ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ซอฟต์พาวเวอร์"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
JohnnyRayder (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
JohnnyRayder (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 124: บรรทัด 124:


อิทธิพลของอังกฤษที่มีต่อ[[รายชื่อประเทศที่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร|อดีตอาณานิคม]]หลายแห่งสามารถพบเห็นได้ผ่านระบบกฎหมายและการเมืองของประเทศนั้น ๆ รวมถึง[[วัฒนธรรมของสหราชอาณาจักร]]ก็ยังได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ[[โลกที่พูดภาษาอังกฤษ|ภาษา]] [[วรรณกรรม]] [[ดนตรีในสหราชอาณาจักร|ดนตรี]] และ[[กีฬาในสหราชอาณาจักร|กีฬา]]<ref>{{cite journal|date=Winter 2011|title=The cultural superpower: British cultural projection abroad|url=http://www.britishpoliticssociety.no/British%20Politics%20Review%2001_2011.pdf|url-status=dead|journal=Journal of the British Politics Society, Norway|volume=6|issue=1|archive-url=https://web.archive.org/web/20180916155419/http://www.britishpoliticssociety.no/British%20Politics%20Review%2001_2011.pdf|archive-date=16 September 2018|access-date=24 October 2014}}</ref> ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่แพร่หลายที่สุดใน[[กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก]] เป็นหนึ่งใน[[รายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด|ภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุด]] และมี[[รายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนผู้ใช้เป็นภาษาแม่|ผู้ใช้เป็นภาษาแม่มากเป็นอันดับสามของโลก]] อีกทั้งยังเป็นภาษาราชการร่วมขององค์กรทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคอื่น ๆ อีกมากมาย ตัวอย่างก็เช่น [[ภาษาราชการของสหประชาชาติ|องค์กรสหประชาชาติ]] [[ภาษาในสหภาพยุโรป|สหภาพยุโรป]] นอกจากนี้ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่แพร่หลายทั้งในทาง[[การทูต]] [[วิทยาศาสตร์]] [[การค้าระหว่างประเทศ]] [[การท่องเที่ยว]] [[การเดินอากาศ|การบิน]] [[การบันเทิง|อุตสาหกรรมบันเทิง]] และ[[ภาษาที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต|อินเทอร์เน็ต]]อีกด้วย<ref>{{cite web|last=Chua|first=Amy|date=18 January 2022|title=How the English Language Conquered the World|url=https://www.nytimes.com/2022/01/18/books/review/the-rise-of-english-rosemary-salomone.html|url-status=live|archive-url=https://web.archive.org/web/20220301222132/https://www.nytimes.com/2022/01/18/books/review/the-rise-of-english-rosemary-salomone.html|archive-date=1 March 2022|website=[[The New York Times]]}}</ref>
อิทธิพลของอังกฤษที่มีต่อ[[รายชื่อประเทศที่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร|อดีตอาณานิคม]]หลายแห่งสามารถพบเห็นได้ผ่านระบบกฎหมายและการเมืองของประเทศนั้น ๆ รวมถึง[[วัฒนธรรมของสหราชอาณาจักร]]ก็ยังได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของ[[โลกที่พูดภาษาอังกฤษ|ภาษา]] [[วรรณกรรม]] [[ดนตรีในสหราชอาณาจักร|ดนตรี]] และ[[กีฬาในสหราชอาณาจักร|กีฬา]]<ref>{{cite journal|date=Winter 2011|title=The cultural superpower: British cultural projection abroad|url=http://www.britishpoliticssociety.no/British%20Politics%20Review%2001_2011.pdf|url-status=dead|journal=Journal of the British Politics Society, Norway|volume=6|issue=1|archive-url=https://web.archive.org/web/20180916155419/http://www.britishpoliticssociety.no/British%20Politics%20Review%2001_2011.pdf|archive-date=16 September 2018|access-date=24 October 2014}}</ref> ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่แพร่หลายที่สุดใน[[กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก]] เป็นหนึ่งใน[[รายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด|ภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุด]] และมี[[รายชื่อภาษาเรียงตามจำนวนผู้ใช้เป็นภาษาแม่|ผู้ใช้เป็นภาษาแม่มากเป็นอันดับสามของโลก]] อีกทั้งยังเป็นภาษาราชการร่วมขององค์กรทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคอื่น ๆ อีกมากมาย ตัวอย่างก็เช่น [[ภาษาราชการของสหประชาชาติ|องค์กรสหประชาชาติ]] [[ภาษาในสหภาพยุโรป|สหภาพยุโรป]] นอกจากนี้ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่แพร่หลายทั้งในทาง[[การทูต]] [[วิทยาศาสตร์]] [[การค้าระหว่างประเทศ]] [[การท่องเที่ยว]] [[การเดินอากาศ|การบิน]] [[การบันเทิง|อุตสาหกรรมบันเทิง]] และ[[ภาษาที่ใช้บนอินเทอร์เน็ต|อินเทอร์เน็ต]]อีกด้วย<ref>{{cite web|last=Chua|first=Amy|date=18 January 2022|title=How the English Language Conquered the World|url=https://www.nytimes.com/2022/01/18/books/review/the-rise-of-english-rosemary-salomone.html|url-status=live|archive-url=https://web.archive.org/web/20220301222132/https://www.nytimes.com/2022/01/18/books/review/the-rise-of-english-rosemary-salomone.html|archive-date=1 March 2022|website=[[The New York Times]]}}</ref>

=== ประเทศอิตาลี ===
ประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่มีจุดขายทางวัฒนธรรมซึ่งได้รับความนิยมหลากหลายด้าน ได้แก่ [[ศิลปะอิตาลี|ศิลปะ]] [[ดนตรีอิตาลี|ดนตรี]] [[แฟชั่นอิตาลี|แฟชั่น]] [[การออกแบบอิตาลี|การออกแบบ]] และ[[อาหารอิตาลี|อาหาร]] ประเทศอิตาลีเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะการแสดงแบบ[[อุปรากร|โอเปร่า]]<ref>Kimbell, David R. B. [https://books.google.com/books?id=C37Gq2GagZIC&pg=PA1 ''Italian Opera.''] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20221011234953/https://books.google.com/books?id=C37Gq2GagZIC&pg=PA1&dq=|date=2022-10-11}} Cambridge University Press, 1994. p. 1. Web. 22 Jul. 2012.</ref> และ[[ภาษาอิตาลี]]เองก็เป็นภาษาของโอเปร่าที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ศิลปะการแสดงของอิตาลีได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนหลากหลายมานานนับหลายศตวรรษ การแสดงแบบด้นสดที่เรียกว่า [[กอมเมเดีย เดลลาร์เต|''กอมเมเดีย เดลลาร์เต'']] (''Commedia dell'arte'') เกิดขึ้นในอิตาลีช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 16<ref>{{cite web|title=Commedia dell'arte|url=http://www.treccani.it/enciclopedia/commedia-dell-arte/|url-status=live|archive-url=https://web.archive.org/web/20211104120129/https://www.treccani.it/enciclopedia/commedia-dell-arte/|archive-date=4 November 2021|access-date=24 Jul 2012|work=Treccani, il portale del sapere|language=it}}</ref> ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยที่ยังมีการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึง[[บัลเลต์]]ก็เป็นหนึ่งในศิลปะการแสดงที่มีต้นกำเนิดมาจากอิตาลีอีกเช่นกัน ประเทศอิตาลีมีหัวเมืองสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแห่ง: [[โรม|กรุงโรม]]ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของ[[จักรวรรดิโรมัน]] และเป็นที่พำนักของ[[พระสันตะปาปา]]แห่ง[[คาทอลิก|คริสตจักรคาทอลิก]] ทำให้กรุงโรมได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน "แหล่งกำเนิดของ[[วัฒนธรรมตะวันตก|อารยธรรมตะวันตก]]และ[[วัฒนธรรมคริสเตียน]]"<ref>{{cite book|last=Beretta|first=Silvio|title=Understanding China Today: An Exploration of Politics, Economics, Society, and International Relations|publisher=Springer|year=2017|isbn=9783319296258|page=320|quote=}}</ref><ref>{{cite book|last=Bahr|first=Ann Marie B.|title=Christianity: Religions of the World|publisher=[[Infobase Publishing]]|year=2009|isbn=9781438106397|page=139|quote=}}</ref><ref>{{cite book|last=D'Agostino|first=Peter R.|title=Rome in America: Transnational Catholic Ideology from the Risorgimento to Fascism|publisher=[[University of North Carolina Press]]|year=2005|isbn=9780807863411|page=}}</ref> [[ฟลอเรนซ์]]เป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปวิทยาการที่รุ่งเรืองที่สุดใน[[สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา]]<ref>Zirpolo, Lilian H. [https://books.google.com/books?id=QPqWxHwdMNAC&pg=PA154 ''The A to Z of Renaissance Art.''] {{Webarchive|url=https://web.archive.org/web/20221011235002/https://books.google.com/books?id=QPqWxHwdMNAC&pg=PA154&dq=|date=2022-10-11}} Scarecrow Press, 2009. pp. 154-156. Web. 16 Jul. 2012.</ref> ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากความเป็น[[สมัยกลาง]]ไปสู่[[ความเป็นสมัยใหม่]] หัวเมืองที่สำคัญอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ได้แก่ [[ตูริน]]ซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง[[อุตสาหกรรมยานยนต์อิตาลี|อุตสาหกรรมยานยนต์]]ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก [[มิลาน]]เป็นหนึ่งใน[[เมืองหลวงแฟชั่น]]หรือที่เรียกกันว่า "Big Four" [[เวนิส]]เป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของประวัติศาสตร์การเดินเรือและการวางโครงสร้างระบบคลองในเมืองที่มีความสลับซับซ้อน ด้วยเอกลักษณ์ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้เมืองเวนิสสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในช่วง[[คาร์นิวัลเวนิส|เทศกาลคาร์นิวัลเวนิส]]และ[[เวนิสเบียนนาเล]] ประเทศอิตาลีได้รับการรับรองจาก[[ยูเนสโก|องค์การยูเนสโก]]ให้เป็นประเทศที่มี[[แหล่งมรดกโลก]]มากที่สุดในโลก (เป็นจำนวน 59 แห่ง) จนถึงปัจจุบัน<ref>{{Cite web|last=Centre|first=UNESCO World Heritage|title=Italy - UNESCO World Heritage Convention|url=https://whc.unesco.org/en/statesparties/it|access-date=2023-09-21|website=UNESCO World Heritage Centre|language=en}}</ref> ใน ค.ศ. 2019 ประเทศอิตาลีมีเครือข่ายทางการทูตที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับเก้าของโลก<ref name=":0" /> และมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก


== หมายเหตุ ==
== หมายเหตุ ==

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:47, 23 มีนาคม 2567

ในฐานะคำศัพท์การเมือง (โดยเฉพาะในการเมืองระหว่างประเทศ) ซอฟต์พาวเวอร์ (อังกฤษ: soft power) พลังเย็น หรือ มานานุภาพ[a] หมายถึง ความสามารถในการดึงดูดหรือสร้างการมีส่วนร่วมโดยปราศจากการขมขู่หรือบีบบังคับใด ๆ (ในที่นี้ตรงข้ามกับ "ฮาร์ดพาวเวอร์") ผ่านการเผยแพร่วัฒนธรรม การเสริมสร้างค่านิยมทางการเมือง[1] หรือนโยบายการต่างประเทศ เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมีอิทธิพลเหนือความคิดของประชาชนและสังคมภายในประเทศอื่น[2] โจเซฟ ไนย์ (Joseph Nye) จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้เคยอธิบายถึงความหมายของคำว่าซอฟต์พาวเวอร์ไว้ในปี ค.ศ. 2012 ว่าเป็น "การโฆษณาชวนเชื่อที่ดีที่สุดที่ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ" และได้อธิบายเพิ่มเติมไว้ว่า "ความน่าเชื่อถือนับเป็นทรัพยากรที่หายากที่สุดแล้ว" สำหรับโลกในยุคสารสนเทศ[3]

คำศัพท์นี้กลายเป็นคำศัพท์ที่แพร่หลายอย่างรวดเร็วผ่านหนังสือของ โจเซฟ ไนย์ ชื่อว่า "Bound to Lead: The Changing Nature of American Power" ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1990[4]

ในหนังสือเล่มนี้เขาได้ระบุเอาไว้ว่า: "เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งสามารถทำให้ประเทศอื่นทำตามในสิ่งที่ตนต้องการได้ อำนาจร่วมที่เกิดขึ้นผ่านรูปแบบวิธีการดังกล่าวก็จะถูกเรียกว่า 'ซอฟต์พาวเวอร์' ซึ่งตรงกันข้ามกับ 'ฮาร์ดพาวเวอร์' ซึ่งเป็นอำนาจที่มีความรุนแรงและอยู่ในลักษณะของการออกคำสั่งให้ผู้อื่นทำในสิ่งที่ตนต้องการ"[4] ในเวลาต่อมาเขาก็ได้พัฒนาแนวคิดนี้เพิ่มเติมไว้ในปี ค.ศ. 2004 ผ่านงานเขียนของตนที่ชื่อว่า "Soft Power: The Means to Success in World Politics"[5]

คำอธิบาย

โจเซฟ ไนย์ ได้กล่าวว่าแหล่งทรัพยากรสำคัญของ soft power ประกอบไปด้วย 3 ประการดังนี้

  1. วัฒนธรรม (culture) ถ้าวัฒนธรรมของประเทศหนึ่งมีความสอดคล้องกับผลประโยชน์และค่านิยมของประเทศอื่น ๆ โอกาสที่วัฒนธรรมดังกล่าวจะกลายเป็น soft power ของประเทศนั้นก็จะมีมากขึ้น ช่องทางที่ทำให้วัฒนธรรมของประเทศหนึ่งเป็นที่รู้จักในประเทศอื่น ๆ นั้นมีมากมายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้า การเยี่ยมเยือน การติดต่อสื่อสาร และการแลกเปลี่ยน[2]
  2. ค่านิยมทางการเมือง (political values) ถ้าประเทศดังกล่าวมีค่านิยมทางการเมืองที่สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ soft power ของประเทศนั้นจะเพิ่มขึ้น ในทางกลับกันถ้าค่านิยมของประเทศดังกล่าวขัดกับค่านิยมของประเทศอื่น ๆ อย่างชัดเจน soft power ของประเทศนั้นก็จะลดลง ตัวอย่างเช่น การที่สหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1950 ยังคงมีการแบ่งแยกสีผิว (racial segregation) ทำให้ soft power ของสหรัฐอเมริกาในทวีปแอฟริกานั้นมีน้อย เป็นต้น[1]
  3. นโยบายต่างประเทศ (foreign policies) ถ้าประเทศหนึ่งดำเนินนโยบายที่หน้าไหว้หลังหลอก (hypocritical) ก้าวร้าว และไม่แยแสต่อท่าทีของประเทศอื่น ๆ โอกาสที่จะสร้าง soft power จะมีน้อย ดังเช่นกรณีของสหรัฐอเมริกาที่บุกยึดอิรักใน ค.ศ. 2003 โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของประเทศอื่น ๆ เป็นต้น แต่ถ้าประเทศดังกล่าวมีแนวนโยบายต่างประเทศที่รักสันติภาพและเคารพในสิทธิมนุษยชน โอกาสที่จะสร้าง soft power ให้เกิดขึ้นจะมีมาก[6]

การชี้วัด

ความสำเร็จของซอฟต์พาวเวอร์ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของตัวแสดงในชุมชนระหว่างประเทศ ตลอดจนการไหลของสารนิเทศระหว่างตัวแสดง ดังนั้นซอฟต์พาวเวอร์จึงมักสัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของโลกาภิวัฒน์และทฤษฎีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบเสรีนิยมใหม่ มักชี้กันว่าวัฒนธรรมสมัยนิยมและสื่อมวลชนเป็นบ่อเกิดของซอฟต์พาวเวอร์[7] เช่นเดียวกับการแพร่หลายของภาษาประจำชาติหรือชุดโครงสร้างบรรทัดฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวต่างประเทศพบว่ามีความสำคัญในการก่อกำเนิดภาพลักษณ์และชื่อเสียงของต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น การที่สหรัฐมีความโดดเด่นในข่าวต่างประเทศมีการเชื่อมโยงกับซอฟต์พาวเวอร์ของสหรัฐด้วย[8]

Brandfinance's
Global Soft Power 2022
[9]
Monocle's
Soft Power Survey 2020
[10]
Portland's
The Soft Power 30 Report 2019
[11]
อันดับ ประเทศ
1  สหรัฐ
2 ธงของสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร
3 ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี
4 ธงของประเทศจีน จีน
5 ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น
6 ธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
7 ธงของประเทศแคนาดา แคนาดา
8 ธงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์
9 ธงของประเทศรัสเซีย รัสเซีย
10 ธงของประเทศอิตาลี อิตาลี
อันดับ ประเทศ
1 ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี
2 ธงของประเทศเกาหลีใต้ เกาหลีใต้
3 ธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
4 ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น
5 ธงของสาธารณรัฐจีน ไต้หวัน
6 ธงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์
7 ธงของประเทศนิวซีแลนด์ นิวซีแลนด์
8 ธงของประเทศสวีเดน สวีเดน
9 ธงของประเทศกรีซ กรีซ
10 ธงของประเทศแคนาดา แคนาดา
อันดับ ประเทศ
1 ธงของประเทศฝรั่งเศส ฝรั่งเศส
2 ธงของสหราชอาณาจักร สหราชอาณาจักร
3 ธงของประเทศเยอรมนี เยอรมนี
4 ธงของประเทศสวีเดน สวีเดน
5  สหรัฐ
6 ธงของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์
7 ธงของประเทศแคนาดา แคนาดา
8 ธงของประเทศญี่ปุ่น ญี่ปุ่น
9 ธงของประเทศออสเตรเลีย ออสเตรเลีย
10 ธงของประเทศเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์

ตัวอย่าง

ประเทศเกาหลี

บารัก โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ: "...เห็นได้ชัดเลยว่าผู้คนทั่วโลกกำลังถูกห้อมล้อมไปด้วยวัฒนธรรมเกาหลี -- กระแสเกาหลี"[12]
จากกระแสเพลง "คังนัมสไตล์" ของ ไซ (Psy) เมื่อเร็ว ๆ นี้
จะด้วยกระแสเกาหลีหรือเคป็อปก็ดี เราต่างก็เห็นพ้องกันว่า
วัฒนธรรมเกาหลีกำลังสร้างจุดมุ่งหมายที่สำคัญให้กับโลก
พัน กี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ[13]

"ฮัลลยู" (เกาหลี한류; ฮันจา韓流) หรือที่รู้จักกันในชื่อ "กระแสเกาหลี" (Korean Wave) เป็นศัพท์บัญญัติใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่วัฒนธรรมเกาหลีใต้ตั้งแต่ปลายคริสตทศวรรษที่ 1990 จากรายงานของเดอะวอชิงตันโพสต์ การแพร่กระจายของอุตสาหกรรมบันเทิงจากเกาหลีใต้ทำให้ยอดขายสินค้าและบริการอื่น ๆ ภายในประเทศได้รับความนิยมมากขึ้น เช่น อาหาร แฟชัน หรือภาษาเกาหลี เป็นต้น[14] นอกจากปริมาณการส่งออกของเกาหลีใต้จะเพิ่มขึ้นแล้ว กระแสเกาหลียังถูกใช้เป็นเครื่องมือสำหรับดำเนินนโยบายยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์โดยรัฐบาลเกาหลี ประสงค์ก็เพื่อลดความรู้สึกต่อต้านเกาหลีทั้งภายในและระหว่างประเทศลง[15] รวมถึงยังช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในสังคมทั่วโลก[16]

จากผลสำรวจการจัดอันดับในแต่ละประเทศที่เผยแพร่โดย บีบีซี ในปี ค.ศ. 2012  ได้เผยให้เห็นถึงความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อภาพลักษณ์ของเกาหลีใต้ซึ่งเปลี่ยนไปในทุก ๆ ปี นับตั้งแต่มีการสำรวจสถิติครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2009 ว่าประชาชนในหลาย ๆ ประเทศ เช่น จีน ฝรั่งเศส รัสเซีย และอินเดีย มีมุมมองต่อภาพลักษณ์ของประเทศเกาหลีใต้ที่เปลี่ยนไปจากเชิงลบเล็กน้อยมาเป็นเชิงบวกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในรายงานยังได้ระบุอีกว่าประเพณีและวัฒนธรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดต่อการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้กับเกาหลีใต้[17] ซึ่งปัจจัยข้างต้นก็ยังส่งผลต่อมูลค่ารวมการส่งออกทางวัฒนธรรมภายในประเทศเมื่อ ค.ศ. 2011 ที่เติบโตขึ้นเป็น 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกเช่นกัน[18][19]

กระแสเกาหลีมีจุดเริ่มต้นมาจากซีรีส์เกาหลีที่ถูกซื้อลิขสิทธิ์ไปออกอากาศทางโทรทัศน์ทั่วเอเชียใต้ เอเชียตะวันออก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จนได้รับความนิยมในระดับภูมิภาค และก็ค่อย ๆ ได้รับการต่อยอดจนกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกในช่วงที่มิวสิกวิดีโอเคป็อป (K-pop) ได้รับความนิยมบนยูทูบ[20][21] โดยมี บีทีเอส (BTS) เป็นวงดนตรีเคป็อปที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด สามารถทำรายได้จากยูทูบรวมกันได้มากถึง 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกาหลีใต้อย่างมหาศาล[22] การแพร่กระจายของกระแสเกาหลีไปยังภูมิภาคอื่น ๆ ของโลกในปัจจุบัน สามารถพบเห็นได้ชัดเจนที่สุดในภูมิภาคลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ และกลุ่มผู้อพยพในโลกตะวันตก โดยมีกลุ่มผู้บริโภคตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น[23][24][25]

ตะวันออกกลาง

กลุ่มประเทศตะวันออกกลางหลาย ๆ ประเทศมีการดำเนินนโนยายซอฟต์พาวเวอร์ทั้งในระดับภูมิภาคเดียวกันและในภูมิภาคอื่น ตัวอย่างก็เช่น ประเทศกาตาร์ ที่ดำเนินนโยบายระหว่างประเทศของตนด้วยยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านการใช้สื่อโทรทัศน์อย่างสำนักข่าวอัลญะซีเราะฮ์ รวมถึงการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬาระดับโลก ก็เพื่อเสริมสร้างอิทธิพลในการกำหนดนโยบายต่างประเทศของตน[26] แม้แต่มหาอำนาจภายนอกอย่างสหรัฐอเมริกาและจีนก็ยังเข้ามาดำเนินกิจการแข่งขันทางด้านยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์เพื่อขยายอิทธิพลของตนในภูมิภาคตะวันออกกลาง[27][28] การแข่งขันนโยบายทางเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศตะวันออกกลางมักเกี่ยวข้องกับการดำเนินนโยบายยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์อยู่เสมอ เช่น การแข่งขันนโยบายระหว่างอียิปต์กับอิสราเอลเพื่อเสริมสร้างอิทธิพลของตนในภูมิภาคแอฟริกาเหนือ[29] หรือความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับอิหร่าน เป็นต้น[30]

ประเทศไทย

สหราชอาณาจักร

การดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหราชอาณาจักรยึดถือองค์ประกอบที่สำคัญของซอฟต์พาวเวอร์มานับตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 1814–1914 ผ่านนโยบายอย่าง สันติภาพบริติช (Pax Britannica)[31][32][33]

อิทธิพลของอังกฤษที่มีต่ออดีตอาณานิคมหลายแห่งสามารถพบเห็นได้ผ่านระบบกฎหมายและการเมืองของประเทศนั้น ๆ รวมถึงวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรก็ยังได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของภาษา วรรณกรรม ดนตรี และกีฬา[34] ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่แพร่หลายที่สุดในกลุ่มภาษาเจอร์แมนิก เป็นหนึ่งในภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุด และมีผู้ใช้เป็นภาษาแม่มากเป็นอันดับสามของโลก อีกทั้งยังเป็นภาษาราชการร่วมขององค์กรทั้งในระดับระหว่างประเทศและระดับภูมิภาคอื่น ๆ อีกมากมาย ตัวอย่างก็เช่น องค์กรสหประชาชาติ สหภาพยุโรป นอกจากนี้ภาษาอังกฤษยังเป็นภาษาที่แพร่หลายทั้งในทางการทูต วิทยาศาสตร์ การค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว การบิน อุตสาหกรรมบันเทิง และอินเทอร์เน็ตอีกด้วย[35]

ประเทศอิตาลี

ประเทศอิตาลีเป็นประเทศที่มีจุดขายทางวัฒนธรรมซึ่งได้รับความนิยมหลากหลายด้าน ได้แก่ ศิลปะ ดนตรี แฟชั่น การออกแบบ และอาหาร ประเทศอิตาลีเป็นแหล่งกำเนิดของศิลปะการแสดงแบบโอเปร่า[36] และภาษาอิตาลีเองก็เป็นภาษาของโอเปร่าที่ได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน ศิลปะการแสดงของอิตาลีได้รับความนิยมและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนหลากหลายมานานนับหลายศตวรรษ การแสดงแบบด้นสดที่เรียกว่า กอมเมเดีย เดลลาร์เต (Commedia dell'arte) เกิดขึ้นในอิตาลีช่วงกลางคริสตศตวรรษที่ 16[37] ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยที่ยังมีการอนุรักษ์สืบสานต่อยอดมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงบัลเลต์ก็เป็นหนึ่งในศิลปะการแสดงที่มีต้นกำเนิดมาจากอิตาลีอีกเช่นกัน ประเทศอิตาลีมีหัวเมืองสำคัญที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแห่ง: กรุงโรมซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีในปัจจุบัน ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมัน และเป็นที่พำนักของพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรคาทอลิก ทำให้กรุงโรมได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน "แหล่งกำเนิดของอารยธรรมตะวันตกและวัฒนธรรมคริสเตียน"[38][39][40] ฟลอเรนซ์เป็นเมืองศูนย์กลางของศิลปวิทยาการที่รุ่งเรืองที่สุดในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา[41] ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจากความเป็นสมัยกลางไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ หัวเมืองที่สำคัญอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ได้แก่ ตูรินซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มิลานเป็นหนึ่งในเมืองหลวงแฟชั่นหรือที่เรียกกันว่า "Big Four" เวนิสเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของประวัติศาสตร์การเดินเรือและการวางโครงสร้างระบบคลองในเมืองที่มีความสลับซับซ้อน ด้วยเอกลักษณ์ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นส่งผลให้เมืองเวนิสสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลคาร์นิวัลเวนิสและเวนิสเบียนนาเล ประเทศอิตาลีได้รับการรับรองจากองค์การยูเนสโกให้เป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลกมากที่สุดในโลก (เป็นจำนวน 59 แห่ง) จนถึงปัจจุบัน[42] ใน ค.ศ. 2019 ประเทศอิตาลีมีเครือข่ายทางการทูตที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับเก้าของโลก[43] และมีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าของโลก

หมายเหตุ

  1. ศัพท์นิเทศศาสตร์ร่วมสมัย ฉบับราชบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2566

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 ที่มาของ soft power โดยสิทธิพล เครือรัฐติกาล, Ph.D. สืบค้นวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
  2. 2.0 2.1 คอลัมภ์อำนาจอ่อน-อำนาจแข็ง โดยบวร โทศรีแก้ว ณ วันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557 จากเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ สืบค้นวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
  3. Nye, Joseph (8 May 2012). "China's Soft Power Deficit To catch up, its politics must unleash the many talents of its civil society". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 6 December 2014.
  4. 4.0 4.1 Nye 1990.
  5. Nye 2004a.
  6. พลังอำนาจแบบแข็ง ( Hard Power ) และพลังอำนาจแบบอ่อน ( Soft Power ) โดย ดร.อนันท์ งามสะอาด[ลิงก์เสีย] สืบค้นวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
  7. "Economic warfare on the silver screen". FRANCE 24. 28 June 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 19 January 2012. สืบค้นเมื่อ 2012-01-28.
  8. Blondheim, Menahem; Segev, Elad (2015). "Just Spell US Right: America's News Prominence and Soft Power". Journalism Studies. 18 (9): 1128–1147. doi:10.1080/1461670X.2015.1114899. S2CID 146592424.
  9. "Global Soft Power Index 2022: USA bounces back better to top of nation brand ranking | Press Release | Brand Finance".
  10. "Korea ranked 2nd in soft power by UK magazine Monocle : Korea.net : The official website of the Republic of Korea".
  11. "The Soft Power 30 - Ranking". Portland.
  12. "Remarks by President Obama and President Park of South Korea in a Joint Press Conference". whitehouse.gov. 7 May 2013. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 January 2017. สืบค้นเมื่อ May 7, 2013 – โดยทาง National Archives. And of course, around the world, people are being swept up by Korean culture – the Korean Wave. And as I mentioned to President Park, my daughters have taught me a pretty good Gangnam Style.
  13. "Addressing National Assembly of Republic of Korea, Secretary-General Expresses". United Nations. สืบค้นเมื่อ 16 May 2013.
  14. Faiola, Anthony (August 31, 2006). "Japanese Women Catch the 'Korean Wave'". The Washington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ January 21, 2011. สืบค้นเมื่อ May 7, 2010.
  15. "Korea to turn hallyu into industry". The Korea Herald. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 July 2015. สืบค้นเมื่อ 17 February 2013. To prevent anti-Korean sentiment, the government will offer incentives for production companies or broadcasters planning to jointly produce movies or dramas with Chinese companies.
  16. Constant, Linda (14 November 2011). "K-pop: Soft Power for the Global Cool". The Huffington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2018. สืบค้นเมื่อ 17 February 2013.
  17. "2012 BBC Country Ratings" (PDF). Globescan/BBC World Service. เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ 13 May 2019. สืบค้นเมื่อ 29 December 2012.
  18. Oliver, Christian. "South Korea's K-pop takes off in the west". Financial Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 12 November 2020. สืบค้นเมื่อ 30 July 2013.
  19. "Korean wave spreads overseas". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2011-04-27. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-05. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.
  20. Yoon, Lina (26 August 2010). "K-Pop Online: Korean Stars Go Global with Social Media". TIME. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 August 2010. สืบค้นเมื่อ 20 February 2011.
  21. Williams, Sophie (2021-06-19). "K-wave: How fans are supporting their favorite idols". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-05. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.
  22. Doobo, Shim (2018). "2) Efficacy of Korean Wave: beyond industry, beyond superpower" (PDF). Hallyu White Paper, 2018. KOFICE. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ Jun 25, 2023 – โดยทาง TradeNAVI.
  23. James Russell, Mark (September 27, 2012). "The Gangnam Phenom". Foreign Policy. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 October 2012. สืบค้นเมื่อ 11 October 2012. First taking off in China and Southeast Asia in the late 1990s, but really spiking after 2002, Korean TV dramas and pop music have since moved to the Middle East and Eastern Europe, and now even parts of South America.; Viney, Steven (19 July 2011). "Korean pop culture spreads in Cairo". Egypt Independent. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 October 2013. สืบค้นเมื่อ 14 April 2013; Kember, Findlay (2011). "Remote Indian state hooked on Korean pop culture". Agence France-Presse. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 May 2011. สืบค้นเมื่อ 24 February 2013 – โดยทาง Google News; Jung Ha-Won (Jun 19, 2012). "South Korea's K-pop spreads to Latin America". Agence France-Presse. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 March 2013. สืบค้นเมื่อ 28 March 2013 – โดยทาง Google News; Brown, August (29 April 2012). "K-pop enters American pop consciousness". The Los Angeles Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 January 2013. สืบค้นเมื่อ 24 March 2013. The fan scene in America has been largely centered on major immigrant hubs like Los Angeles and New York, where Girls' Generation sold out Madison Square Garden with a crop of rising K-pop acts including BoA and Super Junior; Seabrook, John (October 8, 2012). "Cultural technology and the making of K-pop: Factory Girls". The New Yorker. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 October 2012. สืบค้นเมื่อ 4 March 2013. The crowd was older than I'd expected, and the ambience felt more like a video-game convention than like a pop concert. About three out of four people were Asian-American, but there were also Caucasians of all ages, and a number of black women; Chen, Peter (9 February 2013). "'Gangnam Style': How One Teen Immigrant Fell For K-Pop Music". The Huffington Post. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 February 2013. สืบค้นเมื่อ 4 March 2013. It is common for Chinese teens in the U.S. to be fans of K-pop, too; Salima (February 27, 2013). "Black is the New K-Pop: Interview With 'Black K-Pop Fans'". The One Shots. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 3 March 2013. สืบค้นเมื่อ 4 March 2013.
  24. Ro, Christine (9 March 2020). "BTS and EXO: The soft power roots of K-pop". BBC (ภาษาอังกฤษ). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-05. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.
  25. "Why 26 Korean words have been added to Oxford English Dictionary". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2021-10-05. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-10-05. สืบค้นเมื่อ 2021-10-05.
  26. Brannagan, Paul Michael; Giulianotti, Richard (2018). "The soft power–soft disempowerment nexus: the case of Qatar". International Affairs. 94 (5): 1139–1157. doi:10.1093/ia/iiy125. ISSN 0020-5850.
  27. Rugh, William A. (2005-11-30). American Encounters with Arabs: The Soft Power of U.S. Public Diplomacy in the Middle East (ภาษาอังกฤษ). Bloomsbury Publishing USA. ISBN 978-0-313-05524-9.
  28. Tella, Oluwaseun (2016-11-05). "Wielding soft power in strategic regions: an analysis of China's power of attraction in Africa and the Middle East". Africa Review. 8 (2): 133–144. doi:10.1080/09744053.2016.1186868. ISSN 0974-4061.
  29. Siniver, Asaf; Tsourapas, Gerasimos (2023-01-20). "Middle Powers and Soft-Power Rivalry: Egyptian–Israeli Competition in Africa". Foreign Policy Analysis. 19 (2). doi:10.1093/fpa/orac041. ISSN 1743-8586.
  30. Mabon, Simon (2015-10-21). Saudi Arabia and Iran: Power and Rivalry in the Middle East (ภาษาอังกฤษ). Bloomsbury Publishing. ISBN 978-0-85772-907-1.
  31. Sondhaus, Lawrence (2009). Soft power, hard power, and the Pax Americana. Taylor & Francis. pp. 204–8. ISBN 978-0415545334 – โดยทาง Google Books.
  32. Winks, Robin W. (1993). World civilization : a brief history (2nd ed.). San Diego, CA: Collegiate Press. p. 406. ISBN 9780939693283 – โดยทาง Google Books. By 1914 common law, trail by jury, the King James Authorized Version of the Bible, the English language, and the British navy had been spread around the globe.
  33. Watts, Carl P. (2007). "Pax Britannica". ใน Hodge, Carl C. (บ.ก.). Encyclopedia of the Age of Imperialism, 1800-1914. Vol. 2. Greenwood Press. p. 3. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2022-02-15. สืบค้นเมื่อ 2018-04-05. it left many legacies, including widespread use of the English language, belief in Protestant religion, economic globalization, modern precepts of law and order, and representative democracy.
  34. "The cultural superpower: British cultural projection abroad" (PDF). Journal of the British Politics Society, Norway. 6 (1). Winter 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 16 September 2018. สืบค้นเมื่อ 24 October 2014.
  35. Chua, Amy (18 January 2022). "How the English Language Conquered the World". The New York Times. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 March 2022.
  36. Kimbell, David R. B. Italian Opera. เก็บถาวร 2022-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Cambridge University Press, 1994. p. 1. Web. 22 Jul. 2012.
  37. "Commedia dell'arte". Treccani, il portale del sapere (ภาษาอิตาลี). เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 November 2021. สืบค้นเมื่อ 24 Jul 2012.
  38. Beretta, Silvio (2017). Understanding China Today: An Exploration of Politics, Economics, Society, and International Relations. Springer. p. 320. ISBN 9783319296258.
  39. Bahr, Ann Marie B. (2009). Christianity: Religions of the World. Infobase Publishing. p. 139. ISBN 9781438106397.
  40. D'Agostino, Peter R. (2005). Rome in America: Transnational Catholic Ideology from the Risorgimento to Fascism. University of North Carolina Press. ISBN 9780807863411.
  41. Zirpolo, Lilian H. The A to Z of Renaissance Art. เก็บถาวร 2022-10-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Scarecrow Press, 2009. pp. 154-156. Web. 16 Jul. 2012.
  42. Centre, UNESCO World Heritage. "Italy - UNESCO World Heritage Convention". UNESCO World Heritage Centre (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2023-09-21.
  43. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ :0

บรรณานุกรม

อ่านเพิ่ม

  • Chitty, Naren, Lilian Ji, and Gary Rawnsley, eds. (2023). The Routledge Handbook of Soft Power 2nd Edition, NY: Routledge.
  • Fraser, Matthew (2005). Weapons of Mass Distraction: Soft Power and American Empire, St. Martin's Press. Analysis is focused on the pop culture aspect of soft power, such as movies, television, pop music, Disneyland, and American fast-food brands including Coca-Cola and McDonald's.
  • Gallarotti, Giulio (2010). Cosmopolitan Power in International Relations: A Synthesis of Realism, Neoliberalism, and Constructivism, NY: Cambridge University Press. How hard and soft power can be combined to optimize national power.
  • Kurlantzick, Joshua (2007). Charm Offensive: How China's Soft Power Is Transforming the World, Yale University Press. Analysis of China's use of soft power to gain influence in the world's political arena.
  • Lukes, Steven (2007). "Power and the Battle For Hearts and Minds: On the Bluntness of Soft Power", in Berenskoetter, Felix and M.J. Williams, eds. (2007), Power in World Politics, Routledge.
  • Manners, Ian (2002). "Normative Power Europe: A Contradiction in Terms?" (PDF). JCMS: Journal of Common Market Studies. 40 (2): 235–258. doi:10.1111/1468-5965.00353. S2CID 145569196.
  • Mattern, Janice Bially (2006). "Why Soft Power Isn't So Soft", in Berenskoetter & Williams (see under "Lukes")
  • McCormick, John (2007). The European Superpower, Palgrave Macmillan. Argues that the European Union has used soft power effectively to emerge as an alternative and as a competitor to the heavy reliance of the US on hard power.
  • Nye, Joseph (2007). "Notes For a Soft Power Research Agenda", in Berenskoetter & Williams (see under "Lukes")
  • Nye, Joseph (2008). The Powers to Lead, NY Oxford University Press.
  • Nye, Joseph (2021) "Soft power: the evolution of a concept." Journal of Political Power
  • Onuf, Nicholas (2017). "The Power of Metaphor/the Metaphor of Power", in The Journal of International Communication, 23,1.
  • Ohnesorge, Hendrik W. (2020). Soft Power: The Forces of Attraction in International Relations, Springer International.
  • Parmar, Inderjeet and Michael Cox, eds. (2010). Soft Power and US Foreign Policy: Theoretical, Historical and Contemporary Perspectives, Routledge.
  • Surowiec, Pawel, and Philip Long. "Hybridity and Soft Power Statecraft: The 'GREAT' Campaign." Diplomacy & Statecraft 31:1 (2020): 1-28. doi:10.1080/09592296.2020.1721092. O’Loughlin, Ben (22 October 2020). "H-Diplo Article Review 989". เก็บ (PDF)จากแหล่งเดิมเมื่อ Apr 22, 2023.
  • Young Nam Cho and Jong Ho Jeong, "China's Soft Power", Asia Survey 48, 3, pp. 453–72.

แหล่งข้อมูลอื่น