ความยืดหยุ่นทางจิตใจ
ความยืดหยุ่นได้ทางด้านจิตใจ[1] หรือ ความฟื้นสภาพได้ทางด้านจิตใจ หรือ การฟื้นตัวได้ (อังกฤษ: psychological resilience) มีนิยามว่าเป็นสมรรถภาพของบุคคลในการปรับตัวเข้ากับสิ่งที่ต้องทำในชีวิตเมื่อเผชิญกับความเสียเปรียบทางสังคม หรือกับสถานการณ์ที่มีอุปสรรคมาก[2] อุปสรรคหรือความเครียดอาจมาในรูปแบบของปัญหาทางครอบครัวหรือความสัมพันธ์ ปัญหาสุขภาพ ปัญหาที่ทำงาน และปัญหาการเงินเป็นต้น[3] ความยืดหยุ่นได้ก็คือสมรรถภาพในการฟื้นสภาพจากประสบการณ์ร้ายโดยยังดำรงชีวิตได้อย่างสามารถ ซึ่งเป็นสมรรถภาพที่ไม่ใช่มีกันน้อย จริง ๆ พบในบุคคลทั่วไปและทุกคนย่อมสามารถศึกษาและพัฒนาได้ เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาว่าเป็นกระบวนการ ไม่ใช่เป็นลักษณะนิสัยที่มี มันเป็นกระบวนการทำให้คนต่างกันโดยผ่านระบบที่ช่วยให้ค่อย ๆ พบความสามารถเฉพาะบุคคลที่ไม่เหมือนกับคนอื่น[4][5]
ความเข้าใจผิดที่สามัญอย่างหนึ่งก็คือคนที่ฟื้นสภาพได้ดีไม่มีอารมณ์หรือความคิดเชิงลบ และมองโลกในแง่ดีในสถานการณ์โดยมากหรือทั้งหมด จริง ๆ เป็นตรงกันข้าม คือ คนที่ฟื้นสภาพได้จะพัฒนาเทคนิคการรับมือต่าง ๆ ที่ช่วยนำทางหลบหรือผ่านวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ไปได้อย่างมีประสิทธิผลและอย่างง่าย ๆ โดยเปรียบเทียบ[6]: 43 กล่าวอีกอย่างก็คือ ผู้ที่สามารถฟื้นสภาพได้ก็คือคนที่มีทัศนคติมองโลกในแง่ดี มักมีอารมณ์ดี และโดยข้อปฏิบัติ สามารถดุลอารมณ์เชิงลบด้วยอารมณ์เชิงบวก[3]
พื้นเพ
[แก้]การฟื้นสภาพได้มองว่าเป็นการปรับตัวที่ดี (positive adaptation) หลังจากเหตุการณ์เครียดหรือที่เป็นปฏิปักษ์[7] สถาบันเด็กแห่งมหาวิทยาลัยรอเชสเตอร์อธิบายว่า งานวิจัยเกี่ยวกับการฟื้นสภาพได้มุ่งศึกษาบุคคลที่ใช้ชีวิตอย่างมีความหวังและมีมุกขำแม้ว่าจะผ่านการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่[8] สำคัญที่จะสังเกตว่า การฟื้นสภาพได้ไม่ใช่เป็นเพียงแค่เอาชนะสถานการณ์ที่เครียดมากได้เท่านั้น แต่เป็นการออกจากสถานการณ์เช่นนั้นโดย "ยังดำรงชีวิตได้อย่างสามารถ" ความฟื้นสภาพได้ทำให้บุคคลฟื้นจากความทุกข์ร้อนโดยเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น คิดหาหนทางได้มากขึ้น
ประวัติ
[แก้]งานวิจัยแรกในเรื่องการฟื้นสภาพได้ของจิตใจปี พ.ศ. 2516 ใช้เทคนิคของวิทยาการระบาดเพื่อศึกษาความชุกของโรค เพื่อหาปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยป้องกันที่ปัจจุบันช่วยนิยามคำว่า resilience[9] ในปีต่อมา นักวิจัยกลุ่มเดียวกันก็เริ่มสร้างเครื่องมือเพื่อใช้ตรวจสอบระบบที่สนับสนุนการพัฒนาความฟื้นสภาพได้[10]
ศ. ดร. เอ็มมี่ เวอร์เนอร์ เป็นนักวิทยาศาสตร์แรก ๆ ที่ใช้คำว่า resilience ในคริสต์ทศวรรษ 1970 เธอได้ศึกษาเด็กกลุ่มหนึ่งในเกาะคาไว รัฐฮาวาย ในเวลานั้น เกาะคาไวค่อนข้างยากจนและเด็กจำนวนมากในงานศึกษาเติบโตกับพ่อแม่ที่ติดเหล้าหรือมีโรคจิต และจำนวนมากยังไม่มีงานทำอีกด้วย[11] เธอได้สังเกตว่า เด็กที่โตขึ้นในสถานการณ์ร้ายเหล่านี้ 2/3 มีพฤติกรรมที่ไม่ดีในช่วงวัยรุ่นตอนปลาย เช่น ไม่มีงานทำ ติดสารเสพติด เด็กหญิงมีลูกก่อนแต่งงาน แต่ว่า เด็กที่เหลือ 1/3 ไม่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ดร. เวอร์เนอร์ได้เรียกเด็กกลุ่มหลังว่า "ฟื้นสภาพได้" (resilient)[12] ดังนั้นเด็กและครอบครัวที่ฟื้นสภาพได้โดยนิยามแล้วคือคนที่แสดงลักษณะที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จมากกว่าเด็กและครอบครัวที่ฟื้นสภาพไม่ได้
ความฟื้นสภาพได้ยังเป็นประเด็นทฤษฎีและงานวิจัยหลักประเด็นหนึ่งในการศึกษาเกี่ยวกับบุตรของมารดาโรคจิตเภทในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980[13] ในงานศึกษาปี 2532 (ค.ศ. 1989)[14] ผลแสดงว่า เด็กที่มีพ่อแม่เป็นโรคจิตเภทอาจจะไม่ได้รับการดูแลปลอบใจเท่ากับเด็กที่มีพ่อแม่ปกติ และสถานการณ์เช่นนั้นบ่อยครั้งมีผลร้ายต่อพัฒนาการของเด็ก แต่ว่า ก็ยังมีเด็กที่พ่อแม่ป่วยแต่เรียนได้ดีในโรงเรียน และดังนั้นจึงเป็นแรงให้ผู้วิจัยพยายามเพื่อเข้าใจการตอบสนองเช่นนี้ต่อความลำบาก
ในช่วงต้น ๆ ของงานวิจัยเรื่องการฟื้นสภาพได้ นักวิจัยได้พยายามค้นพบปัจจัยป้องกันที่ช่วยอธิบายการปรับตัวที่ดีของบุคคลต่อสถานการณ์ที่ไม่ดีรวมทั้งทุรกรรม (maltreatment)[15] เหตุการณ์ร้ายในชีวิต[16] หรือความยากจน[17] งานวิจัยด้านการทดลองจากต่อนั้นได้เปลี่ยนมุ่งเข้าใจกระบวนการป้องกันที่เป็นมูลฐาน นักวิจัยได้พยายามหาปัจจัยบางอย่าง (เช่นครอบครัว) ที่ทำให้เกิดผลที่ดี[17]
โดยเป็นกระบวนการ
[แก้]ในตัวอย่างที่ว่ามานี้ การฟื้นสภาพได้จะเข้าใจได้ดีที่สุดโดยเป็นกระบวนการ แม้ว่าจะบ่อยครั้งสมมุติอย่างผิด ๆ ว่าเป็นลักษณะนิสัยของบุคคล[18] แต่งานวิจัยปัจจุบันโดยมากแสดงว่า การฟื้นสภาพได้เป็นผลของการที่บุคคลสามารถปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมและกับกระบวนการที่โปรโหมตความอยู่เป็นสุข หรือป้องกันตนจากอิทธิพลที่มากเกินจากปัจจัยเสี่ยง[19] จึงสำคัญที่จะเข้าใจกระบวนการหรือวงจรการฟื้นสภาพเยี่ยงนี้
เมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับอุปสรรค มีวิธีสามอย่างในการเผชิญกับปัญหา ซึ่งกำหนดว่า มันจะโปรโหมตความอยู่เป็นสุขหรือไม่ ซึ่งก็คือ
- อารมณ์โกรธระเบิดออกมา
- อารมณ์ระเบิดอยู่ข้างในเนื่องจากอารมณ์เชิงลบ ทำให้รู้สึกเฉยเมย ทำอะไรไม่ได้
- เพียงแค่หงุดหงิดกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดอย่างรวดเร็ว
คนที่ยืดหยุ่นได้จะใช้วิธีที่สามเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลง ซึ่งทำให้เปลี่ยนรูปแบบพฤติกรรมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ ส่วนวิธีที่หนึ่งและที่สองจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้รับเคราะห์โดยมีคนอื่นเป็นผู้ผิด และจะไม่เปลี่ยนวิธีการรับมือแม้หลังวิกฤตการณ์จบแล้ว โดยเลือกมีปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณแทนที่จะตอบสนองต่อเหตุการณ์ ส่วนคนที่ตอบสนองต่อสภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ในตนเองมักจะรับมือกับเหตุการณ์ ฟื้นตัว และระงับวิกฤตการณ์
อารมณ์เชิงลบต่าง ๆ รวมทั้งความหวาดกลัว ความโกรธ ความวิตกกังวล ความทุกข์ ความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้ และความสิ้นหวัง จะลดสมรรถภาพการแก้ปัญหาที่กำลังเผชิญ และดั้งนั้น จะลดระดับการฟื้นสภาพได้ของตน ความหวาดกลัวและความวิตกกังวลที่มีอยู่เรื่อย ๆ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันไม่ดีทำให้อ่อนแอต่อโรคต่าง ๆ[20]
กระบวนการเหล่านี้อาจจะรวมวิธีการรับมือเฉพาะตน ๆ หรืออาจมีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่ช่วยป้องกันเช่นครอบครัว โรงเรียน ชุมชน หรือนโยบายทางสังคมของรัฐที่ทำให้การฟื้นสภาพมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกว่า[21] ดังนั้น ตามรูปแบบเช่นนี้ การฟื้นสภาพได้จะเกิดขึ้นก็เมื่อปัจจัยป้องกันต่าง ๆ ทำงานร่วมกัน ซึ่งน่าจะสำคัญมากยิ่ง ๆ ขึ้นถ้าบุคคลประสบกับปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม ๆ ขึ้น
แบบจำลองทางชีวภาพ
[แก้]มูลฐานที่เด่นของการฟื้นสภาพได้ คือ ความมั่นใจในตนเอง ความภูมิใจในตนเอง (self-esteem) และแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (self-concept) ล้วนมีมูลฐานทางระบบประสาท 3 ระบบ คือ somatic nervous system, ระบบประสาทอิสระ และระบบประสาทกลาง[22] ศาสตร์ที่กำลังเจริญขึ้นในเรื่องการศึกษาการฟื้นสภาพได้ก็คือ มูลฐานทางประสาทชีวภาพของการฟื้นสภาพได้จากความเครียด[23] ยกตัวอย่างเช่น สารสื่อประสาท neuropeptide Y (NPY) เชื่อว่าเป็นตัวจำกัดการตอบสนองต่อความเครียดโดยลดการทำงานของระบบประสาทซิมพาเทติก และฮอร์โมน 5-Dehydroepiandrosterone (5-DHEA) เป็นตัวป้องกันสมองจากผลอันตรายของระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนเครียด) ที่สูงเป็นประจำ[24] นอกจากนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างการสนับสนุนทางสังคมกับการฟื้นสภาพจากความเครียด เชื่อว่าอำนวยโดยผลของฮอร์โมนออกซิโทซินต่อแกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล[25] ดังนั้น "การฟื้นสภาพได้ ซึ่งตั้งแนวคิดโดยเป็นการปรับตัวทางชีวภาพ-จิตใจในเชิงบวก ได้กลายเป็นโครงสร้างทางทฤษฎีที่มีประโยชน์ในการเข้าใจตัวแปรที่สามารถพยากรณ์สุขภาพและความอยู่เป็นสุขในระยะยาว"[26]
มีงานวิจัยจำกัดอยู่บ้างว่า คล้ายกับความเจ็บป่วยบางอย่าง การฟื้นสภาพได้มีผลจากอีพีเจเนติกส์ ซึ่งก็คืออาจสืบทอดได้ทางกรรมพันธุ์ แต่ว่า หลักวิทยาศาสตร์ที่แสดงผลนี้ยังเป็นเรื่องต้องวิจัยกันต่อไป[27]
ปัจจัยสัมพันธ์
[แก้]งานศึกษาแสดงว่า มีปัจจัยหลายอย่างที่ช่วยพัฒนาและดำรงการฟื้นสภาพได้ของบุคคล[28]
- ความสามารถในการวางแผนที่เป็นไปได้จริงและในการทำตามขั้นตอนของแผนนั้น
- การคิตถึงตัวเองในเชิงบวกและความมั่นใจในข้อดีและความสามารถของตน
- ทักษะในการสื่อสารและแก้ปัญหา
- ความสามารถในการจัดการความหุนหันพลันแล่นและความรู้สึกที่รุนแรง
ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยที่ไม่จำเป็นต้องมาจากกรรมพันธุ์ เพราะสามารถพัฒนาขึ้นและโปรโหมตการฟื้นสภาพได้
อารมณ์เชิงบวก
[แก้]มีงานวิจัยเป็นจำนวนสำคัญที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์เชิงบวกกับการฟื้นสภาพได้ งานศึกษาแสดงว่า การรักษาอารมณ์เชิงบวกไว้ได้เมื่อเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก ช่วยโปรโหมตความยืดหยุ่นได้ของความคิดและการแก้ปัญหา โดยอารมณ์เชิงบวกยังทำหน้าที่สำคัญคือช่วยให้ฟื้นสภาพจากประสบการณ์เครียดอีกด้วย ช่วยแก้ผลทางสรีรภาพของอารมณ์เชิงลบ ช่วยให้รับมือแบบปรับตัวได้ (adaptive coping) สร้างความสัมพันธ์แบบคงยืนที่พึ่งได้ และปรับปรุงความรู้สึกเป็นสุขส่วนตัว[28]
แม้ว่างานวิจัยบางงานจะแสดงว่า การฟื้นสภาพได้ของจิตใจเป็นลักษณะทางบุคลิกภาพ (personality trait) ที่ค่อนข้างเสถียร แต่งานวิจัยใหม่ก็ยังแสดงว่า อารมณ์เชิงบวกเป็นเรื่องจำเป็นต่อการฟื้นสภาพได้แบบที่เป็นลักษณะ (trait) และไม่ใช่ว่า อารมณ์เชิงบวกเป็นเพียงผลพลอยได้ของการฟื้นสภาพได้ แต่ว่า อารมณ์เชิงบวกในสถานการณ์เครียดอาจเป็นประโยชน์แบบปรับตัวต่อกระบวนการรับมือของบุคคล[29]
หลักฐานของการพยากรณ์เช่นนี้มาจากงานวิจัยในบุคคลฟื้นสภาพได้ที่มักใช้กลยุทธ์การรับมือที่สร้างอารมณ์เชิงบวกอย่างชัดเจน เช่น การหาประโยชน์/ข้อดี การประเมินเหตุการณ์ใหม่ มุกตลก การมองโลกในแง่ดี และการรับมือแบบเพ่งปัญหาที่มีจุดมุ่งหมาย บุคคลที่มักเผชิญกับปัญหาด้วยวิธีเหล่านี้อาจทำตัวเองให้เข้มแข็งต่อความเครียดเพราะสามารถเข้าถึงทรัพยากรทางอารมณ์เชิงบวกเหล่านี้ได้มากกว่า[30] การสนับสนุนจากผู้ใหญ่ที่ห่วงใยช่วยเพิ่มการฟื้นสภาพได้ในเด็กที่พ่อแม่ติดคุกไม่ว่าจะจากผู้ดูแล พ่อแม่ที่ติดคุก ปู่ย่าตายาย พี่ ครู โดยให้การสนับสนุน 3 อย่างคือ (1) ให้สามารถมีกิจกรรมเหมือนเด็กอื่นได้ (2) ให้ทัศนคติชีวิตที่ดีกว่า (3) ให้ถึงการเปลี่ยนชีวิต[31]
อารมณ์เชิงบวกมีผลทั้งทางกายและทางสรีรภาพ ผลทางสรีรภาพเหตุมุกตลกรวมทั้งการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น และระดับที่เพิ่มขึ้นของสารภูมิต้านทานสำคัญคือ immunoglobulin A ซึ่งเป็นด่านคุ้มกันความเจ็บป่วยแรกทางระบบหายใจ[32][33] ผลดีทางสุขภาพอื่น ๆ รวมทั้งอัตราการฟื้นสภาพจากความบาดเจ็บที่เร็วกว่า อัตราการรับเข้าโรงพยาบาลอีกที่ต่ำกว่าสำหรับผู้สูงอายุ และการลดจำนวนวันที่อยู่ในโรงพยาบาลเป็นต้น
งานวิจัยหนึ่งสืบความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีลักษณะฟื้นคืนสภาพได้ กับอัตราการฟื้นสภาพจากโรคหลอดเลือดหัวใจหลังจากที่เกิดอารมณ์เชิงลบ ผลของการศึกษาแสดงว่า บุคคลที่มีลักษณะฟื้นสภาพได้ที่ประสบกับอารมณ์เชิงบวกมีการฟื้นสภาพทางการทำงานของหัวใจที่เกิดจากอารมณ์เชิงลบ เช่น อัตราเต้นหัวใจเป็นต้น ที่ดีกว่า[29]
ความทรหดอดทน
[แก้]ความทรหดอดทนในเรื่องนี้ (grit) หมายถึงความอดทนและความตั้งใจมั่นเพื่อให้ถึงเป้าหมายระยะยาว[34] ซึ่งกำหนดโดยทำการอย่างพากเพียรสู้กับเรื่องท้าทาย ดำรงความพยายามและความสนใจเป็นปี ๆ แม้มีการตัดกำลังใจจากคนอื่น มีความยากลำบาก ไม่ก้าวหน้า หรือแม้แต่เกิดความล้มเหลว[34] คือ คนที่ทรหดมองความสำเร็จว่าเป็นงานมาราธอน ไม่ใช่งานที่เสร็จอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเป็นคนที่ได้เกรดสูงกว่าในสถาบันศึกษา และเปลี่ยนงานน้อยกว่า[34]
ความอดทนมีผลต่อความพยายามของบุคคลอย่างสำคัญ เมื่อบุคคลเห็นเป้าหมายว่ามีคุณค่า มีความหมาย หรือเข้ากับแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง เขาจะตั้งใจพยายามมากกว่าเมื่อจำเป็น ความอดทนที่แตกต่างกันในบุคคลมีผลต่อการทำงานของหัวใจที่แตกต่างกันเมื่อทำงานอย่างเดียวกัน ความอดทนมีผลต่อแรงจูงใจในสิ่งที่ทำ และอาจมีอิทธิพลต่อความรู้สึกว่ายากง่ายของงาน[35]
ความอดทนมีค่าสหสัมพันธ์กับลักษณะความพิถีพิถัน (conscientiousness) ในทฤษฎีลักษณะบุคลิกภาพใหญ่ 5 อย่าง[34] แม้ว่าความอดทนและความพิถีพิถันจะล้ำกันมากในด้านความสำเร็จผล แต่ก็เน้นเรื่องที่ต่างกัน ความอดทนเน้นความทรหดระยะยาว เปรียบเทียบกับความพิถีพิถันที่เน้นความเข้มแข็งในระยะสั้น[34]
ความอดทนต่างกันไปตามการศึกษาและวัย คนที่มีการศึกษามากกว่ามักจะอดทนมากกว่าเมื่ออายุเท่ากัน[34] คนที่จบการศึกษาในระดับบัณฑิตศึกษามีระดับความอดทนที่สูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ โดยมาก[34] ความอดทนสูงขึ้นตามวัยเมื่อควบคุมระดับการศึกษาแล้ว[34]
ในความสำเร็จในชีวิต ความอดทนอาจจะสำคัญเท่ากับพรสวรรค์ นักศึกษามหาวิทยาลัยสถาบันชื่อดังผู้มีความอดทนสูงจะได้เกรดสูงกว่าเพื่อนร่วมชั้นแม้ว่าจะสอบ SAT ได้น้อยกว่าเมื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย[34] งานศึกษาในโรงเรียนทหารสหรัฐอเมริกา พบว่า ความอดทนเป็นตัวพยากรณ์การกลับมาเรียนต่อหลังจากปีแรกที่เชื่อถือได้ดีกว่าการควบคุมตนเอง หรือคะแนนสรุปคุณภาพของนักเรียนนายทหาร[34] และผู้แข่งขันสะกดคำศัพท์ระดับชาติในสหรัฐอเมริกาที่อดทนยังชนะคู่แข่งขันอื่น ๆ ที่อดทนน้อยกว่า อย่างน้อยส่วนหนึ่งก็เพราะได้ฝึกซ้อมมากกว่า[34]
ความอดทนยังเป็นปัจจัยป้องกันการฆ่าตัวตาย งานศึกษาหนึ่งที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดพบว่า ความอดทนเป็นตัวพยากรณ์สุขภาพจิตและความอยู่เป็นสุขของแพทย์ฝึกหัด[36] คนอดทนจะสามารถควบคุมตนเอง และตั้งใจสมาทานเพื่อทำให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งช่วยต้านความหุนหันพลันแล่นเช่นการทำร้ายตัวเอง บุคคลที่อดทนจะมุ่งให้ถึงเป้าหมายในอนาคต ซึ่งอาจยั้งตนไม่ให้ฆ่าตัวตาย เชื่อว่า เพราะว่าความอดทนสนับสนุนบุคคลให้สร้างและจรรโลงเป้าหมายชีวิต เป้าหมายชีวิตเหล่านั้นก็จะทำให้ชีวิตมีความหมายและมีจุดหมาย
แต่ว่า ความอดทนอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อความสำเร็จ บุคคลที่ทั้งอดทนและยินดีพอใจในสิ่งที่ตนมี จะคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายน้อยกว่าในระยะยาว เพราะสองสิ่งทำงานด้วยกันเพื่อช่วยเสริมความหมายของชีวิต ช่วยป้องกันความคิดหรือแผนการเกี่ยวกับความตายและการฆ่าตัวตาย[37]
ปัจจัยอื่น ๆ
[แก้]งานศึกษาหนึ่งทำกับคนทำงานที่ประสบความสำเร็จสูง ผู้สืบหาสถานการณ์ท้าท้ายที่จำเป็นต้องมีการฟื้นสภาพได้ คือ งานวิจัยตรวจดูคนที่ประสบความสำเร็จสูงในอาชีพต่าง ๆ 13 คน ซึ่งล้วนแต่ประสบสถานการณ์ที่ท้าท้ายในที่ทำงานและเหตุการณ์ร้ายในชีวิตในช่วงการทำงาน แต่ก็ยังได้รับการยกย่องว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในสาขาการงานของตน มีการสัมภาษณ์เรื่องชีวิตประจำวันในที่ทำงานและประสบการณ์เกี่ยวกับการฟื้นสภาพและความสำเร็จ งานศึกษาพบปัจจัยพยากรณ์ 6 อย่าง คือ บุคลิกภาพเชิงบวกและการแก้ปัญหาล่วงหน้า ประสบการณ์และการเรียนรู้ ความรู้สึกว่าสถานการณ์ควบคุมได้ ความยืดหยุ่นและการปรับตัวได้ ดุลและมุมมองชีวิต และความรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนทางสังคม ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงยังทำสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานหลายอย่างเช่นการมีงานอดิเรก การออกกำลังกาย การนัดพบเพื่อน ๆ และบุคคลที่รัก[38]
ปัจจัยหลายอย่างพบว่าสามารปรับผลลบในสถานการณ์ร้ายในชีวิต งานศึกษาหลายงานแสดงว่า ปัจจัยหลักก็คือมีความสัมพันธ์กับคนที่ให้ความดูแลและความสนับสนุน เสริมสร้างความรักความเชื่อใจ และให้กำลังใจ ทั้งภายในและนอกครอบครัว มีปัจจัยอื่น ๆ ที่สัมพันธ์กับการฟื้นสภาพได้ เช่น สมรรถภาพในการวางแผนที่สมจริงเป็นไปได้ มั่นใจในตัวเอง มีภาพพจน์ของตนที่ดี มีการพัฒนาทักษะการสื่อสาร และสมรรถภาพในการจัดการความรู้สึกและความหุนหันพลันแล่นที่รุนแรง[39]
งานวิจัยปี 2538 จำแนกสภาพแวดล้อม 3 อย่างสำหรับปัจจัยป้องกัน คือ[40]
- ลักษณะส่วนบุคคล เช่น เป็นมิตร ฉลาด และมีภาพพจน์ที่ดีเกี่ยวกับตน
- ลักษณะครอบครัว เช่น มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสมาชิกครอบครัวอย่างน้อยหนึ่งคน หรือมีพ่อแม่ที่มีอารมณ์เสถียรคนหนึ่ง
- ลักษณะชุมชน เช่น ได้การสนับสนุนและคำแนะนำจากเพื่อน
นอกจากนั้นแล้ว งานศึกษาในผู้สูงอายุในเมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แสดงบทบาทของมุกตลกโดยเป็นกลไกรับมือหรือดำรงความสุขเมื่อเผชิญกับความทุกข์ที่มาตามอายุ[41]
ยังมีงานวิจัยที่พยายามค้นพบความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องการฟื้นสภาพได้ ความภูมิใจในตน (Self-esteem) การควบคุมอัตตา (ego-control) และการยืดหยุ่นอัตตาได้ (ego-resiliency) ล้วนแต่สัมพันธ์กับการปรับตัวที่ดีทางพฤติกรรม[42] ยกตัวอย่างเช่น เด็กที่ถูกทารุณที่รู้สึกดีกับตัวเองอาจจะประมวลสถานการณ์ต่างจากเด็กที่ถูกทารุณอื่น ๆ โดยยกเหตุว่ามาจากสิ่งแวดล้อมและดังนั้น จึงไม่ทำให้รู้สึกว่าตัวเองแย่ ส่วนการควบคุมอัตตา หมายถึง "ขีดเริ่มเปลี่ยนหรือลักษณะเฉพาะการดำเนินงานของบุคคลเกี่ยวกับการแสดงออกหรือไม่แสดงออก"[43] ทางความหุนหันพลันแล่น ความรู้สึก และความต้องการ ส่วนการยืดหยุ่นอัตตาได้หมายถึง "สมรรถภาพเชิงพลวัตเพื่อเปลี่ยนระดับการควบคุมอัตตาตามแบบของตน ในทางใดทางหนึ่ง โดยเป็นไปตามความจำเป็นทางสภาพแวดล้อม"[44]
เด็กที่ถูกทารุณที่ประสบกับปัจจัยเสี่ยงบางอย่าง (เช่น การมีแต่พ่อหรือแม่ การศึกษาที่จำกัดของแม่ หรือว่าครอบครัวไม่มีงานทำ) แสดงการยืดหยุ่นอัตตาได้และเชาวน์ปัญญาน้อยกว่าเด็กพวกอื่น นอกจากนั้นแล้ว เด็กที่ถูกทารุณมีโอกาสสูงกว่าเด็กอื่นที่จะแสดงปัญหาพฤติกรรมที่ก่อกวนก้าวร้าว ที่ถอนตัวจากสังคม ที่เก็บไว้ข้างใน และอย่างท้ายสุด การยืดหยุ่นอัตตาได้และความภูมิใจในตนเป็นตัวพยากรณ์การปรับตัวที่มีสมรรถภาพในเด็กที่ถูกทารุณ[42]
ข้อมูลทางประชากร (เช่น เพศ) และทรัพยากรที่มี (เช่น ความช่วยเหลือทางสังคม) ก็สามารถใช้พยากรณ์การฟื้นตัวได้ การตรวจสอบการปรับตัวได้หลังภัยพิบัติแสดงว่าหญิงสัมพันธ์กับโอกาสการฟื้นตัวได้น้อยกว่าชาย นอกจากนั้นแล้ว บุคคลที่ไม่มีบทบาทในกลุ่มหรือองค์กรที่ใกล้ชิด ฟื้นตัวได้น้อยกว่า[45]
ลักษณะบางอย่างของความเชื่อทางศาสนาหรือทางจิตวิญญาณอาจสามารถโปรโหมตหรือขัดขวางลักษณะทางจิตใจบางอย่างที่ช่วยเพิ่มการฟื้นตัวได้ แต่ว่า งานวิจัยยังไม่ได้สัมพันธ์ความเชื่อทางจิตวิญญาณกับการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน เช่น ตามหนังสือจิตวิทยากับศาสนาเล่มหนึ่ง "...ยังไม่มีงานศึกษาเชิงประสบการณ์โดยตรงที่ตรวจดูความสัมพันธ์ของศาสนากับจุดแข็งและคุณธรรมโดยทั่วไป"[46] และในงานทบทวนวรรณกรรมปี 2550 เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อทางศาสนาและจิตวิญญาณกับความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) ในบรรดางานที่ทบทวน ประมาณครึ่งหนึ่งแสดงความสัมพันธ์และอีกครึ่งหนึ่งไม่แสดงความสัมพันธ์ ระหว่างค่าวัดความเชื่อทางศาสนา/ทางจิตวิญญาณกับการฟื้นตัวได้[47] ดังนั้น กองทัพบกสหรัฐจึงได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ฐานโปรโหมตความเชื่อทางจิตวิญญาณในโปรแกรมฝึกทหารเพื่อป้องกัน PTSD ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุนที่ชัดเจน
การสร้าง
[แก้]สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) เสนอวิธี 10 อย่างเพื่อสร้างความฟื้นสภาพได้[3] ซึ่งก็คือ
- รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาชิกในครอบครัว เพื่อน และคนสนิทอื่น ๆ
- หลีกเลี่ยงการมองวิกฤติหรือเหตุการณ์เครียดว่าเป็นปัญหาที่รับไม่ได้
- ยอมรับสถานการณ์ที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้
- พัฒนาเป้าหมายที่สมจริงเป็นไปได้และทำการเพื่อถึงเป้าหมาย
- ทำการอย่างเด็ดเดี่ยวในสถานการณ์ที่ลำบาก
- หาโอกาสค้นพบตัวเองเพิ่มขึ้นหลังจากต้องลำบากกับความสูญเสีย
- สร้างความมั่นใจในตน
- มองเหตุการณ์ในระยะยาวและพิจารณาเหตุการณ์เครียดในมุมมองกว้าง ๆ
- ดำรงทัศนคติที่มีหวัง หวังในสิ่งที่ดี ๆ และให้นึกถึงภาพสิ่งที่ต้องการ
- เพื่อดูแลสุขภาพกายใจ ให้ออกกำลังกายเป็นประจำ ใส่ใจในสิ่งที่ตนต้องการและรู้สึก
ส่วนแบบจำลองการสร้างการฟื้นตัวได้ตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง โดยเป็นครอบครัวอุดมคติที่มีความสัมพันธ์ที่ดีและได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน อาศัยการทำหน้าที่ของพ่อแม่ มีสิ่งที่จำเป็น 4 อย่างคือ
- การเลี้ยงดูที่สมจริงกับสถานการณ์ในสังคม
- การสื่อสารความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล
- ความมองโลกในเชิงบวกและการเปลี่ยนมุมมองของสถานการณ์ที่หนัก
- การสร้างความเชื่อมั่นในความสามารถของตน (Self Efficacy) และความแข็งแกร่ง (Hardiness)
ในแบบจำลองนี้ ความเชื่อมั่นในความสามารถของตน (Self Efficacy) ก็คือความเชื่อในความสามารถของตนในการวางแผนและดำเนินการที่จำเป็นเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่สำคัญและต้องการ[48] และ ความแข็งแกร่ง (Hardiness) ก็คือการรวมตัวของทัศนคติที่สัมพันธ์กัน คือ การอธิษฐานสมาทาน (commitment) ความรู้สึกว่าควบคุมได้ (control) และความรู้สึกท้าทาย[49]
มีการพัฒนาโปรแกรมสร้างความฟื้นสภาพได้แบบช่วยตนเองหลายแบบ โดยได้ทฤษฎีและข้อปฏิบัติจากการบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (CBT) และ rational emotive behavior therapy (REBT)[50] ยกตัวอย่างเช่น การแทรกแซงทางความคิด-พฤติกรรมที่เรียกว่า Penn Resiliency Program (PRP) มีหลักฐานว่าสนับสนุนด้านต่าง ๆ ของความฟื้นสภาพได้ งานวิเคราะห์อภิมานของงานศึกษา PRP 17 งานแสดงว่า การแทรกแซงช่วยลดอาการซึมเศร้าในระดับสำคัญโดยใช้เวลาระยะหนึ่ง[51]
แต่ว่า แนวคิดเรื่องการสร้างการฟื้นตัวได้ สามารถกล่าวได้ว่าขัดกับแนวคิดว่าการฟื้นตัวได้เป็นกระบวนการ[4] เพราะว่าแนวคิดใช้โดยหมายว่า เป็นลักษณะในตนที่สามารถพัฒนาได้[52]
แต่คนที่มองการฟื้นตัวได้ว่าเป็นคำเรียกการประสบความสำเร็จแม้เผชิญกับความลำบาก มองการ "สร้างความฟื้นตัวได้" ว่าเป็นวิธีให้กำลังใจ/ทรัพยากรเพื่อให้เกิดกระบวนการฟื้นตัว เช่น Bibliotherapy คือการบำบัดโดยให้อ่านหนังสือ, การบันทึกเหตุการณ์ดี ๆ และการเพิ่มปัจจัยป้องกันทางจิต-สังคมด้วยทรัพยากรเชิงบวกทางจิตใจ เป็นวิธีอื่น ๆ ที่ใช้สร้างความฟื้นตัวได้[53] นี่เป็นการเพิ่มทรัพยากรเพื่อให้บุคคลรับมือหรือแก้ปัญหาที่มากับความยากลำบากหรือความเสี่ยง ซึ่งสามารถเรียกได้ว่า เป็นการสร้างความฟื้นตัวได้ก็ได้[54]
งานวิจัยโดยเปรียบเทียบพบว่า กลยุทธ์ที่ใช้ควบคุมอารมณ์ เพื่อเพิ่มความฟื้นสภาพได้ ช่วยให้ได้ผลที่ดีกว่าในกรณีที่มีความผิดปกติทางจิต[55] คือ แม้ว่างานศึกษาในเบื้องต้นเกี่ยวกับการฟื้นตัวได้จะมาจากนักจิตวิทยาเชิงพัฒนาการที่ศึกษาเด็กในสถานการณ์เสี่ยง งานศึกษาหนึ่งในผู้หใญ่ 230 คนที่วินิจฉัยว่าซึมเศร้าหรือวิตกกังวล ที่ได้การบำบัดเน้นการควบคุมอารมณ์ แสดงว่าวิธีสามารถช่วยปรับความฟื้นตัวได้ในคนไข้ คือกลยุทธ์เพ่งที่การวางแผน การประเมินเหตุการณ์ใหม่ในเชิงบวก และการลดความครุ่นคิดสามารถช่วยดำรงสุขภาพจิตให้ดีต่อไปได้[55][โปรดขยายความ] และคนไข้ที่มีความฟื้นตัวได้ที่ดีขึ้นมีผลทางการรักษาที่ดีกว่าคนไข้ที่แผนการรักษาไม่ได้เพ่งการฟื้นสภาพได้[55] ซึ่งอาจเป็นข้อมูลสนับสนุนการแทรกแซงทางจิตบำบัดที่อาจช่วยรับมือกับความผิดปกติได้ดีกว่าโดยเพ่งที่การฟื้นสภาพทางจิตใจได้
โปรแกรมอื่น ๆ
[แก้]มีหน่วยทหารที่ตรวจสอบบุคลากรเรื่องสมรรถภาพการฟื้นตัวได้ภายใต้สถานการณ์เครียด โดยสร้างความเครียดอย่างจงใจในช่วงการฝึก ผู้ที่ไม่ผ่านเกณฑ์สามารถคัดออกได้ ผู้ที่ผ่านสามารถฝึกเพิ่มเพื่อรับสถานการณ์เครียดได้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำซ้ำ ๆ สำหรับตำแหน่งที่หนักขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทหารในหน่วยรบพิเศษ[56]
เด็ก
[แก้]การฟื้นสภาพได้ในเด็กหมายถึงเด็กที่ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดหวัง โดยมีประวัติประสบกับความเสี่ยงหรือความยากลำบาก แต่ดังที่กล่าวมาก่อน นี่ไม่ใช่เป็นลักษณะอะไรที่เด็กอาจจะมีมาก่อน ไม่มีเด็กที่ไม่อ่อนแอ ที่สามารถข้ามอุปสรรคหรือความยากลำบากใด ๆ ก็ได้[52] การฟื้นสภาพได้เป็นผลของกระบวนการทางพัฒนาการหลายอย่างที่เกิดเป็นระยะเวลานาน ที่ช่วยเด็กเสี่ยงบางคนให้สามารถพัฒนาอย่างมีสมรรถภาพได้โดยเทียบกันเด็กอื่น ๆ ที่ไม่สามารถ[57]
งานวิจัยเกี่ยวกับปัจจัยป้องกัน (protective factors) ซึ่งเป็นลักษณะ (characteristic) ของเด็กหรือสถานการณ์ที่ช่วยเด็กในสภาพแวดล้อมเสี่ยง ได้ช่วยนักจิตวิทยาพัฒนาการให้เข้าใจว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับเด็กที่ฟื้นสภาพได้ องค์ประกอบสองอย่างที่พบซ้ำ ๆ ในงานศึกษาเด็กก็คือ การทำงานทางระบบรู้คิดที่ดี (เช่นการควบคุมตนเองได้หรือเชาวน์ปัญญา) และความสัมพันธ์ที่ดี (โดยเฉพาะกับผู้ใหญ่ที่สามารถ เช่นพ่อแม่)[58] คือ เด็กที่มีปัจจัยป้องกันในชีวิตมักจะประสบความสำเร็จกว่าในสถานการณ์เสี่ยงบางอย่างเทียบกับเด็กที่ไม่มีในสถานการณ์เดียวกัน แต่นี่ไม่ควรจะใช้เป็นเหตุผลเพื่อเปิดให้เด็กรับความเสี่ยง เพราะเด็กประสบความสำเร็จดีกว่าเมื่อไม่ประสบความเสี่ยงหรือยากลำบาก
การพัฒนาในชั้นเรียน
[แก้]เด็กที่ฟื้นสภาพได้ดีในชั้นเรียน คือเด็กที่ทำงานและเล่นได้ดี ได้ความคาดหวังสูง และบ่อยครั้งมีลักษณะทางจิตวิทยาต่าง ๆ ที่ดี เช่น ความรู้สึกว่าสถานการณ์ควบคุมได้ (locus of control) ความภูมิใจในตน ความเชื่อมั่นในความสามารถของตน และการตัดสินใจอะไรได้เอง (autonomy)[59] สิ่งเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เสียหายเช่นที่สัมพันธ์กับความรู้สึกว่าทำอะไรไม่ได้แบบเรียนรู้ (learned helplessness)
บทบาทของชุมชน
[แก้]ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการสร้างความฟื้นสภาพได้ สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่าเป็นชุมชนที่ช่วยสนับสนุนและมีใจเป็นเดียวกันก็คือ มีองค์กรทางสังคมที่ช่วยเรื่องการพัฒนามนุษย์[60] การบริการจะไม่มีคนใช้ถ้าไม่สื่อสารให้ดีกับชุมชน แต่เด็กที่ย้ายที่อยู่บ่อย ๆ จะไม่ได้ประโยชน์จากทรัพยากรเช่นนี้ เพราะว่าโอกาสสร้างความฟื้นสภาพได้ และเข้าร่วมกับชุมชนอย่างมีความหมายจะหมดไปทุกครั้งที่ย้ายที่[61]
บทบาทครอบครัว
[แก้]การสร้างความฟื้นสภาพในเด็กจำเป็นต้องมีสถานการณ์ทางครอบครัวที่อบอุ่นและมีเสถียรภาพ คาดหวังในพฤติกรรมเด็กสูง และสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในครอบครัว[62] เด็กที่ฟื้นสภาพได้ดีที่สุดจะมีความสัมพันธ์ที่เข้มแข็งกับผู้ใหญ่อย่างน้อยหนึ่งคน แม้จะไม่ต้องเป็นพ่อแม่ และความสัมพันธ์นี่แหละจะช่วยลดความเสี่ยงที่มาจากปัญหาครอบครัว
ส่วนการฟื้นสภาพได้เหตุพ่อแม่ (parental resilience) คือความที่พ่อแม่อาจให้การดูแลที่มีสมรรถภาพและมีคุณภาพต่อเด็กแม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ก็เป็นบทบาทสำคัญยิ่งต่อการฟื้นสภาพได้ของเด็กอีกด้วย การเข้าใจว่าอะไรเป็นการดูแลที่มีคุณภาพเป็นส่วนสำคัญในแนวคิดเรื่องการฟื้นสภาพได้เหตุพ่อแม่[26] ดังนั้น ถ้าการหย่าร้างของพ่อแม่ทำให้เครียด การมีความช่วยเหลือทางสังคมจากทั้งครอบครัวและชุมชนจะช่วยลดความเครียดและให้ผลที่ดี[63] ครอบครัวไหนที่เน้นค่านิยมในการช่วยงานในบ้าน ดูแลพี่น้อง และหารายได้ช่วยครอบครัวในงานที่ทำหลังเรียน ล้วนแต่ช่วยส่งเสริมความฟื้นสภาพได้[12] งานศึกษาการฟื้นสภาพได้มักจะมุ่งความอยู่เป็นสุขของเด็ก แต่ก็มีงานศึกษาที่จำกัดที่มุ่งปัจจัยที่ช่วยสร้างการฟื้นสภาพได้เหตุพ่อแม่[26]
ครอบครัวยากจน
[แก้]งานศึกษาจำนวนมากได้แสดงข้อปฏิบัติบางอย่างที่พ่อแม่ยากจนสามารถใช้ช่วยสร้างความฟื้นสภาพได้ในครอบครัว รวมทั้งการให้ความอบอุ่น ความรัก และความเห็นใจบ่อย ๆ การมีความคาดหวังที่สมเหตุผลบวกกับวินัยที่ตรงไปตรงมาโดยไม่ยากเกินไป การทำกิจวัตรครอบครัวเป็นประจำ และการฉลอง และการดำรงค่านิยมของครอบครัวเกี่ยวกับการเงินและการพักผ่อน[64] ตามนักสังคมวิทยาคนหนึ่ง "เด็กยากจนผู้โตขึ้นในครอบครัวที่ฟื้นสภาพได้ จะได้รับการสนับสนุนอย่างสำคัญให้ประสบความสำเร็จเมื่อเริ่มเข้าโลกสังคม เริ่มตั้งแต่โปรแกรมดูแลเด็กเล็ก ๆ และหลังจากนั้นในโรงเรียน"[65]
การถูกรังแก
[แก้]นอกจากจะป้องกันไม่ให้เพื่อนรังแกเด็กแล้ว ยังสำคัญที่จะพิจารณาด้วยว่า การแทรกแซงที่ใช้แนวคิดเกี่ยวกับความฉลาดทางอารมณ์ (EI) สำคัญอย่างไรในกรณีที่จะมีการรังแก การเพิ่ม EI อาจเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อเสริมความฟื้นสภาพได้ในเด็กที่ถูกรังแก คือ เมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับความเครียดและความยากลำบาก โดยเฉพาะที่เกิดซ้ำ ๆ สมรรถภาพในการปรับตัวจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดผลที่ดีหรือแย่กว่า[66]
งานศึกษาปี 2556 ตรวจสอบวัยรุ่นที่ปรากฏว่าฟื้นตัวได้จากการถูกรังแกแล้วพบความแตกต่างระหว่างเพศที่น่าสนใจ คือ พบการฟื้นตัวทางพฤติกรรมที่ดีกว่าในเด็กหญิง และการฟื้นตัวทางอารมณ์ที่ดีกว่าในเด็กชาย แต่ความแตกต่างเช่นนี้ยังก็ชี้ว่า เป็นทรัพยากรภายในและปฏิกิริยาทางอารมณ์เชิงลบ ว่าช่วยหรือไม่ช่วยการฟื้นสภาพจากการถูกรังแกตามลำดับ และสนับสนุนให้ใช้การแทรกแซงเพื่อพัฒนาทักษะทางจิต-สังคมในเด็ก[67] ความฉลาดทางอารมณ์มีหลักฐานว่าช่วยเสริมการฟื้นสภาพได้จากความเครียด[68] และดังที่กล่าวมาก่อน สมรรถภาพในการจัดการความเครียดและอารมณ์เชิงลบอื่น ๆ สามารถช่วยป้องกันผู้ถูกรังแกไม่ให้กลายเป็นผู้รังแกผู้อื่นต่อไป[69]
ปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการฟื้นสภาพได้ก็คือการควบคุมอารมณ์ตนเองได้[66] ส่วนงานวิจัยปี 2556 พบว่า การรู้อารมณ์ตนสำคัญเพื่ออำนวยให้มีปฏิกิริยาทางอารมณ์เชิงลบที่น้อยกว่าในช่วงเหตุการณ์เครียด และความเข้าใจอารมณ์อำนวยการฟื้นสภาพได้และมีสหสัมพันธ์เชิงบวกับอารมณ์เชิงบวก[68]
งานศึกษาในประชากรโดยเฉพาะและสถานการณ์ที่เป็นเหตุ
[แก้]กลุ่มประชากร
[แก้]เยาวชนข้ามเพศ
[แก้]เยาวชนข้ามเพศประสบกับทารุณกรรมหลายอย่างและความไม่เข้าใจจากบุคคลในสังคมของตน และจะรับมือชีวิตได้ดีกว่าถ้ามีระดับความฟื้นสภาพได้สูง งานศึกษาในเด็กข้ามเพศ 55 คนตรวจสอบความรู้สึกว่าเป็นนายของตน ความรู้สึกว่าได้การสนับสนุนช่วยเหลือจากสังคม การรับมือแบบเพ่งอารมณ์ และความภูมิใจในตน แล้วพบว่าความแตกต่างทางการฟื้นสภาพได้ประมาณ 50% เป็นตัวก่อปัญหาทางสุขภาพของเด็ก คือ เด็กที่ฟื้นสภาพได้แย่กว่ามีปัญหาทางสุขภาพจิตมากกว่า รวมทั้งความซึมเศร้าและอาการสะเทือนใจต่าง ๆ การรับมือที่เพ่งอารมณ์เป็นส่วนสำคัญของการฟื้นสภาพได้โดยเป็นตัวกำหนดว่าเด็กจะซึมเศร้าแค่ไหน[70]
เยาวชนที่ตั้งครรภ์และมีอาการซึมเศร้า
[แก้]การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นพิจารณาว่าเป็นปัญหาซับซ้อน เพราะมักทำให้หยุดเรียน ทำให้มีสุขภาพแย่ทั้งในปัจจุบันอนาคต อัตราความยากจนที่สูงกว่า ปัญหาสำหรับลูกคนปัจจุบันและในอนาคต ในบรรดาผลลบที่เกิดขึ้นทั้งหลาย[71]
นักวิจัยได้ตรวสอบความแตกต่างทางการฟื้นสภาพได้ระหว่างวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่ตั้งครรภ์ในโรงพยาบาลสูติ-นารีในเมืองกวายากิล ประเทศเอกวาดอร์[72] ซึ่งพบว่ามารดาที่ตั้งครรภ์ 56.6% มีอารมณ์ซึมเศร้าโดยได้คะแนน CESD-10 10 หรือมากกว่านั้น แต่ว่าอัตราความซึมเศร้าไม่ต่างกันระหว่างกลุ่ม แต่วัยรุ่นฟื้นสภาพได้แย่กว่าเพราะได้คะแนนรวมความฟื้นสภาพได้ที่ต่ำกว่า และอัตราการได้คะแนนต่ำกว่าค่ามัธยฐาน (P < 0.05) อยู่ในระดับสูงกว่า การวิเคราะห์ทางสถิติ (Logistic regression analysis) ไม่พบปัจจัยเสี่ยงของอารมณ์ซึมเศร้าในผู้ร่วมการทดลอง แต่ว่า การมีคู่เป็นเด็กวัยรุ่นและการคลอดลูกก่อนกำหนดสัมพันธ์กับความเสี่ยงการมีการฟื้นสภาพต่ำที่สูงกว่า
สถานการณ์ที่เป็นเหตุ
[แก้]การหย่าร้าง
[แก้]บ่อยครั้ง การหย่าร้างมองว่ามีผลลบต่อสุขภาพจิต แต่งานศึกษาต่าง ๆ แสดงว่า การสร้างการฟื้นสภาพได้อาจจะเป็นประโยชน์ต่อทุก ๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ระดับการฟื้นสภาพได้ของลูกหลังจากการหย่าของพ่อแม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรทั้งภายในภายนอก รวมทั้งสภาพทางกายทางใจ ระดับการสนับสนุนที่ได้จากโรงเรียน เพื่อน และเพื่อนของครอบครัว[7]
สมรรถภาพในการรับมือกับสถานการณ์ยังขึ้นอยู่อายุ เพศ และนิสัยของเด็กอีกด้วย เด็กจะรู้สึกเรื่องการหย่าร้างต่างไปจากผู้ใหญ่และดังนั้น ความสามารถในการรับมือก็จะต่างไปด้วย เด็กประมาณ 20-25% จะ "แสดงปัญหาทางจิตใจและทางพฤติกรรมที่รุนแรง" เมื่อต้องประสบกับการหย่าร้าง[7] ซึ่งต่างจาก 10% ของเด็กที่มีปัญหาเช่นกันในครอบครัวที่พ่อแม่อยู่ด้วยกัน[73]
แต่แม้จะมีพ่อแม่ที่หย่าร้างกัน เด็กประมาณ 75-80% จะ "โตเป็นผู้ใหญ่ที่ปรับตัวได้ดีโดยไม่มีปัญหาทางใจหรือทางพฤติกรรมที่คงยืน" ซึ่งแสดงว่า เด็กโดยมากมีปัจจัยที่จำเป็นที่จะฟื้นสภาพได้เช่นนี้เมื่อผ่านการหย่าร้างของพ่อแม่
ผลของการหย่าร้างจะยืนนานแม้ผ่านการแยกกันของพ่อแม่ เพราะว่า ปัญหาที่ยังหลงเหลืออยู่ระหว่างพ่อแม่ ปัญหาการเงิน และการได้คู่ใหม่หรือแต่งงานใหม่ของพ่อแม่อาจจะทำให้เครียดแบบคงยืน[7] งานศึกษาปี 2544 พบว่าไม่มีสหสัมพันธ์ระหว่างการทะเลาะกันของพ่อแม่หลังหย่ากับสมรรถภาพของเด็กที่จะปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ในชีวิต[73] แต่งานศึกษาปี 2542 ในประเด็นเดียวกันกลับพบผลลบต่อเด็ก[73]
ส่วนเรื่องฐานะการเงินของครอบครัว การหย่าร้างมีโอกาสลดระดับความเป็นอยู่ของเด็ก เงินค้ำจุนเด็กมักให้เพื่อช่วยความจำเป็นพื้นฐานเช่นค่าเทอร์มโรงเรียน แต่ถ้าพ่อแม่มีปัญหาเรื่องการเงินอยู่แล้ว เด็กอาจจะไม่สามารถเข้าร่วมกิจกรรมอย่างอื่น ๆ เช่นกีฬาหรือการเรียนดนตรี ซึ่งอาจมีผลลบต่อชีวิตสังคมของเด็ก
การได้คู่ใหม่หรือแต่งงานใหม่อาจทำให้ทะเลาะกันและโกรธเคืองกันเพิ่มขึ้นในครอบครัว และเหตุผลอย่างหนึ่งที่การได้คู่ใหม่มีผลเครียดเพิ่มก็เพราะว่าขาดความชัดเจนในบทบาทหน้าที่และความสัมพันธ์ คือ เด็กอาจจะไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาหรือมีพฤติกรรมกับ "พ่อแม่" คนใหม่ในชีวิตอย่างไร ในกรณีโดยมาก การนำคู่ใหม่เข้าบ้านจะเครียดที่สุดถ้าทำทันทีหลังจากการหย่า ในอดีต นักวิชาการมองการหย่าว่าเป็นเหตุการณ์เดียว แต่งานศึกษาปัจจุบันแสดงว่า การหย่าร้างจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและเรื่องท้าทายหลายอย่าง[73]
ไม่ใช่ปัจจัยภายในอย่างเดียวเท่านั้นที่ช่วยให้เกิดการฟื้นสภาพได้ แต่ว่าปัจจัยภายนอกในสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องสำคัญต่อการตอบสนองต่อเหตุการณ์และสำคัญต่อการปรับตัว ในประเทศตะวันตก โปรแกรมสนับสนุนหรือการแทรกแซงอาจช่วยเด็กรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากการหย่า[74]
ภัยพิบัติธรรมชาติ
[แก้]การฟื้นสภาพได้จากภัยธรรมชาติสามารถวัดได้โดยหลายระดับ คือวัดได้ในระดับบุคคล ระดับชุมชน หรือโดยรูปธรรม การวัดในระดับบุคคลหมายถึงคนแต่ละคนในชุมชน การวัดในระดับชุมชน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในชุมชนเขตที่ประสบผลทั้งหมด ส่วนการวัดรูปธรรมอาจหมายเอาบ้านและอาคารในชุมชนที่ได้รับผล[75]
องค์กรสหประชาชาติคือ UNESCAP ให้เงินทุนเพื่อศึกษาว่าชุมชนแสดงการฟื้นสภาพได้ในภัยพิบัติธรรมชาติได้อย่างไร[76] แล้วพบว่า โดยรูปธรรมแล้ว ชุมชนจะฟื้นสภาพได้ดีกว่าถ้าร่วมช่วยกันทำการฟื้นสภาพได้ให้เป็นงานของชุมชน[76] การได้การสนับสนุนจากสังคมเป็นกุญแจสำคัญในพฤติกรรมฟื้นสภาพได้ โดยเฉพาะในการใช้ทรัพยากรโดยรวมกัน[76] เมื่อรวมทรัพยากรทางสังคม ทางธรรมชาติ และทางเศรษฐกิจ องค์กรพบว่าชุมชนฟื้นสภาพได้ดีกว่าและสามารถเอาชนะภัยพิบัติได้เร็วกว่าชุมชนที่ต่างคนต่างทำ[76]
สภาเศรษฐกิจโลกประชุมกันเมื่อปี 2557 เพื่อปรึกษาเรื่องการฟื้นสภาพได้หลังจากภัยพิบัติธรรมชาติ แล้วสรุปว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ดีกว่า มีบุคคลที่สามารถทำอาชีพได้หลายอย่าง ๆ มากกว่า จะมีระดับการฟื้นสภาพสูงสุด[77] แม้ว่าจะยังไม่มีงานศึกษาเพิ่มขึ้น แต่แนวคิดที่ได้จากสภาปรากฏว่าเข้ากับผลงานวิจัยที่มีอยู่แล้ว[77]
การเสียชีวิตของสมาชิกครอบครัว
[แก้]มีงานวิจัยน้อยมากที่ทำเกี่ยวกับการฟื้นสภาพได้ของครอบครัวเมื่อสมาชิกในครอบครัวเสียชีวิต[78] โดยทั่วไปแล้ว ความสนใจในเรื่องการไว้ทุกข์ต่อคนตายมักจะมุ่งกระบวนการไว้ทุกข์ในระดับบุคคล ไม่ใช่ในระดับครอบครัว การฟื้นสภาพได้ต่างจากการคืนสภาพโดยเป็น "สมรรถภาพในการรักษาความสมดุลที่เสถียร"[79] ซึ่งช่วยเรื่องความสมดุล ความกลมกลืน และการคืนสภาพของครอบครัว
ครอบครัวต้องเรียนรู้เพื่อจัดการความผิดเพี้ยนของครอบครัวเพราะเหตุการเสียชีวิตของสมาชิก ซึ่งสามารถทำได้โดยเปลี่ยนความสัมพันธ์และเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่[80] การแสดงความฟื้นสภาพได้ในเหตุการณ์สะเทือนใจสามารถช่วยให้ผ่านกระบวนการไว้ทุกข์ได้โดยไม่มีผลลบระยะยาว[81]
พฤติกรรมที่ดีที่สุดของครอบครัวที่ฟื้นสภาพได้เมื่อมีผู้เสียชีวิตก็คือการสื่อสารที่จริงใจและเปิดใจ ซึ่งช่วยให้เข้าใจวิกฤตการณ์ การแชร์ความรู้สึกเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีอาจช่วยให้ปรับตัวทั้งในระยะสั้นระยะยาวต่อการเสียชีวิตของผู้เป็นที่รัก ความเห็นใจผู้อื่นเป็นองค์ประกอบสำคัญเพราะช่วยให้คนไว้ทุกข์เข้าใจจุดยืนของผู้อื่น อดทนต่อการทะเลาะวิวาท และพร้อมรับมือความแตกต่างกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว
องค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างก็คือการมีสิ่งที่ทำเป็นประจำเพื่อช่วยผูกพันสมาชิกครอบครัวไว้ด้วยกัน เช่น การติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ การเรียนต่อและการมีเพื่อนและคุณครูที่โรงเรียน ยังเป็นการสนับสนุนที่สำคัญสำหรับเด็กที่กำลังมีปัญหาการเสียชีวิตของคนในครอบครัวด้วย[82]
ข้อขัดแย้ง
[แก้]มีนักเขียนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดในเรื่องการฟื้นสภาพได้และความนิยมที่แนวคิดกำลังได้เพิ่มขึ้น[83] โดยอ้างว่า นโยบายเกี่ยวกับการฟื้นสภาพได้เป็นการส่งภาระการตอบสนองต่อภัยแก่บุคคลแทนที่จะเป็นความพยายามร่วมกันโดยสาธารณชน และถ้าผูกเข้ากับแนวคิดต่าง ๆ เช่น ทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับ neoliberalism ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาการของโลกที่สาม และอื่น ๆ นักเขียนทั้งสองอ้างว่า การสนับสนุนการฟื้นสภาพได้หันความสนใจไปจากหน้าที่รับผิดชอบของรัฐบาลไปยังการตอบสนองในระดับชุมชนที่ทำกันโดยรัฐไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว
ข้อคัดค้านแนวคิดนี้อีกอย่างก็คือนิยามของคำ คือเหมือนกับปรากฏการณ์ทางจิตอื่น ๆ การกำหนดสภาวะทางจิตและอารมณ์บางอย่างโดยเฉพาะ ๆ มักจะก่อความขัดแย้งในเรื่องความหมายในที่สุด และนิยามของคำว่าการฟื้นสภาพได้ ก็จะมีผลต่อสิ่งที่ตรวจดูในงานวิจัย และนิยามที่ต่างกัน หรือไม่ดีเพียงพอจะทำให้เกิดงานวิจัยที่ไม่คล้องจองกันแม้ในเรื่องเดียวกัน คือ ผลงานวิจัยในประเด็นนี้เริ่มต่างกันทั้งในเรื่องของผลและการวัด ทำให้นักวิจัยบางท่านเลิกใช้คำนี้โดยสิ้นเชิงเพราะว่ากลายเป็นคำที่ใช้กับผลงานวิจัยทั้งหมดที่ผลที่ได้ดีกว่าที่คาดหวัง[84]
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีความขัดแย้งเรื่องตัวบ่งชี้พัฒนาการทางจิตและสังคมที่ดี เมื่อศึกษาแนวคิดข้ามวัฒนธรรมและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ[85] ยกตัวอย่างเช่น สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน[86] ให้ข้อสังเกตว่า มีทักษะพิเศษบางอย่างที่ช่วยครอบครัวและเด็กอเมริกันเชื้อสายแอฟริกาให้รับมือกับปัญหาชีวิต รวมทั้งความสามารถในการต่อต้านความเดียดฉันท์ทางผิวพรรณ นอกจากนั้นแล้ว นักวิจัยเกี่ยวกับสุขภาพของคนพื้นเมืองยังแสดงว่า ทั้งวัฒนธรรม ประวัติ ค่านิยมของชุมชน ภูมิประเทศมีผลต่อความฟื้นสภาพได้ของชุมชนคนพื้นเมือง[87] บางคนอาจจะมีการฟื้นสภาพได้ที่มองไม่เห็นอีกด้วย[88] ถ้าไม่เป็นไปเหมือนกับที่สังคมคาดหวังว่าบุคคลควรจะมีพฤติกรรมในบางเรื่อง เช่น ความก้าวร้าวอาจจะเป็นเรื่องจำเป็น หรือว่าการมีความรู้สึกน้อยลงอาจจะเป็นปัจจัยป้องกันในสถานการณ์ทารุณกรรมบางอย่าง[89]
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีหลักฐานเมื่อไม่นานนี้ว่า การฟื้นสภาพได้อาจหมายถึงสมรรถภาพในการต้านปัญหารุนแรงในด้านอื่น ๆ แม้ว่าบุคคลอาจจะดูเหมือนแย่ลงชั่วขณะหนึ่ง[90]
ดูเพิ่ม
[แก้]เชิงอรรถและอ้างอิง
[แก้]- ↑ * "psychological", Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546,
ทางด้านจิตใจ
- "resilience", Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546,
ความยืดหยุ่น
- "resilience", Lexitron พจนานุกรมไทย<=>อังกฤษ รุ่น 2.6, หน่วยปฏิบัติการวิจัยวิทยาการมนุษยภาษา, ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546,
- ↑ Małgorzata Pęciłło (31 Mar 2016). "The concept of resilience in OSH management: a review of approaches". Journal International Journal of Occupational Safety and Ergonomics: 291–300. doi:10.1080/10803548.2015.1126142.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 "The Road to Resilience". American Psychological Association. 2014.
- ↑ 4.0 4.1 Rutter M (2008). "Developing concepts in developmental psychopathology". ใน Hudziak JJ (บ.ก.). Developmental psychopathology and wellness: Genetic and environmental influences. Washington, D.C.: American Psychiatric Publishing. pp. 3–22. ISBN 978-1-58562-279-5.
- ↑ Masten AS (March 2001). "Ordinary magic. Resilience processes in development". The American Psychologist. 56 (3): 227–238. doi:10.1037/0003-066X.56.3.227. PMID 11315249. S2CID 19940228.
- ↑ Block JH, Block J (1980). "The role of ego-control and ego-resiliency in the organisation of behaviour". ใน Collins WA (บ.ก.). Development of cognition, affect, and social relations: Minnesota Symposia on Child Psychology. Vol. 13. Hillsdale, N.J.: Erlbaum. ISBN 978-0-89859-023-4.
- ↑ 7.0 7.1 7.2 7.3 Hopf, S.M (2010). "Risk and Resilience in Children Coping with Parental Divorce". Dartmouth Undergraduate Journal of Science.
- ↑ Pedro-Carroll, JoAnne (2005). "Fostering children's resilience in the aftermath of divorce: The role of evidence-based programs for children" (PDF). Children's Institute, University of Rochester. p. 4. สืบค้นเมื่อ 2016-03-30.
- ↑ Garmezy, N (1973). Dean, S. R. (บ.ก.). Competence and adaptation in adult schizophrenic patients and children at risk. Schizophrenia: The first ten Dean Award Lectures. NY: MSS Information Corp. pp. 163–204.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Garmezy, N.; Streitman, S. (1974). "Children at risk: The search for the antecedents of schizophrenia. Part 1. Conceptual models and research methods". Schizophrenia Bulletin. 8 (8): 14–90. doi:10.1093/schbul/1.8.14. PMID 4619494.
- ↑ Werner, E. E. (1971). The children of Kauai : a longitudinal study from the prenatal period to age ten. Honolulu: University of Hawaii Press. ISBN 0870228609.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 12.0 12.1 Werner, E. E. Vulnerable but invincible: a longitudinal study of resilient children and youth. New York: McGraw-Hill. ISBN 0937431036.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Masten, A. S.; Best, K. M.; Garmezy, N. (1990). "Resilience and development: Contributions from the study of children who overcome adversity". Development and Psychopathology. 2 (4): 425–444. doi:10.1017/S0954579400005812.
- ↑ Masten, A. S. (1989). Cicchetti, D (บ.ก.). Resilience in development: Implications of the study of successful adaptation for developmental psychopathology. The emergence of a discipline: Rochester symposium on developmental psychopathology. Vol. 1. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 261–294. ISBN 0805805532.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Cicchetti, D.; Rogosch, F. A. (1997). "The role of self-organization in the promotion of resilience in maltreated children". Development and Psychopathology. 9 (4): 797–815. doi:10.1017/S0954579497001442. PMID 9449006.
- ↑ Fredrickson, B. L.; Tugade, M. M.; Waugh, C. E.; Larkin, GR (2003). "A prospective study of resilience and emotions following the terrorist attacks on the United States on September 11th, 2002". Journal of Personality and Social Psychology. 84 (2): 365–376. doi:10.1037/0022-3514.84.2.365. PMC 2755263. PMID 12585810.
- ↑ 17.0 17.1 Luthar, S. S. Poverty and children’s adjustment. Newbury Park, CA: Sage. ISBN 0761905189.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Masten, A.S. (1994). Wang, M; Gordon, E (บ.ก.). Resilience in individual development: Successful adaptation despite risk and adversity. Risk and resilience in inner city America: challenges and prospects. Hillsdale, NJ: Erlbaum. pp. 3–25. ISBN 080581325X.
- ↑ Zautra AJ, Hall JS, Murray KE (2010). "Resilience: A new definition of health for people and communities.". ใน Reich JW, Zautra AP, Hall JS (บ.ก.). Handbook of adult resilience. New York: Guilford. pp. 3–34. ISBN 978-1-4625-0647-7.
- ↑ Siebert, Al (2005). The Resiliency Advantage. Berrett-Koehler Publishers. pp. 2–4. ISBN 1576753298.
- ↑ Leadbeater, B; Dodgen, D; Solarz, A (2005). Peters, RD; Leadbeater, B; McMahon, RJ (บ.ก.). Resilience in children, families, and communities: Linking context to practice and policy. New York: Kluwer. pp. 47–63. ISBN 0306486555.
- ↑ Siebert, Al (2005). The Resiliency Advantage. Berrett-Koehler Publishers. pp. 74–78. ISBN 1576753298.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ "Brain scan foretells who will fold under pressure; Tests on high-stakes math problems identify key regions of neural activity linked to choking". sciencenews. 2012-05-05.
- ↑ Charney, DS (2004). "Psychobiological mechanisms of resilience and vulnerability: implications for successful adaptation to extreme stress". Am J Psychiatry. 161 (2): 195–216. doi:10.1176/appi.ajp.161.2.195. PMID 14754765.
- ↑ Ozbay, F; Fitterling, H; Charney, D; Southwick, S (2008). "Social support and resilience to stress across the life span: A neurobiologic framework". Current psychiatry reports. 10 (4): 304–10. doi:10.1007/s11920-008-0049-7. PMID 18627668.
- ↑ 26.0 26.1 26.2 Gavidia-Payne, S; Denny, B; Davis, K; Francis, A; Jackson, M (2015). "Parental resilience: A neglected construct in resilience research". Clinical Psychologist. 19 (3): 111–121. doi:10.1111/cp.12053.
Resilience, conceptualized as a positive bio-psychological adaptation, has proven to be a useful theoretical context for understanding variables for predicting long-term health and well-being
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Pember, Mary Annette (2015-05-28). "Trauma May Be Woven in DNA of Native Americans". Indian Country Today. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-12-05. สืบค้นเมื่อ 2015-05-28.
- ↑ 28.0 28.1 Fredrickson, B. L.; Branigan, C (2005). "Positive emotions broaden the scope of attention and thought-action repertoires". Cognition & Emotion. 19 (3): 313–332. doi:10.1080/02699930441000238. PMC 3156609. PMID 21852891.
- ↑ 29.0 29.1 Tugade, M. M.; Fredrickson, B. L. (2004). "Resilient individuals use positive emotions to bounce back from negative emotional experiences". Journal of Personality and Social Psychology. 86 (2): 320–33. doi:10.1037/0022-3514.86.2.320. PMC 3132556. PMID 14769087.
- ↑ Ong, A. D.; Bergeman, C. S.; Bisconti, T. L.; Wallace, K. A. (2006). "Psychological resilience, positive emotions, and successful adaptation to stress in later life". Journal of Personality and Social Psychology. 91 (4): 730–49. doi:10.1037/0022-3514.91.4.730. PMID 17014296.
- ↑ doi:10.1111/fare.12134
This citation will be automatically completed in the next few minutes. You can jump the queue or expand by hand - ↑ Mahony, D. L.; Burroughs, W. J.; Lippman, L. G. (2002). "Perceived Attributes of Health-Promoting Laughter: A Cross-Generational Comparison". The Journal of Psychology. 136 (2): 171–81. doi:10.1080/00223980209604148. PMID 12081092.
- ↑ Baker, K. H.; Minchoff, B.; Dillon, K. M. (1985). "Positive Emotional States and Enhancement of the Immune System". The International Journal of Psychiatry in Medicine. 15: 13–18. doi:10.2190/R7FD-URN9-PQ7F-A6J7.
- ↑ 34.00 34.01 34.02 34.03 34.04 34.05 34.06 34.07 34.08 34.09 34.10 Duckworth, A.L.; Peterson, C.; Matthews, M.D.; Kelly, D.R. (2007). "Grit: perseverance and passion for long-term goals". J Pers Soc Psychol. 92 (6): 11087–1101. doi:10.1037/0022-3514.92.6.1087.
- ↑ Silvia, P.J.; Eddington, K.M.; Beaty, R.E.; Nusbaum, E.C.; Kwapil, T.R. (2013). "Gritty people try harder: grit and effort-related cardiac autonomic activity during an active coping challenge". J Int J Psychophysiol. 88 (2): 200–205. doi:10.1016/j.ijpsycho.2013.04.007.
- ↑ Salles, A.; Cohen, G.L.; Mueller, C.M. (2014). "The relationship between grit and resident well-being". Am J Surg. 207 (2): 251–254. doi:10.1016/j.amjsurg.2013.09.006. PMID 24238604.
- ↑ Kleinman, E.M.; Adams, L.M.; Kashdan, T.B.; Riskind, J.H. (2013). "Gratitude and grit indirectly reduce risk of suicidal ideations by enhancing meaning in life: Evidence for a mediated moderation mode". Journal of Research in Personality. 47 (5): 539–546. doi:10.1016/j.jrp.2013.04.007.
- ↑ Sarkar, M.; Fletcher, D. (2014). "Ordinary magic, extraordinary performance: Psychological resilience and thriving in high achievers". Sport, Exercise, and Performance Psychology. 3: 46–60. doi:10.1037/spy0000003.
- ↑ "APA - Resilience Factors & Strategies". Apahelpcenter.org. สืบค้นเมื่อ 2010-09-16.
- ↑ Werner, E. E. (1995). "Resilience in development". Current Directions in Psychological Science. 4 (3): 81–85. doi:10.1111/1467-8721.ep10772327.
- ↑ Ruch, W.; Proyer, R. T.; Weber, M. (2009). "Humor as a character strength among the elderly". Zeitschrift für Gerontologie und Geriatrie. 43 (1): 13–18. doi:10.1007/s00391-009-0090-0. PMID 20012063.
- ↑ 42.0 42.1 Cicchetti, D.; Rogosch, F. A.; Lynch, M.; Holt, K. D. (1993). "Resilience in maltreated children: Processes leading to adaptive outcome". Development and Psychopathology. 5 (4): 629–647. doi:10.1017/S0954579400006209.
- ↑ Block, JH; Block, J (1980). Collins, WA (บ.ก.). The role of ego-control and ego-resiliency in the organisation of behaviour. Development of cognition, affect, and social relations: Minnesota Symposia on Child Psychology. Vol. 13. Hillsdale, NJ: Erlbaum. p. 43. ISBN 089859023X.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Block, JH; Block, J (1980). Collins, WA (บ.ก.). The role of ego-control and ego-resiliency in the organisation of behaviour. Development of cognition, affect, and social relations: Minnesota Symposia on Child Psychology. Vol. 13. Hillsdale, NJ: Erlbaum. p. 48. ISBN 089859023X.
dynamic capacity, to modify his or her model level of ego-control, in either direction, as a function of the demand characteristics of the environmental context
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Bonanno, G. A.; Galea, S.; Bucciareli, A.; Vlahov, D. (2007). "What predicts psychological resilience after disaster? The role of demographics, resources, and life stress". Journal of Consulting and Clinical Psychology. 75 (5): 671–682. doi:10.1037/0022-006X.75.5.671. PMID 17907849.
- ↑ Hood, R; Hill, P; Spilka, B (2009). The psychology of religion, 4th edition: An empirical approach. New York: The Guilford press. ISBN 1606233920.
study of positive psychology is a relatively new development...there has not yet been much direct empirical research looking specifically at the association of religion and ordinary strengths and virtues
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Peres, J.; Moreira-Almeida, A.; Nasello, A.; Koenig, H. (2007). "Spirituality and resilience in trauma victims". Journal of Religion & Health. 46 (3): 343–350. doi:10.1007/s10943-006-9103-0.
- ↑ Freud, 1911/1958
- ↑ Kobasa, 1979
- ↑ Robertson, D (2012). Build your Resilience. London: Hodder. ISBN 978-1444168716.
- ↑ Brunwasser, SM; Gillham, JE; Kim, ES (2009). "A meta-analytic review of the Penn Resiliency Program's effect on depressive symptoms". Journal of Consulting and Clinical Psychology. 77 (6): 1042–1054. doi:10.1037/a0017671. PMID 19968381.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ 52.0 52.1 Masten, A. S. (2001). "Ordinary magic: Resilience processes in development". American Psychologist. 56 (3): 227–238. doi:10.1037/0003-066X.56.3.227. PMID 11315249.
- ↑ Yates, TM; Egeland, B; Sroufe, LA (2003). Luthar, SS (บ.ก.). Rethinking resilience: A developmental process perspective. Resilience and vulnerability: Adaptation in the context of childhood adversities. New York: Cambridge University Press. pp. 234–256. ISBN 0521001617.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ "Resilience: Building immunity in psychiatry". PubMed Central (PMC).
- ↑ 55.0 55.1 55.2 Min, J. A.; Yu, J. J.; Lee, C. U.; Chae, J. H. (2013). "Cognitive emotion regulation strategies contributing to resilience in patients with depression and/or anxiety disorders". Comprehensive Psychiatry. 54 (8): 1190–7. doi:10.1016/j.comppsych.2013.05.008. PMID 23806709.
- ↑ Robson, Sean; Manacapilli, Thomas (2014), Enhancing Performance Under Stress: Stress Inoculation Training for Battlefield Airmen (PDF), Santa Monica, California: RAND Corporation, p. 61, ISBN 9780833078445
- ↑ Yates, TM; Egeland, B; Sroufe, LA (2003). Luthar, SS (บ.ก.). Rethinking resilience: A developmental process perspective=. Resilience and vulnerability: Adaptation in the context of childhood adversities. New York: Cambridge University Press. pp. 234–256. ISBN 0521001617.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Luthar, S. S. (2006). Cicchetti, D; Cohen, DJ (บ.ก.). Resilience in development: A synthesis of research across five decades. Developmental Psychopathology. Vol. 3: Risk, Disorder, and Adaptation (2nd ed.). Hoboken, NJ: Wiley and Sons. pp. 739–795.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Garmezy, N. (1974, August) The study of children at risk: New perspectives for developmental psychopathology. Distinguished Scientist Award address presented to Division 12, Section 1114 at the 82nd annual convention of the American Psychological Association, New Orlean
- ↑ Garmezy, N. (1991). "Resiliency and vulnerability to adverse developmental outcomes associated with poverty". American Behavioral Scientist. 34 (4): 416–430. doi:10.1177/0002764291034004003.
- ↑ Howard, Alyssa. "Emotional Adjustment of Moving for Young Kids". Moveboxer.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2017-06-11. สืบค้นเมื่อ 2016-11-08.
- ↑ Wang M, Haertel G, Walberg H (1994). Educational Resilience in Inner Cities. Hillsdale, New Jersey: Lawrence Erlbaum Associates.
- ↑ Benard, B (1991). "Fostering resiliency in kids: Protective factors in the family, school and community". Northwest Regional Educational Laboratory.
{{cite web}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Cauce, Ana Mari; Stewart, Angela; Rodriguez, Melanie D.; Cochran, Bryan; Ginzler, Joshua (2003). Luthar, Suniya S (บ.ก.). Overcoming the Odds? Adolescent Development in the Context of Urban Poverty. Resilience and Vulnerability: Adaptation in the Context of Childhood Adversities. Cambridge: Cambridge University Press. pp. 343–391. ISBN 0521001617.
{{cite book}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Doob, Christopher B. (2013). Social Inequality and Social Stratification in US Society. Upper Saddle River, NJ: Pearson Education Inc.
- ↑ 66.0 66.1 Monroy Cortés, BG; Palacios Cruz, L (2011). "Resiliencia: ¿Es posible medirla e influir en ella?". Salud Mental (ภาษาสเปน). México: Instituto Nacional de Psiquiátrica Ramón de la Fuente Muñiz. 34 (3): 237–246. ISSN 0185-3325.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Sapouna, M.; Wolke, D. (2013). "Resilience to bullying victimization: The role of individual, family and peer characteristics". Child Abuse & Neglect. 37 (11): 997–1006. doi:10.1016/j.chiabu.2013.05.009.
- ↑ 68.0 68.1 Schneider, T. R.; Lyons, J. B.; Khazon, S. (2013). "Emotional intelligence and resilience". Personality and Individual Differences. 55 (8): 909–914. doi:10.1016/j.paid.2013.07.460.
- ↑ Polan, J.; Sieving, R.; Pettingell, S.; Bearinger, L.; McMorris, B. (2012). "142. Relationships Between Adolescent Girls' Social-Emotional Intelligence and Their Involvement in Relational Aggression and Physical Fighting". Journal of Adolescent Health. 50 (2): S81. doi:10.1016/j.jadohealth.2011.10.216.
- ↑ Grossman, Arnold; Anthony R. D'augellib & John A. Franka (2011-04-08). "Aspects of Psychological Resilience among Transgender Youth". LGBT Youth. 8 (2): 103–115. doi:10.1080/19361653.2011.541347.
- ↑ Pérez-López, FR; Chedraui, P; Kravitz, AS; Salazar-Pousada, D; Hidalgo, L (2011). "Present problems and controversies concerning pregnant adolescents" (PDF). Open Access Journal of Contraception. 2: 85–94. doi:10.2147/OAJC.S13398. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2013-10-29. สืบค้นเมื่อ 2016-11-08.
{{cite journal}}
: CS1 maint: uses authors parameter (ลิงก์) - ↑ Salazar-Pousada, D.; Arroyo, D.; Hidalgo, L.; Pérez-López, F. R.; Chedraui, P. (2010). "Depressive Symptoms and Resilience among Pregnant Adolescents: A Case-Control Study". Obstetrics and Gynecology International. 2010: 1–7. doi:10.1155/2010/952493. PMC 3065659. PMID 21461335.
- ↑ 73.0 73.1 73.2 73.3 Kelly, J. B.; Emery, R. E. (2003). "Children's Adjustment Following Divorce: Risk and Resilience Perspectives". Family Relations. 52 (4): 352–362. doi:10.1111/j.1741-3729.2003.00352.x.
- ↑ Pedro-Carroll, JA (2005). "Fostering children's resilience in the aftermath of divorce: The told of evidence based programs for children". University of Rochester, Children's Institute.: 52–64.
- ↑ "Education, Vulnerability, and Resilience after a Natural Disaster". Ecology and Society. 18 (2).
- ↑ 76.0 76.1 76.2 76.3 "Theme Study on Building Resilience to Natural Disasters and Major Economic Crises" (PDF). Welcome to UN ESCAP. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2017-06-09. สืบค้นเมื่อ 2016-11-08.
- ↑ 77.0 77.1 "Building Resilience to Natural Disasters". The World Economic Forum.
- ↑ Rynearson, Edward K. (2006). Violent Death: Resilience and Intervention Beyond the Crisis. Routledge. ISBN 1-135-92633-6.
- ↑ Bonanno, George A. (2004). "Loss, Trauma, and Human Resilience". American Psychologist. 59 (1): 20–8. doi:10.1037/0003-066X.59.1.20. PMID 14736317.
- ↑ Greeff, Abraham P.; Human, Berquin (2004). "Resilience in families in which a parent has died". The American Journal of Family Therapy. 32: 27–42. doi:10.1080/01926180490255765.
- ↑ Cooley, E.; Toray, T.; Roscoe, L. (2010). "Reactions to Loss Scale: Assessing Grief in College Students". OMEGA - Journal of Death and Dying. 61: 25–51. doi:10.2190/OM.61.1.b.
- ↑ Heath, M. A.; Donald, D. R.; Theron, L. C.; Lyon, R. C. (2014). "Therapeutic Interventions to Strengthen Resilience in Vulnerable Children". School Psychology International. 35 (3): 309–337. doi:10.1177/0143034314529912.
- ↑ Evans, Brad; Reid, Julian (2014). Resilient Life: The Art of Living Dangerously. Malden, Mass.: Polity Press. ISBN 978-0-7456-7152-9.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Burt KB, Paysnick AA (May 2012). "Resilience in the transition to adulthood". Development and Psychopathology. 24 (2): 493–505. doi:10.1017/S0954579412000119. PMID 22559126. S2CID 13638544.
- ↑
- Boyden J, Mann G (2005). "Children's risk, resilience, and coping in extreme situations". ใน Ungar M (บ.ก.). Handbook for working with children and youth: Pathways to resilience across cultures and contexts. Thousand Oaks, Calif.: Sage. pp. 3–26. ISBN 978-1-4129-0405-6.
- Castro FG, Murray KE (2010). "Cultural adaptation and resilience: Controversies, issues, and emerging models". ใน Reich JW, Zautra AJ, Hall JS (บ.ก.). Handbook of adult resilience. New York: Guilford Press. pp. 375–403. ISBN 978-1-4625-0647-7.
- Dawes A, Donald D (2000). "Improving children's chances: Developmental theory and effective interventions in community contexts". ใน Donald D, Dawes A, Louw J (บ.ก.). Addressing childhood adversity. Cape Town, S.A.: David Philip. pp. 1–25. ISBN 978-0-86486-449-9.
- ↑ Task Force on Resilience and Strength in Black Children and Adolescents (2008). Resilience in African American children and adolescents: A vision for optimal development (Report). Washington, D.C.: American Psychological Association. [ต้องการเลขหน้า]
- ↑ "Building resilience in Aboriginal communities". Anisnabe Kekendazone Network Environment for Aboriginal Health Research. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-04-26. สืบค้นเมื่อ 2016-11-08.
- ↑ Ungar M (2004). Nurturing hidden resilience in troubled youth. Toronto: University of Toronto Press. ISBN 978-0-8020-8565-8. [ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Obradović, J.; Bush, N.R.; Stamperdahl, J; Adler, NE; Boyce, WT (2010). "Biological sensitivity to context: The interactive effects of stress reactivity and family adversity on socioemotional behavior and school readiness". Child Development. 81 (1): 270–289. doi:10.1111/j.1467-8624.2009.01394.x. PMC 2846098. PMID 20331667.
- ↑
- Ungar M (2004). "A constructionist discourse on resilience: Multiple contexts, multiple realities among at-risk children and youth". Youth & Society. 35 (3): 341–365. doi:10.1177/0044118X03257030. S2CID 145514574.
- Werner EE, Smith RS (2001). Journeys from childhood to midlife: Risk, resiliency, and recovery. Ithaca, N.Y.: Cornell University Press. ISBN 978-0-8014-8738-5. [ต้องการเลขหน้า]
อ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Benard B (2004). Resiliency: What we have learned. San Francisco: WestEd.
- Bronfenbrenner U (1979). Ecology of human development. Cambridge, Mass.: Harvard University Press.
- Comoretto A, Crichton N, Albery IP (2011). Resilience in humanitarian aid workers: understanding processes of development. LAP: Lambert Academic Publishing.
- Gonzales L (2012). Surviving Survival: The Art and Science of Resilience. New York: W.W. Norton & Company.
- Marcellino WM, Tortorello F (2014). "I Don't Think I Would Have Recovered". Armed Forces & Society. 41 (3): 496–518. doi:10.1177/0095327X14536709. S2CID 146845944.
- Masten AS (2007). "Resilience in developing systems: progress and promise as the fourth wave rises". Development and Psychopathology. 19 (3): 921–930. doi:10.1017/S0954579407000442. PMID 17705908. S2CID 31526466.
- Masten AS (1999). "Resilience comes of age: Reflections on the past and outlook for the next generation of research". ใน Glantz MD, Johnson JL (บ.ก.). Resilience and development: Positive life adaptations. New York: Kluwer Academic/Plenum Press. pp. 281–296.
- Reivich K, Shatte A (2002). The Resilience Factor: 7 Keys to Finding Your Inner Strength and Overcoming Life's Hurdles. New York: Broadway.
- Rutter M (July 1987). "Psychosocial resilience and protective mechanisms". The American Journal of Orthopsychiatry. 57 (3): 316–331. doi:10.1111/j.1939-0025.1987.tb03541.x. PMID 3303954.
- Rutter M (2000). "Resilience reconsidered: Conceptual considerations, empirical findings, and policy implications". ใน Shonkoff JP, Meisels SJ (บ.ก.). Handbook of early childhood intervention (2nd ed.). New York: Cambridge University Press. pp. 651–682.
- Southwick SM, Charnie DA (2018). Resilience: The Science of Mastering Life's Greatest Challenges (Second ed.). Cambridge: Cambridge University Press. ISBN 978-1-108-44166-7.
- Ungar M (2007). "Contextual and cultural aspects of resilience in child welfare settings". ใน Brown I, Chaze F, Fuchs D, Lafrance J, McKay S, Prokop TS (บ.ก.). Putting a human face on child welfare'. Toronto: Centre of Excellence for Child Welfare. pp. 1–24.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- National Resilience Resource Center
- Research on resilience at Dalhousie University