ข้ามไปเนื้อหา

ตับอักเสบ อี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Hepatitis E
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก
ICD-10B17.2
ICD-9070.4
DiseasesDB5794
eMedicinemed/995
MeSHD016751

ตับอักเสบ อี (อังกฤษ: Hepatitis E) เป็นตับอักเสบที่เกิดจากการการติดเชื้อไวรัสที่เรียกว่า hepatitis E virus (HEV) HEV เป็นไวรัส RNA สายเดียวประเภท positive-sense มีรูปทรงแบบ icosahedral และมีขนาดจีโนม 7.5 กิโลเบส HEV ใช้ช่องทางแพร่เชื่อผ่านอุจจาระ/ช่องปาก เป็นไวรัสตับอักเสบหนึ่งในห้าชนิดที่รู้จักกันดี (A, B, C, D และ E) การติดเชื้อที่มีการบันทึกไว้ครั้งแรกเกิดใน ค.ศ. 1955 ณ เมืองนิวเดลี ประเทศอินเดีย[1] วัคซีน (HEV 239) สำหรับป้องกันไวรัสนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้ในประเทศจีน

ชีววิทยาเชิงโมเลกุล

[แก้]

แม้ว่าเดิมจะถูกจัดอยู่ในวงศ์ Caliciviridae ไวรัสถูกจัดอยู่ในสกุล Hepevirus และถูกย้ายไปอยู่ในวงศ์ Hepeviridae ตัวไวรัสเองเป็นอนุภาคขนาดเล็กที่ไม่มีเปลือกห่อหุ้ม

ขนาดจีโนมมีความยาวราว 7,200 เบส มีลักษณะเป็นโมเลกุล RNA สายเดี่ยวแบบ polyadenylated ที่มี open reading frames (ORFs) สามช่วงที่ไม่เชื่อมต่อและทับซ้อนกันตามแนว 5' and 3' cis-acting elements ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการจำลองตัวของ HEV และในกระบวนการ transcription

โครงสร้างสามมิติระดับอะตอมของโปรตีนที่เป็น capsid ในอนุภาคที่เป็นไวรัสถูกค้นพบและตีพิมพ์ใน ค.ศ. 2009[2] อย่างไรก็ดียังไม่มีระบบเพาะเลี้ยงแบบ in vitro

สปีซีส์ภายใต้สกุลของไวรัสนี้สามารถก่อโรคในคน หมู หมูป่า กวาง หนู กระต่าย และนก[3]

ระบาดวิทยา

[แก้]

การจัดจำแนก

[แก้]

มีเพียงซีโรไทป์เดียวแต่จัดจำแนกโดยลำดับนิวคลีโอไทด์ของจีโนม[4] Genotype 1 แบ่งออกเป็นชนิดย่อยห้าชนิด Genotype 2 แบ่งออกเป็นชนิดย่อย 2 ชนิด Genotype 3 แบ่งออกเป็นชนิดย่อย 10 ชนิด Genotype 4 แบ่งออกเป็นชนิดย่อย 7 ชนิด


พันธุศาสตร์ประชากร

[แก้]

บรรพบุรุษของ Hepatitis E วิวัฒนาการมาระหว่าง 536 ถึง 1,344 ปีมาแล้ว[3] ซึ่งแยกออกเป็นสอง clades - เป็น anthropotropic แบบหนึ่งและ enzootic อีกแบบหนึ่ง - ซึ่งแตกย่อยออกเป็น genotypes 1 และ 2 และ genotypes 3 และ 4 ตามลำดับ เวลาในการแยกในแต่ละ genotypes เป็นดังนี้

  • genotypes 1/2 367 – 656 ปีมาแล้ว
  • genotypes 3/4 417 – 679 ปีมาแล้ว

สำหรับบรรพบุรุษร่วมกันของแต่ละ genotypes

  • genotype 1 ระหว่าง 87 ถึง 199 ปีมาแล้ว
  • genotype 3 ระหว่าง 265 ถึง 342 ปีมาแล้ว
  • genotype 4 ระหว่าง 131 ถึง 266 ปีมาแล้ว

การที่สายพันธุ์ anthropotropic (genotype 1 และ 2) มีวิวัฒนาการมาใหม่กว่าแสดงว่าไวรัสสายพันธุ์นี้เกิดมาจากสายพันธุ์ zooenosis

การใช้สายพันธุ์ไวรัสจากสัตว์ปีกยืนยันความสัมพันธ์ดังกล่าวใน genotypes 1–4 และระบุว่าสกุลดังกล่าวอาจวิวัฒนาการมา 1.36 ล้านปีก่อน (ระหว่าง 0.23 ล้านปีก่อน ถึง 2.6 ล้านปีก่อน)[3] ไวรัสที่แยกได้จากหนูก็ยืนยันข้อมูลนี้ด้วยและประมาณการเวลาที่สายพันธุ์ในคนและหมูแยกจากกันที่ประมาณ 7.44×104 ปีมาแล้ว (อยู่ในช่วงระหว่าง 2.1×104 ถึง 1.4×105 ปีมาแล้ว) เนื่องจากเวลาดังกล่าวสัมพันธ์กับการเริ่มต้นการเกษตรกรรมจึงอาจอนุมานว่าไวรัสเริ่มติดหนูก่อน แล้วจึงติดสุกร สุดท้ายจึงมาติดต่อสู่คน อย่างไรก็ดี ยังมีการศึกษาทดลองเพิ่มเติมเพื่อยืนยันหรือหักล้างข้อสังเกตดังกล่าว

genotypes 1,3 และ 4 ต่างเพิ่มจำนวนประชากรในคริสต์ศตวรรษที่ 20 [3] จำนวนประชากรใน genotype 1 เพิ่มอย่างรวดเร็วในช่วง 30–35 ปีที่ผ่านมา ส่วน genotypes 3 และ 4 เพิ่มประชากรตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงช่วง ค.ศ. 1940–1945 อย่างไรก็ดี genotype 3 ยังมีการเพิ่มจำนวนประชากรอีกจนกระทั่งคริสต์ทศวรรษ 1960 นับแต่ ค.ศ. 1990 ประชากรในทั้งสอง genotype สดลงไปยังระดับที่พบในคริสต์ศตวรรษที่ 19

อัตราการกลายพันธุ์โดยรวมอยู่ที่ ≈1.4 x 10−3 substitutions/site/year[3]

การป้องกัน

[แก้]

การพัฒนาการสุขาภิบาลเป็นวิธีการที่สำคัญที่สุด ซึ่งเริ่มจากการกำจัดของเสีย การจัดให้มีน้ำสะอาด การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล และการจัดเตรียมอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ซึ่งก็เป็นวิธีการทั่วไปในการป้องกันโรคอื่นด้วยในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งต้องอาศัยเงินทุนขนาดใหญ่และอาจพึ่งพาความช่วยเหลือจากนานาชาติในโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับน้ำประปาและการบำบัดน้ำเสีย

มีการพัฒนาและทดลองวัคซีนที่ผลิตจาก recombinant viral proteins ในกลุ่มเสี่ยง (กองทหารของประเทศกำลังพัฒนาแห่งหนึ่ง)[5] เบื้องต้นพบว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่โครงการได้ระงับไปด้วยเหตุผลทางการเงิน เนื่องจากตับอักเสบ อี พบได้น้อยในประเทศที่พัฒนาแล้ว[6]

วัคซีนอีกตัวหนึ่ง (HEV 239 จำหน่ายภายใต้ชื่อ Hecolin โดยผู้พัฒนา Xiamen Innovax Biotech) ได้รับอนุญาตให้ใช้ได้ใน ค.ศ. 2012 โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศจีน หลังจากมีการทดลองเฟสสามในประชาชนสองกลุ่ม กลุ่มละ 50,000 คนจากมณฑลเจียงซู โดยพบว่าไม่มีใครในกลุ่มที่ได้รับวัคซีนติดเชื้อเลยในระยะเวลา 12 เดือน เทียบกับ 15 คนในกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน (แต่ได้รับยาหลอก)[7] วัคซีนลอตแรกออกจากโรงงานของ Innovax ในปลายเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012[6]

ผลกระทบ

[แก้]

มีการติดเชื้อไวรัสตับเอกเสบ อี ราว 20 ล้านรายต่อปีทั่วโลก ซึ่งก่อให้เกิดความเจ็บป่วยราว 3 ล้านราย และถึงตายประมาณ 70,000 คน ซึ่งส่วนมากเป็นอัตรากับหญิงมีครรภ์ซึ่งอัตราการตายมีสูงถึง 20% ไวรัส HEV เป็นสาเหตุหลักของการตายในประเทศกำลังพัฒนาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงมีครรภ์ แม้ว่าจะมีการทดลองวัคซีน HEV รวมถึงการทดลองในเอเชียใต้แสดงให้เห็นว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพและปลอดภัย แต่ว่ายังไม่มีการใช้อย่างแพร่หลายในประชากรที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ยกเว้นแต่เพียงในประเทศจีน หลังจากการตรวจสอบโดยสำนักงานอาหารและยาของประเทศจีน (State Food and Drug Administration, SFDA) เป็นเวลาปีกว่า ก็อนุญาตให้ใช้วัคซีนได้ในสิ้นปี ค.ศ. 2012 ในสหรัฐอเมริกายังไม่มีการอนุญาตให้ใช้วัคซีนนี้แต่อย่างใด

อ้างอิง

[แก้]
  1. Gupta DN, Smetana HF (1957). "The histopathology of viral hepatitis as seen in the Delhi epidemic (1955–56)". Indian J. Med. Res. 45 (Suppl.): 101–13. PMID 13438544.
  2. Guu TS, Liu Z, Ye Q, และคณะ (สิงหาคม 2009). "Structure of the hepatitis E virus-like particle suggests mechanisms for virus assembly and receptor binding". Proc. Natl. Acad. Sci. U.S.A. 106 (31): 12992–7. doi:10.1073/pnas.0904848106. PMC 2722310. PMID 19622744.
  3. 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 Purdy MA, Khudyakov YE (2010). "Evolutionary history and population dynamics of hepatitis E virus". PLoS ONE. 5 (12): e14376.
  4. Lu L, Li C, Hagedorn CH (2006). "Phylogenetic analysis of global hepatitis E virus sequences: genetic diversity, subtypes and zoonosis". Rev Med Virol. 16 (1): 5–36.
  5. Shrestha MP, Scott RM, Joshi DM, และคณะ (2007). "Safety and efficacy of a recombinant hepatitis E vaccine". N. Engl. J. Med. 356 (9): 895–903. doi:10.1056/NEJMoa061847. PMID 17329696.
  6. 6.0 6.1 Park, Soo Bin (ตุลาคม 2012). "Hepatitis E vaccine debuts". Nature. 491: 21–22. doi:10.1038/491021a.
  7. Proffitt, Allison (เมษายน 2012). "First HEV vaccine approved". Nature Biotechnology. 30: 300. doi:10.1038/nbt0412-300a.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]