ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 2: บรรทัด 2:
{{infobox royalty
{{infobox royalty
| name = เอลิซาเบธ
| name = เอลิซาเบธ
| title = พระบรมราชชนนี
| title = พระราชชนนี
| image = Queen Elizabeth the Queen Mother portrait.jpg
| image = Queen Elizabeth the Queen Mother portrait.jpg
| succession = [[รายพระนามคู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร]]<br/>[[เครือจักรภพแห่งประชาชาติ|และเครือจักรภพ]]
| succession = [[รายพระนามคู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร]]<br/>และ[[ประเทศในเครือจักรภพ]]
| reign-type = ดำรงพระยศ
| reign-type = ดำรงพระยศ
| reign = 11 ธันวาคม 1933 – <br/>6 กุมภาพันธ์ 1952
| reign = 11 ธันวาคม 1933 – <br/>6 กุมภาพันธ์ 1952
บรรทัด 24: บรรทัด 24:
| father = [[คอลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]
| father = [[คอลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]
| mother = [[เซซิเลีย โบวส์-ลีออน เคาน์เตสแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]
| mother = [[เซซิเลีย โบวส์-ลีออน เคาน์เตสแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]
| birth_style = พระราชสมภพ
| birth_style = {{Nowrap|พระราชสมภพ}}
| birth_date = {{Birth date|1900|8|4|}}
| birth_date = {{Birth date|1900|8|4|}}
| birth_place = [[ลอนดอน]], อังกฤษ
| birth_place = [[ลอนดอน]], อังกฤษ
บรรทัด 33: บรรทัด 33:
}}
}}


'''สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระบรมราชชนนี''' ({{lang-en|Queen Elizabeth, The Queen Mother}}), '''เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน''' ({{lang-en|Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon}}; 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นสมเด็จพระราชินีมเหสีใน[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร]] ตั้งแต่ พ.ศ. 2479 จนกระทั่งพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2495 หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระสวามีได้ดำรงพระอิสริยยศเป็น '''สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระบรมราชชนนี''' เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระธิดาองค์โตคือ [[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี [[พ.ศ. 2466]] จนถึงปี [[พ.ศ. 2479]] ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น[[ดัชเชสแห่งยอร์ก]] อีกทั้งยังทรงเป็น[[สมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์]]และ[[จักรพรรดินีแห่งอินเดีย]]พระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า ''ควีนมัม''
'''เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน''' ({{lang-en|Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon}}; 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นพระอัครมเหสีใน[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร]] และเป็น[[รายพระนามคู่อภิเษกสมรสในพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร]]และ[[ประเทศในเครือจักรภพ]]ตั้งแต่ พ.ศ. 2479 จนพระราชสวามีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2495 จึงดำรงพระอิสริยยศเป็น '''สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี''' เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระราชธิดาพระองค์ใหญ่คือ [[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 จนถึงปี พ.ศ. 2479 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น[[ดัชเชสแห่งยอร์ก]] อีกทั้งยังทรงเป็น[[สมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์]]และ[[จักรพรรดินีแห่งอินเดีย]]พระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า ''ควีนมัม''


เอลิซาเบธซึ่งเกิดในครอบครัวตระกูลผู้ดี[[ชาวสก็อต]] ได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปี [[พ.ศ. 2466]] เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองใน[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5]] และ [[แมรีแห่งเทก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแมรี]] ในฐานะที่เป็นดัชเชสแห่งยอร์ก พระองค์ พระสวามีและพระธิดาทั้งสองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารี และ[[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต]] ได้ทรงปฏิบัติตนตามแบบครอบครัวชนชั้นกลาง ดัชเชสได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านสาธารณชนต่างๆ มากมายและเป็นที่รู้จักกันว่า ''"ดัชเชสผู้แย้มยิ้ม"'' อันเป็นผลมาจากการปรากฏองค์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่เป็นประจำ
เอลิซาเบธซึ่งเกิดในครอบครัวตระกูลผู้ดี[[ชาวสก็อต]] ได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปี พ.ศ. 2466 เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองใน[[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5]] และ [[แมรีแห่งเทก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแมรี]] ในฐานะที่เป็นดัชเชสแห่งยอร์ก พระองค์ พระสวามีและพระธิดาทั้งสองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารี และ[[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต]] ได้ทรงปฏิบัติตนตามแบบครอบครัวชนชั้นกลาง ดัชเชสได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านสาธารณชนต่างๆ มากมายและเป็นที่รู้จักกันว่า ''"ดัชเชสผู้แย้มยิ้ม"'' อันเป็นผลมาจากการปรากฏองค์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่เป็นประจำ


ในปี [[พ.ศ. 2479]] เอลิซาเบธได้ทรงกลายเป็นพระราชินีอย่างไม่คาดฝันเมื่อ[[สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8]] ได้ทรงสละราชสมับติอย่างกะทันหันเพื่อไปอภิเษกกับนาง[[วอลลิส ซิมป์สัน]] แม่ม่ายชาวอเมริกันที่เคยหย่าร้างแล้วสองครั้ง ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปในการเสด็จเยือนทางการทูตยัง[[ประเทศฝรั่งเศส]]และ[[ทวีปอเมริกาเหนือ]]ในช่วงก่อนเกิด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] ในระหว่างสงครามด้วยความแข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่ไม่ย่อท้ออย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจต่อสาธารณชนอังกฤษอย่างมากเท่ากับการสำเหนียกรู้ถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการชวนเชื่อ ได้ทำให้[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]]กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น ''"ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป"'' หลังจากสงครามพระพลานามัยของพระสวามีได้อ่อนแอลงและทรงกลายเป็นม่ายเมื่อพระชนมายุ 51 พรรษา
ในปี พ.ศ. 2479 เอลิซาเบธได้ทรงกลายเป็นพระราชินีอย่างไม่คาดฝันเมื่อ[[สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8]] ได้ทรงสละราชสมับติอย่างกะทันหันเพื่อไปอภิเษกกับนาง[[วอลลิส ซิมป์สัน]] แม่ม่ายชาวอเมริกันที่เคยหย่าร้างแล้วสองครั้ง ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปในการเสด็จเยือนทางการทูตยัง[[ประเทศฝรั่งเศส]]และ[[ทวีปอเมริกาเหนือ]]ในช่วงก่อนเกิด[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] ในระหว่างสงครามด้วยความแข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่ไม่ย่อท้ออย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจต่อสาธารณชนอังกฤษอย่างมากเท่ากับการสำเหนียกรู้ถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการชวนเชื่อ ได้ทำให้[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]]กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น ''"ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป"'' หลังจากสงครามพระพลานามัยของพระสวามีได้อ่อนแอลงและทรงกลายเป็นม่ายเมื่อพระชนมายุ 51 พรรษา


ในการเสด็จไปประทับยังต่างประเทศของพระเชษฐภรรดาและการเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระธิดาองค์ใหญ่ตอนพระชนมายุ 26 พรรษาเมื่อสมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในปี [[พ.ศ. 2496]] พระองค์ได้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดและกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพก็ยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่นๆ ตกอยู่ในการเสื่อมความนิยมจากสาธาณชนมากขึ้น
ในการเสด็จไปประทับยังต่างประเทศของพระเชษฐภรรดาและการเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระธิดาองค์ใหญ่ตอนพระชนมายุ 26 พรรษาเมื่อสมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในปี [[พ.ศ. 2496]] พระองค์ได้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดและกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพก็ยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่นๆ ตกอยู่ในการเสื่อมความนิยมจากสาธาณชนมากขึ้น
บรรทัด 44: บรรทัด 44:


== ชีวิตในวัยเยาว์ ==
== ชีวิตในวัยเยาว์ ==
เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน เป็นธิดาคนที่สี่และที่เก้าในสิบคนของโคลด [[คอลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น|จอร์จ โบวส์-ลีออน ลอร์ด กลามิส]] (ต่อมาคือ [[เอิร์ลแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]) และ [[เซซิเลีย นินา คาเวนดิช-เบ็นทิงค์]] สถานที่เกิดของเอลิซาเบธยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ว่ากันว่าเกิดในคฤหาสน์เบลเกรฟ อุทยานกรอสเวเนอร์ ที่เป็นบ้านของบิดามารดาใน[[กรุงลอนดอน]]และในรถพยาบาลม้าลากขณะจะไปยังโรงพยาบาล การเกิดของเอลิซาเบธได้รับการจดทะเบียนที่เมือง[[ฮิทชิน]] เทศมณฑล[[ฮาร์ทฟอร์ดเชอร์]] ใกล้กับบ้าน[[เซนต์พอลส์วัลเดนเบอรี]] ซึ่งเป็นบ้านพักชนบทของตระกูลสตราธมอร์ และเป็นที่เข้า[[พิธีบัพติศมา]]เมื่อวันที่ [[23 กันยายน]] [[พ.ศ. 2443]] ณ โบสถ์ท้องถิ่นในเขตนั้น
เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน เป็นธิดาคนที่สี่และที่เก้าในสิบคนของโคลด [[คอลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น|จอร์จ โบวส์-ลีออน ลอร์ด กลามิส]] (ต่อมาคือ [[เอิร์ลแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น]]) และ [[เซซิเลีย นินา คาเวนดิช-เบ็นทิงค์]] สถานที่เกิดของเอลิซาเบธยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ว่ากันว่าเกิดในคฤหาสน์เบลเกรฟ อุทยานกรอสเวเนอร์ ที่เป็นบ้านของบิดามารดาใน[[กรุงลอนดอน]]และในรถพยาบาลม้าลากขณะจะไปยังโรงพยาบาล การเกิดของเอลิซาเบธได้รับการจดทะเบียนที่เมือง[[ฮิทชิน]] เทศมณฑล[[ฮาร์ทฟอร์ดเชอร์]] ใกล้กับบ้าน[[เซนต์พอลส์วัลเดนเบอรี]] ซึ่งเป็นบ้านพักชนบทของตระกูลสตราธมอร์ และเป็นที่เข้า[[พิธีบัพติศมา]]เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2443 ณ โบสถ์ท้องถิ่นในเขตนั้น




เอลิซาเบธใช้ชีวิตในวัยเยาว์ส่วนมากที่เมือง[[เซนต์พอลส์วัลเดน]]และ[[ปราสาทกลามิส]] ซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรุษในตระกูลอยู่ในเมือง[[กลามิส]] มณฑล[[แองกัส]] [[สก็อตแลนด์]] ได้รับการศึกษาครั้งแรกที่บ้านโดยมีครูพี่เลี้ยงมาสอนและชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง ลูกม้าและสุนัขอย่างมาก เมื่ออายุ 8 ปี เอลิซาเบธก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยได้ทำให้เหล่าครูผู้สอนประหลาดใจด้วยการเริ่มต้นเขียนเรียงความด้วยอักษรกรีกสองตัวจากหนังสือชื่อ Anabasis ของนักปราชญ์กรีกนามว่า [[ซีโนโฟน]] และวิชาที่เก่งที่สุดคือ วรรณคดีและประติมากรรม หลังจากกลับมาเรียนหนังสือเป็นส่วนตัวกับครูพี่เลี้ยงชาวเยอรมันก็สามารถผ่านสอบข้อเขียนในการสอบเก็บคะแนน Oxford Local Examination ด้วยความสามารถพิเศษขณะมีอายุเพียง 13 ปี
เอลิซาเบธใช้ชีวิตในวัยเยาว์ส่วนมากที่เมือง[[เซนต์พอลส์วัลเดน]]และ[[ปราสาทกลามิส]] ซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรุษในตระกูลอยู่ในเมือง[[กลามิส]] มณฑล[[แองกัส]] [[สก็อตแลนด์]] ได้รับการศึกษาครั้งแรกที่บ้านโดยมีครูพี่เลี้ยงมาสอนและชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง ลูกม้าและสุนัขอย่างมาก เมื่ออายุ 8 ปี เอลิซาเบธก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยได้ทำให้เหล่าครูผู้สอนประหลาดใจด้วยการเริ่มต้นเขียนเรียงความด้วยอักษรกรีกสองตัวจากหนังสือชื่อ Anabasis ของนักปราชญ์กรีกนามว่า [[ซีโนโฟน]] และวิชาที่เก่งที่สุดคือ วรรณคดีและประติมากรรม หลังจากกลับมาเรียนหนังสือเป็นส่วนตัวกับครูพี่เลี้ยงชาวเยอรมันก็สามารถผ่านสอบข้อเขียนในการสอบเก็บคะแนน Oxford Local Examination ด้วยความสามารถพิเศษขณะมีอายุเพียง 13 ปี


ในวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเอลิซาเบธ [[ประเทศอังกฤษ]]ได้ประกาศสงครามกับ[[ประเทศเยอรมนี]] [[เฟอร์กัส]] พี่ชายคนโตที่เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพ Black Watch เสียชีวิตในหน้าที่ในปี [[พ.ศ. 2458]] ที่เมืองลูส [[ฝรั่งเศส|ประเทศฝรั่งเศส]] ส่วนพี่ชายอีกคนหนึ่งคือ ไมเคิล ได้รับรายงานว่าสูญหายไปในเดือนพฤษภาคม [[พ.ศ. 2460]] อย่างไรก็ดี เขาได้ถูกจับไปหลังจากได้รับบาดแผลฉกรรจ์และอยู่ในค่ายคุมขังเชลยศึกสงครามในช่วงตลอดระยะเวลาสงคราม ปราสาทกลามิสกลายมาเป็นสถานที่พักฟื้นของเหล่าบรรดาทหารที่ด้รับบาดแผล ซึ่งเอลิซาเบธได้เข้ามาช่วยเหลือด้วย
ในวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเอลิซาเบธ [[ประเทศอังกฤษ]]ได้ประกาศสงครามกับ[[ประเทศเยอรมนี]] [[เฟอร์กัส]] พี่ชายคนโตที่เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพ Black Watch เสียชีวิตในหน้าที่ในปี [[พ.ศ. 2458]] ที่เมืองลูส [[ฝรั่งเศส|ประเทศฝรั่งเศส]] ส่วนพี่ชายอีกคนหนึ่งคือ ไมเคิล ได้รับรายงานว่าสูญหายไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2460 อย่างไรก็ดี เขาได้ถูกจับไปหลังจากได้รับบาดแผลฉกรรจ์และอยู่ในค่ายคุมขังเชลยศึกสงครามในช่วงตลอดระยะเวลาสงคราม ปราสาทกลามิสกลายมาเป็นสถานที่พักฟื้นของเหล่าบรรดาทหารที่ด้รับบาดแผล ซึ่งเอลิซาเบธได้เข้ามาช่วยเหลือด้วย


== อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ==
== อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ==
เจ้าชายอัลเบิร์ต หรือ "เบอร์ตี" ที่รู้จักกันในหมู่พระราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระองค์ได้ทรงขออภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธครั้งแรกในปี [[พ.ศ. 2464]] แต่เอลิซาเบธได้ปฏิเสธพระองค์โดยกล่าวว่า "กลัวจะไม่ได้คิด พูด และทำในสิ่งที่ควรทำอย่างอิสรเสรีอีกต่อไป" ต่อมาเมื่อเจ้าชายประกาศว่าจะไม่อภิเษกกับใครอีกเลย [[แมรีแห่งเทก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแมรี]] พระมารดาจึงได้เสด็จฯไปยังปราสาทกลามิสด้วยพระองค์เองเพื่อพบกับหญิงสาวที่ได้ขโมยหัวใจพระราชโอรสของพระองค์ไป พระราชินีทรงเชื่อว่าเอลิซาเบธเป็น"ผู้หญิงคนเดียวที่จะทำให้เบอร์ตี้มีความสุขได้" แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าก้าวก่ายในเรื่องการอภิเษก
เจ้าชายอัลเบิร์ต หรือ "เบอร์ตี" ที่รู้จักกันในหมู่พระราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระองค์ได้ทรงขออภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธครั้งแรกในปี พ.ศ. 2464 แต่เอลิซาเบธได้ปฏิเสธพระองค์โดยกล่าวว่า "กลัวจะไม่ได้คิด พูด และทำในสิ่งที่ควรทำอย่างอิสรเสรีอีกต่อไป" ต่อมาเมื่อเจ้าชายประกาศว่าจะไม่อภิเษกกับใครอีกเลย [[แมรีแห่งเทก สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีแมรี]] พระมารดาจึงได้เสด็จฯไปยังปราสาทกลามิสด้วยพระองค์เองเพื่อพบกับหญิงสาวที่ได้ขโมยหัวใจพระราชโอรสของพระองค์ไป พระราชินีทรงเชื่อว่าเอลิซาเบธเป็น"ผู้หญิงคนเดียวที่จะทำให้เบอร์ตี้มีความสุขได้" แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าก้าวก่ายในเรื่องการอภิเษก


ในที่สุดเอลิซาเบธก็ยอมตกลงที่จะอภิเษกกับเจ้าชายเบอร์ตี แม้ว่าจะยังหวาดหวั่นกับชีวิตในพระราชวงศ์ก็ตาม ได้มีการประกาศการหมั้นในเดือนมกราคม [[พ.ศ. 2466]] เสรีภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ตในการเลือกเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นสามัญชนเป็นพระชายาถือว่าเป็นสัญญาณไปสู่ความทันสมัยในทางการเมือง เนื่องจากในสมัยก่อนบรรดาเจ้าชายต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์อื่น ทั้งสองได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ [[26 เมษายน]] [[พ.ศ. 2466]] ณ [[เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์]] กรุงลอนดอน เอลิซาเบธได้วางช่อดอกไม้ลงบนหลุมฝังศพของทหารนิรนามระหว่างทางไปยังวิหาร ซึ่งนับว่าเป็นธรรมเนียมที่เจ้าสาวในราชวงศ์ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าสาวเลือกที่จะมาวางช่อดอกไม้หลังจากเข้าพิธีอภิเษกแล้วมากกว่าระหว่างทางที่จะไปเข้าพิธี นับแต่นั้นเอลิซาเบธจึงดำรงพระอิสริยยศเป็น '''เจ้าหญิงดัชเชสแห่งยอร์ก''' (HRH The Duchess of York) ทั้งสองพระองค์เสด็จไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่[[ตำหนักโพลส์เดนลาเซย์]] ซึงเป็นคฤหาสน์ตั้งอยู่ใน[[มณฑลเซอร์เรย์]]และต่อจากนั้นก็ได้เสด็จไปยังสก็อตแลนด์ก
ในที่สุดเอลิซาเบธก็ยอมตกลงที่จะอภิเษกกับเจ้าชายเบอร์ตี แม้ว่าจะยังหวาดหวั่นกับชีวิตในพระราชวงศ์ก็ตาม ได้มีการประกาศการหมั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2466 เสรีภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ตในการเลือกเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นสามัญชนเป็นพระชายาถือว่าเป็นสัญญาณไปสู่ความทันสมัยในทางการเมือง เนื่องจากในสมัยก่อนบรรดาเจ้าชายต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์อื่น ทั้งสองได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2466 ณ [[เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์]] กรุงลอนดอน เอลิซาเบธได้วางช่อดอกไม้ลงบนหลุมฝังศพของทหารนิรนามระหว่างทางไปยังวิหาร ซึ่งนับว่าเป็นธรรมเนียมที่เจ้าสาวในราชวงศ์ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าสาวเลือกที่จะมาวางช่อดอกไม้หลังจากเข้าพิธีอภิเษกแล้วมากกว่าระหว่างทางที่จะไปเข้าพิธี นับแต่นั้นเอลิซาเบธจึงดำรงพระอิสริยยศเป็น '''เจ้าหญิงดัชเชสแห่งยอร์ก''' (HRH The Duchess of York) ทั้งสองพระองค์เสด็จไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่[[ตำหนักโพลส์เดนลาเซย์]] ซึงเป็นคฤหาสน์ตั้งอยู่ใน[[มณฑลเซอร์เรย์]]และต่อจากนั้นก็ได้เสด็จไปยังสก็อตแลนด์ก


ในปี [[พ.ศ. 2469]] ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ที่ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็น[[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] ส่วนพระธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ [[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต โรส]] ที่ประสูติอีกสี่ปีต่อมา ดยุกและดัชเชสแห่งยอร์กเสด็จเยือน[[ประเทศออสเตรเลีย]]เพื่อเปิด[[อาคารรัฐสภา]]ในกรุง[[แคนเบอร์รา]]ในปี [[พ.ศ. 2470]]
ในปี พ.ศ. 2469 ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ที่ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็น[[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] ส่วนพระธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ [[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต โรส]] ที่ประสูติอีกสี่ปีต่อมา ดยุกและดัชเชสแห่งยอร์กเสด็จเยือน[[ประเทศออสเตรเลีย]]เพื่อเปิด[[อาคารรัฐสภา]]ในกรุง[[แคนเบอร์รา]]ในปี พ.ศ. 2470


== สมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 (พ.ศ. 2479 - พ.ศ. 2495) ==
== สมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 (พ.ศ. 2479 - พ.ศ. 2495) ==
=== การเสวยราชย์และสละราชย์ของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และการเสวยราชย์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ===
=== การเสวยราชย์และสละราชย์ของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และการเสวยราชย์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ===
[[ไฟล์:Queen Elizabeth The Queen Mother.jpg|200px|thumbnail|left|พระบรมสาทิสลักษณ์ วาดโดยเซอร์เจอรัลด์ เคลลี]]
[[ไฟล์:Queen Elizabeth The Queen Mother.jpg|200px|thumbnail|left|พระบรมสาทิสลักษณ์ วาดโดยเซอร์เจอรัลด์ เคลลี]]
ในวันที่ [[20 มกราคม]] [[พ.ศ. 2479]] [[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5]] เสด็จสวรรคตและการสืบราชสมบัติก็ตกทอดไปสู่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาในเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งได้เถลิงราชสมบัติเป็น[[สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8]] ทั้งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรีได้เตรียมรับมือกับความขัดแย้งต่อพระราชโอรสองค์โต อันที่จริงแล้วสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงแสดงความประสงค์ไว้ว่า "ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเป็นเจ้าว่าขอให้ลูกชายคนโตของข้าพเจ้าจะไม่ได้อภิเษกและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบอร์ตีและลิลีเบ็ต และราชบัลลังก์ได้"
ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2479 [[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5]] เสด็จสวรรคตและการสืบราชสมบัติก็ตกทอดไปสู่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาในเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งได้เถลิงราชสมบัติเป็น[[สมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8]] ทั้งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรีได้เตรียมรับมือกับความขัดแย้งต่อพระราชโอรสองค์โต อันที่จริงแล้วสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงแสดงความประสงค์ไว้ว่า "ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเป็นเจ้าว่าขอให้ลูกชายคนโตของข้าพเจ้าจะไม่ได้อภิเษกและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบอร์ตีและลิลีเบ็ต และราชบัลลังก์ได้"


ราวกับว่าความประสงค์ของพระบิดาและพระมารดาเป็นจริง เอ็ดเวิร์ดทำให้เกิด[[วิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ]]ขึ้นโดยการยืนยันจะอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกัน แม้ว่าในทางกฎหมายเอ็ดเวิร์ดจะทรงสามารถอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันได้และคงดำรงพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์เสนอแนะว่าประชาชนจะไม่มีทางยอมรับนางซิมป์สันในฐานะพระราชินีได้และยังขัดค้านการอภิเษกสมรสนี้ด้วย อันที่จริงถ้าสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเพิกเฉยต่อคำแนะนำเหล่านั้น พวกเขาก็จะตัองลาออก และจะทำให้เป็นการทำลายสถานภาพของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็น[[พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ]]อย่างยากที่จะเยียวยาได้ จึงทำให้ทรงยอมรับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีโดยดี พระองค์จึงได้ทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งมิได้ทรงมีความปรารถนาจะเป็นกษัตริย์และทรงได้รับการอบรมมาเพียงน้อยนิด (แม้ว่าทั้งพระชนกและพระชนนีจะคาดหวังกับพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว) เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเลือกพระปรมาภิไธยว่า [[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|จอร์จที่ 6]] พระองค์และเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเข้า[[พิธีราชาภิเษก]]เป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่ง[[สหราชอาณาจักร|สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่]] [[ไอร์แลนด์]]และ[[ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร]] สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งอินเดียเมื่อวันที่ [[12 พฤษภาคม]] [[พ.ศ. 2480]] ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8
ราวกับว่าความประสงค์ของพระบิดาและพระมารดาเป็นจริง เอ็ดเวิร์ดทำให้เกิด[[วิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญ]]ขึ้นโดยการยืนยันจะอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกัน แม้ว่าในทางกฎหมายเอ็ดเวิร์ดจะทรงสามารถอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันได้และคงดำรงพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์เสนอแนะว่าประชาชนจะไม่มีทางยอมรับนางซิมป์สันในฐานะพระราชินีได้และยังขัดค้านการอภิเษกสมรสนี้ด้วย อันที่จริงถ้าสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเพิกเฉยต่อคำแนะนำเหล่านั้น พวกเขาก็จะตัองลาออก และจะทำให้เป็นการทำลายสถานภาพของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็น[[พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ]]อย่างยากที่จะเยียวยาได้ จึงทำให้ทรงยอมรับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีโดยดี พระองค์จึงได้ทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งมิได้ทรงมีความปรารถนาจะเป็นกษัตริย์และทรงได้รับการอบรมมาเพียงน้อยนิด (แม้ว่าทั้งพระชนกและพระชนนีจะคาดหวังกับพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว) เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเลือกพระปรมาภิไธยว่า [[สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร|จอร์จที่ 6]] พระองค์และเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเข้า[[พิธีราชาภิเษก]]เป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่ง[[สหราชอาณาจักร|สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่]] [[ไอร์แลนด์]]และ[[ดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร]] สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งอินเดียเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8


สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงสนับสนุนการตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่จะไม่พระราชทานพระอิสริยยศชั้น[[รอยัลไฮเนส]] (Royal Highness) ให้กับพระชายาและเชื้อสายคนใดในอดีตพระมหากษัตริย์ เมื่อเอ็ดเวิร์ดและวอลลิส ซิมป์สันอภิเษกกัน จึงทำให้นางซิมป์สันเป็นดัชเชสแห่งวินด์เซอร์
สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงสนับสนุนการตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่จะไม่พระราชทานพระอิสริยยศชั้น[[รอยัลไฮเนส]] (Royal Highness) ให้กับพระชายาและเชื้อสายคนใดในอดีตพระมหากษัตริย์ เมื่อเอ็ดเวิร์ดและวอลลิส ซิมป์สันอภิเษกกัน จึงทำให้นางซิมป์สันเป็นดัชเชสแห่งวินด์เซอร์


=== การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482 ===
=== การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482 ===
ในปี [[พ.ศ. 2482]] สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และพระราชสวามีทรงเป็นกษัตริย์และพระราชินีในราชบัลลังก์พระองค์ที่เสด็จเยือนประเทศ[[แคนาดา]]และ[[สหรัฐอเมริกา]] การเสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ ทำให้สองพระองค์ต้องเสด็จไปทั่วประเทศแคนาดาจากอีกฝั่งทะเลหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งทั้งขาไปและกลับ พร้อมทั้งเสด็จอ้อมไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงสั้น โดยทรงพบกับ[[ครอบครัวรูสเวลท์]]ที่[[ทำเนียบขาว]]และบ้านพักในบริเวณหุบเขาแม่น้ำฮัดสันด้วย การต้อนรับทั้งสองพระองค์จากชาวแคนาดาและสาธารณชนอเมริกันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ความรู้สึกว่าทั้งสองพระองค์เป็นตัวแทนที่ไม่มีความสลักสำคัญของสมเด็จเจ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่หลงเหลืออยู่มลายหายไป สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเคยตรัสกับ[[แม็กเคนซี คิง]] นายกรัฐมนตรีของแคนาดาว่า "การมาเยือนนี้ทำให้เราเป็นที่รู้จัก" และพระองค์ได้เสด็จกลับมาเยือนแคนาดาอีกหลายครั้งทั้งแบบราชการและส่วนพระองค์
ในปี พ.ศ. 2482 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และพระราชสวามีทรงเป็นกษัตริย์และพระราชินีในราชบัลลังก์พระองค์ที่เสด็จเยือน[[ประเทศแคนาดา]]และ[[สหรัฐ]] การเสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ ทำให้สองพระองค์ต้องเสด็จไปทั่วประเทศแคนาดาจากอีกฝั่งทะเลหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งทั้งขาไปและกลับ พร้อมทั้งเสด็จอ้อมไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงสั้น โดยทรงพบกับ[[ครอบครัวรูสเวลท์]]ที่[[ทำเนียบขาว]]และบ้านพักในบริเวณหุบเขาแม่น้ำฮัดสันด้วย การต้อนรับทั้งสองพระองค์จากชาวแคนาดาและสาธารณชนอเมริกันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ความรู้สึกว่าทั้งสองพระองค์เป็นตัวแทนที่ไม่มีความสลักสำคัญของสมเด็จเจ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่หลงเหลืออยู่มลายหายไป สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเคยตรัสกับ[[แม็กเคนซี คิง]] นายกรัฐมนตรีของแคนาดาว่า "การมาเยือนนี้ทำให้เราเป็นที่รู้จัก" และพระองค์ได้เสด็จกลับมาเยือนแคนาดาอีกหลายครั้งทั้งแบบราชการและส่วนพระองค์


ในประเทศแคนาดาพระองค์ทรงได้รับการกล่าวถึงตลอดพระชนม์ชีพเกี่ยวกับคำตอบแบบฉับพลันตามที่มีรายงานในคราวเสด็จมาถึงในปี [[พ.ศ. 2482]] เมื่อมีทหารผ่านศึก[[สงครามโลกครั้งที่ 1]] คนหนึ่งทูลถามพระองค์ในระหว่างการพบปะพสกนิกรติดต่อกันครั้งหนึ่งของทั้งสองพระองค์ในช่วงแรกสุดว่า "ฝ่าพระบาทรงเป็นชาวสก็อตหรือชาวอังกฤษ" พระราชินีตรัสตอบว่า "เราก็เป็นชาวแคนาดาไงล่ะ!"
ในประเทศแคนาดาพระองค์ทรงได้รับการกล่าวถึงตลอดพระชนม์ชีพเกี่ยวกับคำตอบแบบฉับพลันตามที่มีรายงานในคราวเสด็จมาถึงในปี พ.ศ. 2482 เมื่อมีทหารผ่านศึก[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] คนหนึ่งทูลถามพระองค์ในระหว่างการพบปะพสกนิกรติดต่อกันครั้งหนึ่งของทั้งสองพระองค์ในช่วงแรกสุดว่า "ฝ่าพระบาทรงเป็นชาวสก็อตหรือชาวอังกฤษ" พระราชินีตรัสตอบว่า "เราก็เป็นชาวแคนาดาไงล่ะ!"


=== สงครามโลกครั้งที่ 2 ===
=== สงครามโลกครั้งที่ 2 ===
[[ไฟล์:Eleanor Roosevelt, King George VI, Queen Elizabeth in London, England - NARA - 195320.jpg|220px|thumbnail|right|เอเลนอร์ โรสเวลต์ (กลาง) พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ณ กรุงลอนดอน วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2485]]
[[ไฟล์:Eleanor Roosevelt, King George VI, Queen Elizabeth in London, England - NARA - 195320.jpg|220px|thumbnail|right|เอเลนอร์ โรสเวลต์ (กลาง) พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ณ กรุงลอนดอน วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2485]]
ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่ 2]] พระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนของชาติ ภายหลังจากการประกาศสงครามได้ไม่นาน ได้มีการจัดทำหนังสือ "The Queen's Book of the Red Cross" (หนังสือกาชาดในสมเด็จพระราชินี) ขึ้น นักประพันธ์และศิลปินจำนวนห้าสิบคนได้ช่วยกันเขียนเนื้อหาภายในเล่ม โดยหน้าปกเป็นพระฉายาลักษณ์ที่ถ่ายโดย[[เซซิล บีตัน]]และนำออกขายเพื่อช่วยเหลือกาชาด สมเด็จพระราชินีทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกจาก กรุงลอนดอนแม้ว่าจะมีการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเมื่อทรงได้รับการถวายคำแนะนำจากเหล่าคณะรัฐมนตรี พระองค์ตรัสว่า "เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากไม่มีเราไปด้วย เราจะไม่ทิ้งพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จหนีไปไหนเด็ดขาด"
ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่สอง]] พระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนของชาติ ภายหลังจากการประกาศสงครามได้ไม่นาน ได้มีการจัดทำหนังสือ "The Queen's Book of the Red Cross" (หนังสือกาชาดในสมเด็จพระราชินี) ขึ้น นักประพันธ์และศิลปินจำนวนห้าสิบคนได้ช่วยกันเขียนเนื้อหาภายในเล่ม โดยหน้าปกเป็นพระฉายาลักษณ์ที่ถ่ายโดย[[เซซิล บีตัน]]และนำออกขายเพื่อช่วยเหลือกาชาด สมเด็จพระราชินีทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกจาก กรุงลอนดอนแม้ว่าจะมีการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเมื่อทรงได้รับการถวายคำแนะนำจากเหล่าคณะรัฐมนตรี พระองค์ตรัสว่า "เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากไม่มีเราไปด้วย เราจะไม่ทิ้งพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จหนีไปไหนเด็ดขาด"


พระองค์เสด็จเยี่ยมสถานที่ต่างๆ ที่ตกเป็นเป้าทิ้งระเบิดจากกองทัพอากาศ[[นาซีเยอรมัน]]ในกรุงลอนดอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตใน East End ใกล้กับเขต London's docks การเสด็จเยี่ยมในตอนแรกทำให้เกิดการต่อต้าน ผู้คนปาเศษขยะและหัวเราะเยาะใส่พระองค์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ที่หรูหราราคาแพง ซึ่งทำให้พระองค์ผิดแผกแปลกไปจากคนอื่นซึ่งทุกข์ทรมานจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพอันเกิดจากสงคราม พระองค์ตรัสอธิบายว่าถ้าสาธารณชนมาเห็นพระองค์ก็จะแต่งตัวให้ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงต้องตอบสนองไปในแบบเดียวกัน [[นอร์แมน ฮาร์ทเนลล์]] ช่างพระภูษาประจำราชวงศ์ได้ฉลองพระองค์ให้สมเด็จพระราชินีด้วยสีอ่อนหวานและไม่ใช้สีดำเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึง "สายรุ้งแห่งความหวัง" เมื่อ[[พระราชวังบักกิงแฮม]]โดนระเบิดหลายครั้งระหว่างการทิ้งระเบิดหนักที่สุด พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้าดีใจที่พวกเราโดนทิ้งระเบิด มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามารถมองเห็น East End อยู่ไม่ไกลนัก"
พระองค์เสด็จเยี่ยมสถานที่ต่างๆ ที่ตกเป็นเป้าทิ้งระเบิดจากกองทัพอากาศ[[นาซีเยอรมัน]]ในกรุงลอนดอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตใน East End ใกล้กับเขต London's docks การเสด็จเยี่ยมในตอนแรกทำให้เกิดการต่อต้าน ผู้คนปาเศษขยะและหัวเราะเยาะใส่พระองค์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ที่หรูหราราคาแพง ซึ่งทำให้พระองค์ผิดแผกแปลกไปจากคนอื่นซึ่งทุกข์ทรมานจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพอันเกิดจากสงคราม พระองค์ตรัสอธิบายว่าถ้าสาธารณชนมาเห็นพระองค์ก็จะแต่งตัวให้ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงต้องตอบสนองไปในแบบเดียวกัน [[นอร์แมน ฮาร์ทเนลล์]] ช่างพระภูษาประจำราชวงศ์ได้ฉลองพระองค์ให้สมเด็จพระราชินีด้วยสีอ่อนหวานและไม่ใช้สีดำเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึง "สายรุ้งแห่งความหวัง" เมื่อ[[พระราชวังบักกิงแฮม]]โดนระเบิดหลายครั้งระหว่างการทิ้งระเบิดหนักที่สุด พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้าดีใจที่พวกเราโดนทิ้งระเบิด มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามารถมองเห็น East End อยู่ไม่ไกลนัก"
บรรทัด 84: บรรทัด 84:
== สมเด็จพระราชชนนี (พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2545) ==
== สมเด็จพระราชชนนี (พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2545) ==
=== บทบาทใหม่ในความเป็นหม้าย ===
=== บทบาทใหม่ในความเป็นหม้าย ===
เมื่อวันที่ [[6 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2495]] สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่บัปผาสะ หลังจากนั้นไม่นานสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" พระอิสริยยศนี้ได้ถูกนำเอามาใช้เพราะว่าพระอิสริยยศตามธรรมดาของพระราชินีหม้ายในกษัตริย์องค์ก่อน "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ" คล้ายคลึงกับพระอิสริยยศของพระธิดาองค์โต ซึ่งตอนนี้คือ [[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] มากเกินไป พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า "สมเด็จพระราชชนนี" หรือ "ควีนมัม"
เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่บัปผาสะ หลังจากนั้นไม่นานสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" พระอิสริยยศนี้ได้ถูกนำเอามาใช้เพราะว่าพระอิสริยยศตามธรรมดาของพระราชินีหม้ายในกษัตริย์องค์ก่อน "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ" คล้ายคลึงกับพระอิสริยยศของพระธิดาองค์โต ซึ่งตอนนี้คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มากเกินไป พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า "สมเด็จพระราชชนนี" หรือ "ควีนมัม"


พระองค์ทรงโทมนัสกับการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามีเป็นอย่างมากและได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับยังสก็อตแลนด์ แต่กระนั้นหลังจากการพบปะกับนายวินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแล้วก็ทรงเลิกเก็บพระองค์อยู่โดดเดี่ยวและเสด็จกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจเช่นเดิม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงงานมากมายในฐานะพระราชชนนีอย่างที่เคยทรงกระทำในสมัยเป็นพระราชินี ในช่วงเดือนกรกฎาคม [[พ.ศ. 2496]] พระองค์เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกตั้งแต่งานพระราชพิธีศพของพระราชสวามีไปในการวางฐานเสาหินที่เมือง Mount Pleasant ซึ่งเป็นที่ตั้งของ[[มหาวิทยาลัยซิมบับเว]]ในปัจจุบัน
พระองค์ทรงโทมนัสกับการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามีเป็นอย่างมากและได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับยังสก็อตแลนด์ แต่กระนั้นหลังจากการพบปะกับนายวินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแล้วก็ทรงเลิกเก็บพระองค์อยู่โดดเดี่ยวและเสด็จกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจเช่นเดิม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงงานมากมายในฐานะพระราชชนนีอย่างที่เคยทรงกระทำในสมัยเป็นพระราชินี ในช่วงเดือนกรกฎาคม [[พ.ศ. 2496]] พระองค์เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกตั้งแต่งานพระราชพิธีศพของพระราชสวามีไปในการวางฐานเสาหินที่เมือง Mount Pleasant ซึ่งเป็นที่ตั้งของ[[มหาวิทยาลัยซิมบับเว]]ในปัจจุบัน
บรรทัด 97: บรรทัด 97:
ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระราชชนนีทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องของพระชนมายุที่ยืนยาว งานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 100 พรรษาจัดขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น ขบวนพาเหรดที่เฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์ การร่วมแสดงของ[[นอร์แมน วิสด็อม]]และ[[จอห์น มิลส์]] พระองค์ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารกลางวันที่[[ศาลาว่าการกิลด์ฮอล]] กรุง[[ลอนดอน]] กับ [[จอร์จ คาเรย์]] [[อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี]] ซึ่งพยายามจะดื่มไวน์ในแก้วของพระองค์โดยบังเอิญ แต่การรีบห้ามของพระองค์โดยตรัสว่า ''"นั่นของเรานะ"'' ได้สร้างความขบขันไปทั่ว
ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระราชชนนีทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องของพระชนมายุที่ยืนยาว งานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 100 พรรษาจัดขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น ขบวนพาเหรดที่เฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์ การร่วมแสดงของ[[นอร์แมน วิสด็อม]]และ[[จอห์น มิลส์]] พระองค์ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารกลางวันที่[[ศาลาว่าการกิลด์ฮอล]] กรุง[[ลอนดอน]] กับ [[จอร์จ คาเรย์]] [[อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี]] ซึ่งพยายามจะดื่มไวน์ในแก้วของพระองค์โดยบังเอิญ แต่การรีบห้ามของพระองค์โดยตรัสว่า ''"นั่นของเรานะ"'' ได้สร้างความขบขันไปทั่ว


ในเดือนธันวาคม [[พ.ศ. 2544]] สมเด็จพระราชชนนีทรงหกล้ม ทำให้กระดูกเชิงกรานของพระองค์ร้าว แต่ยังทรงยืนกรานที่ยืนเคารพเพลงชาติในงานพระราชพิธีรำลึกถึงพระราชสวามีเมื่อวันที่ [[6 กุมภาพันธ์]]ในปีต่อมา เพียงสามวันต่อมา [[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต]] พระราชธิดาพระองค์ที่สองก็สิ้นพระชนม์ลง นอกจากนี้พระองค์ทรงหกล้มและ เกิดบาดแผลบนพระกรในวันที่ [[13 กุมภาพันธ์]] [[พ.ศ. 2545]] ณ [[พระราชวังซันดริงแฮม]] แพทย์และรถพยาบาลพร้อมด้วยหน่วยช่วยชีวิต (หน่วยหลังมาเพื่อการป้องกันไว้ล่วงหน้า) ถูกเรียกมายังพระราชวังแซนดริงแฮม ซึ่งแพทย์ได้รักษาบาดแผลที่พระกรให้กับพระองค์ แม้ว่าจะทรงหกล้ม สมเด็จพระราชชนนีมีพระประสงค์จะเสด็จไปในงานพระศพของเจ้าหญิงมาร์กาเรตที่[[โบสถ์เซนต์จอร์จ]] [[ปราสาทวินด์เซอร์]]ในสองวันต่อมา ซึ่งเป็นวันศุกร์ในสัปดาห์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถและพระบรมวงศ์ต่างก็ทรงเป็นห่วงกับการเสด็จมาของสมเด็จพระราชชนนีซึ่งต้องเสด็จตรงจาก[[นอร์โฟล์ค]]ยังวินด์เซอร์ แม้กระนั้นพระองค์ก็เสด็จมาแต่ทรงยืนกรานว่าจะต้องไม่ทรงเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนเลย ดังนั้นจึงไม่มีภาพของพระองค์ประทับบนเก้าอี้รถเข็นให้เห็นเลย
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 สมเด็จพระราชชนนีทรงหกล้ม ทำให้กระดูกเชิงกรานของพระองค์ร้าว แต่ยังทรงยืนกรานที่ยืนเคารพเพลงชาติในงานพระราชพิธีรำลึกถึงพระราชสวามีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ในปีต่อมา เพียงสามวันต่อมา [[เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน|เจ้าหญิงมาร์กาเรต]] พระราชธิดาพระองค์ที่สองก็สิ้นพระชนม์ลง นอกจากนี้พระองค์ทรงหกล้มและ เกิดบาดแผลบนพระกรในวันที่ [[13 กุมภาพันธ์]] พ.ศ. 2545 ณ [[พระราชวังซันดริงแฮม]] แพทย์และรถพยาบาลพร้อมด้วยหน่วยช่วยชีวิต (หน่วยหลังมาเพื่อการป้องกันไว้ล่วงหน้า) ถูกเรียกมายังพระราชวังแซนดริงแฮม ซึ่งแพทย์ได้รักษาบาดแผลที่พระกรให้กับพระองค์ แม้ว่าจะทรงหกล้ม สมเด็จพระราชชนนีมีพระประสงค์จะเสด็จไปในงานพระศพของเจ้าหญิงมาร์กาเรตที่[[โบสถ์เซนต์จอร์จ]] [[ปราสาทวินด์เซอร์]]ในสองวันต่อมา ซึ่งเป็นวันศุกร์ในสัปดาห์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถและพระบรมวงศ์ต่างก็ทรงเป็นห่วงกับการเสด็จมาของสมเด็จพระราชชนนีซึ่งต้องเสด็จตรงจาก[[นอร์โฟล์ค]]ยังวินด์เซอร์ แม้กระนั้นพระองค์ก็เสด็จมาแต่ทรงยืนกรานว่าจะต้องไม่ทรงเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนเลย ดังนั้นจึงไม่มีภาพของพระองค์ประทับบนเก้าอี้รถเข็นให้เห็นเลย


== สวรรคต ==
== สวรรคต ==
ในวันที่ [[30 มีนาคม]] [[พ.ศ. 2545]] เวลา 15.30 นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จสวรรคตอย่างสงบขณะบรรทมหลับที่ตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์ โดยมี[[สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร|สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2]] พระธิดายังคงทรงพระชนม์ชีพประทับอยู่เคียงข้าง พระองค์ประชวรด้วยโรคหวัดมาตลอดสี่เดือน มีพระชนมพรรษาได้ 101 พรรษาและยังทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุดใน[[ประวัติศาสตร์อังกฤษ]]
ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 15.30 นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จสวรรคตอย่างสงบขณะบรรทมหลับที่ตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชธิดายังคงทรงพระชนม์ชีพประทับอยู่เคียงข้าง พระองค์ประชวรด้วยโรคหวัดมาตลอดสี่เดือน มีพระชนมพรรษาได้ 101 พรรษาและยังทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุดใน[[ประวัติศาสตร์อังกฤษ]]


พระองค์ทรงปลูกดอกชาในทุกอุทยานของพระองค์ และด้วยพระบรมศพของพระองค์ถูกนำมาจากตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์เพื่อตั้งไว้ให้พสกนิกรมาสักการะที่[[ห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์]] ดอกชาจากอุทยานของพระองค์จึงถูกนำมาวางบนโลงพระบรมศพคลุมด้วยธงพระอิสริยายศประจำพระองค์ พสกนิกรจำนวนมากกว่าสองแสนคนเรียงแถวมาถวายสักการะพระบรมศพเพราะว่าโลงพระบรมศพตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ใน[[อาคารรัฐสภา]]เป็นเวลาสามวัน ในช่วงเวลานั้นโลงพระบรมศพจะมีทหารม้าของสำนักพระราชวังและจากเหล่าทัพอื่นคุ้มกันอยู่ พระราชนัดดาทั้ง 4 พระองค์ และ 1 ท่านคือ [[เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์]] [[เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก]] [[เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์]] และ [[เดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 2 แห่งสโนว์ดอน]] ได้ประทับยืนคุ้มกันอยู่สี่มุมของโลงพระบรมศพที่จุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี[[เจมส์ บลันท์]] พนักงานหน่วยกู้ชีวิตหนุ่ม ซึ่งต่อมากลายเป็นนักร้องชื่อดัง ร่วมยืนแบกโลงพระศพในช่วงเวลาหนึ่งด้วยเหมือนกัน
พระองค์ทรงปลูกดอกชาในทุกอุทยานของพระองค์ และด้วยพระบรมศพของพระองค์ถูกนำมาจากตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์เพื่อตั้งไว้ให้พสกนิกรมาสักการะที่[[ห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์]] ดอกชาจากอุทยานของพระองค์จึงถูกนำมาวางบนโลงพระบรมศพคลุมด้วยธงพระอิสริยายศประจำพระองค์ พสกนิกรจำนวนมากกว่าสองแสนคนเรียงแถวมาถวายสักการะพระบรมศพเพราะว่าโลงพระบรมศพตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ใน[[อาคารรัฐสภา]]เป็นเวลาสามวัน ในช่วงเวลานั้นโลงพระบรมศพจะมีทหารม้าของสำนักพระราชวังและจากเหล่าทัพอื่นคุ้มกันอยู่ พระราชนัดดาทั้ง 4 พระองค์ และ 1 ท่านคือ [[เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์]] [[เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก]] [[เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์]] และ [[เดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 2 แห่งสโนว์ดอน]] ได้ประทับยืนคุ้มกันอยู่สี่มุมของโลงพระบรมศพที่จุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมี[[เจมส์ บลันท์]] พนักงานหน่วยกู้ชีวิตหนุ่ม ซึ่งต่อมากลายเป็นนักร้องชื่อดัง ร่วมยืนแบกโลงพระศพในช่วงเวลาหนึ่งด้วยเหมือนกัน


[[9 เมษายน]] ซึ่งเป็นวันพิธีพระบรมศพ พสกนิกรมากกว่าหนึ่งล้านคนอยู่เต็มลานนอก[[เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์]]และยาวตลอด 23 ไมล์จากใจกลางกรุงลอนดอนจนถึงที่พำนักสุดท้ายของพระองค์เคียงข้างพระราชสวามีและพระราชธิดาองค์เล็กในโบสถ์เซ็นต์จอร์จ ที่ปราสาทวินด์เซอร์ และจากความต้องการของพระองค์ หลังจากพิธีพระบรมศพให้นำพวงหรีดที่ได้วางอยู่บนโลงพระศพไปวางไว้บนหลุมฝังศพของทหารนิรนามในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งสะท้อนให้รำลึกถึงวันอภิเษกสมรสของพระองค์
9 เมษายน ซึ่งเป็นวันพิธีพระบรมศพ พสกนิกรมากกว่าหนึ่งล้านคนอยู่เต็มลานนอก[[เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์]]และยาวตลอด 23 ไมล์จากใจกลางกรุงลอนดอนจนถึงที่พำนักสุดท้ายของพระองค์เคียงข้างพระราชสวามีและพระราชธิดาองค์เล็กในโบสถ์เซ็นต์จอร์จ ที่ปราสาทวินด์เซอร์ และจากความต้องการของพระองค์ หลังจากพิธีพระบรมศพให้นำพวงหรีดที่ได้วางอยู่บนโลงพระศพไปวางไว้บนหลุมฝังศพของทหารนิรนามในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งสะท้อนให้รำลึกถึงวันอภิเษกสมรสของพระองค์


== พระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
== พระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ==
=== พระอิสริยยศ ===
=== พระอิสริยยศ ===
* [[พ.ศ. 2443]] - [[พ.ศ. 2447]]: ''เดอะออเนอเรเบิล'' เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน ''(The Honourable Elizabeth Bowes-Lyon)''
* พ.ศ. 2443 พ.ศ. 2447: ''เดอะออเนอเรเบิล'' เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน ''(The Honourable Elizabeth Bowes-Lyon)''
* [[พ.ศ. 2447]] - [[พ.ศ. 2466]]: เลดีเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน ''(Lady Elizabeth Bowes-Lyon)''
* พ.ศ. 2447 พ.ศ. 2466: เลดีเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน ''(Lady Elizabeth Bowes-Lyon)''
* [[พ.ศ. 2466]] - [[พ.ศ. 2479]]: ''เฮอร์[[รอยัลไฮเนส]]'' [[ดัชเชสแห่งยอร์ก]] ''(Her Royal Highness The Duchess of York)''
* พ.ศ. 2466 พ.ศ. 2479: ''เฮอร์[[รอยัลไฮเนส]]'' [[ดัชเชสแห่งยอร์ก]] ''(Her Royal Highness The Duchess of York)''
** ใน[[ประเทศสกอตแลนด์]]: ''เฮอร์[[รอยัลไฮเนส]]'' เคานท์เตสแห่งอินเวอร์เนส ''(Her Royal Highness The Countess of Inverness)''
** ใน[[ประเทศสกอตแลนด์]]: ''เฮอร์รอยัลไฮเนส'' เคาน์เตสแห่งอินเวอร์เนส ''(Her Royal Highness The Countess of Inverness)''
* [[พ.ศ. 2479]] - [[พ.ศ. 2481|พ.ศ. 2495]]: สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร ''(Her Majesty The Queen of the United Kingdom)''
* พ.ศ. 2479 พ.ศ. 2495: สมเด็จพระราชินี ''(Her Majesty The Queen)''
**[[พ.ศ. 2481|พ.ศ. 2479]] - [[พ.ศ. 2495|พ.ศ. 2490]]: สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอินเดีย ''(Her Imperial Majesty The Empress of India)''
* พ.ศ. 2495 พ.ศ. 2545: สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ''(Her Majesty Queen Elizabeth The Queen Mother)''
* [[พ.ศ. 2495]] - [[พ.ศ. 2545]]: สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระบรมราชชนนี ''(Her Majesty Queen Elizabeth The Queen Mother)''


=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ===
=== เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ===
บรรทัด 145: บรรทัด 144:


{{เรียงลำดับ|อลิซาเบธ โบวส์ ลีออน}}
{{เรียงลำดับ|อลิซาเบธ โบวส์ ลีออน}}
{{birth|1900}}{{death|2002}}
{{lifetime|1900|2002}}
[[หมวดหมู่:ราชินีแห่งสหราชอาณาจักร]]
[[หมวดหมู่:ราชินีแห่งสหราชอาณาจักร]]
[[หมวดหมู่:สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง]]
[[หมวดหมู่:สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวง]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:27, 22 ตุลาคม 2563

เอลิซาเบธ
พระราชชนนี
สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร
และประเทศในเครือจักรภพ
ดำรงพระยศ11 ธันวาคม 1933 –
6 กุมภาพันธ์ 1952
ราชาภิเษก12 พฤษภาคม 1937
ก่อนหน้าพระนางเมรี
จักรพรรดินีอินเดีย
ดำรงพระยศ11 ธันวาคม 1936 - 15 สิงหาคม 1947
ก่อนหน้าจักรพรรดินีเมรี
ถัดไปสิ้นสุด
สมเด็จพระราชชนนีพันปีหลวงแห่งสหราชอาณาจักร
ดำรงพระยศ6 กุมภาพันธ์ 1952 - 30 มีนาคม 2002
ก่อนหน้าพระนางเมรี พระราชชนนี
พระราชสมภพ4 สิงหาคม ค.ศ. 1900(1900-08-04)
ลอนดอน, อังกฤษ
สวรรคต30 มีนาคม ค.ศ. 2002(2002-03-30) (101 ปี)
วินด์เซอร์, เบิร์กไชร์
พระราชสวามีสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร
(สมรส. 1923 - 1952)
พระราชบุตรสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร
เจ้าหญิงมาร์กาเรต เคาน์เตสแห่งสโนว์ดอน
ราชวงศ์ราชวงศ์วินด์เซอร์ (โดยอภิเษก)
พระราชบิดาคอลด โบวส์-ลีออน เอิร์ลที่ 14 แห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น
พระราชมารดาเซซิเลีย โบวส์-ลีออน เคาน์เตสแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น

เอลิซาเบธ แองเจลา มาร์เกอริต โบวส์-ลีออน (อังกฤษ: Elizabeth Angela Marguerite Bowes-Lyon; 4 สิงหาคม พ.ศ. 2443 - 30 มีนาคม พ.ศ. 2545) เป็นพระอัครมเหสีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 แห่งสหราชอาณาจักร และเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรและประเทศในเครือจักรภพตั้งแต่ พ.ศ. 2479 จนพระราชสวามีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2495 จึงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับพระราชธิดาพระองค์ใหญ่คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ก่อนการเสด็จขึ้นครองราชสมบัติของพระสวามีในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2466 จนถึงปี พ.ศ. 2479 ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นดัชเชสแห่งยอร์ก อีกทั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระราชินีแห่งไอร์แลนด์และจักรพรรดินีแห่งอินเดียพระองค์สุดท้ายอีกด้วย ประชาชนนิยมเรียกพระองค์ท่านว่า ควีนมัม

เอลิซาเบธซึ่งเกิดในครอบครัวตระกูลผู้ดีชาวสก็อต ได้กลายมาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในปี พ.ศ. 2466 เมื่อเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต ดยุกแห่งยอร์ก พระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรี ในฐานะที่เป็นดัชเชสแห่งยอร์ก พระองค์ พระสวามีและพระธิดาทั้งสองคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารี และเจ้าหญิงมาร์กาเรต ได้ทรงปฏิบัติตนตามแบบครอบครัวชนชั้นกลาง ดัชเชสได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจด้านสาธารณชนต่างๆ มากมายและเป็นที่รู้จักกันว่า "ดัชเชสผู้แย้มยิ้ม" อันเป็นผลมาจากการปรากฏองค์ต่อหน้าสาธารณชนอยู่เป็นประจำ

ในปี พ.ศ. 2479 เอลิซาเบธได้ทรงกลายเป็นพระราชินีอย่างไม่คาดฝันเมื่อสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ได้ทรงสละราชสมับติอย่างกะทันหันเพื่อไปอภิเษกกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกันที่เคยหย่าร้างแล้วสองครั้ง ในฐานะสมเด็จพระราชินี พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปในการเสด็จเยือนทางการทูตยังประเทศฝรั่งเศสและทวีปอเมริกาเหนือในช่วงก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในระหว่างสงครามด้วยความแข้มแข็งเด็ดเดี่ยวที่ไม่ย่อท้ออย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดแรงสนับสนุนทางจิตใจต่อสาธารณชนอังกฤษอย่างมากเท่ากับการสำเหนียกรู้ถึงภาระหน้าที่ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการชวนเชื่อ ได้ทำให้อดอล์ฟ ฮิตเลอร์กล่าวถึงพระองค์ว่าเป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป" หลังจากสงครามพระพลานามัยของพระสวามีได้อ่อนแอลงและทรงกลายเป็นม่ายเมื่อพระชนมายุ 51 พรรษา

ในการเสด็จไปประทับยังต่างประเทศของพระเชษฐภรรดาและการเสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถของพระธิดาองค์ใหญ่ตอนพระชนมายุ 26 พรรษาเมื่อสมเด็จพระราชินีแมรีเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2496 พระองค์ได้ทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อาวุโสที่สุดและกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ในช่วงปลายพระชนม์ชีพก็ยังทรงเป็นสมาชิกในพระราชวงศ์อังกฤษที่มีชื่อเสียงอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่สมาชิกพระราชวงศ์องค์อื่นๆ ตกอยู่ในการเสื่อมความนิยมจากสาธาณชนมากขึ้น

หลังจากการประชวรและการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงมาร์กาเรต พระธิดาองค์เล็กเพียงไม่นาน พระพลานามัยของพระองค์ก็แย่ลงเรื่อย ๆ และได้เสด็จสวรรคตในอีกหกสัปดาห์ภายหลัง ขณะมีพระชนมายุ 101 พรรษา

ชีวิตในวัยเยาว์

เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน เป็นธิดาคนที่สี่และที่เก้าในสิบคนของโคลด จอร์จ โบวส์-ลีออน ลอร์ด กลามิส (ต่อมาคือ เอิร์ลแห่งสตราธมอร์และคิงฮอร์น) และ เซซิเลีย นินา คาเวนดิช-เบ็นทิงค์ สถานที่เกิดของเอลิซาเบธยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ว่ากันว่าเกิดในคฤหาสน์เบลเกรฟ อุทยานกรอสเวเนอร์ ที่เป็นบ้านของบิดามารดาในกรุงลอนดอนและในรถพยาบาลม้าลากขณะจะไปยังโรงพยาบาล การเกิดของเอลิซาเบธได้รับการจดทะเบียนที่เมืองฮิทชิน เทศมณฑลฮาร์ทฟอร์ดเชอร์ ใกล้กับบ้านเซนต์พอลส์วัลเดนเบอรี ซึ่งเป็นบ้านพักชนบทของตระกูลสตราธมอร์ และเป็นที่เข้าพิธีบัพติศมาเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2443 ณ โบสถ์ท้องถิ่นในเขตนั้น


เอลิซาเบธใช้ชีวิตในวัยเยาว์ส่วนมากที่เมืองเซนต์พอลส์วัลเดนและปราสาทกลามิส ซึ่งเป็นบ้านของบรรพบุรุษในตระกูลอยู่ในเมืองกลามิส มณฑลแองกัส สก็อตแลนด์ ได้รับการศึกษาครั้งแรกที่บ้านโดยมีครูพี่เลี้ยงมาสอนและชื่นชอบกีฬากลางแจ้ง ลูกม้าและสุนัขอย่างมาก เมื่ออายุ 8 ปี เอลิซาเบธก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน โดยได้ทำให้เหล่าครูผู้สอนประหลาดใจด้วยการเริ่มต้นเขียนเรียงความด้วยอักษรกรีกสองตัวจากหนังสือชื่อ Anabasis ของนักปราชญ์กรีกนามว่า ซีโนโฟน และวิชาที่เก่งที่สุดคือ วรรณคดีและประติมากรรม หลังจากกลับมาเรียนหนังสือเป็นส่วนตัวกับครูพี่เลี้ยงชาวเยอรมันก็สามารถผ่านสอบข้อเขียนในการสอบเก็บคะแนน Oxford Local Examination ด้วยความสามารถพิเศษขณะมีอายุเพียง 13 ปี

ในวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเอลิซาเบธ ประเทศอังกฤษได้ประกาศสงครามกับประเทศเยอรมนี เฟอร์กัส พี่ชายคนโตที่เข้ารับราชการอยู่ในกองทัพ Black Watch เสียชีวิตในหน้าที่ในปี พ.ศ. 2458 ที่เมืองลูส ประเทศฝรั่งเศส ส่วนพี่ชายอีกคนหนึ่งคือ ไมเคิล ได้รับรายงานว่าสูญหายไปในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2460 อย่างไรก็ดี เขาได้ถูกจับไปหลังจากได้รับบาดแผลฉกรรจ์และอยู่ในค่ายคุมขังเชลยศึกสงครามในช่วงตลอดระยะเวลาสงคราม ปราสาทกลามิสกลายมาเป็นสถานที่พักฟื้นของเหล่าบรรดาทหารที่ด้รับบาดแผล ซึ่งเอลิซาเบธได้เข้ามาช่วยเหลือด้วย

อภิเษกสมรสกับเจ้าชายอัลเบิร์ต

เจ้าชายอัลเบิร์ต หรือ "เบอร์ตี" ที่รู้จักกันในหมู่พระราชวงศ์ เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่สองในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระองค์ได้ทรงขออภิเษกสมรสกับเอลิซาเบธครั้งแรกในปี พ.ศ. 2464 แต่เอลิซาเบธได้ปฏิเสธพระองค์โดยกล่าวว่า "กลัวจะไม่ได้คิด พูด และทำในสิ่งที่ควรทำอย่างอิสรเสรีอีกต่อไป" ต่อมาเมื่อเจ้าชายประกาศว่าจะไม่อภิเษกกับใครอีกเลย สมเด็จพระราชินีแมรี พระมารดาจึงได้เสด็จฯไปยังปราสาทกลามิสด้วยพระองค์เองเพื่อพบกับหญิงสาวที่ได้ขโมยหัวใจพระราชโอรสของพระองค์ไป พระราชินีทรงเชื่อว่าเอลิซาเบธเป็น"ผู้หญิงคนเดียวที่จะทำให้เบอร์ตี้มีความสุขได้" แต่กระนั้นพระองค์ก็ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าก้าวก่ายในเรื่องการอภิเษก

ในที่สุดเอลิซาเบธก็ยอมตกลงที่จะอภิเษกกับเจ้าชายเบอร์ตี แม้ว่าจะยังหวาดหวั่นกับชีวิตในพระราชวงศ์ก็ตาม ได้มีการประกาศการหมั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 2466 เสรีภาพของเจ้าชายอัลเบิร์ตในการเลือกเอลิซาเบธ ซึ่งเป็นสามัญชนเป็นพระชายาถือว่าเป็นสัญญาณไปสู่ความทันสมัยในทางการเมือง เนื่องจากในสมัยก่อนบรรดาเจ้าชายต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงจากราชวงศ์อื่น ทั้งสองได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2466 ณ เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ กรุงลอนดอน เอลิซาเบธได้วางช่อดอกไม้ลงบนหลุมฝังศพของทหารนิรนามระหว่างทางไปยังวิหาร ซึ่งนับว่าเป็นธรรมเนียมที่เจ้าสาวในราชวงศ์ปฏิบัติสืบต่อๆ กันมา แม้ว่าในเวลาต่อมาเจ้าสาวเลือกที่จะมาวางช่อดอกไม้หลังจากเข้าพิธีอภิเษกแล้วมากกว่าระหว่างทางที่จะไปเข้าพิธี นับแต่นั้นเอลิซาเบธจึงดำรงพระอิสริยยศเป็น เจ้าหญิงดัชเชสแห่งยอร์ก (HRH The Duchess of York) ทั้งสองพระองค์เสด็จไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่ตำหนักโพลส์เดนลาเซย์ ซึงเป็นคฤหาสน์ตั้งอยู่ในมณฑลเซอร์เรย์และต่อจากนั้นก็ได้เสด็จไปยังสก็อตแลนด์ก

ในปี พ.ศ. 2469 ทั้งสองพระองค์ก็มีพระธิดาพระองค์แรกคือ เจ้าหญิงเอลิซาเบธ ที่ต่อมาได้เสวยราชสมบัติเป็นสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ส่วนพระธิดาอีกพระองค์หนึ่งคือ เจ้าหญิงมาร์กาเรต โรส ที่ประสูติอีกสี่ปีต่อมา ดยุกและดัชเชสแห่งยอร์กเสด็จเยือนประเทศออสเตรเลียเพื่อเปิดอาคารรัฐสภาในกรุงแคนเบอร์ราในปี พ.ศ. 2470

สมเด็จพระราชินีในสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 (พ.ศ. 2479 - พ.ศ. 2495)

การเสวยราชย์และสละราชย์ของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 และการเสวยราชย์ของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6

พระบรมสาทิสลักษณ์ วาดโดยเซอร์เจอรัลด์ เคลลี

ในวันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2479 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 เสด็จสวรรคตและการสืบราชสมบัติก็ตกทอดไปสู่เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เจ้าชายแห่งเวลส์ พระเชษฐาในเจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งได้เถลิงราชสมบัติเป็นสมเด็จพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 ทั้งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ สมเด็จพระราชินีแมรีได้เตรียมรับมือกับความขัดแย้งต่อพระราชโอรสองค์โต อันที่จริงแล้วสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงแสดงความประสงค์ไว้ว่า "ข้าพเจ้าอธิษฐานต่อพระเป็นเจ้าว่าขอให้ลูกชายคนโตของข้าพเจ้าจะไม่ได้อภิเษกและจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเบอร์ตีและลิลีเบ็ต และราชบัลลังก์ได้"

ราวกับว่าความประสงค์ของพระบิดาและพระมารดาเป็นจริง เอ็ดเวิร์ดทำให้เกิดวิกฤตการณ์รัฐธรรมนูญขึ้นโดยการยืนยันจะอภิเษกสมรสกับนางวอลลิส ซิมป์สัน แม่ม่ายชาวอเมริกัน แม้ว่าในทางกฎหมายเอ็ดเวิร์ดจะทรงสามารถอภิเษกสมรสกับนางซิมป์สันได้และคงดำรงพระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ แต่คณะรัฐมนตรีของพระองค์เสนอแนะว่าประชาชนจะไม่มีทางยอมรับนางซิมป์สันในฐานะพระราชินีได้และยังขัดค้านการอภิเษกสมรสนี้ด้วย อันที่จริงถ้าสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดทรงเพิกเฉยต่อคำแนะนำเหล่านั้น พวกเขาก็จะตัองลาออก และจะทำให้เป็นการทำลายสถานภาพของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่างยากที่จะเยียวยาได้ จึงทำให้ทรงยอมรับคำแนะนำจากคณะรัฐมนตรีโดยดี พระองค์จึงได้ทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติให้แก่เจ้าชายอัลเบิร์ต ซึ่งมิได้ทรงมีความปรารถนาจะเป็นกษัตริย์และทรงได้รับการอบรมมาเพียงน้อยนิด (แม้ว่าทั้งพระชนกและพระชนนีจะคาดหวังกับพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว) เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงเลือกพระปรมาภิไธยว่า จอร์จที่ 6 พระองค์และเจ้าหญิงเอลิซาเบธทรงเข้าพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์และพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ ไอร์แลนด์และดินแดนโพ้นทะเลของสหราชอาณาจักร สมเด็จพระจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งอินเดียเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 ซึ่งเป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับพระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8

สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงสนับสนุนการตัดสินใจของสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ที่จะไม่พระราชทานพระอิสริยยศชั้นรอยัลไฮเนส (Royal Highness) ให้กับพระชายาและเชื้อสายคนใดในอดีตพระมหากษัตริย์ เมื่อเอ็ดเวิร์ดและวอลลิส ซิมป์สันอภิเษกกัน จึงทำให้นางซิมป์สันเป็นดัชเชสแห่งวินด์เซอร์

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศแคนาดาและสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2482

ในปี พ.ศ. 2482 สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ และพระราชสวามีทรงเป็นกษัตริย์และพระราชินีในราชบัลลังก์พระองค์ที่เสด็จเยือนประเทศแคนาดาและสหรัฐ การเสด็จเยือนสถานที่ต่างๆ ทำให้สองพระองค์ต้องเสด็จไปทั่วประเทศแคนาดาจากอีกฝั่งทะเลหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่งทั้งขาไปและกลับ พร้อมทั้งเสด็จอ้อมไปยังสหรัฐอเมริกาในช่วงสั้น โดยทรงพบกับครอบครัวรูสเวลท์ที่ทำเนียบขาวและบ้านพักในบริเวณหุบเขาแม่น้ำฮัดสันด้วย การต้อนรับทั้งสองพระองค์จากชาวแคนาดาและสาธารณชนอเมริกันเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้ความรู้สึกว่าทั้งสองพระองค์เป็นตัวแทนที่ไม่มีความสลักสำคัญของสมเด็จเจ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 8 ที่หลงเหลืออยู่มลายหายไป สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธเคยตรัสกับแม็กเคนซี คิง นายกรัฐมนตรีของแคนาดาว่า "การมาเยือนนี้ทำให้เราเป็นที่รู้จัก" และพระองค์ได้เสด็จกลับมาเยือนแคนาดาอีกหลายครั้งทั้งแบบราชการและส่วนพระองค์

ในประเทศแคนาดาพระองค์ทรงได้รับการกล่าวถึงตลอดพระชนม์ชีพเกี่ยวกับคำตอบแบบฉับพลันตามที่มีรายงานในคราวเสด็จมาถึงในปี พ.ศ. 2482 เมื่อมีทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง คนหนึ่งทูลถามพระองค์ในระหว่างการพบปะพสกนิกรติดต่อกันครั้งหนึ่งของทั้งสองพระองค์ในช่วงแรกสุดว่า "ฝ่าพระบาทรงเป็นชาวสก็อตหรือชาวอังกฤษ" พระราชินีตรัสตอบว่า "เราก็เป็นชาวแคนาดาไงล่ะ!"

สงครามโลกครั้งที่ 2

เอเลนอร์ โรสเวลต์ (กลาง) พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 และสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ ณ กรุงลอนดอน วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2485

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอดทนของชาติ ภายหลังจากการประกาศสงครามได้ไม่นาน ได้มีการจัดทำหนังสือ "The Queen's Book of the Red Cross" (หนังสือกาชาดในสมเด็จพระราชินี) ขึ้น นักประพันธ์และศิลปินจำนวนห้าสิบคนได้ช่วยกันเขียนเนื้อหาภายในเล่ม โดยหน้าปกเป็นพระฉายาลักษณ์ที่ถ่ายโดยเซซิล บีตันและนำออกขายเพื่อช่วยเหลือกาชาด สมเด็จพระราชินีทรงปฏิเสธที่จะเสด็จออกจาก กรุงลอนดอนแม้ว่าจะมีการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องเมื่อทรงได้รับการถวายคำแนะนำจากเหล่าคณะรัฐมนตรี พระองค์ตรัสว่า "เด็กๆ จะไม่ไปไหนทั้งนั้นหากไม่มีเราไปด้วย เราจะไม่ทิ้งพระเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวจะไม่เสด็จหนีไปไหนเด็ดขาด"

พระองค์เสด็จเยี่ยมสถานที่ต่างๆ ที่ตกเป็นเป้าทิ้งระเบิดจากกองทัพอากาศนาซีเยอรมันในกรุงลอนดอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขตใน East End ใกล้กับเขต London's docks การเสด็จเยี่ยมในตอนแรกทำให้เกิดการต่อต้าน ผู้คนปาเศษขยะและหัวเราะเยาะใส่พระองค์ ส่วนหนึ่งมาจากการที่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์ที่หรูหราราคาแพง ซึ่งทำให้พระองค์ผิดแผกแปลกไปจากคนอื่นซึ่งทุกข์ทรมานจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพอันเกิดจากสงคราม พระองค์ตรัสอธิบายว่าถ้าสาธารณชนมาเห็นพระองค์ก็จะแต่งตัวให้ดีที่สุดเช่นกัน ดังนั้นพระองค์จึงต้องตอบสนองไปในแบบเดียวกัน นอร์แมน ฮาร์ทเนลล์ ช่างพระภูษาประจำราชวงศ์ได้ฉลองพระองค์ให้สมเด็จพระราชินีด้วยสีอ่อนหวานและไม่ใช้สีดำเลย เพื่อแสดงให้เห็นถึง "สายรุ้งแห่งความหวัง" เมื่อพระราชวังบักกิงแฮมโดนระเบิดหลายครั้งระหว่างการทิ้งระเบิดหนักที่สุด พระองค์ตรัสว่า "ข้าพเจ้าดีใจที่พวกเราโดนทิ้งระเบิด มันทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกว่าสามารถมองเห็น East End อยู่ไม่ไกลนัก"

แม้ว่าพระมหากษัตริย์และพระราชินีทรงปฏิบัติพระราชภารกิจระหว่างวันที่พระราชวังบักกิงแฮม ในส่วนของความปลอดภัยและเหตุผลของครอบครัวทั้งสองพระองค์จึงประทับค้างคืนที่ปราสาทวินด์เซอร์ (ประมาณ 20 ไมล์ หรือ 35 กิโลเมตรไปทางตะวันตกจากใจกลางกรุงลอนดอน) พร้อมกับเจ้าหญิงเอลิซาเบธ มกุฎราชกุมารีและเจ้าหญิงมาร์กาเรต สำนักพระราชวังต้องสูญเสียข้าราชบริพารจำนวนมากให้กับกองทัพและห้องในพระราชวังส่วนมากก็ถูกปิดลง

เนื่องจากอิทธิพลของสมเด็จพระราชินีต่อจิตใจชาวอังกฤษ กล่าวกันอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เรียกพระองค์เป็น "ผู้หญิงที่อันตรายที่สุดในยุโรป" อย่างไรก็ดี ก่อนสงครามจะประทุขึ้น พระองค์และพระราชสวามี เช่นเดียวกับเสียงข้างมากในรัฐสภาและสาธารณชนอังกฤษได้สนับสนุนการยอมอ่อนข้อและเนวิลล์ แชมเบอร์เลน ที่เชื่อในประสบการณ์จากสงครามโลกครั้งที่ 1 เห็นว่าจะต้องหลีกเลี่ยงสงครามไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากการลาออกของแชมเบอร์เลน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงขอให้วินส์ตัน เชอร์ชิลล์ตั้งรัฐบาลขึ้นมา แม้ว่าในตอนแรกพระองค์ยังทรงลังเลที่จะสนับสนุนเชอร์ชิลล์ แต่ทั้งพระองค์และสมเด็จพระราชินีก็ทรงเคารพนับถือและชื่นชอบในความกล้าหาญและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของเขา

สมเด็จพระราชชนนี (พ.ศ. 2495 - พ.ศ. 2545)

บทบาทใหม่ในความเป็นหม้าย

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2495 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 เสด็จสวรรคตด้วยพระโรคมะเร็งที่บัปผาสะ หลังจากนั้นไม่นานสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี" พระอิสริยยศนี้ได้ถูกนำเอามาใช้เพราะว่าพระอิสริยยศตามธรรมดาของพระราชินีหม้ายในกษัตริย์องค์ก่อน "สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ" คล้ายคลึงกับพระอิสริยยศของพระธิดาองค์โต ซึ่งตอนนี้คือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 มากเกินไป พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายว่า "สมเด็จพระราชชนนี" หรือ "ควีนมัม"

พระองค์ทรงโทมนัสกับการเสด็จสวรรคตของพระราชสวามีเป็นอย่างมากและได้ทรงปลีกพระองค์ไปประทับยังสก็อตแลนด์ แต่กระนั้นหลังจากการพบปะกับนายวินส์ตัน เชอร์ชิลล์ นายกรัฐมนตรีแล้วก็ทรงเลิกเก็บพระองค์อยู่โดดเดี่ยวและเสด็จกลับมาปฏิบัติพระราชกรณียกิจเช่นเดิม ในที่สุดพระองค์ก็ทรงงานมากมายในฐานะพระราชชนนีอย่างที่เคยทรงกระทำในสมัยเป็นพระราชินี ในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2496 พระองค์เสด็จเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรกตั้งแต่งานพระราชพิธีศพของพระราชสวามีไปในการวางฐานเสาหินที่เมือง Mount Pleasant ซึ่งเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยซิมบับเวในปัจจุบัน

สมเด็จพระราชินีหม้ายยังทรงควบคุมงานบูรณปฏิสังขรณ์ปราสาทเมย์ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปตรงชายฝั่งมณฑลเคธเนส สก็อตแลนด์ ซึ่งได้เคยทรงใช้เป็นที่ "หลบให้พ้นจากทุกสิ่งทุกอย่าง" เป็นเวลาสามสัปดาหในเดือนสิงหาคมและสิบวันในเดือนตุลาคม พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในการแข่งม้าที่ยังอยู่ต่อเนื่องตลอดพระชนม์ชีพ โดยทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ผู้ชนะจากการแข่งขันจำนวนห้าร้อยรายการ สีฟ้าอ่อนที่โดดเด่นของพระองค์ได้นำมาผูกไว้กับม้ามากมาย อย่างเช่น Special Cargo ซึ่งเป็นผู้ชนะในการแข่งขัน Whitbread Gold Cup และ The Argonaut ในปี พ.ศ. 2527 แม้ (ตรงข้ามกับข่าวลือ) พระองค์ไม่ทรงเคยวางพนัน แต่ก็ทรงได้บทวิจารณ์การณ์การแข่งขันโดยตรงยังตำหนักคลาเรนซ์ พระราชฐานในกรุงลอนดอนของพระองค์ ดังนั้นจึงทรงติดตามการแข่งขันได้

ก่อนการอภิเษกสมรสของไดอานา สเปนเซอร์กับเจ้าชายชาลส์และหลังจากการสิ้นพระชนม์ของไดอานา สมเด็จพระราชชนนีซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องของเสน่ห์ส่วนพระองค์และต่อสาธารณชนทรงเป็นสมาชิกที่น่านิยมชมชอบมากที่สุดในพระราชวงศ์อังกฤษ ฉลองพระองค์อันเป็นสัญลักษณ์ที่มีพระมาลาเปิดหน้าประดับด้วยตาข่ายและชุดกระโปรงที่มีดิ้นประดับลายผ้ากลายมาเป็นรูปแบบส่วนพระองค์ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ สมเด็จพระราชชนนีทรงมีความรักอันเข้าถึงได้ต่อศิลปะและทรงซื้อผลงานของโคลด โมเน็ต์ ออกัสตัส จอห์น และปีเตอร์ คาร์ล ฟาแบร์เช มากกว่าศิลปินคนอื่นๆ ภาพเขียนต่างๆ ที่ทรงซื้อมาได้โอนย้ายไปสู่สำนักการสะสมงานศิลป์หลวง (Royal Collection) ภายหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระองค์

หนึ่งร้อยพรรษา

ไฟล์:QueenMum100.jpg
พระฉายาลักษณ์สมเด็จพระราชชนนี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 100 พรรษา

ในช่วงปลายพระชนม์ชีพ สมเด็จพระราชชนนีทรงเป็นที่รู้จักในเรื่องของพระชนมายุที่ยืนยาว งานเฉลิมพระชนมพรรษาครบรอบ 100 พรรษาจัดขึ้นในหลายรูปแบบ เช่น ขบวนพาเหรดที่เฉลิมฉลองเหตุการณ์สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์ การร่วมแสดงของนอร์แมน วิสด็อมและจอห์น มิลส์ พระองค์ทรงร่วมเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ศาลาว่าการกิลด์ฮอล กรุงลอนดอน กับ จอร์จ คาเรย์ อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี ซึ่งพยายามจะดื่มไวน์ในแก้วของพระองค์โดยบังเอิญ แต่การรีบห้ามของพระองค์โดยตรัสว่า "นั่นของเรานะ" ได้สร้างความขบขันไปทั่ว

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 สมเด็จพระราชชนนีทรงหกล้ม ทำให้กระดูกเชิงกรานของพระองค์ร้าว แต่ยังทรงยืนกรานที่ยืนเคารพเพลงชาติในงานพระราชพิธีรำลึกถึงพระราชสวามีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ในปีต่อมา เพียงสามวันต่อมา เจ้าหญิงมาร์กาเรต พระราชธิดาพระองค์ที่สองก็สิ้นพระชนม์ลง นอกจากนี้พระองค์ทรงหกล้มและ เกิดบาดแผลบนพระกรในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ณ พระราชวังซันดริงแฮม แพทย์และรถพยาบาลพร้อมด้วยหน่วยช่วยชีวิต (หน่วยหลังมาเพื่อการป้องกันไว้ล่วงหน้า) ถูกเรียกมายังพระราชวังแซนดริงแฮม ซึ่งแพทย์ได้รักษาบาดแผลที่พระกรให้กับพระองค์ แม้ว่าจะทรงหกล้ม สมเด็จพระราชชนนีมีพระประสงค์จะเสด็จไปในงานพระศพของเจ้าหญิงมาร์กาเรตที่โบสถ์เซนต์จอร์จ ปราสาทวินด์เซอร์ในสองวันต่อมา ซึ่งเป็นวันศุกร์ในสัปดาห์นั้น สมเด็จพระราชินีนาถและพระบรมวงศ์ต่างก็ทรงเป็นห่วงกับการเสด็จมาของสมเด็จพระราชชนนีซึ่งต้องเสด็จตรงจากนอร์โฟล์คยังวินด์เซอร์ แม้กระนั้นพระองค์ก็เสด็จมาแต่ทรงยืนกรานว่าจะต้องไม่ทรงเผชิญหน้ากับสื่อมวลชนเลย ดังนั้นจึงไม่มีภาพของพระองค์ประทับบนเก้าอี้รถเข็นให้เห็นเลย

สวรรคต

ในวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2545 เวลา 15.30 นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จสวรรคตอย่างสงบขณะบรรทมหลับที่ตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระราชธิดายังคงทรงพระชนม์ชีพประทับอยู่เคียงข้าง พระองค์ประชวรด้วยโรคหวัดมาตลอดสี่เดือน มีพระชนมพรรษาได้ 101 พรรษาและยังทรงเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีพระชนม์ชีพยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษ

พระองค์ทรงปลูกดอกชาในทุกอุทยานของพระองค์ และด้วยพระบรมศพของพระองค์ถูกนำมาจากตำหนักรอยัลล็อดจ์ เมืองวินด์เซอร์เพื่อตั้งไว้ให้พสกนิกรมาสักการะที่ห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ดอกชาจากอุทยานของพระองค์จึงถูกนำมาวางบนโลงพระบรมศพคลุมด้วยธงพระอิสริยายศประจำพระองค์ พสกนิกรจำนวนมากกว่าสองแสนคนเรียงแถวมาถวายสักการะพระบรมศพเพราะว่าโลงพระบรมศพตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่เวสต์มินสเตอร์ ในอาคารรัฐสภาเป็นเวลาสามวัน ในช่วงเวลานั้นโลงพระบรมศพจะมีทหารม้าของสำนักพระราชวังและจากเหล่าทัพอื่นคุ้มกันอยู่ พระราชนัดดาทั้ง 4 พระองค์ และ 1 ท่านคือ เจ้าชายชาลส์ เจ้าชายแห่งเวลส์ เจ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ก เจ้าชายเอ็ดเวิร์ด เอิร์ลแห่งเวสเซ็กส์ และ เดวิด อาร์มสตรอง-โจนส์, เอิร์ลที่ 2 แห่งสโนว์ดอน ได้ประทับยืนคุ้มกันอยู่สี่มุมของโลงพระบรมศพที่จุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเจมส์ บลันท์ พนักงานหน่วยกู้ชีวิตหนุ่ม ซึ่งต่อมากลายเป็นนักร้องชื่อดัง ร่วมยืนแบกโลงพระศพในช่วงเวลาหนึ่งด้วยเหมือนกัน

9 เมษายน ซึ่งเป็นวันพิธีพระบรมศพ พสกนิกรมากกว่าหนึ่งล้านคนอยู่เต็มลานนอกเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์และยาวตลอด 23 ไมล์จากใจกลางกรุงลอนดอนจนถึงที่พำนักสุดท้ายของพระองค์เคียงข้างพระราชสวามีและพระราชธิดาองค์เล็กในโบสถ์เซ็นต์จอร์จ ที่ปราสาทวินด์เซอร์ และจากความต้องการของพระองค์ หลังจากพิธีพระบรมศพให้นำพวงหรีดที่ได้วางอยู่บนโลงพระศพไปวางไว้บนหลุมฝังศพของทหารนิรนามในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งสะท้อนให้รำลึกถึงวันอภิเษกสมรสของพระองค์

พระอิสริยยศและเครื่องราชอิสริยาภรณ์

พระอิสริยยศ

  • พ.ศ. 2443 — พ.ศ. 2447: เดอะออเนอเรเบิล เอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน (The Honourable Elizabeth Bowes-Lyon)
  • พ.ศ. 2447 — พ.ศ. 2466: เลดีเอลิซาเบธ โบวส์-ลีออน (Lady Elizabeth Bowes-Lyon)
  • พ.ศ. 2466 — พ.ศ. 2479: เฮอร์รอยัลไฮเนส ดัชเชสแห่งยอร์ก (Her Royal Highness The Duchess of York)
  • พ.ศ. 2479 — พ.ศ. 2495: สมเด็จพระราชินี (Her Majesty The Queen)
  • พ.ศ. 2495 — พ.ศ. 2545: สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี (Her Majesty Queen Elizabeth The Queen Mother)

เครื่องราชอิสริยาภรณ์

  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 (Member of the Royal Family Order of King George V)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์นักบุญจอห์นแห่งเยรูซาเล็ม ชั้นที่ 1 (Dame Grand Cross of the Order of St. John of Jerusalem)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ ชั้นที่ 1 (Dame Grand Cross of the Order of the British Empire)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎแห่งอินเดีย ชั้นที่ 1 (Companion of the Order of the Crown of India)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์การ์เตอร์ (Lady of the Order of the Garter)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์ราชวิกตอเรีย ชั้นสูงสุด (Grand Master and Principal Dame Grand Cross of the Royal Victorian Order)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระราชวงศ์แห่งสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6 (Member of the Royal Family Order of King George VI)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งธิสเทิล (Lady of the Order of the Thistle)
  • เครื่องราชอิสริยาภรณ์พระบรมราชวงศ์แห่งสมเด็จพระราชินีนาถเอิลซาเบธที่ 2 (Member of the Royal Family Order of Queen Elizabeth II)

แหล่งข้อมูลอื่น

ก่อนหน้า สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธ พระราชชนนี ถัดไป
สมเด็จพระราชินีแมรี
สมเด็จพระราชินีแห่งสหราชอาณาจักร
ใน สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 6แห่งสหราชอาณาจักร

เจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ
สมเด็จพระจักรพรรดินีแมรี่แห่งเทก
สมเด็จพระจักรพรรดินีแห่งอินเดีย
ใน สมเด็จพระจักรพรรดิจอร์จที่ 6

สิ้นสุด
(เปลี่ยนตำแหน่งจาก จักรพรรดินี เป็น ราชินี)
พระองค์เอง
(สถาปนาพระอิสริยศใหม่)

สมเด็จพระราชินีแห่งอินเดีย
ใน สมเด็จพระราชาธิบดีจอร์จที่ 6

สิ้นสุด
(พระอิสริยยศสิ้นสุดเนื่องจากอินเดียประกาศเอกราช)