความเครียด
หรือว่าเชื่อมกับความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น
ในขณะที่เหตุการณ์ไม่ดีอาจเชื่อมกับความเครียดและปัญหาสุขภาพที่มาด้วยกัน<ref name="pastorino" />
อย่างไรก้ดี ประสบการณ์ดี ๆ และการเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดี อาจเป็นตัวพยากรณ์การลดระดับ [[neuroticism]]<ref name="Jeronimus2014" /><ref name="Jeronimus2013"/>

=== ในชีวิตประจำวัน ===
หมู่นี้รวมความรำคาญและความยุ่งยากในชีวิตประจำวัน<ref name="pastorino" />
ตัวอย่างรวมการตัดสินใจ การทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือสถานบันการศึกษา รถติด การต้องรับมือกับคนน่ารำคาญ เป็นต้น
บ่อยครั้ง รูปแบบตัวก่อความเครียดนี้เกิดร่วมกับความขัดแย้งกับผู้อื่น
อย่างไรก็ดี ตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวันจะต่าง ๆ กันระหว่างบุคคล เพราะทุกคนไม่ได้รู้สึกว่า เหตุการณ์หนึ่ง ๆ ก่อความเครียด
ยกตัวอย่างเช่น คนโดยมากอาจจะรู้สึกว่า การกล่าวปาฐกถาเป็นเรื่องทำให้เครียด แต่นักการเมืองมืออาชีพอาจไม่รู้สึกเช่นนี้

ความยุ่งยากในชีวิตประจำวันเป็นตัวก่อความเครียดที่มีบ่อยที่สุดสำหรับผู้ใหญ่โดยมาก
จึงทำให้มีผลทางสรีรภาพมากที่สุดต่อบุคคล
นักวิชาการได้ตรวจระดับความเครียดที่รู้สึกเกี่ยวกับความยุ่งยากในชีวิตเทียบกับอัตราการตาย
แล้วสรุปว่า มีสหสัมพันธ์อย่างมีกำลังระหว่างบุคคลที่จัดความยุ่งยากในชีวิตประจำวันว่าเครียดมากกับอัตราการตายที่สูง
ดังนั้น ความรู้สึกว่า ความยุ่งยากในชีวิตทำให้เครียดแค่ไหน อาจบรรเทาผลทางสรีรภาพของตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวัน<ref>{{cite journal | doi = 10.1016/j.exger.2014.06.019 | pmid = 24995936 | pmc = 4253863 | title = Do hassles mediate between life events and mortality in older men? | journal = Experimental Gerontology | volume = 59 | pages = 74-80 | year = 2014 | last1 = Aldwin | first1 = Carolyn M | last2 = Jeong | first2 = Yu-Jin | last3 = Igarashi | first3 = Heidi | last4 = Choun | first4 = Soyoung | last5 = Spiro | first5 = Avron }}</ref>

ตาม[[จิตวิทยา]] มีความขัดแย้ง 3 อย่างที่ก่อความเครียด
* ความขัดแย้งแบบสู้-สู้ (approach-approach conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ดูดีเท่า ๆ กัน เช่น จะไปดู[[ภาพยนตร์]]หรือ[[คอนเสิร์ต]]ดี<ref name="pastorino" />
* ความขัดแย้งแบบหลีก-หลีก (avoidance-avoidance conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ไม่ดีเท่า ๆ กัน เช่น การต้องกู้ธนาคารเพิ่มโดยมีข้อตกลงที่ไม่ดีเพื่อจ่ายหนี้การจำนอง หรือต้องถูกบังคับจำนองเนื่องกับบ้านที่อยู่<ref name="pastorino" />
* ความขัดแย้งแบบสู้-หลีก (approach-avoidance conflict)<ref name="pastorino" /> เกิดเมื่อต้องเลือกระหว่างการทำสิ่งหนึ่ง ๆ ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย เช่น เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยราคาแพง (เช่น ต้องกู้หนี้ยืมสิน แต่ได้การศึกษาที่ดีกว่าและได้โอกาสการบรรจุงานที่ดีกว่าเมื่อจบการศึกษา)

ส่วนความเครียดเนื่องกับการเดินทางมีอยู่ 3 หมู่ คือ เสียเวลา เรื่องไม่คาดฝัน (เหตุการณ์ที่ไม่รู้ล่วงหน้า เช่น กระเป๋าเดินทางหายหรือมาช้า) และการไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน<ref>{{cite web | title = CWT rolls out solution to tackle cost of travel stress | url = http://www.ttgmice.com/article/cwt-rolls-out-solution-to-tackle-cost-of-travel-stress/ | publisher = TTGmice | accessdate = 2013-04-29 | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20131110182351/http://www.ttgmice.com/article/cwt-rolls-out-solution-to-tackle-cost-of-travel-stress/ | archivedate = 2013-11-10 }}</ref>

=== พื้นหลัง ===
ตัวก่อความเครียดพื้นหลัง (ambient stressors) เป็นตัวก่อความเครียดทั่ว ๆ ไป (เทียบกับตัวก่อความเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ) ในระดับต่ำ ที่เป็นส่วนของพื้นหลังสิ่งแวดล้อม
และนิยามว่า "เรื้อรัง มีค่าเชิงลบ ไม่เร่งด่วน รู้สึกได้ และพยายามเปลี่ยนพวกมันไม่ได้"<ref name=campbell>{{cite journal | doi = 10.1177/0013916583153005 | title = Ambient Stressors | journal = Environment and Behavior | volume = 15 | issue = 3 | pages = 355-80 | year = 2016 | last1 = Campbell | first1 = Joan M | quote = chronic, negatively valued, non-urgent, physically perceptible, and intractable to the efforts of individuals to change them }}</ref>
ตัวอย่าง เช่น [[มลภาวะ]] [[เสียง]] ประชากรแออัด และรถติด
ไม่เหมือนกับตัวก่อความเครียด 3 อย่างอื่น ๆ ตัวนี้อาจ (แต่ไม่จำเป็นต้อง) มีผลลบต่อความเครียดโดยไม่รู้สึกตัว<ref name = campbell/>

=== ในองค์กร ===
งานศึกษาในกองทัพทหารและสนามรบแสดงว่า ตัวก่อความเครียดที่มีกำลังมากที่สุดอาจเกิดจากปัญหาการจัดระบบองค์กร/หน่วย<ref>{{cite book | year = 2006 | title = Combat and Operational Stress Control, FM 4-02.51 | location = Washington, DC | publisher = Department of the Army | pages = 9 }}</ref>
ความเครียดเนื่องกับการจัดระบบองค์กรสามารถเกิดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน<ref>{{cite book | authors = Whicker, Marcia Lynn | year = 1996 | title = Toxic leaders: When organizations go bad | location = Westport, CT | publisher = Quorum Books }}</ref>

== การแก้ ==
การแก้ความเครียด (stress management) หมายถึงเทคนิกและจิตบำบัดมากมายหลายอย่างที่มุ่งควบคุมระดับความเครียด โดยเฉพาะแบบเรื้อรัง ปกติเพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น
โดยควบคุมและลดความรู้สึกตึง ๆ ที่เกิดในสถานการณ์เครียดด้วยการเปลี่ยนอารมณ์หรือเปลี่ยนสถานการณ์

=== การป้องกันและการสร้างความยืดหยุ่น ===
<!--เผื่ออนาคต Decreasing stressful behaviors is a part of prevention, some of the common strategies and techniques are: Self-monitoring, tailoring, material reinforcement, social reinforcement, social support, self-contracting, contracting with significant other, shaping, reminders, self-help groups, professional help.
การลดพฤติกรรมที่ทำให้เครียดเป็นส่วนการป้องกันความเครียด กลยุทธ์และเทคนิกที่ใช้อย่างสามัญรวมทั้งการตรวจตราดูตัวเอง<ref>{{cite book | author = Greenberg | title = Comprehensive Stress Management 10E | url = https://books.google.com/books?id=D6Xr2waR9UEC&pg=PA261 | publisher = McGraw-Hill Education | isbn = 978-0-07-067104-1 | pages = 261- | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20170218174937/https://books.google.com/books?id=D6Xr2waR9UEC&pg=PA261 | archivedate = 2017-02-18 }}</ref> -->
แม้จะมีเทคนิกที่ได้พัณนาขึ้นเพื่อรับมือกับผลของความเครียด แต่ก็มีงานศึกษาเรื่องการป้องกันความเครียดด้วย ซึ่งเป็นประเด็นใกล้เคียงกับเรื่อง "psychological resilience" (ความยืดหยุ่นได้ทางใจ) ในจิตวิทยา
และมีวิธีที่ทำเองได้เพื่อป้องกันความเครียดและเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ ที่ได้แนวคิดมาจาก[[การบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม]] ({{abbr |CBT| cognitive behavioural therapy }})<ref name="Robertson_2012">{{Cite book | author = Robertson, D | title = Build your Resilience | year = 2012 | publisher = Hodder | location = London | isbn = 978-1-4441-6871-6 | url = https://books.google.com/books?id=QwIstsEgkBMC}}</ref>

biofeedback (คือการวัดการตอบสนองทางสรีรภาพด้วยเครื่องมือโดยมีจุดประสงค์เพื่อจะควบคุมการตอบสนองเช่นนั้น ๆ) อาจช่วยแก้ความเครียด
งานศึกษาปี 2015 ประเมินผลของ resonant breathing biofeedback (เป็นการสำนึกและควบคุมความต่าง ๆ กันของอัตราการเต้นหัวใจ) ในกลุ่มพนักงานควบคุมการผลิต
แล้วพบว่า เทคนิกช่วยลดความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดอย่างสำคัญ<ref name="Sutarto2012">{{cite journal | doi = 10.1080/10803548.2012.11076959 | pmid = 23294659 | title = Resonant Breathing Biofeedback Training for Stress Reduction Among Manufacturing Operators | journal = International Journal of Occupational Safety and Ergonomics | volume = 18 | issue = 4 | pages = 549-61 | year = 2015 | last1 = Purwandini Sutarto | first1 = Auditya | last2 = Abdul Wahab | first2 = Muhammad Nubli | last3 = Mat Zin | first3 = Nora }} </ref>

=== กลไกการรับมือ ===
{{บทความหลัก |การรับมือ (จิตวิทยา)}}
แบบจำลองหนึ่งแสดงว่า เหตุการณ์ภายนอกสร้างแรงกดดันให้ทำกิจให้เกิด ให้มีส่วนร่วมกับ หรือให้ประสบกับเหตุการณ์เครียด
ความเครียดไม่ใช่เหตุการณ์ภายนอกเอง แต่เป็นการตีความและตอบสนองต่อภัยที่อาจมี
ดังนั้น จึงสามารถใช้วิธีการรับมือกับความเครียดได้<ref name="Coping With Stress">{{cite book | last1 = Snyder | first1 = C.R. | last2 = Lefcourt | first2 = Herbert M. | title = Coping With Stress | date = 2001 | publisher = Oxford University | location = New York | pages = 68-88}}</ref>

มีวิธีการหลายอย่างที่สามารถรับมือกับภัยที่อาจทำให้เครียด
แต่บุคคลก็มักจะตอบสนองด้วยรูปแบบการรับมืออย่างใดอย่างหนึ่งโดยมาก เช่น โดยไม่สนใจความรู้สึก หรือเปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด<ref name="Coping With Stress"/>
มีหมวดหมู่การรับมือ/กลไกป้องกันตัวหลายอย่าง แต่ก็เป็นไปตามแนวคิดทั่วไปที่เหมือนกัน คือมีวิธีการรับมือกับความเครียดที่ดี/ให้ประโยชน์ และที่ไม่ดี/ไม่มีประโยชน์
เพราะความเครียดเป็นความรู้สึก วิธีการที่จะกล่าวดังต่อไปนี้บางอย่างอาจไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด
แต่จัดว่าเป็นวิธีการรับมือก็เพราะช่วยให้บุคคลจัดการความรู้สึกเชิงลบและความวิตกกังวลได้ดีกว่า ไม่ใช่แก้ปัญหาที่เป็นเหตุ
กลไกเหล่านี้ปรับมาจาก DSM-IV Adaptive Functioning Scale (1994) ของสมาคมจิตเวชอเมริกัน ({{abbr |APA| American Psychiatric Association }})

==== กลไกที่ปรับตัวได้ดี ต้องทำการ มุ่งแก้ปัญหา ====
ทักษะเหล่านี้ช่วยเผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรง หรืออย่างน้อยก็จัดการอารมณ์เชิงลบอย่างเป็นประโยชน์ คือ โดยทั่วไปเป็นการปรับตัวได้ดี (generally adaptive)
* การผูกพัน (affiliation) เช่น [[การดูแลและหาเพื่อน]] ซึ่งจัดการความเครียดโดยหาความช่วยเหลือ/หาการสนับสนุนจากผู้อื่น/เครือข่ายสังคม แต่ไม่ใช่โดยไม่รับผิดชอบหรือทำให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่น<ref name="Levo, Lynn M. 2003">{{cite journal | authors = Levo, Lynn M | date = 2003-09 | title = Understanding Defense Mechanisms | journal = Lukenotes | publisher = Saint Luke Institute | location = MD | volume = 7 | issue = 4 }} </ref><ref name="DSM-IV Adaptive Functioning Scale 1994">Adapted from DSM-IV Adaptive Functioning Scale, APA, 1994.</ref>
* [[อารมณ์ขัน]] (humor) คือมองออกนอกสถานการณ์เพื่อให้ได้มุมมองกว้าง ๆ และเพื่อเน้นจุดขำ ๆ ที่พบในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย<ref name="Levo, Lynn M. 2003"/>
[[ไฟล์:Two people laughing.jpg|thumb| การรับมือผ่านอารมณ์ขัน ]]
::สมาคมอารมณ์ขันประยุกต์และเพื่อบำบัดโรค (Association for Applied and Therapeutic Humor) นิยามอารมณ์ขันบำบัดว่าเป็น "วิธีการรักษาที่โปรโหมตสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยกระตุ้นการค้นพบ การแสดงออก หรือการเห็นคุณค่าแบบเล่น ๆ ของความน่าขันหรือความไม่กลมเกลียวกันของชีวิตตนเอง การรักษานี้อาจปรับปรุงสุขภาพหรือใช้รักษาความเจ็บป่วยแบบเสริม เพื่ออำนวยให้หายหรือให้รับมือกับสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะทางกาย ทางอารมณ์ ทางประชาน หรือทางจิตวิญญาณ"<ref name="Communication in Nursing">{{cite book | last1 = Riley | first1 = Julia | title = Communication in Nursing | date = 2012 | publisher = Mosby/Elsevier | location = Missouri | pages = 160-173 | edition = 7 | quote = The Association for Applied and Therapeutic Humor defines therapeutic humor as ‘any intervention that promotes health and wellness by stimulating a playful discovery, expression or appreciation of the absurdity of or incongruity of life’s situations. This intervention may enhance health or be used as a complementary treatment of illness to facilitate healing or coping whether physical, emotional, cognitive, or spiritual. }}</ref>
::[[ประสาทแพทย์]]ผู้มีชื่อเสียง คือ [[ซิกมุนด์ ฟรอยด์]] ได้เสนอว่า อารมณ์ขันเป็นกลยุทธ์ป้องกันตัวที่ดีในสถานการณ์ที่ทำให้อารมณ์เสีย<ref name="Coping With Stress"/> เพราะเมื่อหัวเราะในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็จะทำให้ออกจากความวิตกกังวล แล้วทำให้คิดได้ดีขึ้น<ref name="Communication in Nursing"/> เมื่อสามารถมองในแง่มุมอื่น ๆ ก็จะรู้สึกว่าสามารถควบคุมปฏิกิริยา/การตอบสนองของตนได้ และควบคุมการแก้ปัญหาที่เป็นเหตุให้เครียดได้
::นัก[[จิตวิทยา]]ผู้หนึ่ง (HM Lefcourt) เสนอว่า อารมณ์ขันซึ่งเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้มีประสิทธิผลดีเพราะแยกตนเองออกจากสถานการณ์และความเครียด<ref>{{cite book | last1 = Lefcourt | first1 = H. M. | editor1-last = Snyder | editor1-first = C. R. | title = Coping with Stress: Effective People and Processes. | date = 2001 | publisher = Oxford University Press | location = New York | isbn = 0198029950 | pages = 68-92 | chapter = The Humor Solution}}</ref> งานศึกษาได้แสดงว่า การหัวเราะและอารมณ์ขันจะบรรเทาความเครียดโดยผลอาจคงยืนถึง 45 นาทีหลังหัวเราะ<ref name="Communication in Nursing"/>).
::อนึ่งพบว่า เด็กที่เข้า รพ. หัวเราะและเล่นเพื่อบรรเทาความกลัว ความเจ็บปวด และความเครียด การหัวเราะและอารมณ์ขันจึงสำคัญมากเพื่อรับมือกับความเครียด<ref name="Communication in Nursing"/> มนุษย์ควรใช้อารมณ์ขันเป็นวิธีก้าวพ้นความเข้าใจเบื้องต้นของตนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก ให้ได้มุมมองทางอื่น ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล
* การเปลี่ยนความคิดที่ไม่ดีให้เป็นการกระทำที่ยอมรับได้ (sublimation) ช่วยให้แก้ปัญหาโดยอ้อมโดยไม่มีผลลบหรือเสียความสุขที่พึงได้<ref>{{cite journal | last1 = Valliant | first1 = George E. | year = 2000 | title = Adaptive Mental Mechanisms | journal = American Psychologist | volume = 55 | issue = 1 | pages = 89-98 | doi = 10.1037/0003-066x.55.1.89 | pmid = 11392869 }}</ref> วิธีนี้ช่วยให้เปลี่ยนอารมณ์หรือแรงดลใจที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรมหรือการกระทำที่สังคมยอมรับได้
* การคิดเรื่องดี ๆ (positive reappraisal) คือเปลี่ยนความคิดไปในสิ่งที่ดี ๆ ที่กำลังเกิดหรือยังไม่เกิด ซึ่งอาจช่วยให้พัฒนาตนเอง (personal growth) ให้สำนึกรู้จักตนเอง (self-reflection) และให้สำนึกถึงอำนาจและประโยชน์ของความพยายามของตน<ref>{{cite journal | last1 = Folkman | first1 = S. | last2 = Moskowitz | first2 = J. | year = 2000 | title = Stress, Positive Emotion, and Coping | journal = Current Directions in Psychological Science | volume = 9 | issue = 4 | pages = 115-118 | doi = 10.1111/1467-8721.00073}}</ref> ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษา[[ทหารผ่านศึก]]ไม่ว่าจะผ่านสงครามหรือการรักษาสันติภาพพบว่า ผู้ที่ตีความประสบการณ์การต่อสู้หรืออันตรายในเชิงบวกมักจะ[[การปรับตัว (จิตวิทยา)|ปรับตัว]]ได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ทำเช่นนี้<ref name="pmid17532104">{{cite journal | authors = Schok, ML; Kleber, RJ; Elands, M; Weerts, JM | title = Meaning as a mission: a review of empirical studies on appraisals of war and peacekeeping experiences | journal = Clinical Psychology Review | volume = 28 | issue = 3 | pages = 357-65 | year = 2008 | pmid = 17532104 | doi = 10.1016/j.cpr.2007.04.005 | type = Review}}</ref>

วิธีการรับมือแบบปรับตัวได้ดีอย่างอื่น ๆ รวมทั้งความหวัง (anticipation) ความเอื้ออาทร (altruism) และการสังเกตตนเอง (self-observation)

==== วิธียับยั้งใจ/ปฏิเสธไม่ยอมรับ ====
วิธีเหล่านี้เป็นเหตุให้บุคคลสำนึกน้อยลง (ในบางกรณีไม่มีเลย) ถึงความวิตกกังวล ภัยต่าง ๆ ความหวาดกลัวเป็นต้น ที่มาจากความรู้สึกว่ามีภัย
* การเปลี่ยนความคิด (displacement) เป็นการเปลี่ยนความรู้สึกเดือดร้อนไปยังสถานการณ์อื่นที่เป็นภัยน้อยกว่า<ref>{{cite book | authors = Colman, Andrew M | year = 2009 | title = displacement | work = A Dictionary of Psychology | publisher = Oxford Reference Online, Oxford University Press }}</ref>
* การเก็บกดความคิด (repression) - เป็นวิธีที่บุคคลพยามยามกำจัดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นภัยหรือทำให้กลุ้มใจ เพื่อไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้นาน ๆ นี่ยิ่งกว่า "การปฏิเสธว่าไม่จริง" (denial) ที่เสนอโดย[[ซิกมุนด์ ฟรอยด์]]
* ปฏิกิริยาตรงกันข้าม (reaction formation) - บุคคลเปลี่ยนความรู้สึก ความคิด หรือพฤติกรรมไปในทางตรงกันข้าม เช่น แทนความคิดที่ไม่ต้องการด้วยความคิดตรงกันข้าม (เช่นอาจระงับความรู้สึกรักร่วมเพศโดยเปลี่ยนเป็นเกลียดคนรักร่วมเพศทั้งหมด)<ref>{{cite web | title = REACTION-FORMATION | url = http://www.cla.purdue.edu/academic/engl/theory/psychoanalysis/definitions/reactionformation.html | deadurl = yes | publisher = Purdue University | deadurl = yes | archiveurl = https://web.archive.org/web/20130727080754/http://www.cla.purdue.edu:80/english/theory/psychoanalysis/definitions/reactionformation.html | archivedate = 2013-07-27}}</ref>

วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการแก้คืน (undoing) การแยกตัวออกจากสถานการณ์ (dissociation) การปฏิเสธว่าไม่จริง (denial) การปฏิเสธว่าตัวเองไม่เป็นโดยโทษคนอื่น (projection) และการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (rationalization)
แม้นักวิชาการบางพวกจะอ้างว่า วิธีการรับมือโดยยับยั้งอาจจะเพิ่มระดับความเครียดในที่สุดเพราะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร
แต่การแยกตนเองออกจากตัวก่อความเครียดบางครั้งช่วยบรรเทาความเครียดอย่างชั่วคราว และเพิ่มความพร้อมรับมือกับปัญหาในภายหลัง

==== วิธีที่ต้องทำการ ====
วิธีเหล่านี้ใช้รับมือกับความเครียดเมื่อต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถอยตัวออก
* แสดงออกสิ่งที่ไม่ควร (acting out) คือทำสิ่งที่ไม่สมควรซึ่งสังคมพิจารณาว่าเป็นปัญหา คือ แทนที่จะพิจารณาหรือแก้ปัญหา บุคคลจะทำสิ่งที่จัดว่า เป็น[[การปรับตัว (จิตวิทยา)|การปรับตัว]]ที่ไม่ดี<ref name="DSM-IV Adaptive Functioning Scale 1994"/>
* งอน (passive aggression) คือบุคคลรับมือโดยอ้อมกับความวิตกกังวลหรือความคิด/ความรู้สึกที่ไม่ดีซึ่งมาจากความเครียด โดยทำกระฟัดกระเฟียดหรือไม่พอใจต่อผู้อื่น การบ่นแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือก็รวมอยู่ในหมวดนี้

==== การเสริมสุขภาพ ====
มีวิธีการอื่นเพื่อรับมือกับความเครียด ทำโดยป้องกันความวิตกกังวลและความเครียด
ถ้าฝึกรับมือกับความเครียดทุกวัน ความรู้สึกเครียดและการรับมือกับมันโดยจัดเป็นเหตุการณ์ภายนอกก็จะรู้สึกว่าเป็นภาระน้อยลง

กลยุทธ์ที่แนะนำเพื่อปรับปรุงการแก้ความเครียดรวมทั้ง<ref>{{cite book | last1 = Potter | first1 = Patricia | title = Canadian Fundamentals of Nursing | date = 2014 | publisher = Elsevier | location = Toronto | pages = 472-488 | edition = 5}}</ref>
# [[ออกกำลังกาย]]ให้สม่ำเสมอ คือวางแผนการออกกำลังกาย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์
# ตั้งระบบผู้ช่วยสนับสนุน เพื่อฟัง ให้คำแนะนำ และให้การสนับสนุนแก่กันและกัน
# บริหารเวลาที่มี - ตั้งระเบียบการใช้เวลา
# จินตนาการภาพตามแนะนำ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ
# ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตามลำดับ
# ฝึกเพื่อสื่อสารความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ (assertiveness training)
# การเขียนบันทึกประจำวัน เพื่อแสดงออกอารมณ์ที่แท้จริง เป็นการพิจารณาตนเอง
# การแก้เครียดในที่ทำงาน คือเปลี่ยนระบบการทำงาน เปลี่ยนสิ่งที่ต้องทำเพื่อลดความเครียด

วิธีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือจัดว่าเป็นการปรับตัวที่ดี หรือไม่ดีก็ได้

== การตอบสนองทางสรีรภาพ ==
=== ความเครียดที่มีผลต่อการสื่อสาร ===
ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดโดยหลายอย่าง
การปรับระดับสารเคมีในร่างกายเป็นวิธีอย่างหนึ่ง
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนในร่างกายที่มีผลต่อการสื่อสาร

==== general adaptation syndrome ====
เมื่อวัดการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด นักจิตวิทยามักจะใช้แบบจำลอง general adaptation syndrome ของ นพ. แฮนส์ เซ็ลเย
ซึ่งบ่อยครั้งเรียกว่าการตอบสนองต่อความเครียดแบบคลาสสิก เป็นเรื่องเกี่ยวกับ[[ภาวะธำรงดุล]]
และมีระยะสามขั้นตอนคือ
# ปฏิกิริยาตกใจ (alarm reaction) เป็นระยะที่เกิดเมื่อตัวก่อความเครียดปรากฏ ซึ่งร่างกายก็จะเตรียมตัวรับมือ ส่วนสมอง คือ [[แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล]]และ[[ระบบประสาทซิมพาเทติก]]จะเริ่มทำงาน มีผลให้หลั่ง[[ฮอร์โมน]]จาก[[ต่อมหมวกไต]] เช่น cortisol, [[เอพิเนฟรีน]], และ norepinephrine เข้าไปใน[[เลือด]]เพื่อปรับการทำงานของร่างกาย คือ เพิ่มพลังงาน เพิ่มแรง[[กล้ามเนื้อ]] ลดความไวเจ็บ หน่วง[[ระบบย่อยอาหาร]] และเพิ่ม[[ความดันโลหิต]]<ref> {{cite book | authors = Gottlieb, Benjamin | year = 1997 | title = Coping with Chronic Stress | publisher = Plenum Press }}</ref><ref name="General Adaptive Syndrome"> {{cite book | last1 = Mitterer | first1 = Jon | last2 = Coon | first2 = Dennis | title = Introduction to Psychology | date = 2013 | publisher = Jon-David Hague | pages = 446-447}}</ref> อนึ่ง กลุ่ม[[นิวรอน]]ภายใน[[พอนส์]]ของ[[ก้านสมอง]] และส่ง[[แอกซอน]]ไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมอง คือเขต locus coeruleus ก็หลั่ง norepinephrine ไปที่นิวรอนอื่น ๆ โดยตรงด้วย norepinephrine ในระดับสูงซึ่งทำงานเป็น[[สารสื่อประสาท]]โดยออกฤทธิ์ที่หน่วยรับของมันในเขตสมองต่าง ๆ เช่นที่[[คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า]] (prefrontal cortex) เชื่อว่ามีผลต่อ [[executive functions]] เช่น ความจำใช้งาน (working memory) ที่ทำงานไม่สมบูรณ์เนื่องจากความเครียด
# ระยะต่อต้าน/ขัดขืน (resistance) - ร่างกายจะต่อต้านความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะนี้ จนกระทั่งหมดทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่ระยะหมดแรง หรือจนกระทั่งหมดสิ่งเร้าที่ทำให้เครียด เมื่อร่างกายใช้ทรัพยากรหมดไปเรื่อย ๆ บุคคลก็จะรู้สึกเหนื่อยขึ้น ๆ และเสี่ยงต่อโรค นี่เป็นระยะที่โรคกายเหตุจิต (psychosomatic disorder) เริ่มปรากฏ<ref name="General Adaptive Syndrome" />
# ระยะเหนื่อย/หมดทรัพยากร (exhaustion) - ร่างกายได้หมดฮอร์โมนและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ต้องใช้เพื่อจัดการตัวก่อความเครียด บุคคลจะเริ่มแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น วิตกกังวล หงุดหงิด เลี่ยงความรับผิดชอบและความสัมพันธ์กับผู้อื่น มีพฤติกรรมทำลายตนเอง และตัดสินใจไม่ดี เมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็จะมีโอกาสการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นสูงขึ้น ทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิง<ref name="General Adaptive Syndrome" /> การตอบสนองที่ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานมากเช่นนี้ บ่อยครั้งเรียกว่า[[การตอบสนองโดยสู้หรือหนี]] (fight or flight response) ซึ่งรวม[[ม่านตาขยาย|การขยายม่านตา]] หลั่ง[[เอ็นดอร์ฟิน]] เพิ่ม[[อัตราหัวใจเต้น|อัตราการเต้นของหัวใจ]]และ[[การหายใจ]] ระงับกระบวน[[การย่อยอาหาร]] หลั่ง[[เอพิเนฟรีน]] ขยายหลอดเลือดแดงเล็ก และยุบหลอดเลือดดำ การตอบสนองในระดับสูงเช่นนี้บ่อยครั้งไม่จำเป็นเพื่อรับมือต่อตัวก่อความเครียดและอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก็เป็นรูปแบบการตอบสนองที่พบในมนุษย์ และบ่อยครั้งนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพซึ่งปกติสัมพันธ์กับความเครียดในะระดับสูง<ref>{{cite web | url = http://oregonstate.edu/instruct/dce/hhs231_w04/nine/studyguide.htm | title = HHS 231 - Extended Campus - Oregon State University | deadurl = no | archiveurl = https://web.archive.org/web/20121010135321/http://oregonstate.edu/instruct/dce/hhs231_w04/nine/studyguide.htm | archivedate = 2012-10-10 }}</ref>

==== คุณภาพการนอน ====
การนอนหลับทำให้ได้พักผ่อนและเติมกำลังหลังจากทำงานทั้งวัน
การนอนหลับให้เพียงพอเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่เครียดเพราะช่วยให้คิดได้ดีขึ้น
แต่โชคไม่ดีว่า ความเครียดเปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีของร่างกายแล้วทำให้นอนยาก
เช่น ฮอร์โมนสเตอรอยด์ที่หลั่งตอบสนองความเครียดคือ glucocorticoid สามารถขัดการนอน
การนอนหลับมี 4 ระยะและระยะที่ลึกสุดและทำให้พักผ่อนได้มากสุด จะได้ก็ต่อเมื่อหลับแล้ว 1 ชม.{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2014-11}}
ถ้าการนอนถูกขัดเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ
ซึ่งทำให้หงุดหงิดและไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ<ref name=Sleep>{{cite book | last1 = Craven | first1 = Ruth | last2 = Hirnle | first2 = Constance | last3 = Jensen | first3 = Sharon | title = Fundatmentals of Nursing: Human and Health Function | date = 2013 | publisher = Lippincott Williams & Wilkins | location = Philadelphia | page = 1319 | edition = 7}}</ref>

=== ประสบการณ์เครียดทางสังคมที่มีผลต่อการสื่อสาร ===
ความเครียดอาจก่อปัญหาหลายอย่าง
อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือสื่อสารได้ไม่ดี
ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างว่าความเครียดมีผลต่อการสื่อสารได้อย่างไร

==== ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ====
วัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลกสามารถจัดเป็น 2 หมู่
คือสังคมแบบปัจเจกบุคคล และสังคมแบบชุมชนนิยม<ref name=Sleep />
* สังคมแบบปัจเจกบุคคล เช่นที่พบในสหรัฐ ทุกคนเป็นอิสระจากกันและกัน มีความสำเร็จและเป้าหมายเป็นของตนเอง
* สังคมแบบชุมชนนิยม เช่นที่พบในประเทศเอเชียต่าง ๆ มองบุคคลว่าต้องพึ่งซึ่งกันและกัน และให้ค่านิยมกับความถ่อมตัวและครอบครัว

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นนี้อาจมีผลต่อการสื่อสารระหว่างบุคคลเมื่อเครียด
ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกของวัฒนธรรมแบบปัจเจกบุคคลอาจลังเลในการขอยาแก้ปวดเพราะไม่ต้องการถูกดูถูกว่าอ่อนแอ
แต่สมาชิกของสังคมแบบชุมชนนิยมไม่จำเป็นต้องลังเล
เพราะเป็นสังคมที่ทุกคนช่วยเหลือกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน<ref name=Sleep/>
<!--เผื่ออนาคต ==== Language barriers ====
==== ปัญหาทางภาษา ====
Language barriers can also diminish communication due to stress.
ปัญหาทางภาษาสามารถทำให้สื่อสารอย่างไม่ได้ผลเพราะความเครียด<ref name="Cultural Differences">{{cite book | last1 = Morrison-Valfre | first1 = Michelle | title = Foundations of mental health care | date = 2009 | publisher = Mosby/Elsevier | location = St. Louis, Mo. | isbn = 978-0-323-05644-1 | edition = 4th}}</ref>
All languages have their own way of using names, titles, and just interacting.
คือภาษามีการใช้นาม คำนำหน้าชื่อ และวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน
These differences can make inter lingual communication relatively stressful.
ความแตกต่างเช่นนี้ทำให้การสื่อข้ามภาษาเป็นเรื่องเครียด
Not speaking the same languages, different ways of showing respect, and different use of body language can make things difficult.
การไม่ใช้ภาษาเดียวกัน วิธีการแสดงความเคารพนับถือที่แตกต่างกัน และภาษากายที่ต่างกันอาจทำให้สื่อกันได้ยาก
Being uncomfortable with the communication around a person can discourage them from communicating at all.<ref name="Cultural Differences"/> -->

==== การเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัว ====
[[การหย่า]]ร้าง [[ความตาย]] และ[[การแต่งงาน]]ใหม่ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์สร้างความยุ่งเหยิงในครอบครัว<ref name=Sleep />
แม้ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้รับผล แต่อาจมีผลต่อเด็กมากที่สุด
เพราะอายุน้อย จึงยังไม่มีทักษะรับมือกับสถานการณ์ใหม่ ๆ{{ต้องการอ้างอิงเฉพาะส่วน | date = 2014-11}}
เพราะเหตุนี้ เหตุการณ์เครียดอาจเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก
การคบเพื่อนกลุ่มใหม่ หรือการเกิดนิสัยใหม่ที่ไม่ดี เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ความเครียดอาจเป็นตัวจุดชนวน<ref name=Sleep />

การตอบสนองต่อความเครียดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือการคุยกับเพื่อนจินตนาการ
เด็กอาจจะรู้สึกโกรธพ่อแม่หรือเพื่อนซึ่งตนรู้สึกว่าทำให้ชีวิตของตนต้องเปลี่ยนไป
และต้องการหาคนคุยด้วยแต่ต้องไม่ใช่คนที่โกรธ
ดังนั้น จึงคุยกับเพื่อนที่ไม่มี แต่นี่เท่ากับไม่คุยกับบุคคลรอบ ๆ ตัว<ref name=Sleep />

== การช่วยเหลือทางสังคมและผลต่อสุขภาพ ==
นักวิจัยได้สนใจว่า รูปแบบและระดับความช่วยเหลือทางสังคมที่บุคคลหนึ่ง ๆ ได้รับจะมีผลต่อความเครียดและสุขภาพของบุคคลนั้นเท่าไร
งานศึกษาต่าง ๆ ได้พบอย่างสม่ำเสมอว่า ความช่วยเหลือทางสังคมสามารถป้องกันผลความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ<ref>
{{cite journal | last1 = Uchino | first1 = B. N. | year = 2009 | title = Understanding the links between social support and physical health: A life-span perspective with emphasis on the separability of perceived and received support | journal = Perspectives on Psychological Science | volume = 4 | issue = 3 | pages = 236-255 | doi = 10.1111/j.1745-6924.2009.01122.x}}</ref><ref>
{{cite journal | last1 = Berkman | first1 = L. F. | last2 = Glass | first2 = T. | last3 = Brissette | first3 = I. | last4 = Seeman | first4 = T. E. | year = 2000 | title = From social integration to health: Durkheim in the new millennium | journal = Social Science & Medicine | volume = 51 | issue = 6 | pages = 843-857 | doi = 10.1016/s0277-9536(00)00065-4}}</ref>
โดยมีกลไกหลายอย่าง

[[แบบจำลอง]]แบบ "ผลโดยตรง" (direct effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพเพราะเพิ่มอารมณ์ดี เพิ่มการปรับตัวได้ดี เพิ่มเสถียรภาพพร้อมความแน่นอนของอนาคต และช่วยกันปัญหาทางสังคม ทางกฎหมาย และทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลลบต่อสุขภาพ
ส่วนแบบจำลองแบบ "ผลกันชน" (buffering effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีอิทธิพลสูงสุดต่อสุขภาพเมื่อเครียด ไม่ว่าจะช่วยให้มองสถานการณ์อย่างมีภัยน้อยลงหรือช่วยรับมือกับความเครียด
และนักวิชาการก็ได้พบหลักฐานสนับสนุนแบบจำลองทั้งสองนี้<ref>{{cite journal | last1 = Cohen | first1 = S. | last2 = Wills | first2 = T. A. | year = 1985 | title = Stress, social support, and the buffering hypothesis | journal = Psychological Bulletin | volume = 98 | issue = 2 | pages = 310-357 | doi = 10.1037/0033-2909.98.2.310 | pmid = 3901065}}</ref>

การช่วยเหลือทางสังคมนิยามโดยเฉพาะว่า เป็นการช่วยเหลือทางจิตใจหรือทางสิ่งของที่เครือข่ายสังคมให้ โดยมุ่งช่วยบุคคลให้รับมือกับความเครียด<ref name="Cohen, S. 2004">{{cite journal | last1 = Cohen | first1 = S | year = 2004 | title = Social relationships and health | journal = American Psychologist | volume = 59 | issue = 8 | pages = 676-684 | doi = 10.1037/0003-066x.59.8.676 | pmid = 15554821}}</ref>
นักวิชาการโดยทั่วไปจะแยกแยะรูปแบบต่าง ๆ ของการช่วยเหลือทางสังคมรวมทั้ง การช่วยเหลือทางสิ่งของ (instrumental support) เช่น ทางการเงิน หรือการช่วยไปส่งหาหมอ, ทางข้อมูล (informational support) เช่น ให้ความรู้ ช่วยเรื่องการศึกษา หรือคำแนะนำเพื่อแก้ปัญหา, และทางอารมณ์ (emotional support)
เช่น ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ เป็นต้น<ref name="Cohen, S. 2004"/>

การช่วยเหลือทางสังคมสามารถลดความเครียดที่เกิดช่วงตั้งครรภ์<ref>{{cite journal | authors = Shishehgar, Sara; Mahmoodi, Abolfazl; Dolatian, Mahrokh; Mahmoodi, Zohreh; Bakhtiary, Maryam; Majd, Hamid Alavi | title = The Relationship of Social Support and Quality of Life with the Level of Stress in Pregnant Women Using the PATH Model | journal = Iranian Red Crescent Medical Journal | volume = 15 | issue = 7 | pages = 560-5 | year = 2013 | pmc = 3871742 | doi = 10.5812/ircmj.12174 | pmid = 24396574}}</ref>

== การสื่อสารกับคนเครียด ==
การช่วยเหลือของเพื่อนและชุมชนจะช่วยให้บุคคลสามารถสื่อสารได้เมื่อเครียด
เพราะจะรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของเครือข่ายสังคมที่ห่วงใยและสนใจกันและกัน ทำให้ลดความเครียดและรับมือกับมันได้ดีกว่า<ref name="Feldman, dinardo">{{cite book | last1 = Feldman | last2 = Dinardo | first1 = Robert S | first2 = Andrea | title = Essentials of understanding psychology | date = 2009 | publisher = McGraw-Hill Ryerson | location = Toronto | isbn = 9780070974111 | edition = 3rd}}</ref>
การช่วยเหลือทางสังคมและทางจิตใจแก่กันและกันแสดงว่า สมาชิกมีความสำคัญและมีคุณค่า<ref name="Feldman, dinardo"/>

ความเครียดของบุคคลจะมีผลต่อคนรอบ ๆ ข้างโดยเฉพาะครอบครัว
สมาชิกครอบครัวอาจประสบกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลายอย่างเมื่อต้องดูแลบุคคลซึ่งเป็นที่รัก
คือ ความกรุณา ความต้องการป้องกันภัย และความห่วงใยอาจผสมรวมกับความรู้สึกว่าหมดหนทางและเหมือนกับถูกติดกับ<ref name="Interpersonal Relationships">{{cite book | last1 = Arnold | last2 = Boggs | first1 = Elizabeth | first2 = Kathleen | last2 = Underman | title = Interpersonal Relationships : Professional Communication Skills For Nurses | date = 2011 | publisher = Elsevier/Saunders | location = St. Louis, Mo. | isbn = 9781437709445 | edition = 6th}}</ref>
การให้ความช่วยเหลือทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญเมื่อช่วยสมาชิกครอบครัวให้รับมือกับปัญหาเมื่อต้องดูแลบุคคลผู้เป็นที่รัก (ที่เป็นคนเครียด)<ref name="Interpersonal Relationships" />

== การวัด ==
ความเครียดที่บุคคลกำลังประสบในชีวิตสามารถประเมินโดยเทียบค่าวัดเหตุการณ์ชีวิต
ค่าวัดเช่น มาตรา Holmes and Rahe stress scale หรือ Social Readjustment Rating Scale (SRRS)<ref name="holmes">{{cite journal | last1 = Holmes | first1 = TH | last2 = Rahe | first2 = RH | year = 1967 | title = The Social Readjustment Rating Scale | journal = J Psychosom Res | volume = 11 | issue = 2 | pages = 213-8 | doi = 10.1016/0022-3999(67)90010-4 | pmid = 6059863}}</ref>
ซึ่งพัฒนาโดย[[จิตแพทย์]]ในปี 1967 และกำหนดเหตุการณ์เครียด 43 อย่างชีวิต

เพื่อคำนวณค่า ให้บวกค่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา
การมีคะแนนเกิน 300 แสดงว่ามีโอกาสป่วย คะแนนระหว่าง 150-299 หมายถึงโอกาสเสี่ยงที่รองลงมา และคะแนนน้อยกว่า 150 คือมีโอกาสเสี่ยงป่วยเพียงเล็กน้อย<ref name="pastorino" /><ref name="holmes" />
{|class="wikitable sortable"
|-
!เหตุการณ์ชีวิต
!ค่า
|-
|คู่ครองเสียชีวิต || 100
|-
|หย่ากับคู่ครอง || 73
|-
|แยกอยู่กับคู่ครอง || 65
|-
|ถูกจำคุก || 63
|-
|สมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดเสียชีวิต || 63
|-
|บาดเจ็บหรือป่วย || 53
|-
|แต่งงาน || 50
|-
|ถูกไล่ออกจากงาน || 47
|-
|กลับดีกับคู่ครอง || 45
|-
|เกษียณ || 45
|-
|สุขภาพของสมาชิกครอบครัวไม่ดี || 44
|-
|ตั้งครรภ์ || 40
|-
|{{finedetail |ปัญหาทางเพศ| Sexual difficulties }} || 39
|-
|ได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว || 39
|-
|สถานการณ์การงานเปลี่ยน || 39
|-
|การเงินเปลี่ยน || 38
|-
|เพื่อนสนิทเสียชีวิต || 37
|-
|เปลี่ยนอาชีพใหม่ || 36
|-
|ทะเลาะกันมากขึ้น || 35
|-
|การจำนอง/หนี้สินสำคัญ || 32
|-
|การถูกบังคับเอาทรัพย์จำนอง || 30
|-
|หน้าที่รับผิดชอบในการงานเปลี่ยน || 29
|-
|บุตรแยกไปอยู่ต่างหาก || 29
|-
|ปัญหากับญาติของสามีภรรยา || 29
|-
|ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม || 28
|-
|คู่ครองเริ่มหรือเลิกทำงาน || 26
|-
|เริ่มหรือหยุดเรียน || 26
|-
|สถานะความเป็นอยู่เปลี่ยนไป || 25
|-
|การเปลี่ยนนิสัยตนเอง || 24
|-
|ปัญหากับเจ้านาย || 23
|-
|เวลาหรือสภาพการทำงานเปลี่ยนไป || 20
|-
|เปลี่ยนที่อยู่ || 20
|-
|เปลี่ยนสถาบันการศึกษา || 20
|-
|เปลี่ยนการพักผ่อนหย่อนใจ || 19
|-
|เปลี่ยนกิจกรรมทางศาสนา || 19
|-
|เปลี่ยนกิจกรรมทางสังคม || 18
|-
|การจำนอง/หนี้สินย่อย ๆ || 17
|-
|เปลี่ยนนิสัยการนอน || 16
|-
|เปลี่ยนจำนวนการนัดพบกันในครอบครัว || 15
|-
|เปลี่ยนนิสัยการกิน || 14
|-
|พักร้อน || 13
|-
|ทำผิดกฎหมายย่อย ๆ || 10
|}

มีมาตราอีกรุ่นหนึ่งสำหรับเด็ก ดังต่อไปนี้<ref name="pastorino" />
{|class="wikitable sortable"
|-
!เหตุการณ์ชีวิต
!ค่า
|-
|ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ || 100
|-
|พ่อแม่เสียชีวิต || 100
|-
|แต่งงาน || 95
|-
|พ่อแม่หย่ากัน || 90
|-
|เสียรูปโฉมอย่างมองเห็นได้ || 80
|-
|เป็นพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ || 70
|-
|พ่อแม่ถูกจำคุกมากกว่า 1 ปี || 70
|-
|พ่อแม่แยกกันอยู่ || 69
|-
|พี่น้องเสียชีวิต || 68
|-
|เพื่อน ๆ เปลี่ยนความสัมพันธ์ || 67
|-
|พี่หรือน้องสาวตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ || 64
|-
|พบว่าตนเป็นลูกเลี้ยง || 63
|-
|พ่อแม่แต่งงานใหม่ || 63
|-
|เพื่อนสนิทเสียชีวิต || 63
|-
|มีความพิการแต่กำเนิดที่มองเห็นได้ || 62
|-
|ป่วยหนักต้องเข้า รพ. || 58
|-
|ตกวิชา || 56
|-
|ไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมนอกชั้นเรียน || 55
|-
|พ่อหรือแม่เข้า รพ. || 55
|-
|พ่อแม่ถูกจำคุกเกิน 30 วัน || 53
|-
|เลิกกับแฟน || 53
|-
|เริ่มออกเดต || 51
|-
|การถูกพักเรียน || 50
|-
|เริ่มใช้ยาเสพติดหรือเหล้า || 50
|-
|พี่น้องเกิดใหม่ || 50
|-
|พ่อแม่ทะเลาะกันเพิ่ม || 47
|-
|พ่อแม่เสียงาน || 46
|-
|ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม || 46
|-
|ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่เปลี่ยนไป || 45
|-
|เข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ || 43
|-
|เป็นนักเรียนปีสุดท้ายใน[[ไฮสกูล]] || 42
|-
|พี่น้องเข้า รพ. || 41
|-
|พ่อแม่ไม่อยู่บ้านมากขึ้น || 38
|-
|พี่น้องแยกออกไปอยู่นอกบ้าน || 37
|-
|มีผู้ใหญ่คนที่สามเพิ่มขึ้นในบ้าน || 34
|-
|เป็นสมาชิกของโบสถ์อย่างสมบูรณ์ || 31
|-
|พ่อแม่ทะเลาะกันน้อยลง || 27
|-
|ทะเลาะกับพ่อแม่น้อยลง || 26
|-
|พ่อแม่เริ่มทำงาน || 26
|}

เกณฑ์นี้ใช้ในจิตเวชเพื่อกำหนดผลของเหตุการณ์ชีวิต<ref name="Riese2013">{{cite journal | doi = 10.1002/per.1929 | title = Timing of Stressful Life Events Affects Stability and Change of Neuroticism | journal = European Journal of Personality | volume = 28 | issue = 2 | pages = 193-200 | year = 2014 | last1 = Riese | first1 = Harriëtte | last2 = Snieder | first2 = Harold | last3 = Jeronimus | first3 = Bertus F | last4 = Korhonen | first4 = Tellervo | last5 = Rose | first5 = Richard J | last6 = Kaprio | first6 = Jaakko | last7 = Ormel | first7 = Johan }}</ref>

== ดูเพิ่ม ==
{{columns-list |colwidth=30em|
* [[ปฏิกิริยาเฉียบพลันต่อความเครียด]]
* [[การปรับตัว (จิตวิทยา)]]
* [[การจัดการความเครียด]]
* [[การบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม]]
* [[ความไม่ลงรอยกันทางประชาน]]
* [[การปรับตัวไม่ดี]]
* [[ความเจ็บป่วยทางอารมณ์และจิตใจ]]
* [[การลดความเครียดอิงสติ]]
* [[ความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ]]
* [[ความยืดหยุ่นได้ทางด้านจิตใจ]]
* [[ความเครียด (ชีววิทยา)]]
}}


== เชิงอรรถและอ้างอิง ==
== เชิงอรรถและอ้างอิง ==
{{รายการอ้างอิง |30em}}
{{รายการอ้างอิง |30em}}


{{โครงจิตวิทยา}}
[[หมวดหมู่:ความเครียด]]
[[หมวดหมู่:ความเครียด]]
[[หมวดหมู่:แนวคิดทางจิตวิทยา]]
[[หมวดหมู่:แนวคิดทางจิตวิทยา]]
[[en:Psychological stress]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:54, 13 ตุลาคม 2561

ชายผู้มีกิริยาแสดงว่าเครียดคือจับศีรษะด้วยมือทั้งสอง

ในสาขาจิตวิทยา ความเครียด เป็นความรู้สึกตึง/ล้าทางใจ หรือการเสียศูนย์/ความสมดุลทางใจที่มีมาก่อน เนื่องจากการได้รับสิ่งเร้า/ปัจจัยไม่ว่าทางกายหรือใจ ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายใน ไม่ว่าจะเป็นอันตรายจริง ๆ หรือไม่ เช่น อากาศร้อน ถูกติเตียนต่อหน้าสาธารณชน หรือได้รับสิ่งเร้า/ประสบการณ์อื่น ๆ ที่ไม่น่าชอบใจ และโดยทั่วไปหมายถึงอารมณ์เชิงลบซึ่งบุคคลปกติพยายามจะหลีกเลี่ยง เป็นอารมณ์ที่เกิดพร้อมกับการปรับตัวทางสรีรภาพ ทางประชาน และทางพฤติกรรม[1] เป็นความทุกข์ทางใจอย่างหนึ่ง[2] การได้ความเครียดเล็กน้อยอาจเป็นเรื่องที่น่าต้องการ มีประโยชน์ และแม้แต่ดีต่อสุขภาพ เช่น ความเครียด "เชิงบวก" ที่ช่วยให้นักกีฬาเล่นกีฬาได้ดีขึ้น มันยังเป็นปัจจัยสร้างแรงจูงใจ การปรับตัว และการตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อม แต่การเครียดมากอาจทำอันตรายต่อร่างกาย เพราะสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อเส้นเลือดอุดตันในสมอง กล้ามเนื้อหัวใจตายเหตุขาดเลือด แผลเปื่อย และโรคทางใจ เช่น โรคซึมเศร้า[3]

ความเครียดอาจมาจากปัจจัยภายนอกและเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม[4] แต่ก็อาจมีเหตุจากการรับรู้ภายในที่ทำให้บุคคลรู้สึกวิตกกังวลหรือมีอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ เช่น รู้สึกถูกกดดัน ไม่สบายใจ เป็นต้น แล้วทำให้เครียด[2] นักวิชาการจึงได้นิยามความเครียดไว้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมที่บุคคลจัดว่าสำคัญต่อตน และรู้สึกหนักเกินกว่าที่ตนจะรับมือได้[5]

การรวมความเครียดแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกัน

มุมมองเกี่ยวกับความเครียดที่ไม่ค่อยพิจารณาอย่างหนึ่งก็คือทำให้ปรับตัวได้ดี[6] คือ ความเครียดแบบดีจะเป็นแรงจูงใจและสร้างความท้าทายแทนที่จะทำให้วิตกกังวล ความเครียดแบบดี (eustress) จะต่างกับความเครียดที่ไม่ดี (distress) อย่างสำคัญ แม้จะเรียกรวม ๆ ว่าความเครียดเหมือนกัน แต่ก็ควรมองเป็นแนวคิดที่ต่างกัน

รูปแบบต่าง ๆ

แพทย์ชาวออสเตรีย-แคนาดา แฮนส์ เซ็ลเย (Hans Selye ผู้บางคนเรียกว่า "บิดาเรื่องความเครียด") เสนอว่า มีความเครียด 4 รูปแบบ[7] ในแนวหนึ่ง มีความเครียดแบบดี (eustress) และแบบไม่ดี (distress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อสร้างความเครียดแบบดีให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแนวหนึ่ง มีความเครียดเกิน (hyperstress) และความเครียดน้อยเกิน (hypostress) ที่จุดมุ่งหมายก็เพื่อทำให้สมดุลเท่าที่จะเป็นไปได้[8] แนวคิดเช่นนี้มีผลดีต่อการทำประโยชน์ในชีวิตอย่างมาก เพราะเป็นเหตุให้ทำงานอย่างมีความสุขแทนที่จะรู้สึกเบื่อซึ่งเกิดเมื่อมีความเครียดที่ไม่ดี

ความเครียดที่ดีและไม่ดี

คำว่า eustress มาจากรากภาษากรีก “eu” ซึ่งแปลว่าดี ดังที่ใช้ในคำว่า euphoria (ความเป็นสุขอย่างที่สุด)[9] เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลมองสิ่งที่ก่อความเครียด (stressor) ในแง่ดี[10] ส่วนคำว่า distress มาจากรากคำภาษาละติน คือ “dis” ซึ่งมักใช้ในความหมายว่า "ตรงกันข้าม" เช่นคำว่า dissonance (ความไม่กลมกลืน) และ disagreement (ข้อขัดแย้ง)[9]

ความเครียดที่ไม่ดี/ความทุกข์ไม่ดีต่อคุณภาพชีวิต ซึ่งเกิดเมื่อความต้องการเหนือสมรรถภาพการรับมือของบุคคลอย่างมาก[10]

ผลต่อสุขภาพ

หญิงเครียดกำลังรอพบแพทย์

ความเครียดน่าจะสัมพันธ์กับความเจ็บป่วย[5][2] ทฤษฎีที่เชื่อมความเครียดกับความเจ็บป่วยเสนอว่า ทั้งความเครียดฉับพลันและเรื้อรังอาจทำให้ป่วย โดยมีงานศึกษาหลายงานที่พบเช่นนี้[11] ตามทฤษฎีเช่นนี้ ความเครียดทั้งสองแบบอาจเปลี่ยนทั้งพฤติกรรมและร่างกาย พฤติกรรมรวมทั้งการสูบบุหรี่ การกิน และการออกกำลัง ความเปลี่ยนแปลงทางสรีรภาพรวมทั้งการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก/แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล และระบบภูมิคุ้มกัน[12] อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดกับความเจ็บป่วยก็ต่าง ๆ กันมาก[13]

ความเครียดอาจทำให้บุคคลเสี่ยงโรคกายต่าง ๆ เช่น เป็นหวัด[14] เหตุการณ์เครียดในชีวิต เช่น การเปลี่ยนงาน อาจทำให้นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หรือมีปัญหาทางสุขภาพอื่น ๆ[15]

งานวิจัยแสดงว่า รูปแบบตัวก่อความเครียด (เช่น แบบฉับพลันหรือแบบเรื้อรัง) และลักษณะบุคคล เช่น อายุและสุขภาพ ที่มีอยู่แล้ว จะมีอิทธิพลต่อความเครียดที่เกิด[11] บุคลิกภาพของบุคคล (เช่น ระดับ neuroticism)[16] กรรมพันธุ์ และประสบการณ์ในวัยเด็ก เมื่อประกอบกับตัวก่อความเครียดหนักหรือความบาดเจ็บ[17] อาจเป็นตัวกำหนดการตอบสนองต่อตัวก่อความเครียด[11]

ความเครียดเรื้อรังและการไม่มีหรือไม่ใช้ทรัพยากรเพื่อรับมือในบุคคลบ่อยครั้งจะสร้างปัญหาทางจิตวิทยา เช่น โรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล[18] ซึ่งเป็นจริงอย่างยิ่งสำหรับตัอก่อความเครียดแบบเรื้อรัง เป็นตัวก่อความเครียดที่อาจไม่หนักเท่ากับความเครียดฉับพลัน เช่น ภัยธรรมชาติหรืออุบัติเหตุ แต่จะคงยืนเป็นเวลานาน และมักจะมีผลลบต่อสุขภาพมากกว่า เพราะมันคงยืนและทำให้ต้องตอบสนองทุก ๆ วัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายหมดกำลังได้เร็วกว่าและปกติจะเกิดเป็นระยะยะเวลานาน โดยเฉพาะเมื่อไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ (เช่น ความเครียดเนื่องจากอยู่อาศัยในที่ไม่ปลอดภัย) ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาได้พบว่า ผู้ดูแลคนป่วย โดยเฉพาะคนป่วยโรคสมองเสื่อม มีระดับความซึมเศร้าที่สูงกว่า และมีสุขภาพแย่กว่าผู้ไม่ต้องดูแลผู้ป่วย[19]

งานศึกษายังพบด้วยยว่า ความเครียดเรื้อรังและความดุที่สัมพันธ์กับบุคลิกภาพแบบ A (ช่างแข่งขัน ชอบเข้าสังคม ทะเยอทะยาน ใจร้อน ดุ) บ่อยครั้งสัมพันธ์กับความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจมากกว่า ซึ่งมีเหตุจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอและระดับความตื่นตัวของระบบประสาทซิมพาเทติกซึ่งสูง โดยเป็นส่วนของการตอบสนองทางสรีรภาพต่อเหตุการณ์เครียด[20]

อย่างไรก็ดี บุคคลก็ยังอาจแข็งแกร่งทางจิต (hardiness) ซึ่งหมายถึงสมรรถภาพในการมีสุขภาพทางจิตดีแม้จะเครียดอยู่เสมอ ๆ[21] นักจิตวิทยาในปัจจุบันกำลังศึกษาปัจจัยที่ทำให้บุคคลที่แข็งแกร่งสามารถรับมือกับความเครียดและหลีกเลี่ยงปัญหาทางร่างกายจิตใจที่สัมพันธ์กับการมีความเครียดสูง

ปัญหาเช่นอาการหลงผิด (delusion)[22] โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ อาจสัมพันธ์กับความเครียด

ถึงกระนั้น ทุกคนก็จะเครียดบ้าง และแพทย์เท่านั้นที่จะวินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคเครียด[23] ตามงานทบทวนวรรณกรรมปี 2016 ความวิตกกังวลแบบก่อโรคและความเครียดเรื้อรังจะทำให้เขตสมองคือฮิปโปแคมปัสเสื่อมและทำงานพิการ[24]

มันเชื่อมานานแล้วว่า อารมณ์เชิงลบ เช่น ความวิตกกังวลและความซึมเศร้า อาจมีอิทธิพลต่อโรคกาย ซึ่งก็จะมีผลต่อกระบวนการทางชีวภาพอันอาจทำให้เสี่ยงโรคเพิ่มขึ้นในที่สุด แต่งานศึกษาต่าง ๆ ก็ได้แสดงว่า นี่ไม่จริงเป็นบางส่วน คือแม้ความเครียดดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อสุขภาพที่ไม่ดี แต่ความรู้สึกว่า ความเครียดเป็นอันตรายก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นอีก[25][26] ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเครียดอย่างเรื้อรัง ก็จะเสี่ยงเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวรทางสรีรภาพ ทางอารมณ์ และทางพฤติกรรม[16][27] ซึ่งอาจก่อโรค ความเครียดเรื้อรังเป็นผลของเหตุการณ์เครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การดูแลคู่ชีวิตที่สมองเสื่อม หรือเป็นผลของเหตุการณ์เครียดชั่วคราวแต่รู้สึกเครียดเป็นระยะเวลานาน เช่น การถูกทำร้ายทางเพศ แม้ความเครียดบ่อยครั้งจะเชื่อมกับความเจ็บป่วยหรือโรค แต่คนปกติโดยมากก็ยังไร้โรคแม้หลังจากประสบกับเหตุการณ์เครียดแบบเรื้อรัง อนึ่ง บุคคลที่ไม่เชื่อว่าความเครียดจะมีผลต่อสุขภาพของตน ก็ไม่เสี่ยงเพิ่มต่อความเจ็บป่วย โรค หรือความตาย[26] ซึ่งแสดงว่า ความเครียดมีอิทธิพลการก่อโรคในแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน เป็นความต่างเนื่องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์และทางจิตใจ อนึ่ง อายุที่ประสบกับความเครียดจะเป็นตัวกำหนดผลของมันต่อสุขภาพด้วย งานวิจัยแสดงว่า ความเครียดเรื้อรังในวัยเด็กจะมีผลต่อการตอบสนองทางชีวภาพ ทางจิตใจ และทางพฤติกรรมต่อความเครียดที่ได้รับต่อ ๆ มาตลอดชีวิต[28]

เพราะความเครียดมีผลต่อกาย บางคนก็อาจไม่แยกแยะปัญหานี้กับโรคอื่น ๆ ถ้าอาการชัดเจน (เช่น มีก้อนที่หน้าอก) บุคคลจะไปหาหมอไม่ว่าจะเครียดอยู่หรือไม่ แต่ถ้าอาการไม่ชัดเจน (เช่น ปวดหัว) ก็จะไม่ไปหาหมอเพราะเข้าใจว่าอาการมาจากความเครียดเมื่อสิ่งที่ทำให้เครียดเริ่มเกิดเร็ว ๆ นี้คือไม่เกิน 3 อาทิตย์ และจะไปหาหมอถ้าสิ่งที่ทำให้เครียดมีมานานกว่านั้น[29]

มะเร็ง

ในสัตว์ ความเครียดมีผลต่อการเกิด การเติบโต และการแพร่กระจายของเนื้องอกที่ตรวจดู แต่งานศึกษาซึ่งพยายามเชื่อมความเครียดกับความชุกโรคมะเร็งในมนุษย์ก็มีผลไม่ชัดเจน ซึ่งอาจเป็นเพราะงานศึกษาที่เหมาะสมออกแบบและทำได้ยาก[27] ในงานศึกษาในสหราชอาณาจักรงานหนึ่ง ความเชื่อว่าความเครียดเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งเป็นเรื่องสามัญ แต่ความสำนึกถึงปัจจัยเสี่ยงมะเร็งโดยทั่วไปก็จัดว่าน้อย[30]

ตัวก่อความเครียดที่เป็นกลาง

ความเครียดเป็นการตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่แน่นอน[8] คือเป็นกลาง แต่ก็จะต่าง ๆ กันในระดับการตอบสนอง มันเกี่ยวกับบริบทของบุคคลและว่า บุคคลมองสถานการณ์นั้นอย่างไร นพ. เซ็ลเยได้นิยามความเครียดว่า "ผลที่ไม่เฉพาะเจาะจง (คือ สามัญ) ต่อความจำเป็นที่เกิดต่อร่างกาย ไม่ว่าจะทางจิตใจหรือทางกาย"[8] นิยามนี้ครอบคลุมนิยามทางการแพทย์ที่กำหนดว่าเป็นความจำเป็นทางกาย และครอบคลุมนิยามของภาษาพูดโดยทั่วไปว่า เป็นความจำเป็นทางจิตใจ

แม้ตัวก่อความเครียดก็เป็นกลางโดยธรรมชาติเหมือนกัน คือ อาจทำให้ตอบสนองเป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ โดยขึ้นอยู่กับบุคคลผู้จะตอบสนองทำให้เป็นความเครียดที่ดีหรือไม่ดี[31]

รูปแบบตัวก่อความเครียด

ตัวก่อความเครียด (stressor) เป็นเหตุการณ์ ประสบการณ์ หรือสิ่งเร้าใดก็ได้ในสิ่งแวดล้อมที่ทำให้บุคคลเครียด[32] โดยบุคคลมองว่าเป็นภัยหรือเป็นข้อท้าทาย และอาจเป็นเรื่องทางกายหรือทางใจ นักวิจัยพบว่า ตัวก่อความเครียดสามารถทำให้เสี่ยงโรคทางกายและใจมากขึ้น เช่น โรคหัวใจและความวิตกกังวล[33]

ตัวก่อความเครียดมีโอกาสมีผลต่อสุขภาพของบุคคลมากกว่า เมื่อมันเรื้อรัง ทำให้วุ่นวายมาก และมองว่าควบคุมไม่ได้[33] ในสาขาจิตวิทยา นักวิชาการปกติจะจัดตัวก่อความเครียดเป็นหมวด 4 หมวดคือ วิกฤติการณ์/หายนะ เหตุการณ์สำคัญในชีวิต ปัญหาในชีวิตประจำวัน และตัวก่อความเครียดพื้นหลัง

วิกฤติการณ์/หายนะ

ตัวก่อความเครียดเช่นนี้ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าหรือพยากรณ์ได้ และดังนั้น จึงควบคุมไม่ได้[33] ตัวอย่างรวมทั้งภัยพิบัติใหญ่ต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว และสงครามเป็นต้น แม้จะมีน้อย แต่ก็เป็นเหตุให้เครียดมาก งานวิจัยที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า หลังภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผู้ประสบภัยจะเครียดมากขึ้น[33]

ส่วนความเครียดเนื่องจากการสู้รบเป็นทั้งแบบฉับพลันและแบบเรื้อรัง เพราะต้องทำการอย่างรวดเร็วและเพราะแรงกดดันให้โจมตีก่อน อุบัติเหตุฆ่าฝ่ายเดียวกันจึงอาจเกิดได้ วิธีการป้องกันต้องลดความเครียด เน้นการฝึกระบุยานพาหนะและตัวระบุฝ่ายชนิดอื่น ๆ เพิ่มสำนึกถึงยุทธวิธี และการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องของผู้นำทุกระดับ[34]

เหตุการณ์สำคัญในชีวิต

ตัวอย่างสามัญของเหตุการณ์สำคัญในชีวิตรวมทั้งการแต่งงาน การเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย การเสียชีวิตของบุคคลที่รัก การได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว การย้ายที่อยู่เป็นต้น เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะจัดว่าดีหรือไม่ดี อาจทำให้รู้สึกไม่แน่ใจหรือกลัว ซึ่งในที่สุดก็จะก่อความเครียด ยกตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบระดับความเครียดที่สูงขึ้นสำหรับนักเรียนมัธยมที่เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย โดยนักศึกษาปี 1 มีโอกาสเครียดเป็น 2 เท่าของนักศึกษาปีสุดท้าย[35]

แต่งานวิจัยก็พบว่า เหตุการณ์สำคัญในชีวิตไม่ค่อยเป็นตัวก่อความเครียดที่สำคัญ เพราะเกิดน้อยมาก[33] ระยะเวลาหลังจากเริ่มเกิด และความเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี เป็นปัจจัยกำหนดว่า มันเป็นเหตุให้เครียดหรือไม่ และเครียดแค่ไหน นักวิจัยได้พบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเดือนที่ผ่านมาโดยทั่วไปจะไม่เชื่อมกับความเครียดหรือความเจ็บป่วย แต่เหตุการณ์เครียดเรื้อรังที่เกิดมากกว่า 2-3 เดือนก่อนจะเชื่อมกับทั้งความเครียด ความเจ็บป่วย[36] และการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกภาพ[16]

อนึ่ง เหตุการณ์ดี ๆ ในชีวิตจะไม่เชื่อมกับความเครียด หรือว่าเชื่อมกับความเครียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในขณะที่เหตุการณ์ไม่ดีอาจเชื่อมกับความเครียดและปัญหาสุขภาพที่มาด้วยกัน[33] อย่างไรก้ดี ประสบการณ์ดี ๆ และการเปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดี อาจเป็นตัวพยากรณ์การลดระดับ neuroticism[16][17]

ในชีวิตประจำวัน

หมู่นี้รวมความรำคาญและความยุ่งยากในชีวิตประจำวัน[33] ตัวอย่างรวมการตัดสินใจ การทำงานให้เสร็จตามกำหนดเวลาไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือสถานบันการศึกษา รถติด การต้องรับมือกับคนน่ารำคาญ เป็นต้น บ่อยครั้ง รูปแบบตัวก่อความเครียดนี้เกิดร่วมกับความขัดแย้งกับผู้อื่น อย่างไรก็ดี ตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวันจะต่าง ๆ กันระหว่างบุคคล เพราะทุกคนไม่ได้รู้สึกว่า เหตุการณ์หนึ่ง ๆ ก่อความเครียด ยกตัวอย่างเช่น คนโดยมากอาจจะรู้สึกว่า การกล่าวปาฐกถาเป็นเรื่องทำให้เครียด แต่นักการเมืองมืออาชีพอาจไม่รู้สึกเช่นนี้

ความยุ่งยากในชีวิตประจำวันเป็นตัวก่อความเครียดที่มีบ่อยที่สุดสำหรับผู้ใหญ่โดยมาก จึงทำให้มีผลทางสรีรภาพมากที่สุดต่อบุคคล นักวิชาการได้ตรวจระดับความเครียดที่รู้สึกเกี่ยวกับความยุ่งยากในชีวิตเทียบกับอัตราการตาย แล้วสรุปว่า มีสหสัมพันธ์อย่างมีกำลังระหว่างบุคคลที่จัดความยุ่งยากในชีวิตประจำวันว่าเครียดมากกับอัตราการตายที่สูง ดังนั้น ความรู้สึกว่า ความยุ่งยากในชีวิตทำให้เครียดแค่ไหน อาจบรรเทาผลทางสรีรภาพของตัวก่อความเครียดในชีวิตประจำวัน[37]

ตามจิตวิทยา มีความขัดแย้ง 3 อย่างที่ก่อความเครียด

  • ความขัดแย้งแบบสู้-สู้ (approach-approach conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ดูดีเท่า ๆ กัน เช่น จะไปดูภาพยนตร์หรือคอนเสิร์ตดี[33]
  • ความขัดแย้งแบบหลีก-หลีก (avoidance-avoidance conflict) ซึ่งเกิดเมื่อเลือกทางเลือกที่ไม่ดีเท่า ๆ กัน เช่น การต้องกู้ธนาคารเพิ่มโดยมีข้อตกลงที่ไม่ดีเพื่อจ่ายหนี้การจำนอง หรือต้องถูกบังคับจำนองเนื่องกับบ้านที่อยู่[33]
  • ความขัดแย้งแบบสู้-หลีก (approach-avoidance conflict)[33] เกิดเมื่อต้องเลือกระหว่างการทำสิ่งหนึ่ง ๆ ที่มีทั้งข้อดีข้อเสีย เช่น เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยราคาแพง (เช่น ต้องกู้หนี้ยืมสิน แต่ได้การศึกษาที่ดีกว่าและได้โอกาสการบรรจุงานที่ดีกว่าเมื่อจบการศึกษา)

ส่วนความเครียดเนื่องกับการเดินทางมีอยู่ 3 หมู่ คือ เสียเวลา เรื่องไม่คาดฝัน (เหตุการณ์ที่ไม่รู้ล่วงหน้า เช่น กระเป๋าเดินทางหายหรือมาช้า) และการไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวัน[38]

พื้นหลัง

ตัวก่อความเครียดพื้นหลัง (ambient stressors) เป็นตัวก่อความเครียดทั่ว ๆ ไป (เทียบกับตัวก่อความเครียดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ) ในระดับต่ำ ที่เป็นส่วนของพื้นหลังสิ่งแวดล้อม และนิยามว่า "เรื้อรัง มีค่าเชิงลบ ไม่เร่งด่วน รู้สึกได้ และพยายามเปลี่ยนพวกมันไม่ได้"[39] ตัวอย่าง เช่น มลภาวะ เสียง ประชากรแออัด และรถติด ไม่เหมือนกับตัวก่อความเครียด 3 อย่างอื่น ๆ ตัวนี้อาจ (แต่ไม่จำเป็นต้อง) มีผลลบต่อความเครียดโดยไม่รู้สึกตัว[39]

ในองค์กร

งานศึกษาในกองทัพทหารและสนามรบแสดงว่า ตัวก่อความเครียดที่มีกำลังมากที่สุดอาจเกิดจากปัญหาการจัดระบบองค์กร/หน่วย[40] ความเครียดเนื่องกับการจัดระบบองค์กรสามารถเกิดทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน[41]

การแก้

การแก้ความเครียด (stress management) หมายถึงเทคนิกและจิตบำบัดมากมายหลายอย่างที่มุ่งควบคุมระดับความเครียด โดยเฉพาะแบบเรื้อรัง ปกติเพื่อให้ใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น โดยควบคุมและลดความรู้สึกตึง ๆ ที่เกิดในสถานการณ์เครียดด้วยการเปลี่ยนอารมณ์หรือเปลี่ยนสถานการณ์

การป้องกันและการสร้างความยืดหยุ่น

แม้จะมีเทคนิกที่ได้พัณนาขึ้นเพื่อรับมือกับผลของความเครียด แต่ก็มีงานศึกษาเรื่องการป้องกันความเครียดด้วย ซึ่งเป็นประเด็นใกล้เคียงกับเรื่อง "psychological resilience" (ความยืดหยุ่นได้ทางใจ) ในจิตวิทยา และมีวิธีที่ทำเองได้เพื่อป้องกันความเครียดและเพิ่มความยืดหยุ่นทางจิตใจ ที่ได้แนวคิดมาจากการบําบัดทางความคิดและพฤติกรรม (CBT)[42]

biofeedback (คือการวัดการตอบสนองทางสรีรภาพด้วยเครื่องมือโดยมีจุดประสงค์เพื่อจะควบคุมการตอบสนองเช่นนั้น ๆ) อาจช่วยแก้ความเครียด งานศึกษาปี 2015 ประเมินผลของ resonant breathing biofeedback (เป็นการสำนึกและควบคุมความต่าง ๆ กันของอัตราการเต้นหัวใจ) ในกลุ่มพนักงานควบคุมการผลิต แล้วพบว่า เทคนิกช่วยลดความซึมเศร้า ความวิตกกังวล และความเครียดอย่างสำคัญ[43]

กลไกการรับมือ

แบบจำลองหนึ่งแสดงว่า เหตุการณ์ภายนอกสร้างแรงกดดันให้ทำกิจให้เกิด ให้มีส่วนร่วมกับ หรือให้ประสบกับเหตุการณ์เครียด ความเครียดไม่ใช่เหตุการณ์ภายนอกเอง แต่เป็นการตีความและตอบสนองต่อภัยที่อาจมี ดังนั้น จึงสามารถใช้วิธีการรับมือกับความเครียดได้[44]

มีวิธีการหลายอย่างที่สามารถรับมือกับภัยที่อาจทำให้เครียด แต่บุคคลก็มักจะตอบสนองด้วยรูปแบบการรับมืออย่างใดอย่างหนึ่งโดยมาก เช่น โดยไม่สนใจความรู้สึก หรือเปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด[44] มีหมวดหมู่การรับมือ/กลไกป้องกันตัวหลายอย่าง แต่ก็เป็นไปตามแนวคิดทั่วไปที่เหมือนกัน คือมีวิธีการรับมือกับความเครียดที่ดี/ให้ประโยชน์ และที่ไม่ดี/ไม่มีประโยชน์ เพราะความเครียดเป็นความรู้สึก วิธีการที่จะกล่าวดังต่อไปนี้บางอย่างอาจไม่ได้เปลี่ยนสถานการณ์ที่ทำให้เครียด แต่จัดว่าเป็นวิธีการรับมือก็เพราะช่วยให้บุคคลจัดการความรู้สึกเชิงลบและความวิตกกังวลได้ดีกว่า ไม่ใช่แก้ปัญหาที่เป็นเหตุ กลไกเหล่านี้ปรับมาจาก DSM-IV Adaptive Functioning Scale (1994) ของสมาคมจิตเวชอเมริกัน (APA)

กลไกที่ปรับตัวได้ดี ต้องทำการ มุ่งแก้ปัญหา

ทักษะเหล่านี้ช่วยเผชิญหน้ากับปัญหาโดยตรง หรืออย่างน้อยก็จัดการอารมณ์เชิงลบอย่างเป็นประโยชน์ คือ โดยทั่วไปเป็นการปรับตัวได้ดี (generally adaptive)

  • การผูกพัน (affiliation) เช่น การดูแลและหาเพื่อน ซึ่งจัดการความเครียดโดยหาความช่วยเหลือ/หาการสนับสนุนจากผู้อื่น/เครือข่ายสังคม แต่ไม่ใช่โดยไม่รับผิดชอบหรือทำให้เป็นหน้าที่ของผู้อื่น[45][46]
  • อารมณ์ขัน (humor) คือมองออกนอกสถานการณ์เพื่อให้ได้มุมมองกว้าง ๆ และเพื่อเน้นจุดขำ ๆ ที่พบในสถานการณ์นั้น ๆ ด้วย[45]
การรับมือผ่านอารมณ์ขัน
สมาคมอารมณ์ขันประยุกต์และเพื่อบำบัดโรค (Association for Applied and Therapeutic Humor) นิยามอารมณ์ขันบำบัดว่าเป็น "วิธีการรักษาที่โปรโหมตสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีโดยกระตุ้นการค้นพบ การแสดงออก หรือการเห็นคุณค่าแบบเล่น ๆ ของความน่าขันหรือความไม่กลมเกลียวกันของชีวิตตนเอง การรักษานี้อาจปรับปรุงสุขภาพหรือใช้รักษาความเจ็บป่วยแบบเสริม เพื่ออำนวยให้หายหรือให้รับมือกับสถานการณ์ได้ ไม่ว่าจะทางกาย ทางอารมณ์ ทางประชาน หรือทางจิตวิญญาณ"[47]
ประสาทแพทย์ผู้มีชื่อเสียง คือ ซิกมุนด์ ฟรอยด์ ได้เสนอว่า อารมณ์ขันเป็นกลยุทธ์ป้องกันตัวที่ดีในสถานการณ์ที่ทำให้อารมณ์เสีย[44] เพราะเมื่อหัวเราะในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็จะทำให้ออกจากความวิตกกังวล แล้วทำให้คิดได้ดีขึ้น[47] เมื่อสามารถมองในแง่มุมอื่น ๆ ก็จะรู้สึกว่าสามารถควบคุมปฏิกิริยา/การตอบสนองของตนได้ และควบคุมการแก้ปัญหาที่เป็นเหตุให้เครียดได้
นักจิตวิทยาผู้หนึ่ง (HM Lefcourt) เสนอว่า อารมณ์ขันซึ่งเปลี่ยนมุมมองเช่นนี้มีประสิทธิผลดีเพราะแยกตนเองออกจากสถานการณ์และความเครียด[48] งานศึกษาได้แสดงว่า การหัวเราะและอารมณ์ขันจะบรรเทาความเครียดโดยผลอาจคงยืนถึง 45 นาทีหลังหัวเราะ[47]).
อนึ่งพบว่า เด็กที่เข้า รพ. หัวเราะและเล่นเพื่อบรรเทาความกลัว ความเจ็บปวด และความเครียด การหัวเราะและอารมณ์ขันจึงสำคัญมากเพื่อรับมือกับความเครียด[47] มนุษย์ควรใช้อารมณ์ขันเป็นวิธีก้าวพ้นความเข้าใจเบื้องต้นของตนเกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก ให้ได้มุมมองทางอื่น ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล
  • การเปลี่ยนความคิดที่ไม่ดีให้เป็นการกระทำที่ยอมรับได้ (sublimation) ช่วยให้แก้ปัญหาโดยอ้อมโดยไม่มีผลลบหรือเสียความสุขที่พึงได้[49] วิธีนี้ช่วยให้เปลี่ยนอารมณ์หรือแรงดลใจที่เป็นปัญหาให้เป็นพฤติกรรมหรือการกระทำที่สังคมยอมรับได้
  • การคิดเรื่องดี ๆ (positive reappraisal) คือเปลี่ยนความคิดไปในสิ่งที่ดี ๆ ที่กำลังเกิดหรือยังไม่เกิด ซึ่งอาจช่วยให้พัฒนาตนเอง (personal growth) ให้สำนึกรู้จักตนเอง (self-reflection) และให้สำนึกถึงอำนาจและประโยชน์ของความพยายามของตน[50] ยกตัวอย่างเช่น งานศึกษาทหารผ่านศึกไม่ว่าจะผ่านสงครามหรือการรักษาสันติภาพพบว่า ผู้ที่ตีความประสบการณ์การต่อสู้หรืออันตรายในเชิงบวกมักจะปรับตัวได้ดีกว่าผู้ที่ไม่ทำเช่นนี้[51]

วิธีการรับมือแบบปรับตัวได้ดีอย่างอื่น ๆ รวมทั้งความหวัง (anticipation) ความเอื้ออาทร (altruism) และการสังเกตตนเอง (self-observation)

วิธียับยั้งใจ/ปฏิเสธไม่ยอมรับ

วิธีเหล่านี้เป็นเหตุให้บุคคลสำนึกน้อยลง (ในบางกรณีไม่มีเลย) ถึงความวิตกกังวล ภัยต่าง ๆ ความหวาดกลัวเป็นต้น ที่มาจากความรู้สึกว่ามีภัย

  • การเปลี่ยนความคิด (displacement) เป็นการเปลี่ยนความรู้สึกเดือดร้อนไปยังสถานการณ์อื่นที่เป็นภัยน้อยกว่า[52]
  • การเก็บกดความคิด (repression) - เป็นวิธีที่บุคคลพยามยามกำจัดความคิด ความรู้สึก และอารมณ์อื่น ๆ เกี่ยวกับสถานการณ์ที่รู้สึกว่าเป็นภัยหรือทำให้กลุ้มใจ เพื่อไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ ถ้าทำอย่างนี้ได้นาน ๆ นี่ยิ่งกว่า "การปฏิเสธว่าไม่จริง" (denial) ที่เสนอโดยซิกมุนด์ ฟรอยด์
  • ปฏิกิริยาตรงกันข้าม (reaction formation) - บุคคลเปลี่ยนความรู้สึก ความคิด หรือพฤติกรรมไปในทางตรงกันข้าม เช่น แทนความคิดที่ไม่ต้องการด้วยความคิดตรงกันข้าม (เช่นอาจระงับความรู้สึกรักร่วมเพศโดยเปลี่ยนเป็นเกลียดคนรักร่วมเพศทั้งหมด)[53]

วิธีอื่น ๆ รวมทั้งการแก้คืน (undoing) การแยกตัวออกจากสถานการณ์ (dissociation) การปฏิเสธว่าไม่จริง (denial) การปฏิเสธว่าตัวเองไม่เป็นโดยโทษคนอื่น (projection) และการหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (rationalization) แม้นักวิชาการบางพวกจะอ้างว่า วิธีการรับมือโดยยับยั้งอาจจะเพิ่มระดับความเครียดในที่สุดเพราะไม่ได้แก้ปัญหาอะไร แต่การแยกตนเองออกจากตัวก่อความเครียดบางครั้งช่วยบรรเทาความเครียดอย่างชั่วคราว และเพิ่มความพร้อมรับมือกับปัญหาในภายหลัง

วิธีที่ต้องทำการ

วิธีเหล่านี้ใช้รับมือกับความเครียดเมื่อต้องทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือถอยตัวออก

  • แสดงออกสิ่งที่ไม่ควร (acting out) คือทำสิ่งที่ไม่สมควรซึ่งสังคมพิจารณาว่าเป็นปัญหา คือ แทนที่จะพิจารณาหรือแก้ปัญหา บุคคลจะทำสิ่งที่จัดว่า เป็นการปรับตัวที่ไม่ดี[46]
  • งอน (passive aggression) คือบุคคลรับมือโดยอ้อมกับความวิตกกังวลหรือความคิด/ความรู้สึกที่ไม่ดีซึ่งมาจากความเครียด โดยทำกระฟัดกระเฟียดหรือไม่พอใจต่อผู้อื่น การบ่นแต่ปฏิเสธความช่วยเหลือก็รวมอยู่ในหมวดนี้

การเสริมสุขภาพ

มีวิธีการอื่นเพื่อรับมือกับความเครียด ทำโดยป้องกันความวิตกกังวลและความเครียด ถ้าฝึกรับมือกับความเครียดทุกวัน ความรู้สึกเครียดและการรับมือกับมันโดยจัดเป็นเหตุการณ์ภายนอกก็จะรู้สึกว่าเป็นภาระน้อยลง

กลยุทธ์ที่แนะนำเพื่อปรับปรุงการแก้ความเครียดรวมทั้ง[54]

  1. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ คือวางแผนการออกกำลังกาย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์
  2. ตั้งระบบผู้ช่วยสนับสนุน เพื่อฟัง ให้คำแนะนำ และให้การสนับสนุนแก่กันและกัน
  3. บริหารเวลาที่มี - ตั้งระเบียบการใช้เวลา
  4. จินตนาการภาพตามแนะนำ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ
  5. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อตามลำดับ
  6. ฝึกเพื่อสื่อสารความต้องการอย่างมีประสิทธิภาพ (assertiveness training)
  7. การเขียนบันทึกประจำวัน เพื่อแสดงออกอารมณ์ที่แท้จริง เป็นการพิจารณาตนเอง
  8. การแก้เครียดในที่ทำงาน คือเปลี่ยนระบบการทำงาน เปลี่ยนสิ่งที่ต้องทำเพื่อลดความเครียด

วิธีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คือจัดว่าเป็นการปรับตัวที่ดี หรือไม่ดีก็ได้

การตอบสนองทางสรีรภาพ

ความเครียดที่มีผลต่อการสื่อสาร

ร่างกายตอบสนองต่อความเครียดโดยหลายอย่าง การปรับระดับสารเคมีในร่างกายเป็นวิธีอย่างหนึ่ง ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของการปรับเปลี่ยนในร่างกายที่มีผลต่อการสื่อสาร

general adaptation syndrome

เมื่อวัดการตอบสนองของร่างกายต่อความเครียด นักจิตวิทยามักจะใช้แบบจำลอง general adaptation syndrome ของ นพ. แฮนส์ เซ็ลเย ซึ่งบ่อยครั้งเรียกว่าการตอบสนองต่อความเครียดแบบคลาสสิก เป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะธำรงดุล และมีระยะสามขั้นตอนคือ

  1. ปฏิกิริยาตกใจ (alarm reaction) เป็นระยะที่เกิดเมื่อตัวก่อความเครียดปรากฏ ซึ่งร่างกายก็จะเตรียมตัวรับมือ ส่วนสมอง คือ แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัลและระบบประสาทซิมพาเทติกจะเริ่มทำงาน มีผลให้หลั่งฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต เช่น cortisol, เอพิเนฟรีน, และ norepinephrine เข้าไปในเลือดเพื่อปรับการทำงานของร่างกาย คือ เพิ่มพลังงาน เพิ่มแรงกล้ามเนื้อ ลดความไวเจ็บ หน่วงระบบย่อยอาหาร และเพิ่มความดันโลหิต[55][56] อนึ่ง กลุ่มนิวรอนภายในพอนส์ของก้านสมอง และส่งแอกซอนไปยังส่วนต่าง ๆ ของสมอง คือเขต locus coeruleus ก็หลั่ง norepinephrine ไปที่นิวรอนอื่น ๆ โดยตรงด้วย norepinephrine ในระดับสูงซึ่งทำงานเป็นสารสื่อประสาทโดยออกฤทธิ์ที่หน่วยรับของมันในเขตสมองต่าง ๆ เช่นที่คอร์เทกซ์กลีบหน้าผากส่วนหน้า (prefrontal cortex) เชื่อว่ามีผลต่อ executive functions เช่น ความจำใช้งาน (working memory) ที่ทำงานไม่สมบูรณ์เนื่องจากความเครียด
  2. ระยะต่อต้าน/ขัดขืน (resistance) - ร่างกายจะต่อต้านความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะนี้ จนกระทั่งหมดทรัพยากร ซึ่งนำไปสู่ระยะหมดแรง หรือจนกระทั่งหมดสิ่งเร้าที่ทำให้เครียด เมื่อร่างกายใช้ทรัพยากรหมดไปเรื่อย ๆ บุคคลก็จะรู้สึกเหนื่อยขึ้น ๆ และเสี่ยงต่อโรค นี่เป็นระยะที่โรคกายเหตุจิต (psychosomatic disorder) เริ่มปรากฏ[56]
  3. ระยะเหนื่อย/หมดทรัพยากร (exhaustion) - ร่างกายได้หมดฮอร์โมนและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ต้องใช้เพื่อจัดการตัวก่อความเครียด บุคคลจะเริ่มแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น วิตกกังวล หงุดหงิด เลี่ยงความรับผิดชอบและความสัมพันธ์กับผู้อื่น มีพฤติกรรมทำลายตนเอง และตัดสินใจไม่ดี เมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็จะมีโอกาสการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นสูงขึ้น ทำลายความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมโดยสิ้นเชิง[56] การตอบสนองที่ระบบประสาทซิมพาเทติกทำงานมากเช่นนี้ บ่อยครั้งเรียกว่าการตอบสนองโดยสู้หรือหนี (fight or flight response) ซึ่งรวมการขยายม่านตา หลั่งเอ็นดอร์ฟิน เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจ ระงับกระบวนการย่อยอาหาร หลั่งเอพิเนฟรีน ขยายหลอดเลือดแดงเล็ก และยุบหลอดเลือดดำ การตอบสนองในระดับสูงเช่นนี้บ่อยครั้งไม่จำเป็นเพื่อรับมือต่อตัวก่อความเครียดและอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ก็เป็นรูปแบบการตอบสนองที่พบในมนุษย์ และบ่อยครั้งนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพซึ่งปกติสัมพันธ์กับความเครียดในะระดับสูง[57]

คุณภาพการนอน

การนอนหลับทำให้ได้พักผ่อนและเติมกำลังหลังจากทำงานทั้งวัน การนอนหลับให้เพียงพอเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับผู้ที่เครียดเพราะช่วยให้คิดได้ดีขึ้น แต่โชคไม่ดีว่า ความเครียดเปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีของร่างกายแล้วทำให้นอนยาก เช่น ฮอร์โมนสเตอรอยด์ที่หลั่งตอบสนองความเครียดคือ glucocorticoid สามารถขัดการนอน การนอนหลับมี 4 ระยะและระยะที่ลึกสุดและทำให้พักผ่อนได้มากสุด จะได้ก็ต่อเมื่อหลับแล้ว 1 ชม.[ต้องการอ้างอิง] ถ้าการนอนถูกขัดเรื่อย ๆ ก็จะไม่สามารถพักผ่อนได้เพียงพอ ซึ่งทำให้หงุดหงิดและไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ[58]

ประสบการณ์เครียดทางสังคมที่มีผลต่อการสื่อสาร

ความเครียดอาจก่อปัญหาหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่รู้ก็คือสื่อสารได้ไม่ดี ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างว่าความเครียดมีผลต่อการสื่อสารได้อย่างไร

ความแตกต่างทางวัฒนธรรม

วัฒนธรรมต่าง ๆ ของโลกสามารถจัดเป็น 2 หมู่ คือสังคมแบบปัจเจกบุคคล และสังคมแบบชุมชนนิยม[58]

  • สังคมแบบปัจเจกบุคคล เช่นที่พบในสหรัฐ ทุกคนเป็นอิสระจากกันและกัน มีความสำเร็จและเป้าหมายเป็นของตนเอง
  • สังคมแบบชุมชนนิยม เช่นที่พบในประเทศเอเชียต่าง ๆ มองบุคคลว่าต้องพึ่งซึ่งกันและกัน และให้ค่านิยมกับความถ่อมตัวและครอบครัว

ความแตกต่างทางวัฒนธรรมเช่นนี้อาจมีผลต่อการสื่อสารระหว่างบุคคลเมื่อเครียด ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกของวัฒนธรรมแบบปัจเจกบุคคลอาจลังเลในการขอยาแก้ปวดเพราะไม่ต้องการถูกดูถูกว่าอ่อนแอ แต่สมาชิกของสังคมแบบชุมชนนิยมไม่จำเป็นต้องลังเล เพราะเป็นสังคมที่ทุกคนช่วยเหลือกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน[58]

การเปลี่ยนแปลงภายในครอบครัว

การหย่าร้าง ความตาย และการแต่งงานใหม่ล้วนแต่เป็นเหตุการณ์สร้างความยุ่งเหยิงในครอบครัว[58] แม้ทุกคนที่เกี่ยวข้องก็จะได้รับผล แต่อาจมีผลต่อเด็กมากที่สุด เพราะอายุน้อย จึงยังไม่มีทักษะรับมือกับสถานการณ์ใหม่ ๆ[ต้องการอ้างอิง] เพราะเหตุนี้ เหตุการณ์เครียดอาจเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็ก การคบเพื่อนกลุ่มใหม่ หรือการเกิดนิสัยใหม่ที่ไม่ดี เป็นความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งที่ความเครียดอาจเป็นตัวจุดชนวน[58]

การตอบสนองต่อความเครียดที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือการคุยกับเพื่อนจินตนาการ เด็กอาจจะรู้สึกโกรธพ่อแม่หรือเพื่อนซึ่งตนรู้สึกว่าทำให้ชีวิตของตนต้องเปลี่ยนไป และต้องการหาคนคุยด้วยแต่ต้องไม่ใช่คนที่โกรธ ดังนั้น จึงคุยกับเพื่อนที่ไม่มี แต่นี่เท่ากับไม่คุยกับบุคคลรอบ ๆ ตัว[58]

การช่วยเหลือทางสังคมและผลต่อสุขภาพ

นักวิจัยได้สนใจว่า รูปแบบและระดับความช่วยเหลือทางสังคมที่บุคคลหนึ่ง ๆ ได้รับจะมีผลต่อความเครียดและสุขภาพของบุคคลนั้นเท่าไร งานศึกษาต่าง ๆ ได้พบอย่างสม่ำเสมอว่า ความช่วยเหลือทางสังคมสามารถป้องกันผลความเครียดต่อร่างกายและจิตใจ[59][60] โดยมีกลไกหลายอย่าง

แบบจำลองแบบ "ผลโดยตรง" (direct effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพเพราะเพิ่มอารมณ์ดี เพิ่มการปรับตัวได้ดี เพิ่มเสถียรภาพพร้อมความแน่นอนของอนาคต และช่วยกันปัญหาทางสังคม ทางกฎหมาย และทางเศรษฐกิจที่อาจมีผลลบต่อสุขภาพ ส่วนแบบจำลองแบบ "ผลกันชน" (buffering effect) แสดงว่า ความช่วยเหลือทางสังคมมีอิทธิพลสูงสุดต่อสุขภาพเมื่อเครียด ไม่ว่าจะช่วยให้มองสถานการณ์อย่างมีภัยน้อยลงหรือช่วยรับมือกับความเครียด และนักวิชาการก็ได้พบหลักฐานสนับสนุนแบบจำลองทั้งสองนี้[61]

การช่วยเหลือทางสังคมนิยามโดยเฉพาะว่า เป็นการช่วยเหลือทางจิตใจหรือทางสิ่งของที่เครือข่ายสังคมให้ โดยมุ่งช่วยบุคคลให้รับมือกับความเครียด[62] นักวิชาการโดยทั่วไปจะแยกแยะรูปแบบต่าง ๆ ของการช่วยเหลือทางสังคมรวมทั้ง การช่วยเหลือทางสิ่งของ (instrumental support) เช่น ทางการเงิน หรือการช่วยไปส่งหาหมอ, ทางข้อมูล (informational support) เช่น ให้ความรู้ ช่วยเรื่องการศึกษา หรือคำแนะนำเพื่อแก้ปัญหา, และทางอารมณ์ (emotional support) เช่น ให้ความเห็นอกเห็นใจ ให้กำลังใจ เป็นต้น[62]

การช่วยเหลือทางสังคมสามารถลดความเครียดที่เกิดช่วงตั้งครรภ์[63]

การสื่อสารกับคนเครียด

การช่วยเหลือของเพื่อนและชุมชนจะช่วยให้บุคคลสามารถสื่อสารได้เมื่อเครียด เพราะจะรู้สึกว่าเป็นสมาชิกของเครือข่ายสังคมที่ห่วงใยและสนใจกันและกัน ทำให้ลดความเครียดและรับมือกับมันได้ดีกว่า[64] การช่วยเหลือทางสังคมและทางจิตใจแก่กันและกันแสดงว่า สมาชิกมีความสำคัญและมีคุณค่า[64]

ความเครียดของบุคคลจะมีผลต่อคนรอบ ๆ ข้างโดยเฉพาะครอบครัว สมาชิกครอบครัวอาจประสบกับอารมณ์ที่ขัดแย้งกันหลายอย่างเมื่อต้องดูแลบุคคลซึ่งเป็นที่รัก คือ ความกรุณา ความต้องการป้องกันภัย และความห่วงใยอาจผสมรวมกับความรู้สึกว่าหมดหนทางและเหมือนกับถูกติดกับ[65] การให้ความช่วยเหลือทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญเมื่อช่วยสมาชิกครอบครัวให้รับมือกับปัญหาเมื่อต้องดูแลบุคคลผู้เป็นที่รัก (ที่เป็นคนเครียด)[65]

การวัด

ความเครียดที่บุคคลกำลังประสบในชีวิตสามารถประเมินโดยเทียบค่าวัดเหตุการณ์ชีวิต ค่าวัดเช่น มาตรา Holmes and Rahe stress scale หรือ Social Readjustment Rating Scale (SRRS)[66] ซึ่งพัฒนาโดยจิตแพทย์ในปี 1967 และกำหนดเหตุการณ์เครียด 43 อย่างชีวิต

เพื่อคำนวณค่า ให้บวกค่าการเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา การมีคะแนนเกิน 300 แสดงว่ามีโอกาสป่วย คะแนนระหว่าง 150-299 หมายถึงโอกาสเสี่ยงที่รองลงมา และคะแนนน้อยกว่า 150 คือมีโอกาสเสี่ยงป่วยเพียงเล็กน้อย[33][66]

เหตุการณ์ชีวิต ค่า
คู่ครองเสียชีวิต 100
หย่ากับคู่ครอง 73
แยกอยู่กับคู่ครอง 65
ถูกจำคุก 63
สมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิดเสียชีวิต 63
บาดเจ็บหรือป่วย 53
แต่งงาน 50
ถูกไล่ออกจากงาน 47
กลับดีกับคู่ครอง 45
เกษียณ 45
สุขภาพของสมาชิกครอบครัวไม่ดี 44
ตั้งครรภ์ 40
ปัญหาทางเพศ 39
ได้สมาชิกใหม่ในครอบครัว 39
สถานการณ์การงานเปลี่ยน 39
การเงินเปลี่ยน 38
เพื่อนสนิทเสียชีวิต 37
เปลี่ยนอาชีพใหม่ 36
ทะเลาะกันมากขึ้น 35
การจำนอง/หนี้สินสำคัญ 32
การถูกบังคับเอาทรัพย์จำนอง 30
หน้าที่รับผิดชอบในการงานเปลี่ยน 29
บุตรแยกไปอยู่ต่างหาก 29
ปัญหากับญาติของสามีภรรยา 29
ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม 28
คู่ครองเริ่มหรือเลิกทำงาน 26
เริ่มหรือหยุดเรียน 26
สถานะความเป็นอยู่เปลี่ยนไป 25
การเปลี่ยนนิสัยตนเอง 24
ปัญหากับเจ้านาย 23
เวลาหรือสภาพการทำงานเปลี่ยนไป 20
เปลี่ยนที่อยู่ 20
เปลี่ยนสถาบันการศึกษา 20
เปลี่ยนการพักผ่อนหย่อนใจ 19
เปลี่ยนกิจกรรมทางศาสนา 19
เปลี่ยนกิจกรรมทางสังคม 18
การจำนอง/หนี้สินย่อย ๆ 17
เปลี่ยนนิสัยการนอน 16
เปลี่ยนจำนวนการนัดพบกันในครอบครัว 15
เปลี่ยนนิสัยการกิน 14
พักร้อน 13
ทำผิดกฎหมายย่อย ๆ 10

มีมาตราอีกรุ่นหนึ่งสำหรับเด็ก ดังต่อไปนี้[33]

เหตุการณ์ชีวิต ค่า
ตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ 100
พ่อแม่เสียชีวิต 100
แต่งงาน 95
พ่อแม่หย่ากัน 90
เสียรูปโฉมอย่างมองเห็นได้ 80
เป็นพ่อโดยไม่ได้ตั้งใจ 70
พ่อแม่ถูกจำคุกมากกว่า 1 ปี 70
พ่อแม่แยกกันอยู่ 69
พี่น้องเสียชีวิต 68
เพื่อน ๆ เปลี่ยนความสัมพันธ์ 67
พี่หรือน้องสาวตั้งครรภ์โดยไม่ได้ตั้งใจ 64
พบว่าตนเป็นลูกเลี้ยง 63
พ่อแม่แต่งงานใหม่ 63
เพื่อนสนิทเสียชีวิต 63
มีความพิการแต่กำเนิดที่มองเห็นได้ 62
ป่วยหนักต้องเข้า รพ. 58
ตกวิชา 56
ไม่ได้รับเลือกให้เข้าร่วมกิจกรรมนอกชั้นเรียน 55
พ่อหรือแม่เข้า รพ. 55
พ่อแม่ถูกจำคุกเกิน 30 วัน 53
เลิกกับแฟน 53
เริ่มออกเดต 51
การถูกพักเรียน 50
เริ่มใช้ยาเสพติดหรือเหล้า 50
พี่น้องเกิดใหม่ 50
พ่อแม่ทะเลาะกันเพิ่ม 47
พ่อแม่เสียงาน 46
ประสบความสำเร็จที่ดีเยี่ยม 46
ฐานะทางเศรษฐกิจของพ่อแม่เปลี่ยนไป 45
เข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการได้ 43
เป็นนักเรียนปีสุดท้ายในไฮสกูล 42
พี่น้องเข้า รพ. 41
พ่อแม่ไม่อยู่บ้านมากขึ้น 38
พี่น้องแยกออกไปอยู่นอกบ้าน 37
มีผู้ใหญ่คนที่สามเพิ่มขึ้นในบ้าน 34
เป็นสมาชิกของโบสถ์อย่างสมบูรณ์ 31
พ่อแม่ทะเลาะกันน้อยลง 27
ทะเลาะกับพ่อแม่น้อยลง 26
พ่อแม่เริ่มทำงาน 26

เกณฑ์นี้ใช้ในจิตเวชเพื่อกำหนดผลของเหตุการณ์ชีวิต[67]

ดูเพิ่ม

เชิงอรรถและอ้างอิง

    • "stress", Physicians' Desk Reference, 2006, In psychology, a physical or psychological stimulus such as very high heat, public criticism, or another noxious agent or experience which, when impinging upon certain individuals, produces psychological strain or disequilibrium.
    • "stress", Britannica Concise Encyclopedia, Encyclopædia Britannica (UK), 2003, In psychology, a state of bodily or mental tension resulting from factors that tend to alter an existent equilibrium.
    • Stress. Dorland's Illustrated Medical Dictionary (32nd ed.). USA: Elsevier Saunders. 2012. p. 1784. ISBN 978-1-4160-6257-8. A state of physiological or psychological strain caused by adverse stimuli, physical, mental, or emotional, internal or external, that tend to disturb the func- tioning of an organism and which the organism naturally desires to avoid.
    • "Stress". The MIT Encyclopedia of the Cognitive Sciences. USA: The MIT Press. 1999. p. 806. ISBN 0-262-73124-X. Stress may be defined as a threat, real or implied, to the psychological or physiological integrity of an individual. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
    • Ewigman, Nate (2011). Stress. Encyclopedia of Clinical Neuropsychology. Springer. p. 2390. doi:10.1007/978-0-387-79948-3. ISBN 978-0-387-79947-6. Stress can be defined as the process and response subsequent to the demands of a hostile environment. It generally refers to a negative emotional experience accompanied by physiological, cognitive, and behavior adaptation. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)
  1. 2.0 2.1 2.2 Simandan, Dragos (2010). "On how much one can take: Relocating exploitation and exclusion within the broader framework of allostatic load theory". Health & Place. 16 (6): 1291–3. doi:10.1016/j.healthplace.2010.08.009. PMID 20813575.
  2. Sapolsky, Robert M. (2004). Why Zebras Don't Get Ulcers. 175 Fifth Ave, New York, N.Y.: St. Martins Press. pp. 37, 71, 92, 271. ISBN 978-0-8050-7369-0.{{cite book}}: CS1 maint: location (ลิงก์)
  3. Jones, Fiona; Bright, Jim; Clow, Angela (2001). Stress: myth, theory, and research. Pearson Education. p. 4. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-05-08.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  4. 5.0 5.1 Folkman, S (2013). Stress: appraisal and coping. Encyclopedia of behavioral medicine. New York: Springer. pp. 1913–1915. ISBN 978-1-4419-1005-9. In his 1966 book, Psychological Stress and the Coping Process (Lazarus, 1966), Richard Lazarus defined stress as a relationship between the person and the environment that is appraised as personally significant and as taxing or exceeding resources for coping.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  5. Gibbons, C. (2012). "Stress, positive psychology and the National Student Survey". Psychology Teaching Review. 18 (2): 22–30.
  6. Selye, Hans (1974). Stress without distress. Philadelphia: J.B. Lippincott Company. p. 171.
  7. 8.0 8.1 8.2 Selye, Hans (1983). "The Stress Concept: Past, Present and Future". ใน Cooper, C. L. (บ.ก.). Stress Research Issues for the Eighties. New York, NY: John Wiley & Sons. pp. 1–20.
  8. 9.0 9.1 Selye, Hans (1975). "Implications of Stress Concept". New York State Journal of Medicine. 75: 2139–2145.
  9. 10.0 10.1 Fevre, Mark Le; Kolt, Gregory S.; Matheny, Jonathan (2006-01-01). "Eustress, distress and their interpretation in primary and secondary occupational stress management interventions: which way first?". Journal of Managerial Psychology. 21 (6): 547–565. doi:10.1108/02683940610684391.
  10. 11.0 11.1 11.2 Schneiderman, N.; Ironson, G.; Siegel, S. D. (2005). "Stress and health: psychological, behavioral, and biological determinants". Annual Review of Clinical Psychology. 1: 607–628. doi:10.1146/annurev.clinpsy.1.102803.144141. PMC 2568977. PMID 17716101.
  11. Herbert, T. B.; Cohen, S. (1993). "Stress and immunity in humans: a meta-analytic review". Psychosomatic Medicine. 55 (4): 364–379. doi:10.1097/00006842-199307000-00004.
  12. Ogden, J (2007). Health Psychology: a textbook (4th ed.). McGraw-Hill. pp. 281–282.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  13. Edmunds, W. John (1997). "Social Ties and Susceptibility to the Common Cold". JAMA: the Journal of the American Medical Association. 278 (15): 1231, author reply 1232. doi:10.1001/jama.1997.03550150035018. PMID 9333253.
  14. Greubel, Jana and Kecklund, Göran. The Impact of Organizational Changes on Work Stress, Sleep, Recovery and Health. Industrial Health. Department for Psychology, University of Fribourg.
  15. 16.0 16.1 16.2 16.3 Jeronimus, Bertus F; Riese, Harriëtte; Sanderman, Robbert; Ormel, Johan (2014). "Mutual reinforcement between neuroticism and life experiences: A five-wave, 16-year study to test reciprocal causation". Journal of Personality and Social Psychology. 107 (4): 751–64. doi:10.1037/a0037009. PMID 25111305.
  16. 17.0 17.1 Jeronimus, B. F; Ormel, J; Aleman, A; Penninx, B. W. J. H; Riese, H (2013). "Negative and positive life events are associated with small but lasting change in neuroticism". Psychological Medicine. 43 (11): 2403–15. doi:10.1017/S0033291713000159. PMID 23410535.
  17. Schlotz, W; Yim, IS; Zoccola, PM; Jansen, L; Schulz, P (2011). "The perceived stress reactivity scale: Measurement invariance, stability, and validity in three countries". Psychol Assess: 80–94.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  18. Pinquart, Martin; Sörensen, Silvia (2003). "Differences between caregivers and noncaregivers in psychological health and physical health: A meta-analysis". Psychology and Aging. 18 (2): 250–67. doi:10.1037/0882-7974.18.2.250. PMID 12825775.
  19. Kemeny, Margaret E (2003-08). "The Psychobiology of Stress". Current Directions in Psychological Science. 12 (4): 124–129. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  20. Kobasa, S. C (1982). The Hardy Personality: Toward a Social Psychology of Stress and Health. Social Psychology of Health and Illness. Hillsdale, NJ: Lawrence Erlbaum Assoc. pp. 1–25. {{cite book}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |editors= ถูกละเว้น แนะนำ (|editor=) (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  21. "Life hassles and delusional ideation: Scoping the potential role of cognitive and affective mediators". 2016. doi:10.1111/papt.12089. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  22. "PTSD Test: The Requirements for a Diagnosis". Verywell Mind. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-18. สืบค้นเมื่อ 2018-03-18. {{cite news}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  23. Mah, L; Szabuniewicz, C; Fiocco, AJ (2016). "Can anxiety damage the brain?". Current Opinion in Psychiatry (Review). 29 (1): 56–63. doi:10.1097/YCO.0000000000000223. PMID 26651008.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  24. Keller, Abiola; Litzelman, Kristin; Wisk, Lauren E; Maddox, Torsheika; Cheng, Erika Rose; Creswell, Paul D; Witt, Whitney P (2012). "Does the perception that stress affects health matter? The association with health and mortality". Health Psychology. 31 (5): 677–84. doi:10.1037/a0026743. PMC 3374921. PMID 22201278.
  25. 26.0 26.1 "Stress as a positive: Recent research that suggests it has benefits". 2013-09-04. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-09-11. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  26. 27.0 27.1 Cohen, Sheldon; Janicki-Deverts, Denise; Miller, Gregory E (2007). "Psychological Stress and Disease". JAMA. 298 (14): 1685–7. doi:10.1001/jama.298.14.1685. PMID 17925521.
  27. Miller, Gregory; Chen, Edith; Cole, Steve W (2009). "Health Psychology: Developing Biologically Plausible Models Linking the Social World and Physical Health". Annual Review of Psychology. 60: 501–24. doi:10.1146/annurev.psych.60.110707.163551. PMID 19035829.
  28. Cameron, L; Leventhal, E. A; Leventhal, H (1995). "Seeking medical care in response to symptoms and life stress". Psychosomatic medicine. 57 (1): 37–47. PMID 7732157.
  29. Shahab, Lion; McGowan, Jennifer A.; Waller, Jo; Smith, Samuel G. (2018-04). "Prevalence of beliefs about actual and mythical causes of cancer and their association with socio-demographic and health-related characteristics: Findings from a cross-sectional survey in England". European Journal of Cancer. doi:10.1016/j.ejca.2018.03.029. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)
  30. Hargrove, M. B.; Nelson, D. L.; Cooper, C. L. (2013). "Generating eustress by challenging employees: Helping people savor their work". Organizational Dynamics. 42: 61–69. doi:10.1016/j.orgdyn.2012.12.008.
  31. "stressor". Collins English Dictionary  – Complete & Unabridged 11th Edition. Retrieved September 20, 2012, from CollinsDictionary.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-20. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  32. 33.00 33.01 33.02 33.03 33.04 33.05 33.06 33.07 33.08 33.09 33.10 33.11 Pastorino, E; Doyle-Portillo, S (2009). What is Psychology? (2nd ed.). Belmont, CA: Thompson Higher Education.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  33. Headquarters, Department of the Army (1994). Leader’s Manual for Combat Stress Control, FM 22-51, Washington DC.
  34. Teo, Loo Yee; Fam, Jia Yuin (2018). "Prevalence and determinants of perceived stress among undergraduate students in a Malaysian University". Journal of Health and Translational Medicine. 21 (1): 1–5.
  35. Cohen, Sheldon; Frank, Ellen; Doyle, William J; Skoner, David P; Rabin, Bruce S; Gwaltney, Jack M (1998). "Types of stressors that increase susceptibility to the common cold in healthy adults". Health Psychology. 17 (3): 214–23. doi:10.1037/0278-6133.17.3.214. PMID 9619470.
  36. Aldwin, Carolyn M; Jeong, Yu-Jin; Igarashi, Heidi; Choun, Soyoung; Spiro, Avron (2014). "Do hassles mediate between life events and mortality in older men?". Experimental Gerontology. 59: 74–80. doi:10.1016/j.exger.2014.06.019. PMC 4253863. PMID 24995936.
  37. "CWT rolls out solution to tackle cost of travel stress". TTGmice. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-11-10. สืบค้นเมื่อ 2013-04-29. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  38. 39.0 39.1 Campbell, Joan M (2016). "Ambient Stressors". Environment and Behavior. 15 (3): 355–80. doi:10.1177/0013916583153005. chronic, negatively valued, non-urgent, physically perceptible, and intractable to the efforts of individuals to change them
  39. Combat and Operational Stress Control, FM 4-02.51. Washington, DC: Department of the Army. 2006. p. 9.
  40. Whicker, Marcia Lynn (1996). Toxic leaders: When organizations go bad. Westport, CT: Quorum Books.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  41. Robertson, D (2012). Build your Resilience. London: Hodder. ISBN 978-1-4441-6871-6.
  42. Purwandini Sutarto, Auditya; Abdul Wahab, Muhammad Nubli; Mat Zin, Nora (2015). "Resonant Breathing Biofeedback Training for Stress Reduction Among Manufacturing Operators". International Journal of Occupational Safety and Ergonomics. 18 (4): 549–61. doi:10.1080/10803548.2012.11076959. PMID 23294659.
  43. 44.0 44.1 44.2 Snyder, C.R.; Lefcourt, Herbert M. (2001). Coping With Stress. New York: Oxford University. pp. 68–88.
  44. 45.0 45.1 Levo, Lynn M (2003-09). "Understanding Defense Mechanisms". Lukenotes. MD: Saint Luke Institute. 7 (4). {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |date= (help)CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  45. 46.0 46.1 Adapted from DSM-IV Adaptive Functioning Scale, APA, 1994.
  46. 47.0 47.1 47.2 47.3 Riley, Julia (2012). Communication in Nursing (7 ed.). Missouri: Mosby/Elsevier. pp. 160–173. The Association for Applied and Therapeutic Humor defines therapeutic humor as ‘any intervention that promotes health and wellness by stimulating a playful discovery, expression or appreciation of the absurdity of or incongruity of life’s situations. This intervention may enhance health or be used as a complementary treatment of illness to facilitate healing or coping whether physical, emotional, cognitive, or spiritual.
  47. Lefcourt, H. M. (2001). "The Humor Solution". ใน Snyder, C. R. (บ.ก.). Coping with Stress: Effective People and Processes. New York: Oxford University Press. pp. 68–92. ISBN 0198029950.
  48. Valliant, George E. (2000). "Adaptive Mental Mechanisms". American Psychologist. 55 (1): 89–98. doi:10.1037/0003-066x.55.1.89. PMID 11392869.
  49. Folkman, S.; Moskowitz, J. (2000). "Stress, Positive Emotion, and Coping". Current Directions in Psychological Science. 9 (4): 115–118. doi:10.1111/1467-8721.00073.
  50. Schok, ML; Kleber, RJ; Elands, M; Weerts, JM (2008). "Meaning as a mission: a review of empirical studies on appraisals of war and peacekeeping experiences". Clinical Psychology Review (Review). 28 (3): 357–65. doi:10.1016/j.cpr.2007.04.005. PMID 17532104.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  51. Colman, Andrew M (2009). displacement. A Dictionary of Psychology. Oxford Reference Online, Oxford University Press.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  52. "REACTION-FORMATION". Purdue University. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-27. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  53. Potter, Patricia (2014). Canadian Fundamentals of Nursing (5 ed.). Toronto: Elsevier. pp. 472–488.
  54. Gottlieb, Benjamin (1997). Coping with Chronic Stress. Plenum Press.{{cite book}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  55. 56.0 56.1 56.2 Mitterer, Jon; Coon, Dennis (2013). Introduction to Psychology. Jon-David Hague. pp. 446–447.
  56. "HHS 231 - Extended Campus - Oregon State University". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-10. {{cite web}}: ไม่รู้จักพารามิเตอร์ |deadurl= ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=) (help)
  57. 58.0 58.1 58.2 58.3 58.4 58.5 Craven, Ruth; Hirnle, Constance; Jensen, Sharon (2013). Fundatmentals of Nursing: Human and Health Function (7 ed.). Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins. p. 1319.
  58. Uchino, B. N. (2009). "Understanding the links between social support and physical health: A life-span perspective with emphasis on the separability of perceived and received support". Perspectives on Psychological Science. 4 (3): 236–255. doi:10.1111/j.1745-6924.2009.01122.x.
  59. Berkman, L. F.; Glass, T.; Brissette, I.; Seeman, T. E. (2000). "From social integration to health: Durkheim in the new millennium". Social Science & Medicine. 51 (6): 843–857. doi:10.1016/s0277-9536(00)00065-4.
  60. Cohen, S.; Wills, T. A. (1985). "Stress, social support, and the buffering hypothesis". Psychological Bulletin. 98 (2): 310–357. doi:10.1037/0033-2909.98.2.310. PMID 3901065.
  61. 62.0 62.1 Cohen, S (2004). "Social relationships and health". American Psychologist. 59 (8): 676–684. doi:10.1037/0003-066x.59.8.676. PMID 15554821.
  62. Shishehgar, Sara; Mahmoodi, Abolfazl; Dolatian, Mahrokh; Mahmoodi, Zohreh; Bakhtiary, Maryam; Majd, Hamid Alavi (2013). "The Relationship of Social Support and Quality of Life with the Level of Stress in Pregnant Women Using the PATH Model". Iranian Red Crescent Medical Journal. 15 (7): 560–5. doi:10.5812/ircmj.12174. PMC 3871742. PMID 24396574.{{cite journal}}: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์)
  63. 64.0 64.1 Feldman, Robert S; Dinardo, Andrea (2009). Essentials of understanding psychology (3rd ed.). Toronto: McGraw-Hill Ryerson. ISBN 9780070974111.
  64. 65.0 65.1 Arnold, Elizabeth; Underman, Kathleen (2011). Interpersonal Relationships : Professional Communication Skills For Nurses (6th ed.). St. Louis, Mo.: Elsevier/Saunders. ISBN 9781437709445.
  65. 66.0 66.1 Holmes, TH; Rahe, RH (1967). "The Social Readjustment Rating Scale". J Psychosom Res. 11 (2): 213–8. doi:10.1016/0022-3999(67)90010-4. PMID 6059863.
  66. Riese, Harriëtte; Snieder, Harold; Jeronimus, Bertus F; Korhonen, Tellervo; Rose, Richard J; Kaprio, Jaakko; Ormel, Johan (2014). "Timing of Stressful Life Events Affects Stability and Change of Neuroticism". European Journal of Personality. 28 (2): 193–200. doi:10.1002/per.1929.