ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เคที เพร์รี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Dolkungbighead (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 50: บรรทัด 50:


เพร์รีได้เสี่ยงทำ[[ของที่ระลึก]]และออกจำหน่ายน้ำหอม[[เพอร์ โดย เคที เพร์รี|เพอร์]] [[เมียว! โดย เคที เพร์รี|เมียว!]] และ[[คิลเลอร์ควีน โดย เคที เพร์รี|คิลเลอร์ควีน]] ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 เธอเริ่มงานภาพยนตร์โดยพากย์เสียงให้ตัวละคร [[สเมิร์ฟเฟตต์]] จากเรื่อง ''[[เดอะ สเมิร์ฟ]]'' ในต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 เธอออกภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติแบบ 3 มิติเรื่อง ''[[เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี]]'' มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเธอในฐานะนักร้องทัวร์คอนเสิร์ตและการแยกทางจากนักแสดงชาวอังกฤษ [[รัสเซลล์ แบรนด์]] อดีตสามีที่แต่งงานกันเป็นเวลาหนึ่งปี
เพร์รีได้เสี่ยงทำ[[ของที่ระลึก]]และออกจำหน่ายน้ำหอม[[เพอร์ โดย เคที เพร์รี|เพอร์]] [[เมียว! โดย เคที เพร์รี|เมียว!]] และ[[คิลเลอร์ควีน โดย เคที เพร์รี|คิลเลอร์ควีน]] ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 เธอเริ่มงานภาพยนตร์โดยพากย์เสียงให้ตัวละคร [[สเมิร์ฟเฟตต์]] จากเรื่อง ''[[เดอะ สเมิร์ฟ]]'' ในต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 เธอออกภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติแบบ 3 มิติเรื่อง ''[[เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี]]'' มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเธอในฐานะนักร้องทัวร์คอนเสิร์ตและการแยกทางจากนักแสดงชาวอังกฤษ [[รัสเซลล์ แบรนด์]] อดีตสามีที่แต่งงานกันเป็นเวลาหนึ่งปี

== ชีวิตและอาชีพการงาน==

===1984–98: ชีวิตช่วงแรก และการเริ่มต้นอาชีพ===
แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน เกิดใกล้กับ[[แซนตาบาร์บารา (รัฐแคลิฟอร์เนีย)|แซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย]] เป็นบุตรของนักบุญ[[เพนเทคอสต์]] เมารีซ คีธ ฮัดสัน และแมรี คริสตีน เพร์รี แห่งคณะสงฆ์คีธ ฮัดสัน (Keith Hudson Ministries)<ref name="partofme3d">{{cite AV media|people=Cutforth, Dan; Lipsitz, Jane (directors);Perry, Katy (autobiographer)|date=July 5, 2012|title=[[Katy Perry: Part of Me]]|medium=[[Motion picture]]|location=United States; filmed in studios:[[Insurge Pictures]], [[Imagine Entertainment]], Perry Productions et la.|publisher=[[Paramount Pictures]]}}</ref> พ่อแม่ของเธอล้วนแต่เป็น[[คริสต์ศาสนิกชนเกิดใหม่]] (born again Christians) แต่ละคนได้กลับตัวเป็นคนดีหลังจากมี "วัยหนุ่มสาวเป็นคนเถื่อน" (wild youth) คีธเคยผลิตและค้า[[แอลเอสดี]]ร่วมกับ[[ทิโมธี เลียรี]]มาก่อน ขณะที่แมรีเคยคบหากับนักดนตรี[[จิมิ เฮนดริกซ์]]มาก่อนเช่นกัน<ref name="GraffBold" /> เพร์รีเป็นหลานสาวไม่แท้ของผู้กำกับภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ [[แฟรงก์ เพร์รี|แฟรงก์ โจเซฟ เพร์รี จูเนียร์]]<ref name=vanity>{{cite journal|last=Robinson|first=Lisa|title=Katy Perry on Her Religious Childhood, Her Career, and Her Marriage to Russell Brand |magazine=[[Vanity Fair (magazine)|Vanity Fair]]|publisher=[[Advance Publications]] |date=May 3, 2011}}</ref> เธอยังมีน้องชายที่เป็นนักร้องเช่นกันชื่อ เดวิด ฮัดสัน<ref>{{cite web|last=Wass|first=Mike|title=7 Questions With David Hudson: His Movement, The Music & Advice From Big Sister Katy Perry|url=http://www.idolator.com/7479168/david-hudson-7-questions|publisher=[[Idolator (website)|Idolator]]. [[Spin Media]]|accessdate=April 30, 2014|date=August 20, 2013}}</ref> และพี่สาวชื่อแองเจลา<ref name="E!">{{cite AV media|date=December 29, 2010|title=E! Special: Katy Perry|medium=[[Motion picture]]|location=United States; filmed in studios:[[E!]]|publisher=[[NBCUniversal]]}}</ref>

ระหว่างอายุ 3-11 ขวบ ครอบครัวของเพร์รีย้ายที่อยู่บ่อยครั้งเพื่อสร้างโบสถ์คริสต์ทั่วประเทศ ก่อนที่จะย้ายกลับมาตั้งรกรากที่แซนตาบาร์บาราอีกครั้ง ตลอดวัยเด็ก เธอเข้าโรงเรียนและค่ายสอนศาสนา รวมถึงโรงเรียนคริสต์แซนตาบาร์บารา (Santa Barbara Christian School) ในระหว่าง[[โรงเรียนประถม|ชั้นประถม]] เพร์รีกล่าวว่าในวัยเด็กมัน "ลำบาก" ที่ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยครั้งและต้องขาดการติดต่อกับเพื่อน ๆ และบางครั้งเธอรู้สึกว่าเธอ "อยู่ผิดที่" (out of place) ตลอดเวลาที่เธอเป็นเด็ก ครอบครัวของเธอมีฐานะค่อนข้างยากจนตลอดวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่<ref name="GQ">{{cite journal|last=Wallace|first=Amy|title=Katy Perry's GQ Cover Story|url=http://www.gq.com/women/photos/201402/katy-perry-cover-story-february-2014|magazine=[[GQ]]|publisher=Advance Publications|date=January 19, 2014|accessdate=February 6, 2014}}</ref> บางครั้งพวกเธอต้องกินอาหารจากธนาคารอาหารที่รวบรวมไว้ในโบสถ์ของพ่อแม่ของเธอ และใช้[[Supplemental Nutrition Assistance Program|แสตมป์อาหาร]]<ref name=RS2010>{{cite journal|first=Vanessa|last=Grigoriadis|title=Sex, God Katy Perry|url=http://www.rollingstone.com/music/news/sex-god-katy-perry-rolling-stones-2010-cover-story-20110607|magazine=[[Rolling Stone]]|publisher=[[Jann Wenner]]|date=August 19, 2010|accessdate=May 20, 2014}}</ref>

เพร์รีกล่าวถึงพ่อแม่ว่าเป็นคน "เข้มงวดอย่างไม่เหมือนใคร" ขณะที่แองเจลาหวนคิดถึงอดีตแล้วพบว่าพ่อแม่เลี้ยงดูพวกเธอแบบ "God's way or no way" ทำให้พวกเธอถูกห้ามไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยม เดวิดจำได้ว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้กินซีเรียล[[ลักกีชาร์ม]] (Lucky Charms) เพราะว่า "โชคเป็นของ[[ลูซิเฟอร์]]" (luck is of Lucifer) และต้องเรียก[[ไข่ปีศาจ]] (deviled egg) ว่า "ไข่นางฟ้า" (angel egg)<ref name="E!" /> เพร์รีฟังเพลง[[กอสเปล]]เป็นหลัก<ref name="MontgomeryGospel">{{cite news|url=http://www.mtv.com/news/1589848/katy-perry-dishes-on-her-long-and-winding-road-from-singing-gospel-to-kissing-girls/|title=Katy Perry Dishes on Her 'Long And Winding Road' From Singing Gospel To Kissing Girls|last=Montgomery|first=James|date=June 24, 2008|publisher=[[MTV News]]. [[Viacom]]|accessdate=February 15, 2009}}</ref> เนื่องจากการฟัง "เพลงเกี่ยวกับทางโลก" ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เธอถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ช่อง[[เอ็มทีวี]] แต่ก็ได้รู้จักกับเพลงดังเมื่อเธอได้ดูช่องเพลงที่บ้านเพื่อนของเธอ<ref name=Childhood>{{cite journal|title=Katy Perry Discusses Evangelical Childhood, Term 'Deviled Eggs' Banned from House|url=http://www.billboard.com/articles/news/471742/katy-perry-discusses-evangelical-childhood-term-deviled-eggs-banned-from-house|magazine=[[Billboard (magazine)|Billboard]]|publisher=[[Prometheus Global Media]]|date=May–June 2011|accessdate=February 6, 2014}}</ref>

เพร์รีเริ่มร้องเพลงโดย "เลียนแบบ" แองเจลา ฝึกฝนจากเทปคาสเซ็ตของพี่สาวเธอ เธอแสดงร้องเพลงต่อหน้าพ่อแม่ ซึ่งภายหลังแนะนำให้เธอเรียนร้องเพลง ต่อมาเธอได้[[ครุศาสตร์การร้องเพลง<!--Vocal pedagogy-->|ฝึกร้องเพลง]]ตั้งแต่อายุ 9-16 ปี<ref>{{harvnb|Friedlander|2012|p=8}}</ref> เพร์รีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์และเริ่มร้องเพลงที่โบสถ์ตั้งแต่อายุ 9 ขวบก่อนที่พ่อแม่จะมอบ[[กีตาร์]]ให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี <ref name="GraffBold">{{cite news|url=http://thescotsman.scotsman.com/features/Interview-Katy-Perry--Hot.4988069.jp|title=Interview: Katy Perry—Hot N Bold|last=Graff|first=Gary|date=February 21, 2009|newspaper=[[The Scotsman]]|publisher=[[Johnston Press]]|accessdate=February 28, 2009}}</ref><ref>{{harvnb|Friedlander|2012|p=18}}</ref> เธอเริ่มแต่งเพลงกอสเปลเพื่อใช้ร้องในโบสถ์ ในวัยรุ่น เพร์รีกล่าวว่าเธอ "อยากจะเป็นเด็กหญิงชาวแคลิฟอร์เนียธรรมดา ๆ" โดยลองเล่นกระดานโต้คลื่น และเข้าไปพัวพันกับการเล่นโรลเลอร์สเกตอย่างลึกซึ้ง เดวิดเรียกเธอในตอนนั้นเธอ "ค่อนไปทาง[[ทอมบอย]]"<ref name="E!" /> นอกจากนั้น เธอยังเรียนเต้นรำในอาคารสันทนาการแห่งหนึ่งในแซนตาบาร์บารา โดยเริ่มจากการเต้นแบบ[[สวิง (การเต้นรำ)|สวิง]] [[ลินดีฮอป]] และ[[จิตเตอร์บัก]] (jitterbug)<ref name="17Style">{{cite journal|url=http://www.seventeen.com/fashion/special/style-blog/katy-perry-fashion-qa-interview|title=Find Out What Influences Katy Perry's Cute Style!|date=February 5, 2009|magazine=[[Seventeen (magazine)|Seventeen]]|publisher=[[Hearst Corporation]]|accessdate=April 29, 2014}}</ref>

===1999–2006: ''เคที ฮัดสัน'' และ ''เดอะแมทริกซ์''===
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 เพร์รีผ่านการสอบเทียบวุฒิชั้นมัธยมศึกษา (General Educational Development) เพื่อเข้าเรียนภาคเรียนแรกของชั้นปีที่หนึ่งที่[[โดสพวยโบลสไฮสกูล]] (Dos Pueblos High School) และลาออกจากโรงเรียนเพื่อทุ่มเทกับงานดนตรี เพร์รีได้ศึกษาวิชา[[ละครโอเปราอิตาลี]] (Italian opera) เป็นเวลาสั้น ๆ ที่[[สถาบันดนตรีตะวันตก]] (Music Academy of the West) ในแซนตาบาร์บารา<ref>{{harvnb|Hudson|2012|p=37}}</ref> ตอนอายุ 15 ปี เธอได้ร้องเพลงจนเข้าตาผู้ชำนาญเพลงร็อกจาก[[แนชวิลล์|แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี]] ที่ต่อมาได้พาเธอไปฝึกฝนทักษะการแต่งเพลง<ref name="partofme3d"/> ที่แนชวิลล์ เธอบันทึกเสียงเดโมและเรียนรู้การแต่งเพลงและเล่นกีตาร์<ref name="MontgomeryGospel"/> หลังจากเซ็นสัญญา[[พิมพลินมิวสิก|เร้ดฮิลล์เรเคิดส์]] เพร์รีได้บันทึกเสียงอัลบั้มชุดแรกเป็นแนวเพลงกอสเปลในชื่อ ''[[เคที ฮัดสัน (อัลบั้ม)|เคที ฮัดสัน]]'' อัลบั้มออกจำหน่ายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2001 และร่วมทัวร์คอนเสิร์ต เดอะสเตรนจ์ลีนอร์มัลทัวร์ (The Strangely Normal Tour) เพื่อส่งเสริมอัลบั้ม<ref>{{cite news |url=http://www.westhartfordnews.com/articles/2011/12/08/entertainment/doc4eddc976cee14391469110.txt |title=Phil Joel to play in West Hartford |newspaper=West Hartford News |date=December 8, 2011|accessdate=April 29, 2014 }}</ref> อัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จ ขายได้ประมาณ 200 หน่วย ก่อนที่ค่ายเพลงจะปิดตัวลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001<ref name="partofme3d"/>

เธอเริ่มทิ้งแนวเพลงกอสเปลและเริ่มข้ามมาแนวป็อปและร็อก<ref name=E! /> เพร์รีเริ่มเขียนเพลงกับโปรดิวเซอร์ชื่อ[[เกล็น บัลลาร์ด]]<ref name=vanity/> และย้ายไปต่อยอดด้านอาชีพดนตรีที่ลอสแองเจลิส<ref>{{cite journal|url=http://www.ew.com/ew/article/0,,20203057,00.html|title='Kiss' Me, Katy|last=Greenblatt|first=Leah|date=May 30, 2008|magazine=[[Entertainment Weekly]]|publisher=[[Time Inc.]]|accessdate=April 29, 2014}}</ref> ในปี ค.ศ. 2003 เธอแสดงโดยใช้ชื่อแคเทอรีน เพร์รี เพื่อไม่ให้สับสนกับนักแสดงที่ชื่อ[[เคต ฮัดสัน]] ต่อมาในปีนั้น เธอจึงได้ตั้งชื่อสเตจเนม (stage name) ของเธอว่า เคที เพร์รี หลังจากเธอหมดสัญญากับค่ายเพลง[[ดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ป]] เธอได้เซ็นสัญญากับค่าย[[โคลัมเบียเรเคิดส์]]ในปี ค.ศ. 2004<ref name="partofme3d"/> โคลัมเบียต้องการจะให้เธอเป็นนักร้องนำผู้หญิงของทีม[[โปรดิวเซอร์เพลง]]ชื่อ [[เดอะแมทริกซ์ (ทีมโปรดิวเซอร์)|ดอะแมทริกซ์]] ที่กำลังทำอัลบั้มเพลงอยู่ในขณะนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ค่ายเพลงได้พักอัลบั้มไว้หลังจากทำเสร็จแค่ 80%<ref name=partofme3d /> ค่ายเพลงที่สามได้หยุดให้งานเธอและอัลบั้มเดี่ยวที่เธอทำกับบัลลาร์ดก็โดนพักเช่นกัน<ref name=Summers>{{harvnb|Summers|2012|p=11}}</ref> ในระหว่างที่เธอกำลังเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอื่น เธอได้ทำงานในบริษัท[[ฝ่ายคัดสรรและพัฒนาศิลปิน|คัดสรรและพัฒนาศิลปิน]]อิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า แท็กซีมิวสิก<ref name="partofme3d"/>

เพร์รีประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก่อนจะมีชื่อเสียง หนึ่งในเพลงที่เธอบันทึกเสียงกับบัลลาร์ดในอัลบั้มของเธอคือเพลง "ซิมเพิล" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2005 เรื่อง ''[[มนต์รักกางเกงยีนส์]]'' (The Sisterhood of the Traveling Pants)<ref name=Summers /> เธอยังร้องเสียงเบื้องหลังให้กับเพลง "[[โอลด์แฮบิตดายฮาร์ด]]" ของ[[มิก แจ็กเกอร์]]<ref>{{cite news|url=http://www.usatoday.com/story/life/people/2013/10/31/mick-jagger-says-he-never-hit-on-katy-perry-at-18/3327313/|title=Mick Jagger says he never hit on 18-year-old Katy Perry|newspaper=[[USA Today]]|publisher=[[Gannett Company]]|accessdate=October 31, 2013|date=October 31, 2013}}</ref> ซึ่งชนะรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 62 สาขา Best Original Song ด้วย (2005 Golden Globe Award for Best Original Song)<ref>{{cite journal|title='Alfie', 'Aviator', and 'Ray' Rack Up Awards|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|url=http://books.google.com/books?id=ZxQEAAAAMBAJ&pg=PA11|accessdate=April 24, 2014|date=January 29, 2005|first=Carla|last=Hay}}</ref> ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 นิตยสาร''[[เบลนเดอร์ (นิตยสาร)|เบลนเดอร์]]''ขนานนามเพร์รีว่าเป็น "บุคคลยิ่งใหญ่คนต่อไป" (The Next Big Thing)<ref name="AllmusicBio">{{cite web | url = http://www.allmusic.com/artist/katy-perry-mn0000859589/biography|title=Katy Perry: Biography | last = Leahey | first = Andrew | publisher = [[AllMusic]]. [[All Media Network]] | accessdate=January 5, 2014}}</ref> เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "[[กู๊ดบายฟอร์นาว (เพลงของพี.โอ.ดี)|กู๊ดบายฟอร์นาว]]" ของ[[พี.โอ.ดี.]] เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 และรับบทเป็นคนรักกับนักร้องนำวง[[จิม คลาส ฮีโรส์]] ชื่อ [[เทรวี แม็กคอย]] คนรักหนุ่มของเธอในขณะนั้น ในมิวสิกวิดีโอเพลง "[[คิวปิดส์โช้กโฮลด์]]" ในเดือนพฤศจิกายน<ref>{{harvnb|Summers|2012|p=12}}</ref>

===2007–09: ประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม ''วันออฟเดอะบอยส์''===
[[File:Katy Perry in pink.jpg|thumb|upright|left|เพร์รีกำลังแสดงดนตรีในทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ วาปต์ทัวร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008|alt=เพร์รีกำลังแสดงดนตรีใน วาปต์ทัวร์]]

หลังจากไม่ได้รับงานจากค่ายโคลัมเบียแล้วในปี ค.ศ. 2006 หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทชื่อ แองเจลิกา ค็อบเบเลอร์ แนะนำเพร์รีให้ประธานค่ายเพลง[[เวอร์จินเรเคิดส์]]ชื่อ [[เจสัน ฟลอม]] โดยทำให้เขาเชื่อว่าเธอจะกลายเป็นดาวรุ่ง และเธอก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหม่เอี่ยมในขณะนั้น [[แคปิตอลมิวสิกกรุ๊ป]] ซึ่งเกิดจากการรวมเวอร์จินกับ[[แคปิตอลเรเคิดส์]]เข้าด้วยกันในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007<ref name="partofme3d"/> ทางต้นสังกัดจัดเวลาให้เธอพบกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อ [[ดร.ลู้ก]] เพื่อทำให้ชิ้นงานที่ยังไม่เสร็จของเธอให้เป็น "ความสำเร็จอย่างปฏิเสธไม่ลง" (undeniable smash)<ref name="hitquarters">{{cite web |url=http://www.hitquarters.com/index.php3?page=intrview/opar/intrview_AnokuteCorrection.html |title=Correction to the interview with Chris Anokute |publisher=[[HitQuarters]]|date=January 21, 2011 |accessdate=April 29, 2014}}</ref> เพร์รีกับดร.ลู้ก ร่วมเขียนเพลง "[[ไอคิสด์อะเกิร์ล]]" และ "[[ฮอตเอ็นโคลด์]]" ให้อัลบั้มชุดที่สองของเธอ ''[[วันออฟเดอะบอยส์ (อัลบั้มของเคที เพร์รี)|วันออฟเดอะบอยส์]]'' การโฆษณาอัลบั้มนี้เริ่มด้วยการออกวิดีโอเพลง "[[ยัวร์โซเกย์]]" เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 หวังที่จะเปิดตัวเธอในตลาดเพลงและสร้างภาพลักษณ์ให้เธอ ต่อมามี[[อีพี]]ดิจิตอลเพลง "ยัวร์โซเกย์" ออกมาเพื่อสร้างกระแสออนไลน์ (online buzz)<ref name="GraffBold" /><ref name="hitquarters.com">{{cite web |url=http://www.hitquarters.com/index.php3?page=intrview/opar/intrview_Chris_Anokute_Interview.html |title=Interview With Chris Anokute |publisher=HitQuarters|date=October 18, 2010 |accessdate=April 29, 2014}}</ref> [[มาดอนน่า]]ช่วยประชาสัมพันธ์เพลงโดยกล่าวชื่นชมเพลงนี้ในรายการ ''จอห์นเจแอนด์ริช'' (JohnJay & Rich) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008<ref>{{harvnb|Summers|2012|pp=38–39}}</ref>

เพร์รีเริ่มประสบความสำเร็จจากกระแสหลักจากซิงเกิล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 เป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม ''วันออฟเดอะบอยส์'' สถานีแรกที่เปิดเพลงนี้คือ [[WRVW]] ใน[[แนชวิลล์]] ที่หลังจากเล่นเพลงนี้เพียง 3 วัน ก็มีโทรศัพท์เข้ามาขอเพลงอย่างล้มหลาม<ref name="hitquarters.com"/> ในเดือนเดียวกันนั้น เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต[[บิลบอร์ด (นิตยสาร)|บิลบอร์ด]][[บิลบอร์ดฮอต 100|ฮอต 100]]<ref>{{cite journal|last=Cohen|first=Jonathan|title=Rihanna Topples Katy Perry on Hot 100|url=http://www.billboard.com/articles/news/1044448/rihanna-topples-katy-perry-on-hot-100|publisher=Prometheus Global Media|magazine=Billboard|accessdate=March 15, 2014|date=August 14, 2008}}</ref> อัลบั้ม ''วันออฟเดอะบอยส์'' ออกวางขายวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ได้รับคำวิจารณ์แบบคละกัน<ref>{{cite web|url=http://www.metacritic.com/music/artists/perrykaty/oneoftheboys|title=One of the Boys|publisher=[[Metacritic]]. [[CBS Interactive]]|accessdate=March 6, 2009}}</ref> อัลบั้มขึ้นถึงอันดับที่ 9 บนชาร์ต[[บิลบอร์ด 200]]<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/artist/305595/katy-perry/chart?sort=timeon&f=305|title=Katy Perry&nbsp;— Chart history|accessdate=March 2, 2009|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media}}</ref> เพลง "ฮอตเอ็นโคลด์" ออกมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 กลายเป็นเพลงที่สองที่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอันดับ 3 บน''บิลบอร์ด''ฮอต 100<ref name=Hot100History>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/artist/305595/Katy%2BPerry/chart?f=379|title=Katy Perry&nbsp;— Chart history|accessdate=June 26, 2014|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media}}</ref> และขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมนีและแคนาดา<ref>{{cite web |url=http://musicline.de/de/chartverfolgung_summary/title/Perry%2C+Katy/Hot+n+Cold/single |title=Hot n Cold (Single) |publisher=Musicline|accessdate=June 26, 2014}}</ref><ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/artist/305595/Katy%2BPerry/chart?f=793|title=Katy Perry&nbsp;— Chart history|accessdate=June 26, 2014|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media}}</ref> หลังจากนั้นมีซิงเกิลเพลง "[[ธิงกิงออฟยู (เพลงของเคที เพร์รี)|ธิงกิงออฟยู]]" และ "[[เวกกิงอัปอินเวกัส]]" ออกมาและประสบความสำเร็จปานกลาง<ref name=Hot100History />

ในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2008 เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ [[วาปต์ทัวร์ 2008]] (Warped Tour 2008)<ref>{{cite journal|title=Katy Perry on Warped 2008: Mosh Pits, Injuries and Andrew WK|url=http://www.rollingstone.com/music/news/katy-perry-on-warped-2008-mosh-pits-injuries-and-andrew-wk-20080825|magazine=Rolling Stone|publisher=Jann Wenner|accessdate=April 3, 2014|date=August 25, 2008}}</ref> หลังจากทัวร์สิ้นสุด เธอเริ่มแสดงคอนเสิร์ตในยุโรปก่อนจะมีทัวร์คอนเสิร์ตของตัวเองในชื่อ [[เฮลโลเคทีทัวร์]] (Hello Katy Tour) ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2009 ซึ่งประกอบไปด้วย 89 คอนเสิร์ตในหลายประเทศและจบลงในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2009 เธอแสดงคอนเสิร์ตเปิดงานให้กับวง[[โนเดาต์]] ในคอนเสิร์ตชื่อ [[โนเดาต์ 2009 ซัมเมอร์ทัวร์|ซัมเมอร์ทัวร์ 2009]]<ref>{{cite news|title=Last Night: No Doubt, Katy Perry, the Sounds at Verizon Wireless Amphitheater|first=Albert|last=Ching|url=http://blogs.ocweekly.com/heardmentality/2009/08/last_night_no_doubt_katy_perry.php|newspaper=[[OC Weekly]]|publisher=[[Voice Media Group]]|date=August 5, 2009|accessdate=May 20, 2014}}</ref> ต่อมาอัลบั้มของเดอะเมทริกซ์ที่เพร์รีเคยร่วมบันทึกเสียงเมื่อปี ค.ศ. 2004 ออกจำหน่ายหลังจากเพร์รีประสบความสำเร็จในผลงานเดี่ยว เธอได้ขอร้องให้รอจนกว่าซิงเกิลที่สี่ของอัลบั้ม ''วันออฟเดอะบอยส์'' ออกมาก่อน แต่อัลบั้ม''เดอะแมทริกซ์''ก็ออกจำหน่ายทาง[[ไอทูนส์]]ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2009 แม้ว่าเธอเคยขอร้องไว้ก็ตาม<ref name="KaufmanMatrix">{{cite news|url=http://www.mtv.com/news/1603622/the-matrix-drop-long-lost-album-featuring-katy-perry/|title=The Matrix Drop Long-Lost Album Featuring Katy Perry|last=Kaufman|first=Gil|date=January 27, 2009|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=April 29, 2014}}</ref> ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 รายการ ''[[เอ็มทีวีอันพลักด์]]'' ประกาศว่าเธอได้บันทึกเสียงอัลบั้มบันทึกกการแสดงสดที่มีเพลงหลายเพลงจากอัลบั้ม ''วันออฟเดอะบอยส์'' ในเวอร์ชันอคูสติก และยังมีเพลงใหม่ 2 เพลง ได้แก่ "บริกบายบริก" และเพลงเวอร์ชันทำใหม่ "แฮกเคนแซ็ก" ของ[[ฟาวน์เทนส์ออฟเวน]] [[เอ็มทีวีอันพลักด์ (อัลบั้มของเคที เพร์รี)|อัลบั้มบันทึกการแสดงสด]]ออกมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009<ref name="MTV Unplugged Album">{{cite news|url=http://www.mtv.com/news/1623630/katy-perrys-mtv-unplugged-album-will-feature-two-new-songs/|title=Katy Perry's ''MTV Unplugged'' Album Will Feature Two New Songs|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=April 28, 2014|date=October 12, 2009|first=James|last=Montgomery}}</ref> เพร์รียังได้ปรากฏในซิงเกิลของศิลปินอื่น เช่น ในเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "[[สตาร์สตรักก์]]" ของวงดนตรีจาก[[โคโลราโด]]ชื่อ [[ทรีโอ!ทรี]] เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 และบันทึกเสียงคู่กับ[[ทิมบาแลนด์]]ในเพลง "[[อิฟวีเอฟเวอร์มีตอะเกน]]" จากอัลบั้ม ''[[ช็อกแวลยู II]]'' เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 ด้วย<ref>{{cite journal|url=http://www.rap-up.com/2010/01/18/video-timbaland-f-katy-perry-if-we-ever-meet-again/#more-36245 |title=Video: Timbaland f/ Katy Perry&nbsp;– 'If We Ever Meet Again' |magazine=Rap-Up|publisher=Rap-Up, LLC|date=January 18, 2010 |accessdate=August 2, 2010}}</ref> [[บันทึกสถิติโลกกินเนสส์]]กำหนดให้เธอเป็น "ศิลปินหญิงที่เริ่มต้นได้ดีที่สุดบนชาร์ตดิจิตอล" (Best Start on the U.S. Digital Chart by a Female Artist) หลังจากที่เธอทำยอดขายดิจิตอลซิงเกิลได้มากกว่า 2 ล้านหน่วย<ref name=Guinness2010>{{cite book|last=Glenday|first=Craig|title=Guinness World Records 2010|date=2010|publisher=Random House LLC|page=405|isbn=978-1-9049-9450-3}}</ref>

จากที่เธอเข้าใจว่าพ่อแม่ของเธอไม่เห็นด้วยกับอาชีพด้านดนตรีของเธอ เพร์รีกล่าวกับเอ็มทีวีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ว่า พ่อแม่ของเธอไม่หวั่นใจกับความสำเร็จที่เธอได้<ref name="VenaRumors">{{cite news|url=http://www.mtv.com/news/articles/1593166/katy-perry-responds-rumors-parents-criticism.jhtml|title=Katy Perry Responds To Rumors of Parents' Criticism: 'They Love And Support Me'|last=Vena|first=Jocelyn|date=August 20, 2008|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=April 29, 2014}}</ref> ความสัมพันธ์ระหว่างกับแม็กคอยจบลงในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008<ref name="TravieSplit">{{cite news|title=Katy Perry And Travis Split|url=http://www.mtv.co.uk/katy-perry/news/katy-perry-and-travis-split|publisher=MTV News. Viacom|date=January 5, 2009|accessdate=April 29, 2014}}</ref> ในระหว่างฤดูร้อนปี ค.ศ. 2009 เพร์รีพบกับสามีในอนาคตชื่อ [[รัสเซลล์ แบรนด์]] ขณะถ่ายทำภาพยนตร์ที่เขาแสดงเรื่อง ''[[จับร็อคซ่าส์มาโชว์เฟี้ยว]]'' (Get Him to the Greek) ฉากที่เธอเล่นเป็นฉากที่ทั้งสองคนจูบกันแต่โดนตัดออกและไม่ปรากฏในภาพยนตร์<ref name=GreekExplain>{{cite news|url=http://www.mtv.com/news/1640830/katy-perry-explains-why-she-was-cut-from-get-him-to-the-greek/|title=Katy Perry Explains Why She Was Cut From 'Get Him to the Greek'|publisher=MTV News. Viacom|first=Jocelyn|last=Vena|date=June 4, 2010|accessdate=February 18, 2012}}</ref> เธอเริ่มคบหากับแบรนด์หลังจากพบกันอีกครั้งในเดือนกันยายนที่งานประกาศรางวัล[[เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2009]]<ref name=RussellDating>{{cite web|last=Ziegbe |first=Mawuse |url=http://www.mtv.com/news/1647232/katy-perry-russell-brands-love-story-began-at-the-vmas/ |title=Katy Perry, Russell Brand's Love Story Began at the VMAs – Music, Celebrity, Artist News |publisher=MTV News. Viacom|date=September 4, 2010 |accessdate=November 9, 2010}}</ref> ทั้งคู่หมั้นกันในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ขณะพักร้อนที่[[รัฐราชสถาน]] ประเทศอินเดีย<ref name=Engaged>{{cite web|last=Heldman|first=Breanne L.|title=Katy Perry and Russell Brand Engaged in India|url=http://www.eonline.com/news/160483/katy-perry-and-russell-brand-engaged-in-india|publisher=E!. NBCUniversal|accessdate=January 6, 2010|date=January 6, 2010}}</ref>

===2010–12: อัลบั้ม''ทีนเอจดรีม''===
หลังจากรับหน้าที่เป็นกรรมการรับเชิญในรายการ''[[อเมริกันไอดอล]]'' และ[[ดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ (สหราชอาณาจักร)|''ดิเอ็กซ์แฟกเตอร์'' สหราชอาณาจักร]]<ref>{{cite journal|last=Barrett|first=Annie|title='American Idol': The Kara vs. Katy Lifetime movie|url=http://popwatch.ew.com/2010/01/27/american-idol-the-kara-vs-katy-perry-lifetime-movie/|magazine=Entertainment Weekly|publisher=Time Inc.|date=January 27, 2010|accessdate=April 29, 2014}}</ref><ref name="XFactorJudge">{{cite web|title=Katy Perry Hits Dublin For X Factor Auditions|url=http://www.mtv.co.uk/news/x-factor/228776-katy-perry-cheryl-cole-x-factor|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=June 28, 2010|date=June 28, 2010}}</ref> เพร์รีออกเพลง "[[แคลิฟอร์เนียเกิลส์]]" ร้องร่วมกับ[[สนูป ด็อกก์]]เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 เป็นซิงเกิลเปิดตัวของสตูดิโออัลบั้มชุดที่สาม ''[[ทีนเอจดรีม (อัลบั้มของเคที เพร์รี)|ทีนเอจดรีม]]'' และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต''บิลบอร์ด''ฮอต 100 และอยู่ตำแหน่งนั้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน<ref>{{cite web|last=Montgomery|first=James|title=Katy Perry's 'California Gurls' Makes History in Rise To #1|publisher=MTV News. Viacom|date=June 9, 2010|url=http://www.mtv.com/news/1641186/katy-perrys-california-gurls-makes-history-in-rise-to-1/|accessdate=April 28, 2014}}</ref><ref>{{cite journal|first=Gary|last=Trust|title=Katy Perry Speeds To No. 1 on Hot 100|url=http://www.billboard.com/articles/news/957858/katy-perry-speeds-to-no-1-on-hot-100|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=June 9, 2010|accessdate=June 9, 2010}}</ref> เธอออกซิงเกิลติดอันดับ 1 เพลงที่สองคือ "[[ทีนเอจดรีม (เพลงของเคที เพร์รี)|ทีนเอจดรีม]]" ก่อนจะวางขายอัลบั้มในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ''ทีนเอจดรีม'' เปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ต''บิลบอร์ด'' 200<ref>{{cite web|last=Langhorne|first=Cyrus|title=Eminem Gets Knocked from the Top, Drake Hits a Milli, Fantasia and Usher Make Strong Debuts|url=http://www.sohh.com/2010/09/eminem_gets_knocked_from_the_top_drake_h.html|publisher=[[SOHH]]. 4Control Media|accessdate=March 15, 2014}}</ref> อัลบั้มพบกับคำวิจารณ์แบบคละกันและขายได้ 5.7 ล้านหน่วยทั่วโลก<ref>{{cite web|title=Teenage Dream Reviews|url=http://www.metacritic.com/music/teenage-dream|publisher=Metacritic. CBS Interactive|accessdate=March 15, 2014}}</ref><ref name="Patricia Reaney">{{cite web |url=http://www.reuters.com/article/2013/10/22/entertainment-us-katyperry-prism-idUSBRE99L0P920131022|title=Katy Perry shows vulnerability, maturity on new album 'Prism'|author=Patricia Reaney|publisher=[[Reuters]] |date=October 22, 2013|accessdate=June 3, 2014 }}</ref> ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2010 เพลง "[[ไฟร์เวิกส์ (เพลง)|ไฟร์เวิกส์]]" เป็นเพลงที่สามของอัลบั้ม กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นเพลงที่สามติดต่อกันในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2010<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/news/949557/katy-perrys-firework-shines-over-hot-100|title=Katy Perry's 'Firework' Shines Over Hot 100|work=Billboard|first=Silvio|last=Pietroluongo|date=December 8, 2010|accessdate=December 8, 2010|publisher=Prometheus Global Media}}</ref> เพลงได้รับการรับรอง 9 ครั้งในสหรัฐอเมริกา และถือเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของเพร์รีจนถึงปัจจุบัน<ref name=TopCertified />

ความสำเร็จของอัลบั้ม ''ทีนเอจดรีม'' ดำเนินต่อด้วยเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "[[อี.ที. (เพลง)|อี.ที.]]" ร้องร่วมกับแร็ปเปอร์ [[คานเย เวสต์]] เป็นซิงเกิลที่สี่ของอัลบั้มในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 เป็นเวลา 5 สัปดาห์ไม่ติดต่อกัน ทำให้อัลบั้ม ''ทีนเอจดรีม'' เป็นอัลบั้มที่เก้าในประวัติศาสตร์ที่ผลิตเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลง<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/news/472289/katy-perrys-et-rockets-to-no-1-on-hot-100|title=Katy Perry's 'E.T.' Rockets To No. 1 on Hot 100|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|first=Gary|last=Trust|date=March 30, 2011|accessdate=March 30, 2011}}</ref> เพร์รีกลายเป็นนักร้องหญิงคนแรกที่มีเพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ถึง 5 เพลงจากอัลบั้มเดียว เมื่อเพลง "[[ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)]]" ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ต''บิลบอร์ด''ฮอต 100 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2011 และเป็นนักร้องคนที่สอง ต่อจาก[[ไมเคิล แจ็กสัน]] ที่เคยทำแบบเดียวกันจากอัลบั้ม ''[[แบด (อัลบั้ม)|แบด]]'' ได้ เพื่อตอบแทนความสำเร็จนี้ เพร์รีกล่าวว่า "ขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ตอนที่ฉันอายุ 9 ขวบ ฉันยังร้องเพลงใส่แปรงหวีผม ฉันฝันถึงฝันที่ยิ่งใหญ่มาก แต่วันนี้มันยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันฝันเสียอีก ช่างเป็นของขวัญวันเกิดของอัลบั้ม ''ทีนเอจดรีม'' ชิ้นแรกที่ดีเยี่ยมจริง ๆ"<ref name=TieMichael>{{cite journal|last=Trust|first=Gary|url=http://www.billboard.com/articles/news/467879/katy-perry-makes-hot-100-history-ties-michael-jacksons-record |title= Katy Perry Makes Hot 100 History: Ties Michael Jackson's Record|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date= August 17, 2011 |accessdate=August 17, 2011}}</ref><ref name=Guinness2013>{{cite book|last=Glenday|first=Craig|title=Guinness World Records 2013|date=2013|publisher=Random House LLC|page=423|isbn=978-1-9049-9487-9}}</ref> ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอได้ทำสถิตินักร้องคนแรกที่มีเพลงอยู่สิบอันดับแรกนานถึง 69 สัปดาห์ติดต่อกัน<ref name="adeles-someone">{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/news/467566/adeles-someone-like-you-soars-to-no-1-on-hot-100|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|title=Adele's 'Someone Like You' Soars To No. 1 on Hot 100|first=Gary|last=Trust|date=September 7, 2011|accessdate=September 7, 2011}}</ref> เพลง "[[เดอะวันแด้ตก๊อตอะเวย์ (เพลงของเคที เพร์รี)|เดอะวันแด้ตก๊อตอะเวย์]]" ออกมาเป็นเพลงที่หกและซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้มทีนเอจดรีม เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่พลาดตำแหน่งอันดับหนึ่งบนชาร์ตฮอต 100 และขึ้นถึงอันดับที่ 3 บนชาร์ตฮอต 100<ref>{{cite journal|last=Trust |first=Gary |url=http://www.billboard.com/articles/columns/chart-beat/464656/katy-perry-notches-record-seventh-no-one-from-teenage-dream-on |title=Katy Perry Notches Record Seventh No. 'One' From 'Teenage Dream' On Dance/Club Play Songs |date=December 26, 2011 |magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=April 29, 2014}}</ref> ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เพร์รีออกเพลง "[[พาร์ตออฟมี (เพลงของเคที เพร์รี)|พาร์ตออฟมี]]" เป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม [[ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน]] เปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตฮอต 100 และเป็นเพลงที่เจ็ดของเพร์รีที่ขึ้นอันดับ 1<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/news/506206/katy-perrys-part-of-me-hits-itunes-radio-monday |title=Katy Perry's' 'Part of Me' Hits iTunes, Radio Monday |magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=February 11, 2012|last=Trust|first=Gary|accessdate=April 29, 2014}}</ref> อัลบั้ม ''ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน'' ออกมาวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2012 เพลง "[[วายด์อะเวก (เพลงของเคที เพร์รี)|วายด์อะเวก]]" ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคม เป็นซิงเกิลที่สองและซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้ม ขึ้นถึงอันดับ 2 บนชาร์ตฮอต 100<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/artist/305595/Katy+Perry/chart|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|title=Katy Perry&nbsp;— Chart History|accessdate=June 20, 2012}}</ref> ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2012 เธอเป็นนักร้องที่ขายเพลงดิจิตอลได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายทั้งหมด 37.6 ล้านหน่วยจากข้อมูลของ[[นีลเซน ซาวด์สแกน]]<ref>{{cite web|title=The Nielsen Company & Billboard's 2011 Music Industry Report|url=http://www.businesswire.com/news/home/20120105005547/en/Nielsen-Company-Billboard%E2%80%99s-2011-Music-Industry-Report|publisher=[[Business Wire]]|first=Anna|last=Loynes|accessdate=January 5, 2012}}</ref> ในเดือนนั้น เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีเพลงได้ขายได้มากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิตอลถึง 5 เพลง<ref>{{cite web|last=Grein |first=Paul |url=http://music.yahoo.com/blogs/chart-watch/week-ending-jan-15-2012-songs-song-won-012657212.html;_ylt=AgDcCmRnIvonQzWUpu.eauoPwiUv;_ylu=X3oDMTFkYTZnZmZkBG1pdANNdXNpYyBCbG9nIEluZGV4BHBvcwMxBHNlYwNNZWRpYUJsb2dJbmRleA--;_ylg=X3oDMTFvcGs0cnBnBGludGwDdXMEbGFuZwNlbi11cwRwc3RhaWQDBHBzdGNhdANibG9nBHB0A3NlY3Rpb25zBHRlc3QD;_ylv=3 |title=Week Ending Jan. 15, 2012. Songs: The Song That Won't Drop|publisher=Yahoo! Music|date=January 19, 2012 |accessdate=April 29, 2014}}</ref>

[[File:Katy Perry - Part Of Me Australian Premiere - June 2012 (3) (cropped).jpg|thumb|upright|right|เพร์รีกำลังส่งเสริมภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเธอเรื่อง ''เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี'' ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012|alt=เพร์รีในงานเปิดตัวภาพยนตร์ ''เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี'' ในออสเตรเลีย]]
ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต [[แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์]] เพื่อส่งเสริมอัลบั้ม''ทีนเอจดรีม'' ทัวร์มีการแสดงถึง 124 ครั้งในยุโรป โอเชียเนีย เอเชีย อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ และทำรายได้ได้ 59 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ<ref name="psp">{{cite journal|url=http://www.pollstarpro.com/charts/2011YearEndTop25WorldwideTours.pdf |title=Top 25 Worldwide Tours (01/01/2011&nbsp;– 12/31/2011) |date=December 28, 2011 |magazine=[[Pollstar]]|publisher=Pollstar, Inc. |accessdate=December 28, 2011}}</ref> ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอแสดงในวันเปิดงาน[[ร็อกอินริโอ|ร็อกอินริโอเฟสติวัล 2011]] ร่วมกับ[[เอลตัน จอห์น]], [[Claudia Leitte]] และ[[ริอานนา]]<ref>{{cite news|url=http://www.jcnet.com.br/noticias.php?codigo=221209 |title=Rock in Rio 2011: A hora e a vez do pop |newspaper=Jornal da Cidade de Bauru|accessdate=November 5, 2011|date=September 26, 2011|language=Portuguese}}</ref> เธอได้ทำงานภาพยนตร์ครั้งแรกในภาพยนตร์การ์ตูนแนวครอบครัวเรื่อง ''[[เดอะสเมิร์ฟ (ภาพยนตร์)|เดอะสเมิร์ฟ]]'' รับบทเป็น [[สเมิร์ฟเฟตต์]] ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ทำรายได้ได้ 536,749,323 ดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลกตลอดเวลาที่เข้าโรง<ref>{{cite web|url=http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=smurfs.htm|title=The Smurfs (2011)|publisher=[[Box Office Mojo]]|accessdate=November 6, 2011}}</ref> แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์ทางลบก็ตาม<ref>{{cite web|title=The Smurfs|url=http://www.rottentomatoes.com/m/the_smurfs/|publisher=[[Rotten Tomatoes]]. [[Flixster]]|accessdate=January 16, 2014}}</ref> เธอยังเป็นพิธีกรในรายการ ''แซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์'' ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ร่วมกับ[[โรบิน]] ที่เป็นแขกรับเชิญ จากงานพิธีกรดังกล่าว เพร์รีได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ที่ยกย่องถึงจังหวะการแสดงมุกตลกและซีรีส์เรื่องสั้นที่เธอแสดงร่วมกับ[[แอนดี้ แซมเบิร์ก]]<ref>{{cite news|last=McGee |first=Ryan |url=http://www.hitfix.com/blogs/monkeys-as-critics/posts/recap-saturday-night-live-katy-perry-and-robyn |title=Recap: Saturday Night Live&nbsp;– Katy Perry and Robyn |publisher=[[HitFix]]|date=December 11, 2011 |accessdate=August 8, 2013}}</ref> ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้ออกผลงานภาพยนตร์อัตชีวประวัติในชื่อ ''[[เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี]]'' ผ่านทาง[[พาราเมาต์พิกเจอส์]]<ref>{{cite news|title=Katy Perry: Part Of Me' Concert Movie Due This Summer|url=http://www.mtv.com/news/articles/1680699/katy-perry-part-of-me-movie.jhtml|publisher=MTV News. Viacom|date=Kara|last=Warner|date=March 7, 2012|accessdate=April 27, 2014}}</ref> ภาพยนตร์ได้รับคำชมและทำรายได้บน[[บ็อกซ์ออฟฟิศ]]ได้ 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลก<ref>{{cite web|url=http://www.rottentomatoes.com/m/katy_perry_part_of_me/|title=Katy Perry: Part of Me (2012)|publisher=Rotten Tomatoes. Flixster|accessdate=August 4, 2012}}</ref><ref name="mojo">{{cite web|title=Katy Perry: Part of Me|url=http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=katyperry.htm |publisher=Box Office Mojo|accessdate= August 16, 2012}}</ref>

เพร์รีเริ่มทำธุรกิจเมื่อเธอได้เซ็นรับรองน้ำหอมตัวแรกของเธอชื่อ [[เพอร์ โดยเคที เพร์รี|เพอร์]] เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010<ref>{{cite news|url=http://www.mtv.co.uk/artists/katy-perry/news/231426-katy-perry-perfume|title=Katy Perry To Launch Perfume|publisher=MTV News. Viacom|date=July 23, 2010|accessdate=May 19, 2014}}</ref> ตัวที่สองชื่อ [[เมียว! โดยเคที เพร์รี|เมียว!]] ออกจำหน่ายปีต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 น้ำหอมทั้งสองตัวออกวางขายที่ห้างสรรพสินค้า[[นอร์ดสตรอม]]<ref name=MoewNordstrom>{{cite web|last=Perry|first=Katy|title=Meow! by Katy Perry Eau de Parfum|url=http://shop.nordstrom.com/s/meow-by-katy-perry-eau-de-parfum-nordstrom-exclusive/3245185?origin=stylenumsearch|publisher=[[Nordstrom]]|accessdate=November 2011}}</ref> [[อิเล็คโทรนิค อาร์ตส]] ได้จ้างเธอให้ส่งเสริมภาคเสริมเกม ''[[เดอะซิมส์ 3: โชว์ไทม์]]''<ref>{{cite news|first=Mark|last=Sweeney|title=Katy Perry becomes a Sim|url=http://www.theguardian.com/technology/2012/jan/17/katy-perry-sim-electronic-arts|newspaper=[[The Guardian]]|publisher=[[Guardian Media Group]]|accessdate=January 22, 2012|date=January 17, 2012}}</ref> ก่อนจะออกภาคเสริมอีกภาคที่มีเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และทรงผมที่ได้แรงบันดาลใจจากเพร์รี ในชื่อ ''[[เดอะซิมส์ 3: เคที เพร์รีสวีตทรีตส์]]'' ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012<ref>{{cite web|title=The Sims 3 Katy Perry's Sweet Treats|url=http://www.ea.com/the-sims-3-kp-sweet-treats|publisher=Electronic Arts|accessdate=April 3, 2014}}</ref> ในเดือนต่อมา เธอเป็นโฆษกและฑูตให้กับผลิตภัณฑ์ [[ป็อปชิปส์]] และลงทุนในบริษัทดังกล่าวด้วย<ref name="Popchips2012">{{cite news|last=Donnelly|first=Matt|title=First Look: Katy Perry joins Popchips as its face, an investor|url=http://articles.latimes.com/2012/jul/25/entertainment/la-et-mg-katy-perry-pop-chips-endorsement|newspaper=[[Los Angeles Times]]|publisher=[[Tribune Company]]|accessdate=July 25, 2012|date=July 25, 2012}}</ref> จากการจัดอันดับของนิตยสาร ''[[ฟอบส์]]'' เธอได้อันดับที่ 3 ในรายชื่อ "ผู้หญิงที่ทำได้มากที่สุดจากวงการดนตรี" ในปี ค.ศ. 2011 ด้วยรายได้ 44 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ<ref name=Forbes2011>{{cite journal|last=Greenburg|first=Zack O'Malley|authorlink=Zack O'Malley Greenburg|title=The Top-Earning Women In Music 2011|url=http://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2011/12/14/the-top-earning-women-in-music-lady-gaga-taylor-swift-katy-parry-alicia-keys/|magazine=[[Forbes]]|publisher=Forbes Inc.|accessdate=December 14, 2011|date=December 14, 2011}}</ref> และนิตยสาร''บิลบอร์ด''จัดให้เธอเป็นอันดับที่ 14 จาก 40 อันดับผู้ทำรายได้สูงสุดในปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้สุทธิ 12 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ<ref name="billboard">{{cite journal|title=Music's Top 40 Money Makers 2012|url=http://www.billboard.com/articles/list/502623/musics-top-40-money-makers-2012|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=March 9, 2012|accessdate=March 9, 2012}}</ref>

เธอแต่งงานกับรัสเซลล์ แบรนด์ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2010 โดยจัด[[พิธีแต่งงานแบบฮินดู|พิธีแต่งงาน]]แบบ[[ฮินดู]]ใกล้ ๆ [[อุทยานแห่งชาติ Ranthambore|เขตสงวนพันธุ์เสือ Ranthambhore]] ในรัฐราชสถาน<ref name=Married>{{cite news|first=Prithwish|last=Ganguly|url=http://timesofindia.indiatimes.com/entertainment/hollywood/news-interviews/Katy-affirms-Brand-loyalty/articleshow/6808817.cms |title=Katy affirms Brand loyalty |newspaper=[[The Times of India]]|publisher=[[The Times Group]] |date=October 26, 2010 |accessdate=November 9, 2010}}</ref> แต่เนื่องจากตารางเวลางานไม่ตรงกัน และแบรนด์ต้องการมีลูกก่อนที่เพร์รีจะพร้อม<ref name="partofme3d"/> เขาได้ส่งข้อความหาเธอในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ว่าเขาจะหย่ากับเธอหลังจากแต่งงานกันได้ 14 เดือน เขาไม่พูดกับเธออีกเลยนับแต่นั้นมา<ref name="Vogue">{{cite journal|last=Woods|first=Vicki|title=Katy Perry's First Vogue Cover|url=http://www.vogue.com/magazine/article/beauty-and-the-beat-katy-perrys-first-vogue-cover/#1|magazine=[[Vogue (magazine)|Vogue]]|publisher=Advance Publications|date=June 2013|accessdate=July 2013}}</ref> ทีแรก เพร์รีรู้สึกกระวนกระวายใจเรื่องหย่าร้างจนเธอเคยคิด[[การฆ่าตัวตาย|ฆ่าตัวตาย]]<ref name=BillboardCoverStory>{{cite journal|last=Diehl|first=Matt|title=Katy Perry's 'PRISM': The Billboard Cover Story|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/5740580/katy-perrys-prism-the-billboard-cover-story|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=September 27, 2013|date=September 27, 2013}}</ref> การแต่งงานสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012<ref name="luomo">{{cite web|last=Fossi|first=Michele|title=The new cover with Katy Perry on L'Uomo Vogue|url=http://www.vogue.it/en/uomo-vogue/cover-story/2012/06/katy-perry-cover|work=Vogue|publisher=Advance Publications|date=June 22, 2012|accessdate=March 14, 2014}}</ref> เพร์รีเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่แบบรัก ๆ เลิก ๆ (on-again, off-again relationship) กับนักร้อง [[จอห์น เมเยอร์]] ในเดือนสิงหาคม<ref>{{cite journal|title=John Mayer Dedicates Song to Katy Perry During Tour Opener|url=http://www.billboard.com/articles/news/1569285/john-mayer-dedicates-song-to-katy-perry-during-tour-opener|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=July 8, 2013|accessdate=July 11, 2013}}</ref>

===2013–ปัจจุบัน: อัลบั้ม''ปริซึม''===
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เพร์รีเริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่สี่ ''[[ปริซึม (อัลบั้มของเคที เพร์รี)|ปริซึม]]'' เธอกล่าวกับ''บิลบอร์ด''ว่า "ฉันรู้ว่าผลงานที่ฉันจะทำต่อไป ฉันรู้ปกอัลบั้ม สีสัน โทน.... ฉันรู้แม้กระทั่งทัวร์คอนเสิร์ตที่ฉันจะทำ ฉันจะพอใจมากถ้าภาพที่ฉันคิดในหัวออกมาเป็นความจริงได้"<ref>{{cite web|title=Katy Perry Won't Rush New Album: "I Know Exactly The Record I Want To Make Next"|url=http://www.capitalfm.com/artists/katy-perry/news/new-album-ideas/|accessdate=May 19, 2014|date=December 1, 2012|publisher=[[Capital (radio network)|Capital]]. [[Global Group]]}}</ref> แม้ว่าเธอบอกกับ ''[[L'Uomo Vogue]]'' ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ว่าเธอวางแผนไว้ว่าจะมี "องค์ประกอบที่มืดมนลง" (darker elements) ในอัลบั้ม''ปริซึม''<ref>{{cite news|title=Katy Perry inspired by Madonna|url= http://www.mtv.com/news/articles/1688744/katy-perry-album-madonna-inspired.jhtml|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=April 29, 2014|date=June 29, 2012}}</ref> เธอเผยกับ[[เอ็มทีวี]]ในระหว่างงานประกาศรางวัล[[เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013]] ว่าเธอได้เปลี่ยนทิศทางของอัลบั้มหลังจากเธอใช้เวลาไตร่ตรองตนเอง เธอออกความเห็นว่า "ฉันรู้สึกถึงสีสันดั้งปริซึม (prismatic) อย่างมาก" ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชื่ออัลบั้ม<ref name="Light">{{cite news|last=Garibaldi|first=Christina|title=Katy Perry 'Lets the Light In' On ''Prism''|url=http://www.mtv.com/news/articles/1713176/katy-perry-prism.jhtml|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=August 28, 2013|date=August 27, 2013}}</ref> เพลง "[[โรร์ (เพลง)|โรร์]]" ออกโรงเป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม ''ปริซึม'' ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2013<ref name="Roar Release">{{cite journal|last=Caulfield|first=Keith|title=Katy Perry's 'Roar' Arrives Early: Listen|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/5645570/katy-perrys-roar-arrives-early-listen|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=August 10, 2013|accessdate=May 19, 2014}}</ref> เธอแสดงเพลงนี้ครั้งแรกในการปิดงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2013<ref name="VMA">{{cite news|last=Wickman |first=Kase |url=http://www.mtv.com/news/1713031/katy-perry-roar-vma-finale/|publisher=MTV News. Viacom |title=Katy Perry Makes Brooklyn 'Roar' With Epic VMA Finale |date=August 26, 2013|accessdate=May 19, 2014}}</ref> ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2013 เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต''บิลบอร์ด''ฮอต 100<ref name="Roar#1">{{cite journal|last=Trust|first=Gary|title=Katy Perry Dethrones Robin Thicke Atop Hot 100|url=http://www.billboard.com/articles/news/5680131/katy-perry-dethrones-robin-thicke-atop-hot-100|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=September 4, 2013|date=September 4, 2013}}</ref> เพลง "[[อันคอนดิชันแนลลี]]" ออกเป็นซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2013<ref name="UnconditionallyRelease">{{cite web|last=Benjamin|first=Jeff|title=Katy Perry Wails on New Single "Unconditionally"|url=http://www.fuse.tv/2013/10/katy-perry-unconditionally|publisher=Fuse. The Madison Square Garden Company|accessdate=October 16, 2013|date=October 16, 2013}}</ref>

อัลบั้ม ''ปริซึม'' ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2013 และเปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ต''บิลบอร์ด'' 200<ref name="PrismBillboard">{{cite journal|last=Caulfield|first=Keith|title=Katy Perry's 'PRISM' Shines at No. 1 on Billboard 200|url=http://www.billboard.com/articles/news/5770710/katy-perrys-prism-shines-at-no-1-on-billboard-200|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=November 9, 2013}}</ref> สี่วันต่อมา เพร์รีเปิดตัวเพลงใหม่จากอัลบั้มที่โรงละครไอฮาร์ตเรดิโอในลอสแองเจลิส<ref name="ReleaseParty">{{cite news|last=Gundersen|first=Edna|title=Live stream: Katy Perry's 'Prism' album release party|url=http://www.usatoday.com/story/life/music/2013/10/22/katy-perry-prism-album-party-stream/3153989/|newspaper=USA Today|publisher=Gannett Company|date=October 22, 2013|accessdate=May 22, 2014}}</ref> เพลง "[[ดาร์กฮอร์ส (เพลงของเคที เพร์รี)|ดาร์กฮอร์ส]]" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สามในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013<ref name="Rhythmic">{{cite journal |url= http://www.billboard.com/articles/columns/chart-beat/5819941/katy-perry-rides-in-on-a-dark-horse-her-aptly-titled-unexpected |title=Perry's 'Dark Horse' Hit |magazine=Billboard |publisher=Prometheus Global Media |date=December 9, 2013|accessdate=December 18, 2013 |last=Trust |first=Gary}}</ref> กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 เป็นเพลงที่เก้าของเธอเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2014<ref name=NumberOneHorse>{{cite journal|last=Trust|first=Gary|title=Katy Perry's 'Dark Horse' Gallops to No. 1 on Hot 100|url=http://www.billboard.com/articles/news/5885830/katy-perry-dark-horse-hot-100-no-1|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=January 29, 2014|date=January 29, 2014}}</ref> เพลง "[[เบิร์ธเดย์ (เพลงของเคที เพร์รี)|เบิร์ธเดย์]]" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้ม''ปริซึม''<ref>{{cite web |url=http://gfa.radioandrecords.com/publishGFA/GFANextPage.asp?sDate=04/21/2014&Format=1 |title=CHR/Top 40 |publisher=[[Radio & Records]] |accessdate=April 11, 2014 |archiveurl=http://web.archive.org/web/20140411120609/http://gfa.radioandrecords.com/publishGFA/GFANextPage.asp?sDate=04/21/2014&Format=1 |archivedate=April 11, 2014}}</ref><ref>{{cite web |url=http://gfa.radioandrecords.com/publishGFA/GFANextPage.asp?sDate=04/21/2014&Format=9 |title=Rhythmic |publisher=[[Radio & Records]] |accessdate=April 11, 2014 |archiveurl=http://web.archive.org/web/20140411121629/http://gfa.radioandrecords.com/publishGFA/GFANextPage.asp?sDate=04/21/2014&Format=9 |archivedate=April 11, 2014}}</ref> นอกจากนี้ เธอยังได้บันทึกเสียงและแต่งเพลงร่วมกับคนรักหนุ่มในขณะนั้น [[จอห์น เมเยอร์]] ในเพลง "[[ฮูยูเลิฟ]]" จากอัลบั้มของเขา ''[[พาราไดซ์แวลลี (อัลบั้ม)|พาราไดซ์แวลลี]]'' เพลงออกมาวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2013<ref name="ParadiseNow">{{cite journal|last=Danton|first=Eric R.|url=http://www.rollingstone.com/music/news/listen-to-john-mayers-paradise-valley-now-20130813|title=Listen to John Mayer's 'Paradise Valley' Now|magazine=Rolling Stone|publisher=Jann Wenner|accessdate=August 13, 2013|date=August 13, 2013}}</ref> เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตของตนเองชื่อ [[เดอะพริสมาติกทัวร์]] ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 เริ่มจากยุโรป<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/5793234/katy-perry-announces-first-prismatic-world-tour-dates|title=Katy Perry Announces First 'PRISMATIC' World Tour Dates|date=November 18, 2013|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|first=Jason|last=Lipshutz|accessdate=April 29, 2014}}</ref> และมีแผนว่าจะไปที่อเมริกาเหนือ<ref name=PrismaticNorthAmerica/> และโอเชียเนีย<ref>{{cite web|url=http://www.2dayfm.com.au/scoopla/music/blog/2014/2/katy-perrys-prismatic-world-tour/|publisher=[[2Day FM]]. [[Austereo Radio Network]]|accessdate=May 25, 2014|date=February 26, 2014|first=Dan|last=Hill|title=Katy Perry's Prismatic World Tour!}}</ref>

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 นิตยสาร''บิลบอร์ด''ขนานนามเพร์รีว่าเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" (Woman of the Year)<ref name=WomanOfTheYear>{{cite journal|title=Katy Perry: Billboard's Woman of the Year|url=http://www.billboard.com/articles/news/474944/katy-perry-is-billboards-woman-of-the-year|work=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=September 25, 2012|accessdate=April 29, 2014}}</ref> [[สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศ]]ตั้งให้เพร์รีเป็นศิลปินระดับโลกอันดับที่ห้าของปี ค.ศ. 2013 ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่อันดับสูงสุดในรายชื่อ<ref name=IFPI>{{cite journal|last=Brandle|first=Lars|title=One Direction Named Most Popular Recording Artist for 2013|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/5892841/one-direction-named-most-popular-recording-artist-for-2013|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=February 5, 2014|date=January 30, 2014}}</ref> ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2014 [[สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา]]ได้ประกาศให้เพร์รีเป็นศิลปินที่ได้รับการรับรองมากที่สุด (Top Certified Digital Artist Ever) หลังจากทำยอดขายได้ 72 ล้านหน่วยดิจิตอลในสหรัฐอเมริกา<ref name=TopCertified>{{cite web|title=RIAA Crowns Katy Perry Top Certified Digital Artist Ever|url=http://www.riaa.com/newsitem.php?content_selector=newsandviews&news_month_filter=6&news_year_filter=2014&id=8F0AFFDA-2B31-72D3-0590-6944C8F0DB00|publisher=Recording Industry Association of America|accessdate=June 26, 2014|date=June 26, 2014}}</ref><ref>{{cite journal|title=Katy Perry Becomes the RIAA's All-Time Top Digital Artist|url=http://www.billboard.com/articles/6140789/katy-perry-riaa-top-digital-artist-award-platinum-gold-prism-sales|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=June 26, 2014|date=June 26, 2014}}</ref> ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 ภาพนิ่งของเพร์รีที่วาดโดย[[มาร์ก ไรเดน]] ได้แสดงในนิทรรศการ "The Gay 90s" และแสดงที่ Kohn Gallery ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอยังได้บันทึกเสียงเพลงเวอร์ชันทำใหม่ "[[เดย์ซีเบลล์|เดย์ซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)]]" ร่วมกับศิลปินอื่นมากมายในอัลบั้มฉบับจำกัดที่มาพร้อมกับนิทรรศการดังกล่าว<ref name=MarkRyder>{{cite journal|last=Williams|first=Maxwell|title=Katy Perry Featured on Pop Artist Mark Ryden's $100 'Gay Nineties' Album|url=http://www.hollywoodreporter.com/news/katy-perry-featured-pop-artist-700730|magazine=[[The Hollywood Reporter]]|publisher=Prometheus Global Media|accessdate=May 3, 2014|date=May 2, 2014}}</ref> ในเดือนเดียวกันนั้น ภาพนิ่งอีกภาพหนึ่งของเพร์รีวาดโดย[[วิล ค็อตตัน]] ได้แสดงอยู่ใน[[แกลอรีภาพนิ่งแห่งชาติ (สหรัฐอเมริกา)|แกลอรีภาพนิ่งแห่งชาติ]]<ref>{{cite journal|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/6092288/katy-perry-added-to-us-national-portrait-gallery|title=Katy Perry Added to US National Portrait Gallery|date=May 21, 2014|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|first=Associate|last=Press|accessdate=May 29, 2014}}</ref>

นอกจากงานดนตรี เพร์รีได้กลับมารับบทสเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์ ''[[เดอะสเมิร์ฟ 2]]'' ออกมาในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2013<ref>{{cite web|url=http://www.upi.com/Entertainment_News/Music/2013/07/29/Katy-Perry-sings-on-Britney-Spears-Smurfs-2-song/UPI-53841375115737/ |title=Katy Perry taped background vocals for 'Ooh La La' |publisher=[[United Press International]]. [[News World Communications]]|date=July 29, 2013 |accessdate=August 8, 2013}}</ref> ภาพยนตร์ทำรายได้ได้ 347,545,360 ดอลล่าร์สหรัฐ<ref>{{cite web|url=http://www.boxofficemojo.com/movies/?id=smurfs2.htm|title=The Smurfs 2 (2013)|publisher=Box Office Mojo|accessdate=April 29, 2014}}</ref> แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์แง่ลบเช่นเดียวกับภาคแรก<ref>{{cite web|title=The Smurfs 2|url=http://www.rottentomatoes.com/m/the_smurfs_2/|publisher=Rotten Tomatoes. Flixster|accessdate=January 16, 2014}}</ref> น้ำหอมตัวที่สามชื่อ [[คิลเลอร์ควีน โดยเคที เพร์รี|คิลเลอร์ควีน]] ออกมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ผ่านทางบริษัท[[โคตี]] (Coty, inc.)<ref name="killerqueen1">{{cite news|last=Wilson|first=Gaby|title=Katy Perry Launches Third Fragrance: Killer Queen|url=http://style.mtv.com/2013/05/03/katy-perry-killer-queen-perfume/|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=June 18, 2013|date=May 3, 2013}}</ref> ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นภัณฑารักษ์รับเชิญให้[[มาดอนน่า]]ในโครงการริเริ่ม [[ซีเคร็ตโปรเจกต์เรโวลูชัน|อาร์ตฟอร์ฟรีดอม]]<ref>{{cite journal|title=Katy Perry to Guest Curate Madonna's Art for Freedom Project|url=http://www.billboard.com/articles/news/5862354/katy-perry-to-guest-curate-madonnas-art-for-freedom-project|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=January 7, 2014|accessdate=May 26, 2014}}</ref> ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เพร์รีประกาศว่าเธอได้ก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองภายใต้สังกัดแคปิตอลเรเคิดส์ในชื่อ [[เมตามอร์โฟซิสมิวสิก]] [[เฟร์ราส์]]เป็นศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดดังกล่าว และเพร์รีเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์ให้[[เฟร์ราส์ (อีพี)|อีพีของเขา]] เธอยังบันทึกเสียงเพลง "เลเจนส์เนเวอร์ดาย" ร่วมกับเขาในอีพีด้วย<ref>{{cite web|last=Lindner|first=Emilee|title=Katy Perry Starts Her Own Record Label and Reveals First Signee|url=http://www.mtv.com/news/1848357/katy-perry-ferras-metamorphosis-music/|publisher=MTV News. Viacom|accessdate=June 17, 2014|date=June 17, 2014}}</ref> นิตยสาร''ฟอบส์''จัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่ทำเงินได้มากที่สุดด้านดนตรี" อันดับที่ 5 ของปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้ 45 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ<ref name=Forbes2012>{{cite journal|last=Greenburg|first=Zack O'Malley|title=The Top-Earning Women In Music 2012|url=http://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2012/12/12/the-top-earning-women-in-music-2012/|magazine=Forbes|publisher=Forbes Inc.|accessdate=December 12, 2012|date=December 12, 2012}}</ref> และอันดับที่ 7 ของปี ค.ศ. 2013 ด้วยรายได้ 39 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ<ref>{{cite journal|last=Greenburg|first=Zack O'Malley|title=The Top-Earning Women In Music 2013|url=http://www.forbes.com/sites/zackomalleygreenburg/2013/12/11/the-top-earning-women-in-music-2013/|magazine=Forbes|publisher=Forbes Inc.|accessdate=December 11, 2013|date=December 11, 2013}}</ref> ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเมเยอร์สิ้นสุดลง<ref>
*{{cite journal|last=Lipshutz|first=Jason|title=Katy Perry & John Mayer Break Up: Report|url=http://www.billboard.com/articles/columns/pop-shop/5915797/katy-perry-john-mayer-break-up-report|magazine=Billboard|publisher=Prometheus Global Media|date=February 26, 2014|accessdate=February 27, 2014}}
*{{cite web|publisher=E!. NBCUniversal|accessdate=March 31, 2014|url=http://eonline.com/news/526530/katy-perry-after-john-mayer-new-hair-new-tour-new-very-expensive-hobby|date=March 31, 2014|title=Katy Perry After John Mayer: New Hair, New Tour, New Very Expensive Hobby|first=Marc|last=Malkin}}
*{{cite news|url=http://christianpost.com/news/katy-perry-responds-to-miley-cyrus-john-mayer-diss--115763/|newspaper=[[The Christian Post]]|date=March 7, 2014|accessdate=March 31, 2014|last=Thomasos|first=Christine|title=Katy Perry and John Mayer Break Up: Singer Responds to Miley Cyrus Split Diss}}</ref> หนึ่งเดือนก่อนจบความสัมพันธ์ เธอได้แก้ข่าวลือว่าเธอได้หมั้นกับเขา โดยบอกกับนิตยสาร''[[จีคิว]]''ว่าพวกเขายังไม่รีบแต่งงาน<ref name="GQ"/>


==ผลงาน==
==ผลงาน==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 20:51, 7 กรกฎาคม 2557

เคที เพร์รี
เคที เพร์รี ณ งานเอ็นอาร์เจมิวสิกอวอร์ดส
เพร์รีเข้าร่วมงานเอ็นอาร์เจมิวสิกอวอร์ดส ที่กาน ฝรั่งเศส วันที่ 14 ธันวาคม 2013
เกิดแคเทอรีน เอลิซาเบท ฮัดสัน
(1984-10-25) ตุลาคม 25, 1984 (39 ปี)
ใกล้ ๆ แซนตาบาร์บารา แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ชื่ออื่นเคที ฮัดสัน
การศึกษาDos Pueblos High School
Music Academy of the West
อาชีพ
  • นักร้อง
  • นักแต่งเพลง
  • นักแสดง
  • นักธุรกิจ
  • นักการกุศล
คู่สมรสรัสเซลล์ แบรนด์ (สมรส 2010–2012)
ญาติแฟรงก์ เพร์รี (ลุง)
เดวิด ฮัดสัน (น้องชาย)
อาชีพทางดนตรี
แนวเพลง
เครื่องดนตรี
  • ร้องนำ
  • กีตาร์
  • เปียโน
ช่วงปี1997–ปัจจุบัน
ค่ายเพลง
เว็บไซต์katyperry.com

แคเทอรีน เอลิซาเบท ฮัดสัน (อังกฤษ: Katheryn Elizabeth Hudson)[1] หรือชื่อในวงการคือ เคที เพร์รี (อังกฤษ: Katy Perry) เกิดเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 1984 เป็นนักร้อง นักแต่งเพลง นักธุรกิจ นักการกุศล และนักแสดงชาวอเมริกัน เคที เพร์รีเติบโตที่แซนตาบาร์บารา แคลิฟอร์เนีย ในวัยเด็ก เธอจำกัดแนวเพลงตนเองเป็นแนวเพลงป็อปเท่านั้น และทำงานร้องเพลงกอสเปลในโบสถ์ขณะเป็นวัยรุ่น ออกเป็นสตูดิโออัลบั้มเปิดตัวในชื่อ เคที ฮัดสัน ในปี ค.ศ. 2001 ปีต่อมา เธอย้ายไปที่ลอสแองเจลิสเพื่อลองเสี่ยงกับแนวดนตรีป็อปร็อก เธอบันทึกอัลบั้มร่วมกับทีมโปรดิวเซอร์เดอะแมทริกซ์ ออกจำหน่ายในปี ค.ศ. 2009 เธอยังทำอัลบั้มเดียวร่วมกับเกล็น บัลลาร์ด แต่ไม่เคยออกจำหน่าย

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007 เพร์รีเซ็นสัญญากับค่ายเพลงแคปิตอลเรเคิดส์ เธอเริ่มมีชื่อเสียงในปี ค.ศ. 2008 หลังจากออกซิงเกิล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" จากอัลบั้มชุดที่สอง วันออฟเดอะบอยส์ อัลบั้มชุดที่สามในชื่อ ทีมเอจดรีม (ค.ศ. 2010) ตามมาพร้อมกับซิงเกิลที่ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 อย่าง "แคลิฟอร์เนียเกิร์ล" และ "ทีนเอจดรีม" หลังจากนั้นก็มีซิงเกิลอันดับหนึ่งอีกหลายซิงเกิล เช่น "ไฟร์เวิกส์", "อี.ที." และ "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ)" อัลบั้มนี้กลายเป็นอัลบั้มของศิลปินหญิงอัลบั้มแรกที่มีซิงเกิลอันดับหนึ่งของชาร์ตบิลบอร์ดถึง 5 เพลง และเป็นรองจากอัลบั้ม แบด (ค.ศ. 1987) ของไมเคิล แจ็กสัน ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2012 เธอออกอัลบั้มซ้ำในชื่อ ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน มีซิงเกิลอันดับหนึ่งคือ "พาร์ตออฟมี" อัลบั้มชุดที่สี่ ปริซึม (ค.ศ. 2013) ก็มีซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ "โรร์" และ "ดาร์กฮอร์ส"

เพร์รีได้รับรางวัลและได้เสนอเข้าชิงรางวัลมากมาย เช่น เข้าชิงรางวัลแกรมมี 11 รางวัล บิลบอร์ดจัดว่าเธอเป็นสตรีแห่งปี 2012 (2012's Woman of the Year) เธอได้อยู่ในรายชื่อ "สตรีที่มีรายได้สูงสุดด้านดนตรี" ในปี ค.ศ. 2011, 2012 และ 2013 จัดโดยนิตยสารฟอบส์ เพร์รีเป็นนักร้องเพียงคนเดียวที่มีเพลงอยู่ใน 10 อันดับแรกของชาร์ตฮอต 100 ถึง 69 สัปดาห์ติดต่อกัน เธอขายอัลบั้มได้มากกว่า 11 ล้านหน่วยและขายซิงเกิลได้ 81 ล้านหน่วยทั่วโลกนับถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 เธอมีซิงเกิลที่ได้รับการรับรองระดับแพลตินัม 5 เท่าถึง 6 เพลง มากกว่านักร้องคนอื่น ๆ

เพร์รีได้เสี่ยงทำของที่ระลึกและออกจำหน่ายน้ำหอมเพอร์ เมียว! และคิลเลอร์ควีน ในปลายเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2011 เธอเริ่มงานภาพยนตร์โดยพากย์เสียงให้ตัวละคร สเมิร์ฟเฟตต์ จากเรื่อง เดอะ สเมิร์ฟ ในต้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 เธอออกภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติแบบ 3 มิติเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของเธอในฐานะนักร้องทัวร์คอนเสิร์ตและการแยกทางจากนักแสดงชาวอังกฤษ รัสเซลล์ แบรนด์ อดีตสามีที่แต่งงานกันเป็นเวลาหนึ่งปี

ชีวิตและอาชีพการงาน

1984–98: ชีวิตช่วงแรก และการเริ่มต้นอาชีพ

แคเทอรีน เอลิซาเบธ ฮัดสัน เกิดใกล้กับแซนตาบาร์บารา รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรของนักบุญเพนเทคอสต์ เมารีซ คีธ ฮัดสัน และแมรี คริสตีน เพร์รี แห่งคณะสงฆ์คีธ ฮัดสัน (Keith Hudson Ministries)[2] พ่อแม่ของเธอล้วนแต่เป็นคริสต์ศาสนิกชนเกิดใหม่ (born again Christians) แต่ละคนได้กลับตัวเป็นคนดีหลังจากมี "วัยหนุ่มสาวเป็นคนเถื่อน" (wild youth) คีธเคยผลิตและค้าแอลเอสดีร่วมกับทิโมธี เลียรีมาก่อน ขณะที่แมรีเคยคบหากับนักดนตรีจิมิ เฮนดริกซ์มาก่อนเช่นกัน[3] เพร์รีเป็นหลานสาวไม่แท้ของผู้กำกับภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ แฟรงก์ โจเซฟ เพร์รี จูเนียร์[4] เธอยังมีน้องชายที่เป็นนักร้องเช่นกันชื่อ เดวิด ฮัดสัน[5] และพี่สาวชื่อแองเจลา[6]

ระหว่างอายุ 3-11 ขวบ ครอบครัวของเพร์รีย้ายที่อยู่บ่อยครั้งเพื่อสร้างโบสถ์คริสต์ทั่วประเทศ ก่อนที่จะย้ายกลับมาตั้งรกรากที่แซนตาบาร์บาราอีกครั้ง ตลอดวัยเด็ก เธอเข้าโรงเรียนและค่ายสอนศาสนา รวมถึงโรงเรียนคริสต์แซนตาบาร์บารา (Santa Barbara Christian School) ในระหว่างชั้นประถม เพร์รีกล่าวว่าในวัยเด็กมัน "ลำบาก" ที่ต้องย้ายโรงเรียนบ่อยครั้งและต้องขาดการติดต่อกับเพื่อน ๆ และบางครั้งเธอรู้สึกว่าเธอ "อยู่ผิดที่" (out of place) ตลอดเวลาที่เธอเป็นเด็ก ครอบครัวของเธอมีฐานะค่อนข้างยากจนตลอดวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่[7] บางครั้งพวกเธอต้องกินอาหารจากธนาคารอาหารที่รวบรวมไว้ในโบสถ์ของพ่อแม่ของเธอ และใช้แสตมป์อาหาร[8]

เพร์รีกล่าวถึงพ่อแม่ว่าเป็นคน "เข้มงวดอย่างไม่เหมือนใคร" ขณะที่แองเจลาหวนคิดถึงอดีตแล้วพบว่าพ่อแม่เลี้ยงดูพวกเธอแบบ "God's way or no way" ทำให้พวกเธอถูกห้ามไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นที่นิยม เดวิดจำได้ว่าพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้กินซีเรียลลักกีชาร์ม (Lucky Charms) เพราะว่า "โชคเป็นของลูซิเฟอร์" (luck is of Lucifer) และต้องเรียกไข่ปีศาจ (deviled egg) ว่า "ไข่นางฟ้า" (angel egg)[6] เพร์รีฟังเพลงกอสเปลเป็นหลัก[9] เนื่องจากการฟัง "เพลงเกี่ยวกับทางโลก" ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว เธอถูกห้ามไม่ให้ดูโทรทัศน์ช่องเอ็มทีวี แต่ก็ได้รู้จักกับเพลงดังเมื่อเธอได้ดูช่องเพลงที่บ้านเพื่อนของเธอ[10]

เพร์รีเริ่มร้องเพลงโดย "เลียนแบบ" แองเจลา ฝึกฝนจากเทปคาสเซ็ตของพี่สาวเธอ เธอแสดงร้องเพลงต่อหน้าพ่อแม่ ซึ่งภายหลังแนะนำให้เธอเรียนร้องเพลง ต่อมาเธอได้ฝึกร้องเพลงตั้งแต่อายุ 9-16 ปี[11] เพร์รีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะสงฆ์และเริ่มร้องเพลงที่โบสถ์ตั้งแต่อายุ 9 ขวบก่อนที่พ่อแม่จะมอบกีตาร์ให้เป็นของขวัญวันเกิดอายุครบ 13 ปี [3][12] เธอเริ่มแต่งเพลงกอสเปลเพื่อใช้ร้องในโบสถ์ ในวัยรุ่น เพร์รีกล่าวว่าเธอ "อยากจะเป็นเด็กหญิงชาวแคลิฟอร์เนียธรรมดา ๆ" โดยลองเล่นกระดานโต้คลื่น และเข้าไปพัวพันกับการเล่นโรลเลอร์สเกตอย่างลึกซึ้ง เดวิดเรียกเธอในตอนนั้นเธอ "ค่อนไปทางทอมบอย"[6] นอกจากนั้น เธอยังเรียนเต้นรำในอาคารสันทนาการแห่งหนึ่งในแซนตาบาร์บารา โดยเริ่มจากการเต้นแบบสวิง ลินดีฮอป และจิตเตอร์บัก (jitterbug)[13]

1999–2006: เคที ฮัดสัน และ เดอะแมทริกซ์

ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1999 เพร์รีผ่านการสอบเทียบวุฒิชั้นมัธยมศึกษา (General Educational Development) เพื่อเข้าเรียนภาคเรียนแรกของชั้นปีที่หนึ่งที่โดสพวยโบลสไฮสกูล (Dos Pueblos High School) และลาออกจากโรงเรียนเพื่อทุ่มเทกับงานดนตรี เพร์รีได้ศึกษาวิชาละครโอเปราอิตาลี (Italian opera) เป็นเวลาสั้น ๆ ที่สถาบันดนตรีตะวันตก (Music Academy of the West) ในแซนตาบาร์บารา[14] ตอนอายุ 15 ปี เธอได้ร้องเพลงจนเข้าตาผู้ชำนาญเพลงร็อกจากแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ที่ต่อมาได้พาเธอไปฝึกฝนทักษะการแต่งเพลง[2] ที่แนชวิลล์ เธอบันทึกเสียงเดโมและเรียนรู้การแต่งเพลงและเล่นกีตาร์[9] หลังจากเซ็นสัญญาเร้ดฮิลล์เรเคิดส์ เพร์รีได้บันทึกเสียงอัลบั้มชุดแรกเป็นแนวเพลงกอสเปลในชื่อ เคที ฮัดสัน อัลบั้มออกจำหน่ายเดือนมีนาคม ค.ศ. 2001 และร่วมทัวร์คอนเสิร์ต เดอะสเตรนจ์ลีนอร์มัลทัวร์ (The Strangely Normal Tour) เพื่อส่งเสริมอัลบั้ม[15] อัลบั้มไม่ประสบความสำเร็จ ขายได้ประมาณ 200 หน่วย ก่อนที่ค่ายเพลงจะปิดตัวลงในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2001[2]

เธอเริ่มทิ้งแนวเพลงกอสเปลและเริ่มข้ามมาแนวป็อปและร็อก[6] เพร์รีเริ่มเขียนเพลงกับโปรดิวเซอร์ชื่อเกล็น บัลลาร์ด[4] และย้ายไปต่อยอดด้านอาชีพดนตรีที่ลอสแองเจลิส[16] ในปี ค.ศ. 2003 เธอแสดงโดยใช้ชื่อแคเทอรีน เพร์รี เพื่อไม่ให้สับสนกับนักแสดงที่ชื่อเคต ฮัดสัน ต่อมาในปีนั้น เธอจึงได้ตั้งชื่อสเตจเนม (stage name) ของเธอว่า เคที เพร์รี หลังจากเธอหมดสัญญากับค่ายเพลงดิไอส์แลนด์เดฟแจมมิวสิกกรุ๊ป เธอได้เซ็นสัญญากับค่ายโคลัมเบียเรเคิดส์ในปี ค.ศ. 2004[2] โคลัมเบียต้องการจะให้เธอเป็นนักร้องนำผู้หญิงของทีมโปรดิวเซอร์เพลงชื่อ ดอะแมทริกซ์ ที่กำลังทำอัลบั้มเพลงอยู่ในขณะนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ค่ายเพลงได้พักอัลบั้มไว้หลังจากทำเสร็จแค่ 80%[2] ค่ายเพลงที่สามได้หยุดให้งานเธอและอัลบั้มเดี่ยวที่เธอทำกับบัลลาร์ดก็โดนพักเช่นกัน[17] ในระหว่างที่เธอกำลังเซ็นสัญญากับค่ายเพลงอื่น เธอได้ทำงานในบริษัทคัดสรรและพัฒนาศิลปินอิสระแห่งหนึ่งชื่อว่า แท็กซีมิวสิก[2]

เพร์รีประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อยก่อนจะมีชื่อเสียง หนึ่งในเพลงที่เธอบันทึกเสียงกับบัลลาร์ดในอัลบั้มของเธอคือเพลง "ซิมเพิล" ได้กลายเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ปี ค.ศ. 2005 เรื่อง มนต์รักกางเกงยีนส์ (The Sisterhood of the Traveling Pants)[17] เธอยังร้องเสียงเบื้องหลังให้กับเพลง "โอลด์แฮบิตดายฮาร์ด" ของมิก แจ็กเกอร์[18] ซึ่งชนะรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 62 สาขา Best Original Song ด้วย (2005 Golden Globe Award for Best Original Song)[19] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 นิตยสารเบลนเดอร์ขนานนามเพร์รีว่าเป็น "บุคคลยิ่งใหญ่คนต่อไป" (The Next Big Thing)[20] เธอยังร้องเบื้องหลังให้กับเพลง "กู๊ดบายฟอร์นาว" ของพี.โอ.ดี. เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 และรับบทเป็นคนรักกับนักร้องนำวงจิม คลาส ฮีโรส์ ชื่อ เทรวี แม็กคอย คนรักหนุ่มของเธอในขณะนั้น ในมิวสิกวิดีโอเพลง "คิวปิดส์โช้กโฮลด์" ในเดือนพฤศจิกายน[21]

2007–09: ประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์

เพร์รีกำลังแสดงดนตรีใน วาปต์ทัวร์
เพร์รีกำลังแสดงดนตรีในทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ วาปต์ทัวร์ ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008

หลังจากไม่ได้รับงานจากค่ายโคลัมเบียแล้วในปี ค.ศ. 2006 หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทชื่อ แองเจลิกา ค็อบเบเลอร์ แนะนำเพร์รีให้ประธานค่ายเพลงเวอร์จินเรเคิดส์ชื่อ เจสัน ฟลอม โดยทำให้เขาเชื่อว่าเธอจะกลายเป็นดาวรุ่ง และเธอก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลงใหม่เอี่ยมในขณะนั้น แคปิตอลมิวสิกกรุ๊ป ซึ่งเกิดจากการรวมเวอร์จินกับแคปิตอลเรเคิดส์เข้าด้วยกันในเดือนเมษายน ค.ศ. 2007[2] ทางต้นสังกัดจัดเวลาให้เธอพบกับโปรดิวเซอร์เพลงชื่อ ดร.ลู้ก เพื่อทำให้ชิ้นงานที่ยังไม่เสร็จของเธอให้เป็น "ความสำเร็จอย่างปฏิเสธไม่ลง" (undeniable smash)[22] เพร์รีกับดร.ลู้ก ร่วมเขียนเพลง "ไอคิสด์อะเกิร์ล" และ "ฮอตเอ็นโคลด์" ให้อัลบั้มชุดที่สองของเธอ วันออฟเดอะบอยส์ การโฆษณาอัลบั้มนี้เริ่มด้วยการออกวิดีโอเพลง "ยัวร์โซเกย์" เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2007 หวังที่จะเปิดตัวเธอในตลาดเพลงและสร้างภาพลักษณ์ให้เธอ ต่อมามีอีพีดิจิตอลเพลง "ยัวร์โซเกย์" ออกมาเพื่อสร้างกระแสออนไลน์ (online buzz)[3][23] มาดอนน่าช่วยประชาสัมพันธ์เพลงโดยกล่าวชื่นชมเพลงนี้ในรายการ จอห์นเจแอนด์ริช (JohnJay & Rich) ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2008[24]

เพร์รีเริ่มประสบความสำเร็จจากกระแสหลักจากซิงเกิล "ไอคิสด์อะเกิร์ล" เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2008 เป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ สถานีแรกที่เปิดเพลงนี้คือ WRVW ในแนชวิลล์ ที่หลังจากเล่นเพลงนี้เพียง 3 วัน ก็มีโทรศัพท์เข้ามาขอเพลงอย่างล้มหลาม[23] ในเดือนเดียวกันนั้น เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[25] อัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ออกวางขายวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ได้รับคำวิจารณ์แบบคละกัน[26] อัลบั้มขึ้นถึงอันดับที่ 9 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[27] เพลง "ฮอตเอ็นโคลด์" ออกมาในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 2008 กลายเป็นเพลงที่สองที่ประสบความสำเร็จ ขึ้นอันดับ 3 บนบิลบอร์ดฮอต 100[28] และขึ้นอันดับ 1 ในเยอรมนีและแคนาดา[29][30] หลังจากนั้นมีซิงเกิลเพลง "ธิงกิงออฟยู" และ "เวกกิงอัปอินเวกัส" ออกมาและประสบความสำเร็จปานกลาง[28]

ในวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 2008 เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตชื่อ วาปต์ทัวร์ 2008 (Warped Tour 2008)[31] หลังจากทัวร์สิ้นสุด เธอเริ่มแสดงคอนเสิร์ตในยุโรปก่อนจะมีทัวร์คอนเสิร์ตของตัวเองในชื่อ เฮลโลเคทีทัวร์ (Hello Katy Tour) ในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 2009 ซึ่งประกอบไปด้วย 89 คอนเสิร์ตในหลายประเทศและจบลงในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 ในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 2009 เธอแสดงคอนเสิร์ตเปิดงานให้กับวงโนเดาต์ ในคอนเสิร์ตชื่อ ซัมเมอร์ทัวร์ 2009[32] ต่อมาอัลบั้มของเดอะเมทริกซ์ที่เพร์รีเคยร่วมบันทึกเสียงเมื่อปี ค.ศ. 2004 ออกจำหน่ายหลังจากเพร์รีประสบความสำเร็จในผลงานเดี่ยว เธอได้ขอร้องให้รอจนกว่าซิงเกิลที่สี่ของอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ออกมาก่อน แต่อัลบั้มเดอะแมทริกซ์ก็ออกจำหน่ายทางไอทูนส์ในวันที่ 27 มกราคม ค.ศ. 2009 แม้ว่าเธอเคยขอร้องไว้ก็ตาม[33] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 รายการ เอ็มทีวีอันพลักด์ ประกาศว่าเธอได้บันทึกเสียงอัลบั้มบันทึกกการแสดงสดที่มีเพลงหลายเพลงจากอัลบั้ม วันออฟเดอะบอยส์ ในเวอร์ชันอคูสติก และยังมีเพลงใหม่ 2 เพลง ได้แก่ "บริกบายบริก" และเพลงเวอร์ชันทำใหม่ "แฮกเคนแซ็ก" ของฟาวน์เทนส์ออฟเวน อัลบั้มบันทึกการแสดงสดออกมาในวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 2009[34] เพร์รียังได้ปรากฏในซิงเกิลของศิลปินอื่น เช่น ในเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "สตาร์สตรักก์" ของวงดนตรีจากโคโลราโดชื่อ ทรีโอ!ทรี เมื่อเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 และบันทึกเสียงคู่กับทิมบาแลนด์ในเพลง "อิฟวีเอฟเวอร์มีตอะเกน" จากอัลบั้ม ช็อกแวลยู II เมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 2010 ด้วย[35] บันทึกสถิติโลกกินเนสส์กำหนดให้เธอเป็น "ศิลปินหญิงที่เริ่มต้นได้ดีที่สุดบนชาร์ตดิจิตอล" (Best Start on the U.S. Digital Chart by a Female Artist) หลังจากที่เธอทำยอดขายดิจิตอลซิงเกิลได้มากกว่า 2 ล้านหน่วย[36]

จากที่เธอเข้าใจว่าพ่อแม่ของเธอไม่เห็นด้วยกับอาชีพด้านดนตรีของเธอ เพร์รีกล่าวกับเอ็มทีวีในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2008 ว่า พ่อแม่ของเธอไม่หวั่นใจกับความสำเร็จที่เธอได้[37] ความสัมพันธ์ระหว่างกับแม็กคอยจบลงในปลายเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008[38] ในระหว่างฤดูร้อนปี ค.ศ. 2009 เพร์รีพบกับสามีในอนาคตชื่อ รัสเซลล์ แบรนด์ ขณะถ่ายทำภาพยนตร์ที่เขาแสดงเรื่อง จับร็อคซ่าส์มาโชว์เฟี้ยว (Get Him to the Greek) ฉากที่เธอเล่นเป็นฉากที่ทั้งสองคนจูบกันแต่โดนตัดออกและไม่ปรากฏในภาพยนตร์[39] เธอเริ่มคบหากับแบรนด์หลังจากพบกันอีกครั้งในเดือนกันยายนที่งานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2009[40] ทั้งคู่หมั้นกันในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2009 ขณะพักร้อนที่รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย[41]

2010–12: อัลบั้มทีนเอจดรีม

หลังจากรับหน้าที่เป็นกรรมการรับเชิญในรายการอเมริกันไอดอล และดิเอ็กซ์แฟกเตอร์ สหราชอาณาจักร[42][43] เพร์รีออกเพลง "แคลิฟอร์เนียเกิลส์" ร้องร่วมกับสนูป ด็อกก์เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 เป็นซิงเกิลเปิดตัวของสตูดิโออัลบั้มชุดที่สาม ทีนเอจดรีม และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 และอยู่ตำแหน่งนั้นเป็นเวลา 6 สัปดาห์ติดต่อกัน[44][45] เธอออกซิงเกิลติดอันดับ 1 เพลงที่สองคือ "ทีนเอจดรีม" ก่อนจะวางขายอัลบั้มในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ทีนเอจดรีม เปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[46] อัลบั้มพบกับคำวิจารณ์แบบคละกันและขายได้ 5.7 ล้านหน่วยทั่วโลก[47][48] ในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2010 เพลง "ไฟร์เวิกส์" เป็นเพลงที่สามของอัลบั้ม กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นเพลงที่สามติดต่อกันในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2010[49] เพลงได้รับการรับรอง 9 ครั้งในสหรัฐอเมริกา และถือเป็นเพลงที่ขายดีที่สุดของเพร์รีจนถึงปัจจุบัน[50]

ความสำเร็จของอัลบั้ม ทีนเอจดรีม ดำเนินต่อด้วยเวอร์ชันทำใหม่ของเพลง "อี.ที." ร้องร่วมกับแร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เป็นซิงเกิลที่สี่ของอัลบั้มในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 เป็นเวลา 5 สัปดาห์ไม่ติดต่อกัน ทำให้อัลบั้ม ทีนเอจดรีม เป็นอัลบั้มที่เก้าในประวัติศาสตร์ที่ผลิตเพลงอันดับ 1 ถึง 4 เพลง[51] เพร์รีกลายเป็นนักร้องหญิงคนแรกที่มีเพลงติดอันดับ 1 บนชาร์ตฮอต 100 ถึง 5 เพลงจากอัลบั้มเดียว เมื่อเพลง "ลาสต์ฟรายเดย์ไนต์ (ที.จี.ไอ.เอฟ.)" ขึ้นอันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 2011 และเป็นนักร้องคนที่สอง ต่อจากไมเคิล แจ็กสัน ที่เคยทำแบบเดียวกันจากอัลบั้ม แบด ได้ เพื่อตอบแทนความสำเร็จนี้ เพร์รีกล่าวว่า "ขอบคุณทุกคนที่ช่วยทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ตอนที่ฉันอายุ 9 ขวบ ฉันยังร้องเพลงใส่แปรงหวีผม ฉันฝันถึงฝันที่ยิ่งใหญ่มาก แต่วันนี้มันยิ่งใหญ่กว่าที่ฉันฝันเสียอีก ช่างเป็นของขวัญวันเกิดของอัลบั้ม ทีนเอจดรีม ชิ้นแรกที่ดีเยี่ยมจริง ๆ"[52][53] ในวันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอได้ทำสถิตินักร้องคนแรกที่มีเพลงอยู่สิบอันดับแรกนานถึง 69 สัปดาห์ติดต่อกัน[54] เพลง "เดอะวันแด้ตก๊อตอะเวย์" ออกมาเป็นเพลงที่หกและซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้มทีนเอจดรีม เป็นซิงเกิลแรกของอัลบั้มที่พลาดตำแหน่งอันดับหนึ่งบนชาร์ตฮอต 100 และขึ้นถึงอันดับที่ 3 บนชาร์ตฮอต 100[55] ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เพร์รีออกเพลง "พาร์ตออฟมี" เป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน เปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตฮอต 100 และเป็นเพลงที่เจ็ดของเพร์รีที่ขึ้นอันดับ 1[56] อัลบั้ม ทีนเอจดรีม: เดอะคอมพลีตคอนเฟกชัน ออกมาวันที่ 23 มีนาคม ค.ศ. 2012 เพลง "วายด์อะเวก" ออกมาในวันที่ 22 พฤษภาคม เป็นซิงเกิลที่สองและซิงเกิลสุดท้ายของอัลบั้ม ขึ้นถึงอันดับ 2 บนชาร์ตฮอต 100[57] ในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2012 เธอเป็นนักร้องที่ขายเพลงดิจิตอลได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ในสหรัฐอเมริกา ด้วยยอดขายทั้งหมด 37.6 ล้านหน่วยจากข้อมูลของนีลเซน ซาวด์สแกน[58] ในเดือนนั้น เธอเป็นนักร้องคนแรกที่มีเพลงได้ขายได้มากกว่า 5 ล้านหน่วยดิจิตอลถึง 5 เพลง[59]

เพร์รีในงานเปิดตัวภาพยนตร์ เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี ในออสเตรเลีย
เพร์รีกำลังส่งเสริมภาพยนตร์อัตชีวประวัติของเธอเรื่อง เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012

ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต แคลิฟอร์เนียดรีมส์ทัวร์ เพื่อส่งเสริมอัลบั้มทีนเอจดรีม ทัวร์มีการแสดงถึง 124 ครั้งในยุโรป โอเชียเนีย เอเชีย อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ และทำรายได้ได้ 59 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[60] ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2011 เธอแสดงในวันเปิดงานร็อกอินริโอเฟสติวัล 2011 ร่วมกับเอลตัน จอห์น, Claudia Leitte และริอานนา[61] เธอได้ทำงานภาพยนตร์ครั้งแรกในภาพยนตร์การ์ตูนแนวครอบครัวเรื่อง เดอะสเมิร์ฟ รับบทเป็น สเมิร์ฟเฟตต์ ในวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 ภาพยนตร์ทำรายได้ได้ 536,749,323 ดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลกตลอดเวลาที่เข้าโรง[62] แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์ทางลบก็ตาม[63] เธอยังเป็นพิธีกรในรายการ แซตเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ร่วมกับโรบิน ที่เป็นแขกรับเชิญ จากงานพิธีกรดังกล่าว เพร์รีได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ที่ยกย่องถึงจังหวะการแสดงมุกตลกและซีรีส์เรื่องสั้นที่เธอแสดงร่วมกับแอนดี้ แซมเบิร์ก[64] ในวันที่ 5 กรกฎาคม ค.ศ. 2012 เพร์รีได้ออกผลงานภาพยนตร์อัตชีวประวัติในชื่อ เคที เพร์รี: พาร์ตออฟมี ผ่านทางพาราเมาต์พิกเจอส์[65] ภาพยนตร์ได้รับคำชมและทำรายได้บนบ็อกซ์ออฟฟิศได้ 30 ล้านดอลล่าร์สหรัฐทั่วโลก[66][67]

เพร์รีเริ่มทำธุรกิจเมื่อเธอได้เซ็นรับรองน้ำหอมตัวแรกของเธอชื่อ เพอร์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010[68] ตัวที่สองชื่อ เมียว! ออกจำหน่ายปีต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2011 น้ำหอมทั้งสองตัวออกวางขายที่ห้างสรรพสินค้านอร์ดสตรอม[69] อิเล็คโทรนิค อาร์ตส ได้จ้างเธอให้ส่งเสริมภาคเสริมเกม เดอะซิมส์ 3: โชว์ไทม์[70] ก่อนจะออกภาคเสริมอีกภาคที่มีเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้า และทรงผมที่ได้แรงบันดาลใจจากเพร์รี ในชื่อ เดอะซิมส์ 3: เคที เพร์รีสวีตทรีตส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012[71] ในเดือนต่อมา เธอเป็นโฆษกและฑูตให้กับผลิตภัณฑ์ ป็อปชิปส์ และลงทุนในบริษัทดังกล่าวด้วย[72] จากการจัดอันดับของนิตยสาร ฟอบส์ เธอได้อันดับที่ 3 ในรายชื่อ "ผู้หญิงที่ทำได้มากที่สุดจากวงการดนตรี" ในปี ค.ศ. 2011 ด้วยรายได้ 44 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[73] และนิตยสารบิลบอร์ดจัดให้เธอเป็นอันดับที่ 14 จาก 40 อันดับผู้ทำรายได้สูงสุดในปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้สุทธิ 12 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[74]

เธอแต่งงานกับรัสเซลล์ แบรนด์ในวันที่ 23 ตุลาคม ค.ศ. 2010 โดยจัดพิธีแต่งงานแบบฮินดูใกล้ ๆ เขตสงวนพันธุ์เสือ Ranthambhore ในรัฐราชสถาน[75] แต่เนื่องจากตารางเวลางานไม่ตรงกัน และแบรนด์ต้องการมีลูกก่อนที่เพร์รีจะพร้อม[2] เขาได้ส่งข้อความหาเธอในวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ว่าเขาจะหย่ากับเธอหลังจากแต่งงานกันได้ 14 เดือน เขาไม่พูดกับเธออีกเลยนับแต่นั้นมา[76] ทีแรก เพร์รีรู้สึกกระวนกระวายใจเรื่องหย่าร้างจนเธอเคยคิดฆ่าตัวตาย[77] การแต่งงานสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2012[78] เพร์รีเริ่มต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่แบบรัก ๆ เลิก ๆ (on-again, off-again relationship) กับนักร้อง จอห์น เมเยอร์ ในเดือนสิงหาคม[79]

2013–ปัจจุบัน: อัลบั้มปริซึม

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2012 เพร์รีเริ่มทำงานอัลบั้มชุดที่สี่ ปริซึม เธอกล่าวกับบิลบอร์ดว่า "ฉันรู้ว่าผลงานที่ฉันจะทำต่อไป ฉันรู้ปกอัลบั้ม สีสัน โทน.... ฉันรู้แม้กระทั่งทัวร์คอนเสิร์ตที่ฉันจะทำ ฉันจะพอใจมากถ้าภาพที่ฉันคิดในหัวออกมาเป็นความจริงได้"[80] แม้ว่าเธอบอกกับ L'Uomo Vogue ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2012 ว่าเธอวางแผนไว้ว่าจะมี "องค์ประกอบที่มืดมนลง" (darker elements) ในอัลบั้มปริซึม[81] เธอเผยกับเอ็มทีวีในระหว่างงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013 ว่าเธอได้เปลี่ยนทิศทางของอัลบั้มหลังจากเธอใช้เวลาไตร่ตรองตนเอง เธอออกความเห็นว่า "ฉันรู้สึกถึงสีสันดั้งปริซึม (prismatic) อย่างมาก" ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับชื่ออัลบั้ม[82] เพลง "โรร์" ออกโรงเป็นซิงเกิลเปิดตัวจากอัลบั้ม ปริซึม ในวันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ. 2013[83] เธอแสดงเพลงนี้ครั้งแรกในการปิดงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 2013[84] ในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2013 เพลงขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[85] เพลง "อันคอนดิชันแนลลี" ออกเป็นซิงเกิลที่สองจากอัลบั้มในวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ. 2013[86]

อัลบั้ม ปริซึม ออกจำหน่ายในวันที่ 18 ตุลาคม ค.ศ. 2013 และเปิดตัวที่อันดับที่ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200[87] สี่วันต่อมา เพร์รีเปิดตัวเพลงใหม่จากอัลบั้มที่โรงละครไอฮาร์ตเรดิโอในลอสแองเจลิส[88] เพลง "ดาร์กฮอร์ส" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สามในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2013[89] กลายเป็นเพลงที่ติดอันดับ 1 เป็นเพลงที่เก้าของเธอเมื่อวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 2014[90] เพลง "เบิร์ธเดย์" ออกมาเป็นซิงเกิลที่สี่จากอัลบั้มปริซึม[91][92] นอกจากนี้ เธอยังได้บันทึกเสียงและแต่งเพลงร่วมกับคนรักหนุ่มในขณะนั้น จอห์น เมเยอร์ ในเพลง "ฮูยูเลิฟ" จากอัลบั้มของเขา พาราไดซ์แวลลี เพลงออกมาวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 2013[93] เพร์รีเริ่มทัวร์คอนเสิร์ตของตนเองชื่อ เดอะพริสมาติกทัวร์ ในวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 เริ่มจากยุโรป[94] และมีแผนว่าจะไปที่อเมริกาเหนือ[95] และโอเชียเนีย[96]

ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 นิตยสารบิลบอร์ดขนานนามเพร์รีว่าเป็น "ผู้หญิงแห่งปี" (Woman of the Year)[97] สมาพันธ์ผู้ผลิตสิ่งบันทึกเสียงระหว่างประเทศตั้งให้เพร์รีเป็นศิลปินระดับโลกอันดับที่ห้าของปี ค.ศ. 2013 ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่อันดับสูงสุดในรายชื่อ[98] ในวันที่ 26 มิถุนายน ค.ศ. 2014 สมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศให้เพร์รีเป็นศิลปินที่ได้รับการรับรองมากที่สุด (Top Certified Digital Artist Ever) หลังจากทำยอดขายได้ 72 ล้านหน่วยดิจิตอลในสหรัฐอเมริกา[50][99] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2014 ภาพนิ่งของเพร์รีที่วาดโดยมาร์ก ไรเดน ได้แสดงในนิทรรศการ "The Gay 90s" และแสดงที่ Kohn Gallery ในลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย เธอยังได้บันทึกเสียงเพลงเวอร์ชันทำใหม่ "เดย์ซีเบลล์ (ไบซีเคิลบิลต์ฟอร์ทู)" ร่วมกับศิลปินอื่นมากมายในอัลบั้มฉบับจำกัดที่มาพร้อมกับนิทรรศการดังกล่าว[100] ในเดือนเดียวกันนั้น ภาพนิ่งอีกภาพหนึ่งของเพร์รีวาดโดยวิล ค็อตตัน ได้แสดงอยู่ในแกลอรีภาพนิ่งแห่งชาติ[101]

นอกจากงานดนตรี เพร์รีได้กลับมารับบทสเมิร์ฟเฟตต์ ในภาพยนตร์ เดอะสเมิร์ฟ 2 ออกมาในวันที่ 31 กรกฎาคม ค.ศ. 2013[102] ภาพยนตร์ทำรายได้ได้ 347,545,360 ดอลล่าร์สหรัฐ[103] แม้ว่าจะได้รับคำวิจารณ์แง่ลบเช่นเดียวกับภาคแรก[104] น้ำหอมตัวที่สามชื่อ คิลเลอร์ควีน ออกมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ผ่านทางบริษัทโคตี (Coty, inc.)[105] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2014 เธอเป็นภัณฑารักษ์รับเชิญให้มาดอนน่าในโครงการริเริ่ม อาร์ตฟอร์ฟรีดอม[106] ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 2014 เพร์รีประกาศว่าเธอได้ก่อตั้งค่ายเพลงของตัวเองภายใต้สังกัดแคปิตอลเรเคิดส์ในชื่อ เมตามอร์โฟซิสมิวสิก เฟร์ราส์เป็นศิลปินคนแรกที่เซ็นสัญญาเข้าสังกัดดังกล่าว และเพร์รีเป็นหัวหน้าโปรดิวเซอร์ให้อีพีของเขา เธอยังบันทึกเสียงเพลง "เลเจนส์เนเวอร์ดาย" ร่วมกับเขาในอีพีด้วย[107] นิตยสารฟอบส์จัดให้เธอเป็น "ผู้หญิงที่ทำเงินได้มากที่สุดด้านดนตรี" อันดับที่ 5 ของปี ค.ศ. 2012 ด้วยรายได้ 45 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[108] และอันดับที่ 7 ของปี ค.ศ. 2013 ด้วยรายได้ 39 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ[109] ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเมเยอร์สิ้นสุดลง[110] หนึ่งเดือนก่อนจบความสัมพันธ์ เธอได้แก้ข่าวลือว่าเธอได้หมั้นกับเขา โดยบอกกับนิตยสารจีคิวว่าพวกเขายังไม่รีบแต่งงาน[7]

ผลงาน

ทัวร์

ผลงานการแสดง

โทรทัศน์
ปี ชื่อ บทบาท หมายเหตุ
2008 Young and the Restless, TheThe Young and the Restless ตัวเธอเอง ตอนที่ 8914
Wildfire ตัวเธอเอง "Life's Too Short" (Season 4, episode 8)
2010 American Idol กรรมการรับเชิญ "Season 9, episode 5"
The X Factor กรรมการรับเชิญ "Series 7, episode 2"
Sesame Street ตัวเธอเอง Online special (deleted from televised episode due to viewer controversy)
The Simpsons ตัวเธอเอง 1 episode, "The Fight Before Christmas"
Extreme Makeover: Home Edition ตัวเธอเอง "Boys Hope/Girls Hope" (Season 8, Episode 1)
2010–2011 Saturday Night Live ตัวเธอเอง / พิธีกร / Musical Guest "Amy Poehler/Katy Perry" (Season 36, episode 681)
"Katy Perry/Robyn" (Season 37, episode 710)
2011 How I Met Your Mother ฮันนี 1 episode, "Oh Honey"
People's Choice Award for Favorite TV Guest Star
America's Got Talent กรรมการรับเชิญ July 27 (Season 6, Qtr Finals 3 results)
"50 Greatest Wedding Shockers" ตัวเธอเอง TV Documentary
2012 Raising Hope ริกกี 1 episode, "Single White Female Role Model"
ภาพยนตร์
ปี ชื่อ บทบาท หมายเหตุ
2010 Get Him to the Greek ตัวเธอเอง ฉากที่ถูกตัดทิ้ง
Uncredited
Out in the Desert ตัวเธอเอง Post-production
2011 The Smurfs Smurfette ให้เสียง
Kids' Choice Award for Favorite Voice from an Animated Movie
Nominated – People's Choice Award for Favorite Animated Movie Voice
The Muppets ตัวเธอเอง ฉากที่ถูกตัดทิ้ง
Cameo appearance
2012 Katy Perry: Part of Me ตัวเธอเอง นักแสดงนำ
3D film

อ้างอิง

  1. 2.0 2.1 2.2 2.3 2.4 2.5 2.6 2.7 Cutforth, Dan; Lipsitz, Jane (directors);Perry, Katy (autobiographer) (July 5, 2012). Katy Perry: Part of Me (Motion picture). United States; filmed in studios:Insurge Pictures, Imagine Entertainment, Perry Productions et la.: Paramount Pictures.
  2. 3.0 3.1 3.2 Graff, Gary (February 21, 2009). "Interview: Katy Perry—Hot N Bold". The Scotsman. Johnston Press. สืบค้นเมื่อ February 28, 2009.
  3. 4.0 4.1 Robinson, Lisa (May 3, 2011). "Katy Perry on Her Religious Childhood, Her Career, and Her Marriage to Russell Brand". Vanity Fair. Advance Publications.
  4. Wass, Mike (August 20, 2013). "7 Questions With David Hudson: His Movement, The Music & Advice From Big Sister Katy Perry". Idolator. Spin Media. สืบค้นเมื่อ April 30, 2014.
  5. 6.0 6.1 6.2 6.3 E! Special: Katy Perry (Motion picture). United States; filmed in studios:E!: NBCUniversal. December 29, 2010.
  6. 7.0 7.1 Wallace, Amy (January 19, 2014). "Katy Perry's GQ Cover Story". GQ. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  7. Grigoriadis, Vanessa (August 19, 2010). "Sex, God Katy Perry". Rolling Stone. Jann Wenner. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
  8. 9.0 9.1 Montgomery, James (June 24, 2008). "Katy Perry Dishes on Her 'Long And Winding Road' From Singing Gospel To Kissing Girls". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 15, 2009.
  9. "Katy Perry Discusses Evangelical Childhood, Term 'Deviled Eggs' Banned from House". Billboard. Prometheus Global Media. May–June 2011. สืบค้นเมื่อ February 6, 2014.
  10. Friedlander 2012, p. 8
  11. Friedlander 2012, p. 18
  12. "Find Out What Influences Katy Perry's Cute Style!". Seventeen. Hearst Corporation. February 5, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  13. Hudson 2012, p. 37
  14. "Phil Joel to play in West Hartford". West Hartford News. December 8, 2011. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  15. Greenblatt, Leah (May 30, 2008). "'Kiss' Me, Katy". Entertainment Weekly. Time Inc. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  16. 17.0 17.1 Summers 2012, p. 11
  17. "Mick Jagger says he never hit on 18-year-old Katy Perry". USA Today. Gannett Company. October 31, 2013. สืบค้นเมื่อ October 31, 2013.
  18. Hay, Carla (January 29, 2005). "'Alfie', 'Aviator', and 'Ray' Rack Up Awards". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ April 24, 2014.
  19. Leahey, Andrew. "Katy Perry: Biography". AllMusic. All Media Network. สืบค้นเมื่อ January 5, 2014.
  20. Summers 2012, p. 12
  21. "Correction to the interview with Chris Anokute". HitQuarters. January 21, 2011. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  22. 23.0 23.1 "Interview With Chris Anokute". HitQuarters. October 18, 2010. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  23. Summers 2012, pp. 38–39
  24. Cohen, Jonathan (August 14, 2008). "Rihanna Topples Katy Perry on Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  25. "One of the Boys". Metacritic. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ March 6, 2009.
  26. "Katy Perry — Chart history". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ March 2, 2009.
  27. 28.0 28.1 "Katy Perry — Chart history". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  28. "Hot n Cold (Single)". Musicline. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  29. "Katy Perry — Chart history". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  30. "Katy Perry on Warped 2008: Mosh Pits, Injuries and Andrew WK". Rolling Stone. Jann Wenner. August 25, 2008. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
  31. Ching, Albert (August 5, 2009). "Last Night: No Doubt, Katy Perry, the Sounds at Verizon Wireless Amphitheater". OC Weekly. Voice Media Group. สืบค้นเมื่อ May 20, 2014.
  32. Kaufman, Gil (January 27, 2009). "The Matrix Drop Long-Lost Album Featuring Katy Perry". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  33. Montgomery, James (October 12, 2009). "Katy Perry's MTV Unplugged Album Will Feature Two New Songs". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  34. "Video: Timbaland f/ Katy Perry – 'If We Ever Meet Again'". Rap-Up. Rap-Up, LLC. January 18, 2010. สืบค้นเมื่อ August 2, 2010.
  35. Glenday, Craig (2010). Guinness World Records 2010. Random House LLC. p. 405. ISBN 978-1-9049-9450-3.
  36. Vena, Jocelyn (August 20, 2008). "Katy Perry Responds To Rumors of Parents' Criticism: 'They Love And Support Me'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  37. "Katy Perry And Travis Split". MTV News. Viacom. January 5, 2009. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  38. Vena, Jocelyn (June 4, 2010). "Katy Perry Explains Why She Was Cut From 'Get Him to the Greek'". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ February 18, 2012.
  39. Ziegbe, Mawuse (September 4, 2010). "Katy Perry, Russell Brand's Love Story Began at the VMAs – Music, Celebrity, Artist News". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
  40. Heldman, Breanne L. (January 6, 2010). "Katy Perry and Russell Brand Engaged in India". E!. NBCUniversal. สืบค้นเมื่อ January 6, 2010.
  41. Barrett, Annie (January 27, 2010). "'American Idol': The Kara vs. Katy Lifetime movie". Entertainment Weekly. Time Inc. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  42. "Katy Perry Hits Dublin For X Factor Auditions". MTV News. Viacom. June 28, 2010. สืบค้นเมื่อ June 28, 2010.
  43. Montgomery, James (June 9, 2010). "Katy Perry's 'California Gurls' Makes History in Rise To #1". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 28, 2014.
  44. Trust, Gary (June 9, 2010). "Katy Perry Speeds To No. 1 on Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ June 9, 2010.
  45. Langhorne, Cyrus. "Eminem Gets Knocked from the Top, Drake Hits a Milli, Fantasia and Usher Make Strong Debuts". SOHH. 4Control Media. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  46. "Teenage Dream Reviews". Metacritic. CBS Interactive. สืบค้นเมื่อ March 15, 2014.
  47. Patricia Reaney (October 22, 2013). "Katy Perry shows vulnerability, maturity on new album 'Prism'". Reuters. สืบค้นเมื่อ June 3, 2014.
  48. Pietroluongo, Silvio (December 8, 2010). "Katy Perry's 'Firework' Shines Over Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ December 8, 2010.
  49. 50.0 50.1 "RIAA Crowns Katy Perry Top Certified Digital Artist Ever". Recording Industry Association of America. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  50. Trust, Gary (March 30, 2011). "Katy Perry's 'E.T.' Rockets To No. 1 on Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ March 30, 2011.
  51. Trust, Gary (August 17, 2011). "Katy Perry Makes Hot 100 History: Ties Michael Jackson's Record". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ August 17, 2011.
  52. Glenday, Craig (2013). Guinness World Records 2013. Random House LLC. p. 423. ISBN 978-1-9049-9487-9.
  53. Trust, Gary (September 7, 2011). "Adele's 'Someone Like You' Soars To No. 1 on Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ September 7, 2011.
  54. Trust, Gary (December 26, 2011). "Katy Perry Notches Record Seventh No. 'One' From 'Teenage Dream' On Dance/Club Play Songs". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  55. Trust, Gary (February 11, 2012). "Katy Perry's' 'Part of Me' Hits iTunes, Radio Monday". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  56. "Katy Perry — Chart History". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ June 20, 2012.
  57. Loynes, Anna. "The Nielsen Company & Billboard's 2011 Music Industry Report". Business Wire. สืบค้นเมื่อ January 5, 2012.
  58. Grein, Paul (January 19, 2012). "Week Ending Jan. 15, 2012. Songs: The Song That Won't Drop". Yahoo! Music. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  59. "Top 25 Worldwide Tours (01/01/2011 – 12/31/2011)" (PDF). Pollstar. Pollstar, Inc. December 28, 2011. สืบค้นเมื่อ December 28, 2011.
  60. "Rock in Rio 2011: A hora e a vez do pop". Jornal da Cidade de Bauru (ภาษาPortuguese). September 26, 2011. สืบค้นเมื่อ November 5, 2011.{{cite news}}: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์)
  61. "The Smurfs (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ November 6, 2011.
  62. "The Smurfs". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
  63. McGee, Ryan (December 11, 2011). "Recap: Saturday Night Live – Katy Perry and Robyn". HitFix. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
  64. Warner (March 7, 2012). "Katy Perry: Part Of Me' Concert Movie Due This Summer". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ April 27, 2014.
  65. "Katy Perry: Part of Me (2012)". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ August 4, 2012.
  66. "Katy Perry: Part of Me". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ August 16, 2012.
  67. "Katy Perry To Launch Perfume". MTV News. Viacom. July 23, 2010. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  68. Perry, Katy. "Meow! by Katy Perry Eau de Parfum". Nordstrom. สืบค้นเมื่อ November 2011. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  69. Sweeney, Mark (January 17, 2012). "Katy Perry becomes a Sim". The Guardian. Guardian Media Group. สืบค้นเมื่อ January 22, 2012.
  70. "The Sims 3 Katy Perry's Sweet Treats". Electronic Arts. สืบค้นเมื่อ April 3, 2014.
  71. Donnelly, Matt (July 25, 2012). "First Look: Katy Perry joins Popchips as its face, an investor". Los Angeles Times. Tribune Company. สืบค้นเมื่อ July 25, 2012.
  72. Greenburg, Zack O'Malley (December 14, 2011). "The Top-Earning Women In Music 2011". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 14, 2011.
  73. "Music's Top 40 Money Makers 2012". Billboard. Prometheus Global Media. March 9, 2012. สืบค้นเมื่อ March 9, 2012.
  74. Ganguly, Prithwish (October 26, 2010). "Katy affirms Brand loyalty". The Times of India. The Times Group. สืบค้นเมื่อ November 9, 2010.
  75. Woods, Vicki (June 2013). "Katy Perry's First Vogue Cover". Vogue. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ July 2013. {{cite journal}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  76. Diehl, Matt (September 27, 2013). "Katy Perry's 'PRISM': The Billboard Cover Story". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ September 27, 2013.
  77. Fossi, Michele (June 22, 2012). "The new cover with Katy Perry on L'Uomo Vogue". Vogue. Advance Publications. สืบค้นเมื่อ March 14, 2014.
  78. "John Mayer Dedicates Song to Katy Perry During Tour Opener". Billboard. Prometheus Global Media. July 8, 2013. สืบค้นเมื่อ July 11, 2013.
  79. "Katy Perry Won't Rush New Album: "I Know Exactly The Record I Want To Make Next"". Capital. Global Group. December 1, 2012. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  80. "Katy Perry inspired by Madonna". MTV News. Viacom. June 29, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  81. Garibaldi, Christina (August 27, 2013). "Katy Perry 'Lets the Light In' On Prism". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ August 28, 2013.
  82. Caulfield, Keith (August 10, 2013). "Katy Perry's 'Roar' Arrives Early: Listen". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  83. Wickman, Kase (August 26, 2013). "Katy Perry Makes Brooklyn 'Roar' With Epic VMA Finale". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ May 19, 2014.
  84. Trust, Gary (September 4, 2013). "Katy Perry Dethrones Robin Thicke Atop Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ September 4, 2013.
  85. Benjamin, Jeff (October 16, 2013). "Katy Perry Wails on New Single "Unconditionally"". Fuse. The Madison Square Garden Company. สืบค้นเมื่อ October 16, 2013.
  86. Caulfield, Keith. "Katy Perry's 'PRISM' Shines at No. 1 on Billboard 200". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ November 9, 2013.
  87. Gundersen, Edna (October 22, 2013). "Live stream: Katy Perry's 'Prism' album release party". USA Today. Gannett Company. สืบค้นเมื่อ May 22, 2014.
  88. Trust, Gary (December 9, 2013). "Perry's 'Dark Horse' Hit". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ December 18, 2013.
  89. Trust, Gary (January 29, 2014). "Katy Perry's 'Dark Horse' Gallops to No. 1 on Hot 100". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ January 29, 2014.
  90. "CHR/Top 40". Radio & Records. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ April 11, 2014.
  91. "Rhythmic". Radio & Records. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ April 11, 2014. สืบค้นเมื่อ April 11, 2014.
  92. Danton, Eric R. (August 13, 2013). "Listen to John Mayer's 'Paradise Valley' Now". Rolling Stone. Jann Wenner. สืบค้นเมื่อ August 13, 2013.
  93. Lipshutz, Jason (November 18, 2013). "Katy Perry Announces First 'PRISMATIC' World Tour Dates". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  94. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ PrismaticNorthAmerica
  95. Hill, Dan (February 26, 2014). "Katy Perry's Prismatic World Tour!". 2Day FM. Austereo Radio Network. สืบค้นเมื่อ May 25, 2014.
  96. "Katy Perry: Billboard's Woman of the Year". Billboard. Prometheus Global Media. September 25, 2012. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  97. Brandle, Lars (January 30, 2014). "One Direction Named Most Popular Recording Artist for 2013". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ February 5, 2014.
  98. "Katy Perry Becomes the RIAA's All-Time Top Digital Artist". Billboard. Prometheus Global Media. June 26, 2014. สืบค้นเมื่อ June 26, 2014.
  99. Williams, Maxwell (May 2, 2014). "Katy Perry Featured on Pop Artist Mark Ryden's $100 'Gay Nineties' Album". The Hollywood Reporter. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ May 3, 2014.
  100. Press, Associate (May 21, 2014). "Katy Perry Added to US National Portrait Gallery". Billboard. Prometheus Global Media. สืบค้นเมื่อ May 29, 2014.
  101. "Katy Perry taped background vocals for 'Ooh La La'". United Press International. News World Communications. July 29, 2013. สืบค้นเมื่อ August 8, 2013.
  102. "The Smurfs 2 (2013)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ April 29, 2014.
  103. "The Smurfs 2". Rotten Tomatoes. Flixster. สืบค้นเมื่อ January 16, 2014.
  104. Wilson, Gaby (May 3, 2013). "Katy Perry Launches Third Fragrance: Killer Queen". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ June 18, 2013.
  105. "Katy Perry to Guest Curate Madonna's Art for Freedom Project". Billboard. Prometheus Global Media. January 7, 2014. สืบค้นเมื่อ May 26, 2014.
  106. Lindner, Emilee (June 17, 2014). "Katy Perry Starts Her Own Record Label and Reveals First Signee". MTV News. Viacom. สืบค้นเมื่อ June 17, 2014.
  107. Greenburg, Zack O'Malley (December 12, 2012). "The Top-Earning Women In Music 2012". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 12, 2012.
  108. Greenburg, Zack O'Malley (December 11, 2013). "The Top-Earning Women In Music 2013". Forbes. Forbes Inc. สืบค้นเมื่อ December 11, 2013.


แม่แบบ:Link GA แม่แบบ:Link GA