เจค จิลเลินฮาล

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เจค จิลเลนฮอล
จิลเลนฮอลในปีค.ศ. 2019
จิลเลนฮอลในปีค.ศ. 2019
สารนิเทศภูมิหลัง
เกิด19 ธันวาคม พ.ศ. 2523 (43 ปี)
ลอสแอนเจลิส, สหรัฐอเมริกา
อาชีพนักแสดง, โปรดิวเซอร์
ปีที่แสดงพ.ศ. 2534 – ปัจจุบัน
รางวัล
ออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
พ.ศ. 2548 - หุบเขาเร้นรัก (เข้าชิง)
แบฟตานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม
พ.ศ. 2548 - หุบเขาเร้นรัก
ฐานข้อมูล
IMDb

เจค็อบ เบนจามิน จิลเลนฮอล[1][ต้องการอ้างอิง] (อังกฤษ: Jacob Benjamin Gyllenhaal) เกิดวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2523 เป็นนักแสดงชาวอเมริกัน ผู้ชนะเลิศรางวัลบาฟต้า สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม ประจำปี พ.ศ. 2549[2] และเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม[3] จากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain)

จิลเลนฮอลเป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์ โดยเขาเริ่มการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปี และเป็นที่รู้จักครั้งแรกในภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่อง Donnie Darko เขารับบทบาทเป็นวัยรุ่นผู้มีปัญหาทางจิต ในปี พ.ศ. 2547 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow จากนั้นในปี พ.ศ. 2548 เขารับบทบาทเป็นนาวิกโยธินผู้ท้อแท้และสับสนในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ในปีเดียวกันรับบทบาทเป็น "คาวบอยเกย์" ทำให้มีชื่อเสียงโด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก

จิลเลนฮอลเป็นนักกิจกรรม มีบทบาทและร่วมสนับสนุนกิจกรรมการเมืองและทางสังคมหลายครั้ง ได้ร่วมโครงการประชาสัมพันธ์การรณรงค์เลือกตั้ง "ร็อก เดอะ โหวต" (Rock the Vote) และร่วมหาเสียงสนับสนุนให้พรรคเดโมแครต ในปี พ.ศ. 2547 และช่วยประชาสัมพันธ์ในงานเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (American Civil Liberties Union)

ประวัติ[แก้]

ชีวิตช่วงแรกและการศึกษา[แก้]

จิลเลนฮอลเกิดในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย เป็นบุตรชายของผู้กำกับ สตีเฟน จิลเลนฮอล และนักเขียนบทภาพยนตร์ นาโอมิ โฟเนอร์[4] บิดาของจิลเลนฮอลเติบโตมากับครอบครัวศาสนาสวีเดนบอร์เจียน (Swedenborgianism) ในครอบครัวตระกูลจิลเลนฮอล บรรพบุรุษชาวสวีเดนที่มีชื่อเสียงของตระกูลนี้คือ แอนเดอร์ส ลีโอนาร์ด จิลเลนฮอล นายทหารและผู้เชี่ยวชาญทางด้านแมลง[5] มารดาของจิลเลนฮอลเป็นครอบครัวยิว-อเมริกันที่มาจากนิวยอร์ก และเป็นภรรยาเก่าของอีริค โฟเนอร์ ศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ส่วนแมกกี จิลเลนฮอล พี่สาวมีอาชีพเป็นนักแสดงเช่นกัน จิลเลนฮอลถูกเลี้ยงดูแลในความเชื่อแบบยิว[6] พิธีฉลองอายุ 13 ปี (B'nai Mitzvah) ของเขาเกิดขึ้นที่ศูนย์คนไร้ที่อยู่ เพราะพ่อและแม่ต้องการให้เขาได้สำนึกถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่พิเศษกว่าผู้อื่น โดยตัดสินใจที่จะฉลองพิธีกับคนเหล่านั้นด้วยความเรียบง่ายกว่าที่เขาเคยได้รับ[7]

นอกจากนั้นพ่อและแม่ยังให้จิลเลนฮอลหารายได้พิเศษช่วงฤดูร้อนให้กับตัวเอง โดยทำงานเป็นเจ้าหน้าที่คอยช่วยชีวิตคนบริเวณชายหาดและบริกรที่ภัตตาคารที่เพื่อนของพ่อเขาเป็นเจ้าของ[8]

ผลงานการแสดงช่วงแรก[แก้]

จากภาพยนตร์เรื่อง October Sky

ตั้งแต่เด็ก จิลเลนฮอลยังได้คลุกคลีกับวงการภาพยนตร์เนื่องจากอาชีพของครอบครัว ในวัย 11 ปี เขาได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่องแรกในปี พ.ศ. 2534 เรื่อง City Slicker รับบทเป็นลูกชายของบิลลี คริสตัล อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่อนุญาตให้จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Mighty Ducks (ภาพยนตร์ปี พ.ศ. 2535) เนื่องจากต้องออกจากบ้านร่วม 2 เดือน[4] ในปีถัดมาพ่อแม่ก็ได้อนุญาตให้เขาไปทดสอบบท แต่ก็มีข้อห้ามถ้าถูกคัดเลือก[8] แต่จิลเลนฮอลก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงในภาพยนตร์ของพ่อเขาอยู่หลายหน ในปี พ.ศ. 2536 ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง Dangerous Woman (แมกกีพี่สาวก็ร่วมแสดง) ต่อมาปี พ.ศ. 2537 กับละครโทรทัศน์เรื่อง Homicide: Life on the Street ในปี พ.ศ. 2541 แมกกีและเจคได้ร่วมออกรายการกับแม่ในรายการทำอาหาร "Molto Mario" ทางช่องฟู้ด เน็ตเวิร์ค ก่อนที่จะจบการศึกษาระดับไฮสคูล ภาพยนตร์เรื่องเดียวที่พ่อของเขาไม่ได้กำกับและได้อนุญาตให้แสดงคือเรื่อง Josh and S.A.M.[9]

จิลเลนฮอลจบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนฮาวาร์ด-เวสต์เลกในลอสแอนเจลิสในปี พ.ศ. 2541 จากนั้นได้เข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในรัฐนิวยอร์ก (พี่สาวและแม่ของเขาก็เรียนที่นี่) จิลเลนฮอลได้ศึกษาด้านศาสนาตะวันออกและปรัชญา ถึงปีที่ 2 แล้วได้พักการเรียนไว้เพื่อมุ่งเข้าสู่วงการบันเทิง อย่างไรก็ดีจิลเลนฮอลก็ได้กลับมาศึกษาต่อจนจบในที่สุด[4]

จิลเลนฮอลได้รับบทนำครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง October Sky ในปี พ.ศ. 2542 กำกับโดยโจ จอห์นสตัน ดัดแปลงมาจากอัตชีวประวัติของโฮเมอร์ ฮิกแคม รับบทบาทเป็นนักเรียนมัธยมที่รับทุนด้านวิทยาศาสตร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนงานในเหมือง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำรายได้ 32 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หนังสือพิมพ์ซาคราเมนโตนิวส์แอนด์รีวิว วิจารณ์ว่า "เป็นการแสดงที่แจ้งเกิด"ของเขา[9][10]

การประสบความสำเร็จและเสียงวิจารณ์[แก้]

Donnie Darko ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ที่จิลเลนฮอลรับบทนำ ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส ในครั้งแรกที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 แต่ในที่สุดก็เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ชื่นชอบ[11] ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยริชาร์ด เคลลี โดยจิลเลนฮอลรับบทเป็นวัยรุ่นมีปัญหาที่หนีความตาย และได้พบกับกระต่ายสูง 6 ฟุตที่ชื่อ แฟรงค์ที่บอกเขาว่าโลกกำลังใกล้สู่จุดจบ จิลเลนฮอลได้รับคำวิจารณ์ตอบรับที่ดี แดน คอยส์จาก เว็บซาลอน.คอม วิจารณ์ว่า "จิลเลนฮอลเล่นบทบาทที่ยากสองอย่าง ทั้งบทธรรมดาที่ไม่น่าสนใจและบทที่ลำบากได้ในเวลาเดียวกัน"[12][13] จิลเลนฮอลได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

จิลเลนฮอลในภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko

ในปี พ.ศ. 2545 จิลเลนฮอลได้แสดงคู่กับเจนนิเฟอร์ อนิสตันในภาพยนตร์จากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์เรื่อง The Good Girl และยังได้แสดงเรื่อง Lovely & Amazing ร่วมกับ แคเธอรีน คีเนอร์[14] ในภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องได้รับบทบาทเป็นชายหนุ่มที่ตกหลุมรัก และมีความสัมพันธ์ลึกกับหญิงที่แต่งงานแล้ว ภายหลังจิลเลนฮอลได้อธิบายว่า "นี่คือบทบาทของวัยรุ่นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ"[15]

ต่อมาจิลเลนฮอลได้แสดงในภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้ ของทัชสโตน พิคเจอร์ส เรื่อง Bubble Boy สร้างมาจากเรื่องราวของเดวิด เวตเตอร์ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเสียงวิจารณ์ว่า "ยุ่งเหยิง ไม่มีแก่น เป็นความเลวร้ายที่ไร้รสนิยมอย่างที่สุด"[16]

หลังจากเรื่อง Bubble Boy ก็ได้แสดงประกบกับดัสติน ฮอฟแมน และซูซาน ซาแรนดอนในภาพยนตร์เรื่อง Moonlight Mile ได้รับบทบาทเป็นเด็กหนุ่มที่รับมือกับความตายของคู่หมั้นและความโศกเศร้าของครอบครัวคู่หมั้น เขียนบทและกำกับ โดยแบรด ซิเบอลิง จากประสบการณ์จริง[17] ได้รับความวิจารณ์ทั้งดีและไม่ดี[18]

จิลเลนฮอลเกือบได้รับเลือกให้แสดงเป็นสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 โดยผู้กำกับ แซม ไรมิ หลังจากที่โทบีย์ แมคไกวร์ได้รับบาดเจ็บที่หลัง[19] อย่างไรก็ตามจิลเลนฮอลไม่ได้แสดงในภาพยนตร์ภาคต่อเรื่องนี้ ต่อมาได้รับบทในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง The Day After Tomorrow ในปี พ.ศ. 2547 แสดงร่วมกับเดนนิส เควด[20]

ผลงานเรื่องแรกบนเวทีละครของจิลเลนฮอลคือการแสดงในบทนำของละครลอนดอนที่ถูกนำมาทำใหม่ โดยเคนเนธ โลเนอร์แกน เรื่อง This Is Our Youth ละครเรื่องนี้เปิดแสดงนานถึงแปดสัปดาห์ที่เวสต์เอ็นด์ในลอนดอน เขาได้รับบทบาทเศรษฐีเด็กที่ใช้เวลาช่วงสุดสัปดาห์ในการขโมย ซื้อขายและเสพยาเสพย์ติด ร่วมกับเฮย์เดน คริสเตนเซนและแอนนา พาควิน สำหรับบทนี้จิลเลนฮอลได้รับรางวัลอีฟนิงสแตนดาร์ดเธียรเตอร์อวอร์ด ในประเภทนักแสดงหน้าใหม่ผู้มีผลงานโดดเด่น[21][22]

หุบเขาเร้นรักและอนาคต[แก้]

ปี พ.ศ. 2548 ถือเป็นปีของจิลเลนฮอล ได้แสดงภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมอย่าง Proof, Jarhead, และ หุบเขาเร้นรัก ในภาพยนตร์เรื่อง Proof ได้แสดงร่วมกับกวินเน็ธ พัลโทรว์และแอนโธนี ฮ็อพกินส์ ผู้กำกับจอห์น แมดเดน ภาพยนตร์ซึ่งมีบทดัดแปลงมาจากละครที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ จิลเลนฮอลได้รับบทบาทเป็นลูกศิษย์นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะ ผู้จากไปด้วยโรคบกพร่องทางจิต ที่เข้ามาช่วยแก้สมการคณิตศาสตร์ ที่ยังแก้ไม่ได้[23]

ในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead ได้รับบทเป็นนาวิกโยธินที่ถูกส่งตัวไปยังทะเลทรายในซาอุดีอาระเบีย เพื่อร่วมรบในสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก[24] กระแสของภาพยนตร์เรื่องนี้ตอนเปิดตัวค่อนข้างเงียบเนื่องจากออกมาพร้อมกับภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก แซม เม็นเดสผู้กำกับเรื่อง Jarhead พูดถึงจิลเลนฮอลว่า "เขาเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก เป็นเด็กหน้าตาดี อยู่ในครอบครัวบันเทิง เขามักจะมีความคิดที่จะไปให้ถึงที่เขาจะไป แต่ในบางระดับเขาก็ยังไปไม่ถึง และเขาต้องการที่จะทำงานในส่วนนี้ ต้องการที่จะค้นพบตัวเอง และผมไม่สามารถจะตื่นเต้นกว่านี้เกี่ยวกับการแสดงของเขา" [4]

จากภาพยนตร์เรื่อง หุบเขาเร้นรัก

ในภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก จิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับฮีธ เลดเจอร์ ในบทคนงานในฟาร์มเลี้ยงแกะที่เกิดมีความสัมพันธ์แบบรักร่วมเพศ ท้องเรื่องเกิดในทศวรรษที่ 60 บนภูเขาโบรคแบ็กในรัฐไวโอมิง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดด้วยการคว้ารางวัลสิงโตทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม จากเทศกาลภาพยนตร์เวนิซ (กันยายน พ.ศ. 2548) [25] และยังได้รับรางวัลลูกโลกทองคำถึง 4 สาขา และอีก 4 สาขาจากรางวัลบาฟต้า และ 3 สาขาจากรางวัลออสการ์ จิลเลนฮอลถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม แต่พ่ายให้กับจอร์จ คลูนีย์ไป ในส่วนรางวัลบาฟต้าได้รับรางวัลดาราสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังได้รับรางวัลยังอาร์ทิสต์อวอร์ดจาก ดิอเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส สำหรับความสำเร็จในอาชีพ

เมื่อภาพยนตร์ออกฉายมักมีข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของจิลเลนฮอล เขาให้คำตอบว่า

"คุณรู้ไหมว่านั่นคือคำชม เมื่อมีข่าวลือพูดว่าผมเป็นไบเซ็กชวล มันหมายถึงผมสามารถเล่นได้ทุกบทบาท ผมเป็นคนเปิดกว้างกับทุกคนที่ต้องการเรียกผมอย่างนั้น ผมไม่เคยรู้สึกสนใจผู้ชาย แต่ก็ไม่คิดว่าจะกลัวถ้ามันเกิดขึ้นจริง[26]"

ในปี พ.ศ. 2548 จิลเลนฮอลได้ให้เสียงพากย์กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers[27] เค้าโครงมาจากหนังสือเขียนโดย มอร์ดิไซ เกอร์สไตน์[28]

เดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 ภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Zodiac ได้ออกฉายที่สหรัฐอเมริกา โดยผู้กำกับ เดวิด ฟินเชอร์ ได้เค้าโครงเรื่องจากเรื่องจริง[29] ได้รับบทเป็น โรเบิร์ต เกรย์สมิธ ผู้เขียนหนังสือทั้ง 2 เล่มของ โซดิแอก คิลเลอร์ นักฆ่าจักรราศี

จิลเลนฮอลแสดงภาพยนตร์เรื่อง Rendition ออกฉายเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 มีฉากหลังเป็นตะวันออกกลาง กำกับโดยเกวิน ฮูด ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงกับรีส วิเธอร์สปูน[30] บทถัดไปของจิลเลนฮอลคือ หนังนำมาสร้างใหม่ในปี พ.ศ. 2547 เรื่อง Brothers กำกับโดย จิม เชอริแดน[31]

ชีวิตส่วนตัว[แก้]

ครอบครัว[แก้]

สมาชิกในครอบครัวจิลเลนฮอลได้ทำงานฮอลลีวูดร่วมกับจิลเลนฮอลหลายเรื่อง แม็กกีพี่สาวของจิลเลนฮอลเคยแสดงภาพยนตร์ร่วมกับจิลเลนฮอล ในเรื่อง Donnie Darko และยังร่วมแสดงกับเขาในเรื่อง A Dangerous Woman ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยสตีเฟน จิลเลนฮอล พ่อของพวกเขา

แมกกีหมั้นกับนักแสดง ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด ซึ่งจิลเลนฮอลได้แสดงร่วมกับหลานสาว ราโมนา ซาร์สการ์ดในภาพยนตร์เรื่อง Jarhead (ราโมนา ซาร์สการ์ดเกิดเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2549)

จิลเลนฮอลมีแม่ทูนหัวชื่อ เจมี ลี เคอร์ติส นักแสดงชื่อดัง[4] ส่วนตัวเขาเองเป็นพ่อทูนหัวของ มาทิลดา โรส เลดเจอร์ (เกิด 28 ตุลาคม พ.ศ. 2548) เป็นลูกสาวนักแสดง ฮีธ เลดเจอร์ และ มิเชล วิลเลียมส์ ทั้งคู่เป็นนักแสดงจากเรื่องหุบเขาเร้นรัก[32] นอกจากนั้นลุงของจิลเลนฮอล ชื่อแอนเดอร์ส จิลเลนฮอล ยังเป็นบรรณาธิการให้กับหนังสือพิมพ์ เดอะ ไมอามี เฮอร์รอลด์[33]

ความสัมพันธ์[แก้]

จิลเลนฮอลได้ออกเดทกับเจนนี เลวิส นักร้องวงไรโล ไคลีย์ในปี พ.ศ. 2544[34] ต่อมาได้เดทกับเคิร์สเตน ดันส์ ทั้งคู่รู้จักกันผ่านพี่สาวของจิลเลนฮอล แมกกี (ดันส์และแมกกี ได้ร่วมแสดงภาพยนตร์ในเรื่อง Mona Lisa Smile) หลังจากนั้นก็เริ่มออกเดทกันในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 ต่อจากนั้นก็มีการรายงานว่าทั้งคู่เลิกกันเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2547 แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็จบลงในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2548[35]

ดันส์และจิลเลนฮอลมีสุนัขพันธุ์เยอรมันเชฟเฟิร์ด ชื่อว่า แอตติคัส ที่ทั้งคู่ได้ช่วยเหลือออกจากศูนย์คุ้มครองสุนัขในลอสแอนเจลิส จิลเลนฮอลยังมีสุนัขพันธุ์ปัคเคิล ชื่อ บู แรดลีย์ สุนัขทั้ง 2 ตัวตั้งตามชื่อตัวละครในบทประพันธ์ของฮาร์เปอร์ ลี เรื่อง To Kill a Mockingbird หนึ่งในบทประพันธ์เรื่องโปรดของจิลเลนฮอล[36]

จิลเลนฮอลมีข่าวกับ รีส วิเธอร์สปูนที่เพิ่งหย่ากับสามีไรอัน ฟิลิปเป้[37] ทั้งคู่เริ่มคบหากันหลังจากเจอกันในกองถ่าย Rendition ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยุติลงเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 จากรายงานของนิตยสารพีเพิล[38]

การเมืองและความสนใจอื่นๆ[แก้]

จิลเลนฮอลมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยได้ถ่ายโฆษณารณรงค์การเลือกตั้งในโครงการร็อก เดอะ โหวต (Rock the Vote) ในช่วงการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาปี พ.ศ. 2547 เขาได้ไปมหาวิทยาลัยเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย กับพี่สาวเพื่อรณรงค์นักเรียนนักศึกษาให้ไปเลือกตั้ง[39] จิลเลนฮอลได้ร่วมหาเสียงสนับสนุนให้ ผู้สมัครจอห์น เคอร์รี ของพรรคเดโมแครต[40][ลิงก์เสีย]

จิลเลนฮอลกล่าวว่า "มันทำให้ผมหมดความอดทนเมื่อนักแสดงพูดถึงเรื่องการเมือง ผมเป็นพลเมืองคนหนึ่งและผมเลือกเล่นภาพยนตร์ ที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ผมพยายามและพูดในสิ่งที่ผมทำ ผิดหรือถูก นักแสดงหนุ่มนั้นล้วนมีอิทธิพล"[4]

จิลเลนฮอลเติบโตมาในครอบครัวที่ตระหนักถึงเรื่องสังคม เขาร่วมการรณรงค์กับ อเมริกันซิวิลลิเบอร์ตีส์ยูเนียน (เอซีแอลยู) เป็นองค์กรที่ทั้งครอบครัวของจิลเลนฮอลให้การสนับสนุน[41][42] จิลเลนฮอลตระหนักในเรื่องสิ่งแวดล้อม และนิยมการนำของเก่ามาใช้ใหม่ และเคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้ออกเงิน 400 เหรียญต่อปีเพื่อปลูกต้นไม้ให้ป่าในประเทศโมซัมบิก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งประชาสัมพันธ์รายการฟิวเจอร์ฟอร์เรส[43][44] หลังจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow เขาได้บินไปแถบอาร์กติกเพื่อรณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อน[45][46]

ในเวลาว่าง จิลเลนฮอลนิยมทำงานฝีมือจากไม้ ทำอาหาร[47] ส่วนกิจกรรมอื่นเขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็พยายามฝึกสติ" และพยายามฝึกสมาธิทุกวัน[48]

ผลงานภาพยนตร์[แก้]

เจค จิลเลนฮอลมีผลงานแสดงภาพยนตร์มาแล้ว 17 เรื่อง (ข้อมูลเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550) โดยเริ่มอาชีพการแสดงตั้งแต่อายุ 11 ปีในเรื่อง City Slickers ส่วนผลงานล่าสุดคือเรื่อง Rendition แสดงร่วมกับ รีส วิธเธอร์สปูน ออกฉายเดือนมีนาคม พ.ศ. 2550 นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยพากย์เสียงให้กับภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องสั้นเรื่อง The Man Who Walked Between the Towers

ปี พ.ศ. ภาพยนตร์ บทบาท
2534 City Slickers แดนนี ร็อบบินส์
2536 A Dangerous Woman เอ็ดเวิร์ด
Josh and S.A.M. ลีออน
2541 Homegrown เจมส์ / บลู คาฮาน
2542 October Sky โฮเมอร์ ฮิคแมน จูเนียร์
2544 Donnie Darko ดอนนี ดาร์โค
Bubble Boy จิมมี ลิฟวิงสตัน
Lovely & Amazing จอร์แดน
2545 Highway ไพล็อท เคลสัน
Moonlight Mile โจ แนสต์
The Good Girl โธมัส 'โฮลเดน' เวิร์ธเธอร์
2547 วิกฤติวันสิ้นโลก (The Day After Tomorrow) แซม ฮอลล์
2548 หุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) แจ็ค ทวิสต์
พลระห่ำสงครามนรก (Jarhead) แอนโธนี สว็อฟฟอร์ด
Proof ฮาโรลด์ 'ฮาล' ด็อบ์ส
2550 Zodiac โรเบิร์ต เกรย์สมิธ
Rendition ดักกลาส ฟรีแมน
2552 บราเธอร์ส (Brothers) ทอมมี คาฮิลล์
Nailed ฮาวเวิร์ด เบิร์ดเวลล์
2553 Prince of Persia: The Sands of Time เจ้าชายดัสแทน
Damn Yankees[49] บอยด์
Love & Other Drugs[50] เจมี ลีดี
2554 Source Code โคลเตอร์
2555 End of Watch ไบรอัน เทย์เลอร์
2556 Prisoners นักสืบ โลกิ
Enemy อดัม เบลล์ / แอนโธนี แคลร์
2557 เหยี่ยวข่าวคลั่ง ล่าข่าวโหด (Nightcrawler) หลุยส์ "ลู" บลูม
2558 Accidental Love ฮาวเวิร์ด
สังเวียนเดือด (Southpaw) บิลลี่ โฮป
เอเวอเรสต์ ไต่ฟ้าท้านรก (Everest) สก็อตต์ ฟิชเชอร์
2559 Demolition เดวิส มิทเชลล์

รางวัลที่ได้รับ[แก้]

จิลเลนฮอลมีผลงานโดดเด่นที่สุดจากภาพยนตร์เรื่องหุบเขาเร้นรัก (Brokeback Mountain) จากบทบาทคาวบอยเกย์ "แจ็ค ทวิสต์" ได้รับรางวัลจาก 5 สถาบันใหญ่ นอกจากนั้นจิลเลนฮอลยังเคยได้รับรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่อง Donnie Darko จากโคลทรูดิส อวอร์ดส

ปี พ.ศ. รางวัล สาขา ผล ภาพยนตร์
2544 อินดีเพนเดนต์สปิริตอวอร์ด นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง Donnie Darko
โคลทรูดิสอวอร์ดส นักแสดงยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล
2545 ดีวีดีเอกซ์คลูซีฟอวอร์ดส นักแสดงยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง Highway
ทีนชอยส์อวอร์ดส ชอยส์มูวีเบรกเอาท์สตาร์ - นักแสดงชาย เสนอชื่อเข้าชิง The Good Girl
ยังฮอลลีวูดอวอร์ดส เบรกทรูเพอร์ฟอร์แมนซ์ - นักแสดงชาย ได้รับรางวัล
2549 เอ็มทีวี มูวี่ อวอร์ดส นักแสดงยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล Brokeback Mountain
(หุบเขาเร้นรัก)
จูบยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล
รางวัลของสมาคมนักแสดงอาชีพแห่งอเมริกา นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
กลุ่มนักแสดงยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
เนชันนัลบอร์ดออฟรีวีว นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล
คริติคส์ชอยส์อวอร์ด นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
รางวัลบาฟต้า นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้รับรางวัล
รางวัลออสการ์ นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม เสนอชื่อเข้าชิง
แซทเทลไลต์อวอร์ดส เอาท์สแตนดิง ซัพพอร์ติง แอคเตอร์ เสนอชื่อเข้าชิง
อเมริกันส์ฟอร์ดิอาร์ทสเนชันนัลอาร์ทสอวอร์ดส ค.ศ. 2006 ยังอาร์ทิสต์อวอร์ดฟอร์อาร์ทิสติคเอ็กเซลเลนซ์ ได้รับรางวัล
แซทเทลไลต์อวอร์ดส เอาท์สแตนดิงลีดแอคเตอร์ เสนอชื่อเข้าชิง Jarhead
2551 ปาล์มสปริงส์ฟิล์มเฟสติวัล รางวัลนักแสดงประสบความสำเร็จ ได้รับรางวัล [51]
ทีนชอยส์อวอร์ดส ชอยซ์มูวีแอกเตอร์ ประเภทดรามา เสนอชื่อเข้าชิง Rendition

อ้างอิง[แก้]

  1. นามสกุลอ่านว่า จิลล์-เอน-ฮอล (Jill-en-hall)
  2. ประกาศแล้วรายชื่อผู้ได้รับรางวัล บาฟต้า อวอร์ดส์ ปี 2006 เก็บถาวร 2007-10-07 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ siamzone.com
  3. รายชื่อผู้เข้าชิง อคาเดมี อวอร์ดส์ หรือ ออสการ์ ครั้งที่ 78 เว็บไซต์ siamzone.com
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 4.4 4.5 Schruers, Fred (October 30, 2005) ,"Jake's progress",The Guardian. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  5. Bloom, Nate (June 11, 2004) Rootsweb.com เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  6. Bloom, Nate (June 11, 2004) ,"Celebrity Jews" Jewish News Weekly. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  7. Contact Music (November 6, 2005) ,"Gyllenhaal's Homeless Shelter Bar-Mitzvah" เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  8. 8.0 8.1 Horn, Steven (2004) ,"Interview with Jake Gyllenhaal"[ลิงก์เสีย] Ign.com.เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน 2549
  9. 9.0 9.1 "Jake Gyllenhaal biography" เก็บถาวร 2009-02-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Tiscali.com. เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน 2549
  10. Halverson, Mark (1998) ,October Sky review เก็บถาวร 2005-05-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน News & Review. เรียกดูเมื่อ 21 กันยายน 2549
  11. Snider, Mike (February 2, 2005) , "'Darko' takes a long, strange trip" USA Today เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  12. Kois, Dan (July 23, 2004) "Everything you were afraid to ask about "Donnie Darko"" เก็บถาวร 2011-08-13 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Salon.com. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  13. Mairs, Gary,Donnie Darko review เก็บถาวร 2006-06-15 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน CultureVulture.net. เรียกดูเมื่อ 21 กันยายน 2549
  14. Hubbell, Anne (January 16, 2002) "Director, writer talk about 'The Good Girl'" เก็บถาวร 2006-09-22 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน", CNN Entertainment. เรียกดูเมื่อ 16 กันยายน 2549
  15. Michael, David BBC Films เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  16. Swietek, Frank, Bubble Boy Review เก็บถาวร 2007-10-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน oneguysopinion.com. เรียกดูเมื่อ 21 กันยายน 2549
  17. Murray, Rebecca (2006) ,"Jake Gyllenhaal and Brad Silberling Talk About "Moonlight Mile"" About.com. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  18. RottenTomatoes.com compilation of critical reviews เรียกดูเมื่อ 21 กันยายน 2549
  19. Otto, Jeff."An Interview with Tobey Maguire." IGN, 23 July 2003.
  20. Mottram, James BBC Film เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  21. Albemarle-London,Albemarle เก็บถาวร 2006-05-04 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  22. Loveridge, Lizzie (March 2002) ,"A CurtainUp London Review: This is Our Youth" CurtainUp.com. เรียกดูเมื่อ 21 กันยายน 2549
  23. บวก ลบ คูณ หาร สมการชีวิต เว็บไซต์ pantip.com
  24. พรีวิวหนังใหม่:Jarhead พลระห่ำ สงครามนรก เก็บถาวร 2007-06-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เว็บไซต์ manager.co.th
  25. ข้อมูลภาพยนตร์เรื่อง Brokeback Mountain จากเว็บไซต์ pantip.com
  26. "All the latest interviews, reviews and awards for Brokeback Mountain." เก็บถาวร 2006-10-02 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน GLAAD. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  27. The Man Who Walked Between the Towers เว็บไซต์ imdb.com
  28. Association for Library Service to Children website เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  29. เปิดม่านเทศกาลหนังเมืองคานส์ คนบันเทิงร่วมงานคับคั่ง เก็บถาวร 2007-09-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน จากสำนักข่าวเนชั่น
  30. Mcnary, Dave, Fleming, Michael (September 26, 2006) "New Line renders cast" Variety.com. เรียกดูเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2549
  31. Siegel, Tatiana , "Natalie Portman to star in 'Brothers'", Variety.com. เรียกดูเมื่อ 4 ตุลาคม 2550
  32. Heath Ledger Chooses Jake Gyllenhaal as Daughter's Godfather เก็บถาวร 2007-09-29 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน starpulse.com เรียกดูเมื่อ 4 กันยายน 2550
  33. Anders Gyllenhaal pulitzer.org
  34. Lindall, Anders Smith, (May, 2005) ,"Rilo Kiley:Prime Time" Harp Magazine. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  35. Sydney Morning Herald (July 21, 2004) "Kirsten Dunst and Jake Gyllenhaal split" เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  36. Glamour Magazine (2001) ,"G-Guys" เก็บถาวร 2007-02-28 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  37. รีสหันไปกิ๊กกับ เจค จิลเลนฮอล แล้ว ข่าวจากคมชัดลึก 9 เมษายน 2550 19:51 น.
  38. คู่รักคั่นเวลา "ริส-เจค" เลิกกันแล้ว เก็บถาวร 2007-06-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2550 18:42 น.
  39. Nichols, Kara "Celebrities rally voters"[ลิงก์เสีย] The Daily Trojan. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  40. Pelleymounter, Alison (October 28, 2004) ,"Star of Donnie Darko visits EC" The Spectator. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  41. ACLU Official Statement (May 15, 2003) ,"Celebrities Speak out for Civil Rights" เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  42. Dennis Van Tine, Jen Lowery, Bennett Marcus "ACLU Freedom Concert" เก็บถาวร 2016-03-03 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Open all night. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  43. Foley, Jack (2003) , "The Day After Tomorrow - Jake Gyllenhaal Q&A" เก็บถาวร 2017-06-12 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Indie London. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  44. Curry, Carolann (May 27, 2004) , "2004: The year of Jake Gyllenhaal" Youth Quake magazine. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  45. Eilperin, Juliet "Ice Crusade" Washington Post. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  46. Spectral Productions Inc. (April 21 & 22,2005) ,Arctic Wisdom เก็บถาวร 2005-04-26 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  47. Femalefirst (2006) ,"Carpenter Jake Gyllenhaal" เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  48. Denizet-Lewis, Benoit,"Jake" เก็บถาวร 2007-09-30 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน Details. เรียกดูเมื่อ 19 กันยายน 2549
  49. Fleming, Michael (2009-02-26). "Carrey, Gyllenhaal do 'Yankees'". Variety. สืบค้นเมื่อ 2009-02-27.
  50. Minaya, Marcell (2009-06-07). "Hathaway, Gyllenhaal team up for 'In Love'". Digital Spy. สืบค้นเมื่อ 2009-06-07.
  51. http://latimesblogs.latimes.com/thedishrag/2006/01/gyllenhaals-got.html Los Angeles Times Palm Springs Film Festival 2008

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]