ผู้ลี้ภัย
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
ป. 25.4 ล้านคน (19.9 ล้านคน ภายใต้อาณัติของข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) และ 5.4 ล้านคนภายใต้อาณัติของ UNRWA) | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
แอฟริกาใต้สะฮารา | 6.236 ล้านคน |
ยุโรป และเอเชียเหนือ | 6.088 ล้านคน |
เอเชียแปซิฟิก | 4.153 ล้านคน |
ตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ | 2.653 ล้านคน |
ทวีปอเมริกา | 484,261 คน |
ผู้ลี้ภัย (อังกฤษ: refugee) หมายถึงบุคคลที่อยู่นอกประเทศต้นกำเนิดหรือประเทศที่มีถิ่นฐานประจำ เพราะเขาผู้นั้นประสบกับภัยอันเกิดแต่การตามล่า การกดขี่ด้วยเหตุทาง เชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ ความเห็นทางการเมือง หรือ การเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมที่ถูกตามล่า บางครั้งอาจเรียกผู้ลี้ภัยว่า ผู้ขอที่ลี้ภัย (asylum seeker) จนกว่าจะได้รับการยอมรับสถานภาพของผู้ลี้ภัย[2]
เด็กและสตรีผู้ลี้ภัยเป็นผู้ลี้ภัยกลุ่มย่อยที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ระบบผู้ลี้ภัยจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อประเทศเปิดพรมแดนให้ผู้คนหนีจากความความขัดแย้ง โดยเฉพาะประเทศพื้นบ้านใกล้กับต้นกำเนิดของความขัดแย้ง ระบบผู้ลี้ภัยนี้ได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายแต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ในหลายกรณีการหนีไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยกระทำได้ยากยิ่ง
ณ วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2005 ประเทศต้นกำเนิดของผู้ลี้ภัยที่สำคํญได้แก่ อัฟกานิสถาน อิรัก เซียร์ราลีโอน พม่า โซมาเลีย เซาท์ซูดาน และปาเลสไตน์[3] ประเทศที่มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศมากที่สุดคือเซาท์ซูดานโดยมีจำนวนกว่า 5 ล้านคน ใน ค.ศ. 2006 อาเซอร์ไบจานเป็นประเทศที่มีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศถึง 800,000 คน ถือเป็นอัตราส่วนต่อประชากรที่มากที่สุด[4]
ทัศนคติของนานาชาติ
[แก้]วันผู้ลี้ภัยโลก
[แก้]วันผู้ลี้ภัยโลกตรงกับวันที่ 20 มิถุนายน เกิดจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติใน ค.ศ. 2000 เดิมทีนั้นวันที่ 20 มิถุนายนเป็นวันผู้ลี้ภัยแอฟริกันซึ่งฉลองกันในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
การซึมซับผู้ลี้ภัย
[แก้]ค่าย
[แก้]ค่ายผู้ลี้ภัยเป็นสถานที่ที่สร้างโดยรัฐบาลหรือเอ็นจีโอ (เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ) เพื่อรับผู้ลี้ภัย ผู้คนสามารถเข้ามาพักอาศัยในค่าย รับอาหารและความช่วยเหลือทางการแพทย์ จนกว่าจะปลอดภัยที่จะกลับบ้านได้หรือจนกว่าจะมีผู้มารับตัวไป ในหลายกรณีแม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปีก็ยังไม่ปลอดภัยที่จะกลับบ้านจนทำให้ต้องไปตั้งถิ่นฐานใหม่ใน "ประเทศที่สาม" ห่างไกลจากชายแดนที่ข้ามมา อย่างไรก็ดีโดยส่วนใหญ่ผุ้ลี้ภัยมักไม่ได้รับโอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่และมีความเสี่ยงต่อโรคภัยและความรุนแรง มีประมาณการณ์ว่าทั่วโลกมีค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ราว 700 แห่ง[5]
การตั้งรกรากใหม่
[แก้]ประเทศปลายทาง | จำนวนการตั้งถิ่นฐานใหม่ใน ค.ศ. 2010[6] |
สหรัฐ | 54,077 |
แคนาดา | 6,706 |
ออสเตรเลีย | 5,636 |
สวีเดน | 1,789 |
นอร์เวย์ | 1,088 |
สหราชอาณาจักร | 695 |
ฟินแลนด์ | 543 |
นิวซีแลนด์ | 535 |
เยอรมนี | 457 |
เนเธอร์แลนด์ | 430 |
อื่น ๆ | 958 |
รวม | 72,914 |
การตั้งรกรากใหม่เป็นการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ไม่อาจกลับบ้านได้ให้ไปสู่ประเทศที่สาม[7][8] ในอดีต UNHCR ให้ความเห็นว่าการตั้งรกรากใหม่เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุดในบรรดาทางออกที่พอเป็นไปได้ของปัญหาผู้ลี้ภัย[9] อย่างในก็ดีในเดือนเมษายน ค.ศ. 2000 ได้มีการเปลี่ยนท่าทีดังกล่าวและเห็นว่าในหลายกรณี การตั้งรกรากใหม่เป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้[9]
การตั้งรกรากใหม่เป็นกระบวนการอันยากยิ่งเพราะผู้ลี้ภัยจะต้องประสบกับปัญหาหลายประการทั้งทางวัตถุและจิตใจ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ลี้ภัยมาจากประเทศด้อยพัฒนา การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศพัฒนาแล้วจะต้องปรับตัวและพบกับความแตกต่างและความเปลี่ยนแปลงหลายประการและอาจพบกับปัญหาการเลือกปฏิบัติ ทำให้กระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า[10]
อย่างไรก็ตาม UNHCR ก็เล็งเห็นถึงประโยชน์แห่งการตั้งถิ่นฐานใหม่ ถึงกับกล่าวว่า “ทั้งการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยและการอพยพย้ายถิ่นต่างได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จทางเศรษฐกิจของหลายประเทศอุตสาหกรรม”[10] UNHCR เห็นว่าการตั้งถิ่นฐานใหม่ทำหน้าที่สามประการ คือ[11]
- ธำรงไว้ซึ่งสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เช่น “ชีวิต, เสรีภาพ, ความปลอดภัย, สุขภาพ” สำหรับผู้ลี้ภัยซึ่งมีความเสี่ยงในค่าย
- เป็นทางออกระยะยาวสำหรับปัญหาผู้พลัดถิ่นและผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
- ช่วยบรรเทาภาระของประเทศที่ตั้งค่ายรับผู้คนเหล่านั้น ประเทศเหล่านี้มักเป็นประเทศที่ยากจนและไม่อาจรับมือผู้ลี้ภัยจำนวนมากได้[10]
ถึงกระนั้น มีเพียง 1% ของผู้ลี้ภัยกว่า 10.5 ล้านคนที่ UNHCR ดูแลถูกส่งไปตั้งรกรากใหม่ ใน ค.ศ. 2010 มีผู้ลี้ภัยราว 108,000 คนถูกพิจารณาเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่โดยมีประเทศต้นกำเนิดคือ อิรัก พม่า และภูฏาน[12]
ใน ค.ศ. 2008 UNHCR ส่งเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ประเทศที่สามพิจารณาถึง 121,000 คน เป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 15 ปี ในขณะที่ปีก่อนหน้ามีผู้ลี้ภัยส่งให้พิจารณาเพียง 98,999 คน โดย 33,512 คนมาจากอิรัก 30,388 คนมาจากพม่า และ 23,516 คนจากภูฏาน [8]
สำหรับจำนวนของการออกเดินทางจริง ใน ค.ศ. 2008 มีผู้ลี้ภัย 65,548 คนได้รับการตั้งถิ่นฐานใหม่ใน 26 ประเทศ เพิ่มจาก 49,868 คนในปีก่อนหน้า[8] โดยยอดของการออกเดินทางมากที่สุดได้แก่ ไทย (16,807 คน) เนปาล (8,165 คน) ซีเรีย (7,153 คน) จอร์แดน (6,704 คน) และมาเลเซีย (5,865 คน)[8] ประเทศเหล่านี้หมายถึงประเทศที่ผู้ลี้ภัยเดินทางออกไปสู่ประเทศที่สาม มิใช่ประเทศต้นกำเนิด
สำหรับขนาดของการรับผู้ลี้ภัยในประเทศที่สามแตกต่างกันไปดังแสดงในตาราง ระหว่าง ค.ศ. 1981 เมื่อญี่ปุ่นให้สัตยาบันใน U.N. Convention Relating to the Status of Refugees ถึง ค.ศ. 2002 ญี่ปุ่นรับรองบุคคลเพียง 305 คนเป็นผู้ลี้ภัย[13] และใน ค.ศ. 2006 ญี่ปุ่นรับผู้ลี้ภัย 26 คนให้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศ[14]
เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และร่วมสมัยเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย
[แก้]เหตุการณ์ในเอเชีย
[แก้]อัฟกานิสถาน
[แก้]นับแต่ การรุกรานอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2522 จนกระทั่งสงครามอัฟกานิสถาน พ.ศ. 2544 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันประมาณ 6 ล้านคนที่เข้าไปสู่ปากีสถานและอิหร่าน ทำให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุด ต้นปี พ.ศ. 2545 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันมากกว่า 5 ล้านคนถูกส่งกลับถิ่นเดิมโดย UNHCR ทั้งจากอิหร่านและปากีสถาน [15] ประมาณ 3.5 ล้านคนมาจากปากีสถาน[16] ในขณะที่ 1.5 ล้านคนมาจากอิหร่าน ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 รัฐบาลอิหร่านได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ไม่ลงทะเบียนออกนอกประเทศอย่างจริงจัง โดยใน พ.ศ. 2551 มีผู้ถูกผลักดันกลับไป 362,000 คน[17]
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ลงทะเบียนราว 1.7 ล้านคนยังคงอยู่ในอัฟกานิสถาน ซึ่งรวมทั้งผู้ที่เกิดในอัฟกานิสถานในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาซึ่งยังถูกนับเป็นประชากรของอัฟกานิสถาน พวกเขายังได้รับอนุญาตให้ทำงานและเรียนหนังสือได้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2555[18] มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ลงทะเบียน 935,600 คนในอิหร่านรวมทั้งผู้ที่เกิดในอิหร่านด้วย [19]
ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจา
[แก้]มีชาวมุสลิมโรฮีนจาอยู่ในบังกลาเทศมากกว่า 250,000 คน ซึ่งมาจากภาคตะวันตกของพม่า ในช่วง พ.ศ. 2534 - 2535 บางส่วนอยู่มานานเกือบยี่สิบปี บังกลาเทศแบ่งชาวโรฮีนจาเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการและกลุ่มที่อยู่อย่างไม่เป็นทางการทั่วบังกลาเทศ มีชาวโรฮีนจา 30,000 คนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่นายาประและกุตุปาลงในบังกลาเทศ ซึ่งภายในค่ายมีบริการพื้นฐานที่ภายนอกไม่มี เมื่อไม่มีความเปลี่ยนแปลงในพม่า ทำให้บังกลาเทศมีแนวโน้มต้องดูแลชาวโรฮีนจาในระยะยาว และต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติในการดูแลคนเหล่านี้
การกวาดล้างชนกลุ่มน้อยมุสลิมในรัฐยะไข่อย่างโหดร้ายโดยกองทัพพม่าเมื่อ พ.ศ. 2534 - 2535 ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ และบางส่วนถูกผลักดันให้กลับสู่พม่า แต่ก็มีการปฏิเสธสัญชาติของชาวโรฮีนจาที่กลับสู่พม่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ทำให้บางส่วนต้องกลับสู่บังกลาเทศอีก ในรัฐยะไข่ มีการนำชาวพม่าที่นับถิอพุทธศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน มัสยิดถูกปิด ตั้งแต่ พ.ศ. 2549[20][21][22]
นอกจากนั้นยังมีชาวโรฮีนจาในปากีสถานเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไปโดยเดินทางผ่านบังกลาเทศและอินเดียและเข้าไปตั้งหลักแหล่งในการาจี
สงครามเวียดนามและผู้ลี้ภัยในอินโดจีน
[แก้]หลังจากการรวมเวียดนามโดยเวียดนามเหนือยึดครองเวียดนามใต้สำเร็จ รวมทั้งการที่ฝ่ายซ้ายในลาวและกัมพูชายึดอำนาจสำเร็จ ใน พ.ศ. 2518 มีประชาชนราว 3 ล้านคนได้ลี้ภัยออกมา การอพยพโดยทางเรือหรือมนุษย์เรือกลายเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ UNHCR ได้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 80 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ. 2518 เป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ. 2523 การทำงานในอินโดจีนนี้ทำให้ UNHCR ได้รับรางวัลโนเบลใน พ.ศ. 2524
- ผู้อพยพชาวเวียดนามเพิ่มขึ้นมากหลัง พ.ศ. 2518 หลังจากที่เวียดนามใต้พ่ายแพ้ให้กับกองทัพประชาชนเวียดนาม ส่วนใหญ่อพยพโดยทางเรือ ผู้ลี้ภัยชาวเวียดนามส่วนใหญ่อพยพไปยังฮ่องกง ฝรั่งเศส สหรัฐ แคนาดา ออสเตรเลีย และประเทศอื่น ๆ ตั้งแต่ พ.ศ. 2518 มีผู้ลี้ภัยชาวเวียดนาม 1.4 ล้านคนออกจากเวียดนามและประเทศอื่น ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปอยู่ยังสหรัฐอเมริกา[23]
- ผู้ที่รอดตายจากการปกครองของเขมรแดงในกัมพูชา ได้อพยพออกมายังประเทศไทยหลังจากการการรุกรานของเวียดนามใน พ.ศ. 2521 - 2522 ผู้ลี้ภัยประมาณ 300,000 คน ได้ออกไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส แคนาดา และออสเตรเลีย ระหว่าง พ.ศ. 2522 - 2535 หลังจากนั้นได้ปิดค่ายและบังคับให้คนที่เหลืออพยพกลับ
- ชาวลาวประมาณ 400,000 คนอพยพมายังประเทศไทยหลังจากสงครามเวียดนามและฝ่ายคอมมิวนิสต์ได้ชัยชนะใน พ.ศ. 2518 บางส่วนอพยพออกมาเพราะปัญหาทางด้านศาสนาและชนกลุ่มน้อย ส่วนใหญ่อพยพออกมาระหว่าง พ.ศ. 2519 - 2528 และอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย ส่วนใหญ่อพยพไปตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ แคนาดา ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย
- ชาวม้งหรือชาวเย้า ที่อยู่ในภาคเหนือของเวียดนาม ภาคเหนือของลาว และภาคเหนือของไทย ใน พ.ศ. 2518 กองทัพของขบวนการปะเทดลาวได้รบชนะกองทัพของชาวม้งที่มีสหรัฐหนุนหลังในสงครามกลางเมืองลาว ทำให้ชาวม้งที่สหรัฐสนับสนุนต้องลี้ภัยไปยังสหรัฐและได้รับสัญชาติอเมริกัน แต่ยังมีชาวม้งอีกจำนวนมากที่ลี้ภัยตามแนวชายแดนไทย [24]
ชาวกะเหรี่ยง
[แก้]ผลจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง กะเรนนีและอื่นๆในพม่า ทำให้มีผู้ลี้ภัยที่เป็นชนกลุ่มน้อยในพม่าตามแนวชายแดนไทยประมาณ 100,000 คน
เทือกเขาหิมาลัย
[แก้]หลังจากที่จีนยึดครองทิเบตเมื่อ พ.ศ. 2502 มีชาวทิเบตมากกว่า 150,000 คนที่อพยพมาอยู่อินเดีย ส่วนใหญ่อยู่ที่ ธรรมศาลา และ ไมซอร์และเนปาล ซึ่งรวมประชาชนที่ออกจากเทือกเขาหิมาลัยจากทิเบต ในอินเดีย ชาวทิเบตที่อยู่ในอินเดียได้รับการรับรองจากรัฐบาลอินเดีย โดยระบุสัญชาติเป็นชาวทิเบต ชาวทิเบตจะได้หนังสือเดินทางที่ออกโดยรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น
ใน พ.ศ. 2534 - 2535 ภูฏานได้ขับชนกลุ่มน้อยชาวเนปาลที่เรียกลตชัมปาประมาณ 100,000 คน จากทางภาคใต้ของประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยของ UNHCR ในภาคตะวันออกของเนปาล] บางส่วนอยู่ในอินเดีย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 บางส่วนไปอยู่ในประเทศที่สาม เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก แคนาดา นอร์เวย์ และออสเตรเลีย ในปัจจุบัน สหรัฐได้ยอมให้ผู้ลี้ภัยมากกว่า 60,000 คนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน [25]
ในขณะเดียวกันมีชาวเนปาลประมาณ 200,000 คน ที่อพยพระหว่าง การสู้รบของพรรคคอมมิวนิสต์ และ สงครามการเมืองเนปาลที่สิ้นสุดใน พ.ศ. 2539
มีชาวปากีสถานมากกว่า 3 ล้านคนที่อพยพระหว่าง สงครามในปากีสถานเหนือ-ตะวันตก (พ.ศ. 2547–ปัจจุบัน) ระหว่างรัฐบาลปากีสถานและฏอลีบัน[26]
ชัมมูและกัษมีระ
[แก้]มีชาวกัษมีระประมาณ 300,000 คนถูกบังคับให้อพยพออกจากรัฐชัมมูและกัษมีระ ทำให้ต้องเป็นผู้อพยพในประเทศของตนเอง [27] บางส่วนเป็นผู้อพยพในรัฐใกล้เคียง เช่น เดลฮี หรือประเทศใกล้เคียง จำนวนผู้อพยพใกล้เคียง 500,000คน[28]
ศรีลังกา
[แก้]สงครามกลางเมืองในประเทศศรีลังกา จาก พ.ศ. 2526 - 2552 ทำให้มีผู้อพยพจำนวนมาก ชาวศรีลังกาอพยพไปประเทศเพื่อนบ้านคืออินเดีย และประเทศตะวันตกได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สหราชอาณาจักรและ เยอรมันมีผู้อพยพบางส่วนไปยังมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย ก่อนจะอพยพต่อไปยังออสเตรเลียหรือแคนาดา
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "Populations | Global Focus". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-04-09. สืบค้นเมื่อ 2022-03-15.
- ↑ "refugee, n." Oxford English Dictionary Online. November 2010. สืบค้นเมื่อ 23 February 2011.
- ↑ Matt Rosenberg (2010-05-05). "Refugees - The Global Refugee and Internally Displaced Persons Situtation". About.com Guide. สืบค้นเมื่อ 2012-03-10.
- ↑ Education in Azerbaijan. UNICEF.
- ↑ http://www.unhcr.org/cgi-bin/texis/vtx/home
- ↑ http://www.unhcr.org/cgi-bin/texis/vtx/home/opendocPDF.pdf?docid=4f0fff0d9#xml=http://www.unhcr.org/cgi-bin/texis/vtx/search/pdfhi.txt?ID=4f0fff0d9&query=resettlement p.64
- ↑ "What is resettlement? A new challenge". UNHCR. สืบค้นเมื่อ 2009-07-19.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 "Resettlement: A new beginning in a third country". UNHCR. สืบค้นเมื่อ 2009-07-19.
- ↑ 9.0 9.1 "Understanding Resettlement to the UK: A Guide to the Gateway Protection Programme". Refugee Council on behalf of the Resettlement Inter-Agency Partnership. June 2004. สืบค้นเมื่อ 2009-07-19.
- ↑ 10.0 10.1 10.2 UNHCR, Refugee Resettlement. An International Handbook to Guide Reception and Integration, http://www.unhcr.org/refworld/pdfid/405189284.pdf, 22-23.
- ↑ UNHCR, “Introducing Resettlement,” http://www.unhcr.org/3d4653c84.pdf, 3.
- ↑ The UN Refugee Agency, “Resettlement,” http://www.unhcr.org/pages/4a16b1676.html.
- ↑ "Written statement submitted by Japan Fellowship of Reconciliation". Office of the United Nations High Commissioner for Human Rights.
- ↑ "Refugees in Japan". The Japan Times Online. October 12, 2008
- ↑ Pajhwok Afghan News (PAN), UNHCR hails Pakistan as an important partner (Nov. 3, 2007) เก็บถาวร 2008-05-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
- ↑ 2010 UNHCR country operations profile - Pakistan
- ↑ "Afghanistan denies laxity in visa rules". Fars News Agency. 2009-10-06. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-03-14. สืบค้นเมื่อ 2009-10-10.
- ↑ UNHCR and Pakistan sign new agreement on stay of Afghan refugees, March 13, 2009.
- ↑ 2010 UNHCR country operations profile - Islamic Republic of Iran
- ↑ "Luck of the Draw: Rohingya Refugees in Bangladesh". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-12-19. สืบค้นเมื่อ 2012-06-12.
- ↑ Human Rights Watch : Rohingya Refugees from Burma Mistreated in Bangladesh
- ↑ Web site of Arakan Rohingya National Organisation
- ↑ "Refugee Resettlement in Metropolitan America". Migration Information Source.
- ↑ "Nationmultimedia.com". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-08-25. สืบค้นเมื่อ 2012-06-12.
- ↑ Bhaumik, Subir (November 7, 2007). "Bhutan refugees are 'intimidated'". BBC News. สืบค้นเมื่อ 2008-04-25.
- ↑ 3.4 million displaced by Pakistan fighting. United Press International. May 30, 2009.
- ↑ [1]
- ↑ India เก็บถาวร 2008-06-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, The World Factbook. Retrieved 20 May 2006.