ลุ่มแม่น้ำลัวร์
ลุ่มแม่น้ำลัวร์ระหว่างซุลลี-ซูร์-ลัวร์ และ ชาลอนส์ The Loire Valley between Sully-sur-Loire and Chalonnes * | |
---|---|
แหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโก | |
วังวาลองเซย์ซึ่งเป็นพระราชวังหนึ่งในบริเวณลุ่มแม่น้ำลัวร์ | |
ประเทศ | ฝรั่งเศส |
ประเภท | มรดกทางวัฒนธรรม |
เกณฑ์พิจารณา | (i) (ii) (iv) |
ประวัติการขึ้นทะเบียน | |
ขึ้นทะเบียน | 2543 (คณะกรรมการสมัยที่ 24) |
* ชื่อตามที่ได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีแหล่งมรดกโลก ** ภูมิภาคที่จัดแบ่งโดยยูเนสโก |
ลุ่มแม่น้ำลัวร์ (อังกฤษ: Loire Valley หรือ Garden of France, ฝรั่งเศส: Vallée de la Loire) เป็นบริเวณทางตอนกลางค่อนไปทางตะวันตกของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีจากคุณค่าของสถาปัตยกรรมและเมืองโบราณที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่รวมทั้งเมืองมงต์โซโร, อองบัวส์, อองแชร์, บลัวส์, ชินง, นานต์ส์, ออร์เลอองส์, โซมัวร์ และ ตูร์ แต่ที่สำคัญคือพระราชวัง, วัง, ปราสาท และคฤหาสน์ต่างๆ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วโลกที่รวมทั้งพระราชวังชองบอร์ด หรือ วังเชอนงโซซื่งเป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศสในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาและยุคเรืองปัญญาที่มีต่อการออกแบบและการสร้างสถาปัตยกรรม
ในปี ค.ศ. 2000 องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนบริเวณตอนกลางของลุ่มแม่น้ำลัวร์ระหว่างแมน (Maine River) และ ซุลลีย์-เซอร์-ลัวร์ให้เป็นมรดกโลก[1] ในการเลือกภูมิภาคลุ่มแม่น้ำลัวร์ที่ครอบคลุมจังหวัดลัวเรต์, ลัว-เรต์-แชร์, แองดร์-เอต์-ลัวร์, and แมน-เนต์-ลัวร์ ทางคณะกรรมการกล่าวถึงภูมิภาคลุ่มแม่น้ำลัวร์ว่าเป็นบริเวณที่ “มีความงามของภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมอันเด่น, และมีความสวยงามอันเลอเลิศที่ประกอบด้วยเมืองและหมู่บ้านสำคัญในประวัติศาสตร์, อนุสรณ์ทางสถาปัตยกรรมอันสำคัญ - ชาโต - และแผ่นดินที่ได้รับการพัฒนาทางการเกษตรกรรมและเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างผู้ตั้งถิ่นฐานในท้องถิ่นและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง โดยเฉพาะตัวแม่น้ำลัวร์เอง”
ปราสาทและวังแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์
[แก้]ภูมิภาคลุ่มแม่น้ำลัวร์เป็นที่ตั้งของพระราชวัง, วัง, ปราสาท และคฤหาสน์กว่าสามร้อยหลังที่เริ่มต้นด้วยการสร้างเป็นป้อมปราการเพื่อการป้องกันข้าศึกศัตรูในคริสต์ศตวรรษที่ 10 มาจนถึงเปลี่ยนแปลง หรือการสร้างวังใหม่อันโอ่อ่าหรูหราอีกห้าร้อยปีต่อมา เมื่อพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสทรงเริ่มสร้างพระราชวังขนาดใหญ่ในบริเวณนี้ บรรดาขุนนางผู้ไม่กล้าที่จะอยู่ห่างไกลจากราชสำนักอันเป็นพื้นฐานของอำนาจก็ทำตาม การมาสร้างปราสาทราชวังกันในบริเวณที่มีภูมิทัศน์อันงดงามเป็นการดึงดูดนักออกแบบสวนภูมิทัศน์ที่ตามมาด้วย
เมื่อมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 พระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ทรงย้ายราชสำนักจากลุ่มแม่น้ำลัวร์กลับไปยังปารีส สถาปนิกคนสำคัญๆ ที่เคยทำงานในบริเวณนั้นก็ย้ายตามกลับไปด้วยแต่ลุ่มแม่น้ำลัวร์ก็ยังคงเป็นสถานที่บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ส่วนใหญ่ยังนิยมที่จะเสด็จมาประทับ เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เสด็จขึ้นครองราชย์ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 พระองค์ก็ทรงใช้ปารีสเป็นศูนย์กลางของอำนาจอย่างถาวรโดยการทรงสร้างพระราชวังแวร์ซายส์ที่ไม่ไกลจากปารีสเอง แต่กระนั้นผู้ที่เป็นที่โปรดปรานของพระมหากษัตริย์และคหบดีผู้มั่งคั่งก็ยังคงมาบูรณปฏิสังขรณ์วังหรือคฤหาสน์ หรือ สร้างสิ่งก่อสร้างใหม่อันหรูหราที่ใช้เป็นที่พำนักระหว่างฤดูร้อนกันในบริเวณนี้
วังและคฤหาสน์มาถูกทำลายหรือปล้นทำลายไปมากระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศส ไม่เช่นนั้นก็เกิดจากการทำลายโดยเจ้าของที่กลายเป็นขุนนางตกยากในชั่วข้ามคืนเมื่อหัวหน้าครอบครัวถูกปลดและบั่นคอด้วยกิโยติน ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และ สงครามโลกครั้งที่สองวังหรือคฤหาสน์บางหลังก็ถูกเกณฑ์ให้เป็นกองบัญชาการทหาร และบางแห่งก็ยังคงใช้ต่อมาจนกระทั่งสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง
ในปัจจุบันวังหรือคฤหาสน์ที่เป็นสมบัติส่วนบุคคลก็ใช้เป็นที่พำนัก มีบ้างที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ หรือบางแห่งก็เปลี่ยนไปเป็นโรงแรม หรือบางแห่งก็กลายมาเป็นที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่น สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่บางแห่งเช่นพระราชวังชองบอร์ดก็ได้รับการบริหารโดยรัฐบาลกลางและกลายเป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนหลายหมื่นคนต่อปี
ปราสาทและวังที่อยู่ในข่ายที่เรียกว่าปราสาทและวังแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์
[แก้]คำจำกัดความของสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในข่าย “ปราสาทและวังแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์” ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ แต่ข้อสำคัญหลักคือเป็นวังที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำลัวร์ หรือ แควที่มาบรรจบกับแม่น้ำลัวร์เช่นบนฝั่งแม่น้ำแมน, แม่น้ำแชร์, แม่น้ำแองดร์ หรือ แม่น้ำแมนครูส
ระเบียงภาพของปราสาทและวังบางแห่งของลุ่มแม่น้ำลัวร์
[แก้]อ้างอิง
[แก้]ดูเพิ่ม
[แก้]แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ปราสาทและวังแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์