ข้ามไปเนื้อหา

อนาธิปไตย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อนาธิปไตย (อังกฤษ: Anarchy) คือสังคมที่ไม่มีรัฐบาล หรืออาจใช้หมายถึงสังคมหรือคนกลุ่มหนึ่งที่ปฏิเสธการจัดลำดับชั้น (hierarchy) โดยสิ้นเชิง[1]

ในทางปฏิบัติ อนาธิปไตยอาจหมายถึงการลดทอนหรือยกเลิกรัฐบาลและสถาบันในรูปแบบดั้งเดิม และอาจหมายถึงชาติหรือดินแดนที่มีคนอาศัยอยู่ที่ใดก็ตามที่ไม่มีระบบการปกครองหรืออำนาจส่วนกลาง ผู้ที่สนับสนุนอนาธิปไตยโดยหลักประกอบด้วยนักอนาธิปัตย์ซึ่งเสนอให้แทนที่รัฐบาลด้วยสถาบันแบบสมัครใจ โดยทั่วไป สถาบันหรือสมาคมเสรีเหล่านี้ใช้ตัวแบบตามแบบอย่างธรรมชาติ เพราะมันสามารถเป็นตัวแทนของแนวคิดเช่นชุมชนกับการพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ (autarky) การพึ่งพาระหว่างกัน (Interdependence) หรือปัจเจกนิยมได้ แม้ว่าอนาธิปไตยมักถูกใช้ในเชิงลบเป็นไวพจน์ของภาวะยุ่งเหยิงหรือการล่มสลายของสังคมหรืออโนมี แต่นักอนาธิปัตย์ใช้คำว่าอนาธิปไตยในความหมายที่ต่างออกไป โดยหมายถึงสังคมซึ่งไม่มีลำดับชั้น[1]

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

Anarchy มาจากคำภาษาละติน anarchia ซึ่งมาจากคำภาษากรีก anarchos ("ไร้ผู้ปกครอง") ประกอบด้วย an- (“ไม่” หรือ “ไร้”) + archos ("ผู้ปกครอง") มีความหมายตรงตัวว่า "ไร้ผู้ปกครอง"[2] ในภาษาอังกฤษ มีการใช้คำว่า Anarchy เป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1539 โดยหมายถึง "การปราศจากรัฐบาล"[2]

ภาพรวม

[แก้]

มานุษยวิทยา

[แก้]
คนเก็บของป่าล่าสัตว์นับว่าอาศัยอยู่ในสังคมแบบอนาธิปไตย

แม้ว่าลักษณะของสังคมที่เป็นที่รู้จักส่วนใหญ่จะมีลำดับชั้นหรือรัฐ แต่นักมานุษยวิทยาได้ศึกษาสังคมไร้รัฐที่เสมอภาคหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงสังคมคนเก็บของป่าล่าสัตว์เร่ร่อน[3][4] และสังคมกสิกรรมพืชสวนส่วนใหญ่ อาทิชาวเซอไม (Semai people) และชาวเปียโรอา (Piaroa) สังคมเหล่านี้หลายแห่งนับว่าเป็นแบบอนาธิปไตยได้ในแง่ที่พวกเขาปฏิเสธแนวคิดเรื่องอำนาจทางการเมืองแบบรวมศูนย์อย่างชัดเจน[5]

ปีเตอร์ ลีสัน (Peter Leeson) ได้พิจารณาสถาบันบังคับใช้กฎหมายเอกชน (private law enforcement) ที่โจรสลัดยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชนเผ่าก่อนอ่านออกเขียนได้ และแก๊งในเรือนจำรัฐแคลิฟอร์เนียพัฒนาขึ้นมาในสถานการณ์แบบอนาธิปไตย กลุ่มชนเหล่านี้ปรับใช้หลากหลายวิธีการในการบังคับใช้กฎหมายเอกชนเพื่อสนองความจำเป็นเฉพาะตัวของแต่ละกลุ่มและความเฉพาะตัวของสถานการณ์แบบอนาธิปไตยที่พวกเขาพบ[6]

ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

[แก้]

อนาธิปไตยในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศคือ "การไม่มีอำนาจใดที่อยู่เหนือรัฐประชาชาติ หรือที่สามารถตัดสินชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างกันและบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศได้"[7][8]

ปรัชญาการเมือง

[แก้]

ลัทธิอนาธิปไตย

[แก้]

ในฐานะปรัชญาการเมือง ลัทธิอนาธิปไตยสนับสนุนให้มีสังคมที่ปกครองตนเอง (Self-governance) ผ่านสถาบันแบบสมัครใจ ซึ่งมักบรรยายว่าเป็นสังคมไร้รัฐ[9][10][11] แต่นักเขียนบางรายให้นิยามที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นว่าหมายถึงสถาบันซึ่งตั้งอยู่บนฐานของสมาคมเสรีซึ่งไม่มีลำดับชั้น[12][13][14] ลัทธิอนาธิปไตยมองว่ารัฐเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ไม่จำเป็น และอันตราย[15][16][17] และถึงแม้ว่ามีแก่นหลักเป็นการต่อต้านรัฐ แต่เป็นเงื่อนไขที่จำเป็นแต่ยังไม่เพียงพอ[18][19][20] ลัทธิอนาธิปไตยยังหมายถึงการต่อต้านอำนาจหรือองค์กรแบบลำดับชั้น (hierarchical organisation) ภายในมนุษยสัมพันธ์ทุกรูปแบบ ซึ่งรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะระบบรัฐ[21][22][23][24]

อิมมานูเอล คานต์

[แก้]

นักปรัชญาชาวเยอรมันอิมมานูเอล คานต์ กล่าวถึงอนาธิปไตยในงานของเขา Anthropology from a Pragmatic Point of View ว่าประกอบขึ้นจาก "กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซึ่งอำนาจ" ในมุมมองของคานต์ อนาธิปไตยยังไม่เรียกว่าเป็นประชารัฐที่แท้จริงได้ เพราะกฎหมายเป็นเพียง "คำแนะนำกลวงเปล่า" เมื่อไม่มีอำนาจที่ทำให้กฎหมายมีประสิทธิผล ในการที่รัฐเช่นนี้จะดำรงอยู่ได้ อำนาจจะต้องมีและกฎหมายกับเสรีภาพจะต้องคงไว้ คานต์เรียกรัฐดังกล่าวว่าสาธารณรัฐ คานต์ระบุรัฐบาลไว้สี่ชนิด:[25]

  1. กฎหมายและเสรีภาพโดยไร้ซึ่งอำนาจ (อนาธิปไตย)
  2. กฎหมายและอำนาจโดยไร้ซึ่งเสรีภาพ (ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด)
  3. อำนาจโดยไร้ซึ่งเสรีภาพและกฎหมาย (สังคมไร้อารยะ)
  4. อำนาจอันพร้อมด้วยเสรีภาพและกฎหมาย (สาธารณรัฐ)

ตัวอย่างของอนาธิปไตยรัฐล่มสลาย

[แก้]

สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642–1651)

[แก้]
ยุโรปแผ่นดินใหญ่ประสบกับเหตุการณ์ใกล้เคียงอนาธิปไตยในสงครามสามสิบปี (1618–1648).

อนาธิปไตยเป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกในการอภิปรายพัตนีย์ (Putney Debates) ใน ค.ศ. 1647:

โทมัส เรนส์บะระ (Thomas Rainsborough): "เราจะกล่าวตรง ๆ กับท่านกว่าเดิมอีกหน่อย เราหวังว่าพวกเราทั้งหมดจะจริงใจและทำตัวซื่อสัตย์กันทุกคน ถ้าเราไม่เชื่อใจท่านเราคงไม่ใช้คำพูดที่แรงอย่างนั้น เราเชื่อว่าเป็นเพราะความไม่เชื่อใจ และหลายสิ่งมักคิดไปว่าสะท้อนเจตนาซึ่งไม่เคยเป็นเช่นนั้น ในส่วนของเรา เราคิดว่าท่านลืมบางสิ่งในคำพูดของเราไป และท่านไม่ได้เพียงแต่เชื่อไปเองว่าคนบางคนเชื่อว่ารัฐบาลไม่มีวันถูกต้อง แต่ท่านยังรังเกียจคนทุกคนที่เชื่อดังนั้น และท่าน แค่เพราะคน ๆ หนึ่งกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนมีปากมีเสียงตามสิทธิธรรมชาติ ดังนั้นเหตุผลเดียวกันนี้จึงทำลายทรัพย์สินทั้งสิ้น นี่เป็นการลืมกฎของพระเจ้า ว่ามีทรัพย์สิน กฎของพระเจ้ากล่าวไว้ ไม่เช่นนั้นพระเจ้าทรงบัญญัติกฎนั้นทำไมเล่า ว่าห้ามลักขโมย เราเป็นคนจน เราจึงจำถูกกดขี่ หากเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในราชอาณาจักร เราจำต้องทนทุกข์จากกฎหมายทั้งปวงของมันแม้ดีหรือเลว ไม่เพียงเท่านั้น สุภาพบุรุษท่านหนึ่งอาศัยในถิ่นหนึ่งและมีที่ดินสามสี่แปลงเช่นบางท่าน (มีเพียงพระเจ้าทรงทราบว่าพวกเขาได้มาอย่างไร) และเมื่อเรียกประชุมรัฐสภา เขาจำต้องเป็นบุรุษรัฐสภา และเขาอาจพบเห็นคนจนบางคน พวกเขาอาศัยใกล้เขา เขาสามารถกดขี่พวกเขาได้ เราเคยทราบถึงการบุรุกให้แน่ใจว่าเขาไล่พวกคนจนออกจากบ้าน และเราอยากรู้ว่าอำนาจของพวกคนรวยจะไม่ทำเช่นนี้หรือเปล่า และดังนั้นเก็บพวกเขาไว้ภายใต้ทรราชอันสุดจะคิดได้ในโลกนี้ และดังนั้นเราคิดว่าเรื่องนั้นเราตอบครบแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดสิ่งนั้นคือกรรมสิทธิ์ตามกฎข้อนี้ของพระองค์ว่าห้ามลักขโมย และในส่วนของเรา เราต่อต้านความคิดใดเช่นนั้น และ ในส่วนของท่าน เราหวังว่าท่านจะไม่ทำให้ทั้งโลกเชื่อว่าเราสนับสนุนอนาธิปไตย"[a]

โอลิเวอร์ ครอมเวลล์: "เราไม่รู้สิ่งใดเว้นแต่สิ่งนี้ ว่าผู้ที่ยอมมากที่สุดมีปัญญามากที่สุด แต่ความจริง ท่าน นี่ไม่ถูกต้องอย่างที่ควรเป็น ไม่มีใครกล่าวว่าท่านนิยมอนาธิปไตย แต่ว่าผลที่ตามมาจากกฎนี้โน้มเข้าหาอนาธิปไตย ต้องลงเอยด้วยอนาธิปไตย เพราะขอบเขตหรือขีดจำกัดจะไปอยู่ที่ใดหากท่านนำขีดจำกัดออก ว่าผู้ที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรนอกจากส่วนได้ส่วนเสียในการหายใจควรมีปากมีเสียงในการเลือกตั้งหรือ ดังนั้น เรามั่นใจในสิ่งนี้ เราไม่ควรใจร้อนด้วยกัน"[b][26]

เมื่อผู้คนเริ่มตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองอังกฤษ อนาธิปไตยมีนิยามที่คมชัดยิ่งขึ้น แม้ว่าจะมาจากมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างกัน:

  • 1651 – โทมัส ฮอบส์ (Leviathan) อธิบายว่าสภาพธรรมชาติของมนุษยชาติคือสงครามของทุกคนกับทุกคน (Bellum omnium contra omnes) ที่มนุษย์ดำรงชีวิตเยี่ยงเดรัจฉาน: "สำหรับอนารยชนในหลายถิ่นของอเมริกา เว้นแต่อภิบาลของครอบครัวขนาดย่อมซึ่งมีข้อตกลงขึ้นกับตัณหาธรรมชาติ ไร้ซึ่งรัฐบาลโดยสิ้นเชิง และตราบวันนี้มีชีวิตจริตเดรัจฉาน"[c] ฮ็อบส์มองว่ามีเหตุสามประการของความขัดแย้งในสภาพธรรมชาติ กล่าวคือการแข่งขัน ความประหม่า และความทะนงตัว: "ประการแรกทำให้มนุษย์รุกรานเพื่อผลได้ ประการที่สองเพื่อนิรภัย และประการที่สามเพื่อเกียรติ"[d] กฎธรรมชาติข้อแรกคือ "มนุษย์ทุกคนย่อมแสวงหาสันติ ตราบเท่าที่เขามีความหวังจะได้มันมา และเมื่อเขาไม่สามารถหามันมาได้ เขาย่อมแสวงและใช้ความอนุเคราะห์และความได้เปรียบของสงคราม"[e] ในสภาพธรรมชาติ "มนุษย์ทุกคนถือสิทธิในทุกสิ่ง แม้แต่ในร่างกายของคนอื่น"[f] แต่ในการได้มาซึ่งความได้เปรียบของสันติ กฎข้อที่สองคือ "มนุษย์จะยอม เมื่อคนอื่นจะทำเช่นกัน ... วางสิทธิในทุกสิ่งลง แล้วพอใจกับเสรีภาพต่อคนอื่นพอกับที่เขาจะยอมให้คนอื่นมีต่อตัวเขา"[g] นี่คือจุดเริ่มต้นของสัญญาและกติกา การนำไปปฏิบัติคือกฎธรรมชาติข้อที่สาม ดังนั้น อยุติธรรมคือความล้มเหลวในการทำตามกติกา และสิ่งอื่นใดล้วนยุติธรรม[27]
  • 1656 – เจมส์ แฮร์ริงตัน (James Harrington (author)) (The Commonwealth of Oceana) ใช้อนาธิปไตยเพื่อหมายถึงสภาวะเมื่อประชาชนใช้อำนาจวางรัฏฐะเหนือฐานเศรษฐกิจที่ประกอบขึ้นจากการถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนใหญ่โดยคนหนึ่งคน (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) หรือโดยคนกลุ่มน้อย (ราชาธิปไตยผสม) เขามองว่ามันแตกต่างจากสาธารณรัฐ ซึ่งหมายถึงสภาวะเมื่อประชากรส่วนใหญ่ร่วมกันถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินและวิธีการปกครอง โดยมองว่าอนาธิปไตยเป็นสถานการณ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้นเมื่อรูปแบบการปกครองกับรูปแบบความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินไม่สมดุลกัน[28]

การปฏิวัติฝรั่งเศส (ค.ศ. 1789–1799)

[แก้]

นักเขียนความเรียงชาวสกอตในสมัยวิกตอเรีย ทอมัส คาร์ไลล์ เขียนไว้ในงานเขียนประวัติศาสตร์ของเขา The French Revolution ว่าการปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นสงครามต่อต้านอภิชนาธิปไตยและอนาธิปไตย:

ในขณะเดียวกัน เราจะชังอนาธิปไตยเหมือนความตาย ซึ่งคือสิ่งที่มันเป็น และสิ่งที่เลวกว่าอนาธิปไตยย่อมต้องชังยิ่งกว่า สันติเพียงอย่างเดียวให้ผลดีแล้วแน่นอนไหม อนาธิปไตยคือการทำลายล้าง การเผาไหม้ เช่นของการหลอกลวงและสิ่งที่มิอาจทนได้ แต่ทิ้งไว้ข้างหลังเพียงความว่างเปล่า และจงทราบสิ่งนี้ด้วยว่าอะไรที่เกิดขึ้นจากโลกของพวกไม่ฉลาดไม่ใช่สิ่งใดนอกเสียจากความไม่ฉลาด คุณจะจัดเรียงมัน ร่างธรรมนูญมันขึ้นมา หรือกลั่นกรองมันผ่านหีบเลือกตั้ง มันก็เป็นและจะยังคงเป็นเพียงความไม่ฉลาด ตกเป็นเหยื่อตัวใหม่ของการต้มตุ๋นแบบใหม่และสิ่งที่สกปรก หลังจากนั้นดีกว่าตอนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด ใครกันที่สามารถหาสิ่งที่ฉลาดจากคนที่ไม่ฉลาดได้หรือ ไม่มีสักคน และดังนั้นเมื่อความว่างเปล่าและการยกเลิกโดยทั่วไปมาถึงฝรั่งเศส อนาธิปไตยจะทำสิ่งใดได้อีกหรือ มันต้องมีระเบียบ ไม่ว่าจะอยู่ใต้คบดาบของทหาร มันต้องมีสันติ ของขวัญจากสวรรค์จะได้ไม่เสียของ ความฉลาดใดที่มันนำมาให้เราจะออกดอกออกผลเมื่อถึงฤดูของมัน! ยังไม่เป็นที่ทราบดีว่าผู้ที่ปราบปรามพวกซ็องกูว์ล็อตโดนปราบปรามเองได้อย่างไร และสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ของการกบฏถูกปัดเป่าไปด้วยดินปืน ณ ที่นี้คือจุดจบของห้วงประวัติศาสตร์หนึ่งที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ นามว่า การปฏิวัติฝรั่งเศส[h][29]

ใน ค.ศ. 1789 นีกอลา แบร์กัส (Nicolas Bergasse) แสดงความคิดเห็นต่ออนาธิปไตยแก่สมัชชาแห่งชาติ:

ในโอกาสนี้ ข้าพเจ้าขออนุญาตแสดงความคิดเห็นส่วนตัว ไม่ต้องสงสัยว่าข้าพเจ้าจะไม่ถูกกล่าวหาว่าไม่รักเสรีภาพ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าการเคลื่อนไหวของประชาชนไม่ได้นำไปสู่เสรีภาพทั้งหมด แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าอนาธิปไตยอันใหญ่หลวงจะทำให้เกิดความเหนื่อยหน่ายเป็นที่สุดในไม่ช้า และเผด็จการนั้น ซึ่งเป็นความสงบชนิดหนึ่ง เป็นผลลัพธ์อันจำเป็นของของอนาธิปไตยอันใหญ่หลวงแทบทุกครั้ง การยุติความไร้ระเบียบที่เราคอยบ่นถึงจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่ท่านคิด และหากทางเดียวที่จะบรรลุเป้าหมายนี้ได้คือการคืนภารกิจบางส่วนให้กับกำลังสาธารณะ การปล่อยให้มันอยู่นิ่งนานไปกว่านี้จึงจะเป็นความไม่คงเส้นคงวาโดยแท้[i][30]

คริส บอชเชอ (Chris Bossche) กล่าวถึงบทบาทของอนาธิปไตยในการปฏิวัติฝรั่งเศส:

ในการปฏิวัติฝรั่งเศส เรื่องราวว่าอนาธิปไตยจะเพิ่มขึ้น บ่อนทำลายเรื่องราวที่กล่าวว่านักปฏิวัติกำลังสร้างระเบียบสังคมใหม่ขึ้นมาด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญ[j][31]

ประเทศจาเมกา (ค.ศ. 1720)

[แก้]

ใน ค.ศ. 1720 เซอร์นิโคลัส ลอวส์ (Nicholas Lawes) ผู้ว่าการจาเมกา เขียนถึงจอห์น รอบินสัน (John Robinson (bishop of London)) บิชอปแห่งลอนดอนว่า:

ในส่วนของชาวอังกฤษที่มาเป็นช่างที่นี่ อายุน้อยมากแล้วตอนนี้ได้ถือครองที่ดินผืนงามใน Sugar Plantations and Indigo & co. แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ดีกว่าหลักใดที่เขาได้เรียนที่ประเทศ กล่าวสั้น ๆ เรียบ ๆ ท่านจะพบว่าพวกเขาไม่มีหลักของศาสนจักรกับรัฐเลย แต่เป็นอนาธิปไตยทั้งสิ้น[k]

ในจดหมายร้องทุกข์ฉบับนี้ ลอวส์กล่าวว่า "บุรุษที่มีทรัพย์สินเดี๋ยวนี้เป็นเหมือนต้นละหุ่ง (Kikayon) ของโยนาห์" และอธิบายถึงรากเหง้าที่ต่ำต้อยของ "ชาวครีโอล" (Creole peoples) ว่าส่วนใหญ่ไม่มีการศึกษาและเยาะเย้ยกฎของศาสนจักรและรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากล่าวถึงการที่พวกเขาปฏิเสธไม่ทำตามกฎหมาย Deficiency Act ซึ่งบังคับให้เจ้าของทาสต้องจัดหาคนผิวขาว (White people) จากอังกฤษหนึ่งคนต่อชาวแอฟริกันที่ตกเป็นทาส 40 คน ซึ่งมุ่งหวังเพื่อทำให้สามารถขยายอาณาเขตที่ดินของตัวเองได้และยับยั้งการอพยพจากอังกฤษและไอร์แลนด์เพิ่มเติม ลอวส์กล่าวถึงรัฐบาลว่าเป็น "คล้ายอนาธิปไตย แต่ใกล้เคียงอภิชนาธิปไตยไม่ว่ารูปแบบใดมากที่สุด" และเสริมว่า "จำเป็นหรือที่ราษฎรของกษัตริย์ที่มีความสามารถริเริ่มอาณานิคมเหมือนบรรพบุรุษของเขา ซึ่งเช่นกัน ถูกกีดกันเสรีภาพในการตั้งอาณานิคมบนเกาะอันประเสริฐนี้ตลอดไป แล้วกษัตริย์และชาติที่บ้านเกิดก็ถูกกีดกันจากความอุดมสมบูรณ์ล้น เพื่อสร้างองค์ชายสุภาพบุรุษไฟแรงไม่กี่คน?"[l][32]

ประเทศแอลเบเนีย (ค.ศ. 1997)

[แก้]

ใน ค.ศ. 1997 ประเทศแอลเบเนียตกอยู่ในสภาวะอนาธิปไตย[33] หลัก ๆ เป็นเพราะการสูญเสียเงินตราจำนวนมากจากการล่มสลายของธุรกิจแบบพีระมิด และจากการล่มสลายทางสังคมครั้งนี้ อาชญากรติดอาวุธสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเสรีโดยแทบจะไม่ต้องรับโทษ แต่ละเมืองโดยเฉพาะในภาคใต้มักมีแก๊งอยู่สามถึงสี่กลุ่ม โดยที่ตำรวจไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการจัดการกับอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับแก๊งพวกนี้

ประเทศโซมาเลีย (ค.ศ. 1991–2006)

[แก้]
แผนที่โซมาเลียที่แสดงพื้นที่หลัก ๆ ที่ประกาศตนเป็นรัฐและอยู่ใต้การควบคุมของแต่ละฝ่ายใน ค.ศ. 2006

แม้ว่าระบบตุลาการทางการของประเทศโซมาเลียส่วนใหญ่ถูกทำลายลงเมื่อระบอบของไซอัด บาร์รี ล่มสลาย แต่ก็ค่อย ๆ ถูกสร้างขึ้นใหม่และบริหารจัดการโดยรัฐบาลของภูมิภาคค่าง ๆ อาทิพุนต์แลนด์และโซมาลีแลนด์ ในกรณีของรัฐบาลเปลี่ยนผ่านแห่งชาติและในภายหลังเป็นรัฐบาลกลางเปลี่ยนผ่าน โครงสร้างตุลาการชั่วคราวใหม่ถูกสร้างขึ้นผ่านการประชุมระดับนานาชาติหลายหน ถึงแม้ว่าทั้งสองจะมีโครงสร้างทางการเมืองที่แตกต่างแต่มีโครงสร้างทางกฎหมายที่คล้ายกัน ส่วนใหญ่มีอยู่มาก่อนในระบบตุลาการของรัฐโซมาลีที่แล้ว กฎหมายลายลักษณ์อักษรมีความคล้ายกันที่กฎบัตร (charter) ซึ่งยืนยันความสูงสุดของชะรีอะฮ์หรือกฎหมายศาสนา แม้ว่าในทางปฏิบัติมีการใช้ชะรีอะฮ์ในประเด็นเกี่ยวกับการสมรส การหย่าร้าง มรดก และแพ่งเท่านั้น กฎบัตรนี้รับประกันอิสรภาพของอำนาจตุลาการซึ่งได้รับความคุ้มครองจากคณะกรรมการตุลาการ ระบบตุลาการสามชั้นอันประกอบด้วยศาลสูงสุด ศาลชั้นอุทธรณ์ (Appellate court) และศาลชั้นต้น (ที่แบ่งเขตอำนาจศาลตามเขตหรือภูมิภาค หรืออาจมีศาลหนึ่งแห่งต่อภูมิภาค) และกฎหมายของรัฐบาลพลเรือนที่มีผลบังคับใช้ก่อนการรัฐประหารโดยทหารเพื่อเอาบาร์รีขึ้นสู่อำนาจยังคงมีผลบังคับใช้ต่อไปจนกระทั่งมีการแก้ไขกฎหมาย[34]

นักเศรษฐศาสตร์อเล็กซ์ แทบาร์รอก (Alex Tabarrok) กล่าวว่าโซมาเลียในยุคที่ไม่มีรัฐเป็น "บททดสอบพิเศษของทฤษฎีอนาธิปไตย" และในบางแง่มุมใกล้เคียงกับที่ผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตย-ทุนนิยม (Anarcho-capitalism) เช่นเดวิด ดี. ฟรีดแมน (David D. Friedman) และเมอร์เรย์ รอทบาร์ด (Murray Rothbard) สนับสนุน[35] อย่างไรก็ตาม ทั้งนักอนาธิปัตย์และผู้นิยมลัทธิอนาธิปไตยทุนนิยมบางคนเช่นวอลเตอร์ บล็อก (Walter Block) กล่าวว่าโซมาเลียในตอนนั้นไม่ได้เป็นสังคมอนาธิปไตย[36][37]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]

หมายเหตุ

[แก้]
  1. "I shall now be a little more free and open with you than I was before. I wish we were all true-hearted, and that we did all carry ourselves with integrity. If I did mistrust you I would not use such asseverations. I think it doth go on mistrust, and things are thought too readily matters of reflection, that were never intended. For my part, as I think, you forgot something that was in my speech, and you do not only yourselves believe that some men believe that the government is never correct, but you hate all men that believe that. And, sir, to say because a man pleads that every man hath a voice by right of nature, that therefore it destroys by the same argument all property – this is to forget the Law of God. That there's a property, the Law of God says it; else why hath God made that law, Thou shalt not steal? I am a poor man, therefore I must be oppressed: if I have no interest in the kingdom, I must suffer by all their laws be they right or wrong. Nay thus: a gentleman lives in a country and hath three or four lordships, as some men have (God knows how they got them); and when a Parliament is called he must be a Parliament-man; and it may be he sees some poor men, they live near this man, he can crush them – I have known an invasion to make sure he hath turned the poor men out of doors; and I would fain know whether the potency of rich men do not this, and so keep them under the greatest tyranny that was ever thought of in the world. And therefore I think that to that it is fully answered: God hath set down that thing as to propriety with this law of his, Thou shalt not steal. And for my part I am against any such thought, and, as for yourselves, I wish you would not make the world believe that we are for anarchy."
  2. "I know nothing but this, that they that are the most yielding have the greatest wisdom; but really, sir, this is not right as it should be. No man says that you have a mind to anarchy, but that the consequence of this rule tends to anarchy, must end in anarchy; for where is there any bound or limit set if you take away this limit, that men that have no interest but the interest of breathing shall have no voice in elections? Therefore, I am confident on’t, we should not be so hot one with another."
  3. "For the savage people in many places of America, except the government of small families, the concord whereof dependeth on natural lust, have no government at all, and live at this day in that brutish manner"
  4. "The first maketh men invade for gain; the second, for safety; and the third, for reputation"
  5. "every man ought to endeavour peace, as far as he has hope of obtaining it; and when he cannot obtain it, that he may seek and use all helps and advantages of war"
  6. "every man has a right to every thing, even to one another's body"
  7. "that a man be willing, when others are so too ... to lay down this right to all things; and be contented with so much liberty against other men as he would allow other men against himself"
  8. "Meanwhile, we will hate Anarchy as Death, which it is; and the things worse than Anarchy shall be hated more. Surely Peace alone is fruitful. Anarchy is destruction: a burning up, say, of Shams and Insupportabilities; but which leaves Vacancy behind. Know this also, that out of a world of Unwise nothing but an Unwisdom can be made. Arrange it, Constitution-build it, sift it through Ballot-Boxes as thou wilt, it is and remains an Unwisdom,—the new prey of new quacks and unclean things, the latter end of it slightly better than the beginning. Who can bring a wise thing out of men unwise? Not one. And so Vacancy and general Abolition having come for this France, what can Anarchy do more? Let there be Order, were it under the Soldier’s Sword; let there be Peace, that the bounty of the Heavens be not spilt; that what of Wisdom they do send us bring fruit in its season!—It remains to be seen how the quellers of Sansculottism were themselves quelled, and sacred right of Insurrection was blown away by gunpowder: wherewith this singular eventful History called French Revolution ends."
  9. "Qu'il me soit permis d'exprimer ici mon opinion personnelle : on ne m'accusera pas sans doute de ne point aimer la liberté; mais je sais que tous les mouvements des peuples ne conduisent pas à la liberté; mais je sais qu'une grande anarchie produit promptement une grande lassitude, et que le despotisme, qui est une espèce de repos, a presque toujours été le résultat nécessaire d'une grande anarchie. Il est donc bien plus important qu'on ne le pense de mettre fin aux désordres dont nous gémissons; et si on ne peut y parvenir qu'en rendant quelque activité à la force publique, il y a donc une véritable inconséquence à souffrir qu'elle demeure plus longtemps oisive."
  10. "In The French Revolution, the narrative of increasing anarchy undermined the narrative in which the revolutionaries were striving to create a new social order by writing a constitution;"
  11. "As to the Englishmen that came as mechanics hither, very young and have now acquired good estates in Sugar Plantations and Indigo & co., of course they know no better than what maxims they learn in the Country. To be now short & plain Your Lordship will see that they have no maxims of Church and State but what are absolutely anarchical."
  12. "Must the King's good subjects at home who are as capable to begin plantations, as their Fathers, and themselves were, be excluded from their Liberty of settling Plantations in this noble Island, for ever and the King and Nation at home be deprived of so much riches, to make a few upstart Gentlemen Princes?"

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 Franks, Benjamin; Jun, Nathan; Williams, Leonard (2018). Anarchism: A Conceptual Approach. Milton Park: Taylor & Francis. p. 104. ISBN 978-1-317-40681-5. Anarchism can be defined in terms of a rejection of hierarchies, such as capitalism, racism or sexism, a social view of freedom in which access to material resources and liberty of others as prerequisites to personal freedom... .
  2. 2.0 2.1 "Anarchy". Merriam-webster.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 22 มกราคม 2020.
  3. Gowdy, John M. (1998). Limited Wants, Unlimited Means: A Reader on Hunter-Gatherer Economics and the Environment. St Louis: Island Press. p. 342. ISBN 1-55963-555-X.
  4. Dahlberg, Frances (1975). Woman the Gatherer. London: Yale University Press. ISBN 0-300-02989-6.
  5. Graeber, David (2004). Fragments of an Anarchist Anthropology (PDF). ชิคาโก: Prickly Paradigm Press. ISBN 0-9728196-4-9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 18 พฤศจิกายน 2008.
  6. Leeson, Peter (2014). "Pirates, Prisoners, and Preliterates: Anarchic Context and the Private Enforcement of Law" (PDF). European Journal of Law and Economics. 37 (3): 365–379. doi:10.1007/s10657-013-9424-x. S2CID 41552010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-09-26. สืบค้นเมื่อ 2023-04-29.
  7. Lechner, Silviya (พฤศจิกายน 2017). "Anarchy in International Relations". International Studies Association. Oxford University Press: 1–26. doi:10.1093/acrefore/9780190846626.013.79. ISBN 978-0-19-084662-6.
  8. Eckstein, Arthur M.; และคณะ (8 กันยายน 2020). "Anarchy". Encyclopedia Britannica Online. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 16 กันยายน 2020. the absence of any authority superior to nation-states and capable of arbitrating their disputes and enforcing international law.
  9. Woodcock, George. "Anarchism". The Encyclopedia of Philosophy. [Anarchism], a social philosophy that rejects authoritarian government and maintains that voluntary institutions are best suited to express man's natural social tendencies.
  10. Kropotkin, Pëtr (1910). "Anarchism". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มกราคม 2023. In a society developed on these lines, the voluntary associations which already now begin to cover all the fields of human activity would take a still greater extension so as to substitute themselves for the state in all its functions.
  11. Craig, Edward (29 พฤศจิกายน 2005). "Anarchism". The Shorter Routledge Encyclopedia of Philosophy. Routledge. p. 14. ISBN 978-1-134-34408-6. Anarchism is the view that a society without the state, or government, is both possible and desirable.
  12. Suissa, Judith (2006). Anarchism and Education: a Philosophical Perspective. New York: Routledge. p. 7. as many anarchists have stressed, it is not government as such that they find objectionable, but the hierarchical forms of government associated with the nation state
  13. Kropotkin, Pëtr (1898). "Anarchism: its philosophy and ideal". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 ธันวาคม 2022. That is why Anarchy, when it works to destroy authority in all its aspects, when it demands the abrogation of laws and the abolition of the mechanism that serves to impose them, when it refuses all hierarchical organisation and preaches free agreement – at the same time strives to maintain and enlarge the precious kernel of social customs without which no human or animal society can exist.
  14. McKay, Lain; Elkin, Gary; Neal, Dave; Boraas, Ed (2009). "B.1 Why are anarchists against authority and hierarchy?". An Anarchist FAQ (PDF). p. 297. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 31 มีนาคม 2022. anarchists are opposed to irrational (e.g., illegitimate) authority, in other words, hierarchy – hierarchy being the institutionalisation of authority within a society.
  15. Malatesta, Errico. "Towards Anarchism". Man!. Los Angeles: International Group of San Francisco. OCLC 3930443. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2012.
  16. Rosemont, Franklin; Woodcock, George; Miller, Martin A. (2006). "Anarchism". Encyclopædia Britannica. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 22 มีนาคม 2023. สืบค้นเมื่อ 8 เมษายน 2023.
  17. Slevin, Carl (2003). "Anarchism". ใน McLean, Iain; McMillan, Alistair (บ.ก.). The Concise Oxford Dictionary of Politics. Oxford University Press.
  18. McLaughlin 2007, pp. 28–166: "Anarchists do reject the state, as we will see. But to claim that this central aspect of anarchism is definitive is to sell anarchism short. ... [Opposition to the state] is (contrary to what many scholars believe) not definitive of anarchism."
  19. Jun, Nathan (กันยายน 2009). "Anarchist Philosophy and Working Class Struggle: A Brief History and Commentary". WorkingUSA. 12 (3): 505–519. doi:10.1111/j.1743-4580.2009.00251.x. ISSN 1089-7011. One common misconception, which has been rehearsed repeatedly by the few Anglo-American philosophers who have bothered to broach the topic ... is that anarchism can be defined solely in terms of opposition to states and governments (p. 507).
  20. Franks, Benjamin (August 2013). "Anarchism". ใน Freeden, Michael; Stears, Marc (บ.ก.). The Oxford Handbook of Political Ideologies. Oxford University Press. pp. 385–404. doi:10.1093/oxfordhb/9780199585977.013.0001. [M]any, questionably, regard anti-statism as the irremovable, universal principle at the core of anarchism. ... The fact that [anarchists and anarcho-capitalists] share a core concept of 'anti-statism', which is often advanced as ... a commonality between them ..., is insufficient to produce a shared identity ... because [they interpret] the concept of state-rejection ... differently despite the initial similarity in nomenclature (pp. 386–388).
  21. "IAF principles". International of Anarchist Federations. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 มกราคม 2012. The IAF–IFA fights for : the abolition of all forms of authority whether economical, political, social, religious, cultural or sexual.
  22. McLaughlin 2007, p. 1: "Authority is defined in terms of the right to exercise social control (as explored in the 'sociology of power') and the correlative duty to obey (as explored in the 'philosophy of practical reason'). Anarchism is distinguished, philosophically, by its scepticism towards such moral relations – by its questioning of the claims made for such normative power – and, practically, by its challenge to those 'authoritative' powers which cannot justify their claims and which are therefore deemed illegitimate or without moral foundation."
  23. Ward, Colin (1966). "Anarchism as a Theory of Organization". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มีนาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 1 มีนาคม 2010.
  24. Brown, L. Susan (2002). "Anarchism as a Political Philosophy of Existential Individualism: Implications for Feminism". The Politics of Individualism: Liberalism, Liberal Feminism and Anarchism. Black Rose Books Ltd. Publishing. p. 106. ISBN 9781551642024.
  25. Louden, Robert B., บ.ก. (2006). Kant: Anthropology from a Pragmatic Point of View. Cambridge University Press. p. 235. ISBN 978-0-521-67165-1.
  26. Ireton, Henry; Calvin, John; Lilburne, John; Milton, John; และคณะ (1951) [1647–1649]. Clarke, W.; Woodhouse, A. S. P.; Lindsay, A. D. (บ.ก.). Puritanism and Liberty, being the Army Debates (1647-9). University of Chicago Press. p. 59 – โดยทาง the Online Library of Liberty.
  27. Hobbes, Thomas (1651). "Chapter XIII". Leviathan. Oregonstate.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 พฤษภาคม 2010. สืบค้นเมื่อ 30 มกราคม 2012.
  28. Harrington, James (1656). "PART I. THE PRELIMINARIES - Showing the Principles of Government". The Commonwealth of Oceana (html). Project Gutenberg. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 เมษายน 2023. If one man be sole landlord of a territory ... he is grand seignior; ... If the few or a nobility, or a nobility with the clergy, be landlords ... the empire is mixed monarchy ... . And if the whole people be landlords ... the empire (without the interposition of force) is a commonwealth. If force be interposed in any of these three cases, it must either frame the government to the foundation, or the foundation to the government; ... or if in the power of the people, anarchy: Each of which confusions, the balance standing otherwise, is but of short continuance, ...
  29. Thomas Carlyle (1837). The French Revolution. James Fraser – โดยทาง Project Gutenberg.
  30. Bergasse, Nicolas (17 สิงหาคม 1789). "Rapport sur l'organisation du pouvoir judiciaire" (ภาษาฝรั่งเศส). Department of Justice, Canada. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 สิงหาคม 2022. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2023.
  31. Bossche, Chris R. Vanden (26 ตุลาคม 2001) [1991]. "Four. Authoring the Polity: 1838-1850 - Revolution in Search of Authority". Carlyle and the Search for Authority. Ohio State University Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 30 มกราคม 2012 – โดยทาง Victorianweb.org.
  32. Lawes, Nicholas (1911) [1720]. "Jamaica: Description of the Principal Persons there". ใน Oliver, Vere Langford (บ.ก.). Caribbeana : being miscellaneous papers relating to the history, genealogy, topography, and antiquities of the British West Indies. Vol. III. ลอนดอน: Mitchell, Hughes and Clarke. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-16. สืบค้นเมื่อ 2023-04-29.
  33. Raic, D. (25 กันยายน 2002). Statehood and the Law of Self-Determination. Martinus Nijhoff Publishers. p. 69. ISBN 90-411-1890-X. An example of a situation which features aspects of anarchy rather than civil war is the case of Albania after the outbreak of chaos in 1997.
  34. Le Sage, Andre (1 มิถุนายน 2005). "Stateless Justice in Somalia" (PDF). Centre for Humanitarian Dialogue. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 18 มกราคม 2012. สืบค้นเมื่อ 26 มิถุนายน 2009.
  35. Tabarrok, Alex (21 เมษายน 2004). "Somalia and the theory of anarchy". Marginal Revolution. สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2008.
  36. Knight, Alex R., III (7 ตุลาคม 2009). "The Truth About Somalia And Anarchy". Center for a Stateless Society. สืบค้นเมื่อ 24 ธันวาคม 2016.
  37. Block, Walter (1999). "Review Essay" (PDF). The Quarterly Journal of Austrian Economics. 2 (3). สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2010. But if we define anarchy as places without governments, and we define governments as the agencies with a legal right to impose violence on their subjects, then whatever else occurred in Haiti, Sudan, and Somalia, it wasn't anarchy. For there were well-organized gangs (e.g., governments) in each of these places, demanding tribute, and fighting others who made similar impositions. Absence of government means absence of government, whether well established ones, or fly-by-nights.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]