ปวีณ พงศ์สิรินทร์
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก |
ปวีณ พงศ์สิรินทร์ | |
---|---|
เกิด | 24 มกราคม พ.ศ. 2501 ประเทศไทย |
สัญชาติ | ไทย, ออสเตรเลีย |
ศิษย์เก่า | โรงเรียนนายร้อยตำรวจ |
อาชีพ | ข้าราชการตำรวจ |
ปีปฏิบัติงาน | 2525–2558 |
มีชื่อเสียงจาก | การดำเนินคดีขบวนการค้ามนุษย์ในปี พ.ศ. 2558 จนตนเองต้องลี้ภัย |
ตำแหน่ง | รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 |
วาระ | 2557–2558 |
พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เป็นตำรวจชาวไทย เขามีชื่อเสียงจากการปราบปรามการค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย นำไปสู่การดำเนินคดีกับนายทหารและเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงหลายคน ทำให้ตัวเขาถูกคุกคามจนต้องลาออกจากราชการและลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลียในปี พ.ศ. 2558
ประวัติ[แก้]
ปวีณ พงศ์สิรินทร์ เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2501 เข้าศึกษาที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจในปี พ.ศ. 2521 และเริ่มรับราชการตำรวจในปี พ.ศ. 2525[1] โดยเลือกประจำการอยู่ในภาคใต้ของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2539 เขาจบการศึกษาปริญญาโท พัฒนบริหารศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์[2]
โดยดำรงตำแหน่งสำคัญอาทิ ผู้บังคับการอำนวยการตำรวจภูธรภาค 8 รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และต่อมาในวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 ได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำรงตำแหน่ง รองผู้บัญชาการ ศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ [3]โดยดำรงตำแหน่งดังกล่าวเพียง 37 วัน ก่อนที่หนังสือลาออกจะมีผล ในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558[4]
ภายหลังเขาได้ลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย และต่อมาในวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565 บีบีซีไทยเปิดเผยว่าเขาได้รับสัญชาติออสเตรเลีย[5]
คดีลอบค้ามนุษย์[แก้]
เดือน มกราคม พ.ศ. 2558 มีการพบว่าชาวโรฮีนจาจากพม่ากำลังถูกขนอยู่ในรถบรรทุกที่จังหวัดนครศรีธรรมราช พลตำรวจตรี ปวีณ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ในขณะนั้น ถูกเสนอชื่อเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน แต่ถูกคัดค้านโดยรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนหนึ่ง เนื่องจากปวีณเคยจับกุมนักการเมืองรายใหญ่คนหนึ่งในพื้นที่ภาคใต้ อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น นานาชาติส่งเสียงกดดันประเทศไทยให้รัดกุมต่อการปราบปรามคดีค้ามนุษย์ พลตำรวจเอก เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ต้องการทำผลงานในการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงแต่งตั้งพลตำรวจตรีปวีณเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน
ปวีณและเจ้าหน้าที่ตำรวจในบังคับบัญชากว่าแปดสิบนาย ต้องรวบรวมข้อมูลและหาด้วยตนเอง เนื่องจากไม่ได้รับการสนับสนุนจากตำรวจภูธรภาค 8 ชุดสอบสวนของปวีณสามารถรวบรวมหลักฐานแก่ศาล นำไปสู่การออกหมายจับถึง 153 ครั้ง[6]เกี่ยวพันถึงนักการเมืองท้องถิ่น และนักธุรกิจผู้ร่ำรวยในท้องถิ่น ตลอดจนนายทหารบก นายทหารเรือ และเจ้าหน้าที่ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่
ออกหมายจับนายทหาร[แก้]
หนึ่งในผู้ถูกออกหมายจับคือพลโทมนัส คงแป้น ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก ซึ่งรับผิดชอบเกี่ยวกับความมั่นคงในภาคใต้ ภายหลังปวีณได้รับหมายจับพลโทมนัส คงแป้น จากศาล ปวีณก็ได้รับการติดต่อจากพลตำรวจโทสุรเชษฐ์ หักพาล[7] นายตำรวจคนสนิท พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นนัยว่าต้องการให้ พลโท มนัส คงแป้น ได้รับการประกันตัว[6] แต่ปวีณคัดค้าน เนื่องจากผู้ต้องหาคนอื่นกว่าหกสิบคนไม่มีใครได้รับการประกันตัว ท้ายที่สุด พลโทมนัสก็ไม่ได้รับการประกันตัวและถูกส่งตัวเข้าเรือนจำนาทวี จังหวัดสงขลา
ขณะที่ปวีณเดินหน้าทำคดี เขาได้รับการติดต่อจาก พลตรีสมศักดิ์ สรไชยเมธา เจ้ากรมจเรทหารบก เพื่อย้ำว่าผู้กำกับดูแลพลโท มนัส คงแป้น คือพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ และพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเตือนให้เขาหยุดทำคดี[6] แต่ปวีณยังคงเดินหน้าทำคดีต่อไป และขยายผลจนนำไปสู่การออกหมายจับนายทหารระดับกลางถึงระดับสูงอีกจำนวนสี่นาย เมื่อหมายจับถูกส่งไปยังต้นสังกัดของบรรดานายทหารผู้ต้องหา ก็เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรงจากกองทัพ
กันยายน 2558 ปวีณได้รับคำเตือนฉันมิตรจาก พลตำรวจตรีพชร บุญญสิทธิ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต ว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังไม่พอใจปวีณ และอาจกระทำบางอย่างเพื่อให้ปวีณหยุดทำคดี ข่าวนี้ทำให้ปวีณรู้สึกเกรงกลัว เพราะขณะนั้นพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรัฐประหาร
ชุดสอบสวนของปวีณเป็นอันยุติการทำงานภายหลังจากที่พลตำรวจเอกเอก อังสนานนท์ ถูกย้ายไปเป็นปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ของชุดสอบสวนเฉพาะกิจถูกบังคับให้กลับไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่แม้การสอบสวนยุติลงแล้ว ก็ยังมีความโกรธเคืองที่ทับถมจากฝ่ายทหาร ปวีณถูกต่อว่าจากพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ และถูกด่าทอด้วยคำหยาบจากพลเอกไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
21 ตุลาคม พ.ศ. 2558[8] ปวีณได้รับคำสั่งย้ายไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้[9] ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดยะลา ซึ่งยังคงมีความไม่สงบทางอาวุธ ปวีณรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตจึงอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา แต่ก็ได้รับการปฏิเสธ[9] ท้ายที่สุด ปวีณส่งหนังสือลาออกในวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 โดยมีผลในวันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558[10]
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 มีพระบรมราชโองการให้เขาเป็นรองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เมื่อปวีณเดินทางไปรับตำแหน่งรองผู้บัญชาการศูนย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็พบว่าบ้านพักประจำตำแหน่งของเขามีความใหญ่โตหรูหรา มีอาวุธสงครามประจำตัวมากมายให้เลือกใช้ และมีรถยนต์ให้ใช้ถึงสามคันรวมถึงรถยนต์หุ้มเกราะ ปวีณรู้สึกตกใจและสอบถามผู้ใต้บังคับบัญชาว่าเอาเงินมาจากไหน และได้รับคำตอบว่าเนื่องจากเป็นพื้นที่ไม่สงบ จึงมีงบประมาณมหาศาล และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินจึงไม่ส่งคนลงมาตรวจสอบ[11]
ออกจากราชการและลี้ภัย[แก้]
ภายหลังการส่งหนังสือลาออก ปวีณได้รับการติดต่อจาก พลตำรวจโท ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง[12] เพื่อแจ้งว่าข่าวการลาออกของปวีณทราบแล้วถึงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระองค์ไม่ต้องการให้ปวีณลาออก[6] และในวันต่อมา ปวีณได้รับการติดต่อจาก พลอากาศเอก สถิตย์พงษ์ สุขวิมล ราชเลขานุการในพระองค์ และได้รับข้อเสนอทางเลือก ระหว่างตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง รับผิดชอบคดีลอบค้ามนุษย์ หรือตำแหน่งในหน่วยงานในพระองค์[2] ปวีณยังคงอยากเป็นตำรวจ จึงแจ้งต่อพลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ว่าต้องการทำงานเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ต่อไป[6]
12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ปวีณเดินทางไปสำนักงานตำรวจแห่งชาติและลงนามในเอกสารเพิกถอนใบลาออก แต่ในวันต่อมาเมื่อเขาไปพบพลตำรวจเอกจักรทิพย์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับได้รับคำบอกกล่าวให้ลาออกและอยู่เงียบๆ และได้รับคำบอกในทำนองเดียวกัน[6] จาก พลตำรวจเอก จุมพล มั่นหมาย ผู้ใกล้ชิดสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ในขณะนั้น ปวีณมึนงงจึงพยายามติดต่อพลอากาศเอกสถิตย์พงษ์ แต่ก็ติดต่อไม่ได้อีกต่อไป
ปวีณกังวลว่าเขาอาจถูกยัดข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไม่ยอมเลือกทำงานภายใต้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ปวีณจึงรีบเดินทางกลับภูเก็ต และเดินทางออกจากประเทศไทยไปยังประเทศสิงคโปร์ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 และเดินทางถึงประเทศออสเตรเลียในฐานะผู้ลี้ภัยในวันที่ 5 ธันวาคม 2558[6]
รางวัล[แก้]
ระหว่างรับราชการตำรวจ[แก้]
- พ.ศ. 2537 - ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ได้รับเข็มเชิดชูเกียรติข้าราชการพลเรือนดีเด่น (ครุฑทองคำ) จาก นายชวน หลีกภัย นายกรัฐมนตรี[13]
- พ.ศ. 2554 - ปราบปรามยาเสพติดดีเด่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2554[13]
- ไม่ปรากฏช่วงปี - พนักงานสอบสวนดีเด่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 3 ปีติดต่อกัน[13][14]
ระหว่างลี้ภัย[แก้]
- พ.ศ. 2565 - รางวัลจิตร ภูมิศักดิ์ ด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี พ.ศ. 2565[15] โดย สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิจิตร ภูมิศักดิ์
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
- พ.ศ. 2555 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[16]
- พ.ศ. 2552 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[17]
- พ.ศ. 2530 –
เหรียญราชการชายแดน (ช.ด.)[18]
- พ.ศ. 2548 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นที่ 6 เหรียญทองดิเรกคุณาภรณ์ (ร.ท.ภ.)[19]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ "สรุปเส้นทางชีวิต 'พล.ต.ต.ปวีณ' จากหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ สู่ผู้ลี้ภัยในต่างแดน". The MATTER (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-04-25.
- ↑ 2.0 2.1 โรม, รังสิมันต์ (2022-02-18). "ตำรวจเลวได้ดี ตำรวจดีต้องลี้ภัย". พรรคก้าวไกล.
- ↑ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ
- ↑ 'พล.ต.ต.ปวีณ' ลาออกจากตำรวจแล้ว
- ↑ ปวีณ พงศ์สิรินทร์ 7 ปีที่ลี้ภัย ราคาที่ต้องจ่ายของมือปราบค้ามนุษย์
- ↑ 6.0 6.1 6.2 6.3 6.4 6.5 6.6 กรมอัยการ. เครือรัฐออสเตรเลีย. 13 มกราคม 2016. Statutory Declaration of Paween Pongsirin
- ↑ รางวัลของคนทำงานคือการลี้ภัย
- ↑ โรม, รังสิมันต์ (2022-02-18). "ตำรวจเลวได้ดี ตำรวจดีต้องลี้ภัย". พรรคก้าวไกล.
- ↑ 9.0 9.1 "ปม (ลึก) 4 ปี "พล.ต.ต.ปวีณ" ลี้ภัยหนีจากไทย เจอตอใหญ่ "ใคร" ค้ามนุษย์". www.thairath.co.th. 2019-04-18.
- ↑ พึ่งเนตร, สุเมธ ปานเพชร, ปกรณ์ (2015-11-07). ""รองฯปวีณ"อยู่ไม่ไหว ตัดสินใจลาออกจากราชการ!". สำนักข่าวอิศรา.
- ↑ การให้สัมภาษ์ณ์ทางวิดีโอคอลเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566
- ↑ "สรุปเส้นทางชีวิต 'พล.ต.ต.ปวีณ' จากหัวหน้าทีมสืบสวนคดีค้ามนุษย์ สู่ผู้ลี้ภัยในต่างแดน". The MATTER (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-04-25.
- ↑ 13.0 13.1 13.2 ""ปวีณ"อาสาจุดไม้ขีดไฟฝ่าความมืด!? เผยประวัติจากเด็กวัด มาถึงตำรวจน้ำดี". mgronline.com. 2015-11-09.
- ↑ ""อย่าร้องเป็นหมาแล้วกัน ถ้าวันหลังผมเอามาแฉ" พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์". The Momentum (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). 2022-05-06. สืบค้นเมื่อ 2023-02-02.
- ↑ "สภานิสิตจุฬาฯ มอบรางวัล 'จิตร ภูมิศักดิ์' ด้านสิทธิมนุษยชน ให้ พล.ต.ต. ปวีณ อดีตหัวหน้าทีมสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮิงญา". THE STANDARD. 2022-10-29.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี ๒๕๕๕, เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๓๕ ข หน้า ๕๖, ๓ ธันวาคม ๒๕๕๕. สืบค้นเมื่อ 2023-05-10
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ประจำปี ๒๕๕๒, เล่ม ๑๒๖ ตอนที่ ๑๖ ข หน้า ๑ (เล่มที่ ๑), ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒. สืบค้นเมื่อ 2023-05-10
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเหรียญราชการชายแดน, เล่ม ๑๐๕ ตอนที่ ๑๖ ฉบับพิเศษ หน้า ๑๗๕, ๒๗ มกราคม ๒๕๓๑. สืบค้นเมื่อ 2023-05-10
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่สรรเสริญยิ่งดิเรกคุณาภรณ์ ประจำปี ๒๕๔๘, เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๒๓ ข หน้า ๑๗๙, ๓ มกราคม ๒๕๔๙. สืบค้นเมื่อ 2023-05-10