ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ศาลฎีกา"
ย้อนการแก้ไขที่ 9027276 สร้างโดย 2001:44C8:451F:3F29:1:0:F9CA:22F6 (พูดคุย) ป้ายระบุ: ทำกลับ |
ลบ ป้ายระบุ: การแก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขจากเว็บสำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่ |
||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{ความหมายอื่น|ดูที่=ศาลสูงสุด|และดูที่=ฎีกา}} |
{{ความหมายอื่น|ดูที่=ศาลสูงสุด|และดูที่=ฎีกา}} |
||
⚫ | {{issues|ปรับภาษา=yes|ต้องการอ้างอิง=yes|จัดรูปแบบ=yes|ต้นฉบับ=yes|ขาดกล่องข้อมูล=yes}}'''ศาลฎีกา''' เป็น[[ศาลยุติธรรม]][[ศาลสูงสุด|ชั้นสูงสุด]] มีเขตอำนาจทั่วทั้ง[[ประเทศไทย|ราชอาณาจักร]] มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการฎีกา และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งที่กฎหมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23) คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23) |
||
{{issues|ปรับภาษา=yes|ต้องการอ้างอิง=yes|จัดรูปแบบ=yes|ต้นฉบับ=yes|ขาดกล่องข้อมูล=yes}} |
|||
{{กล่องข้อมูล หน่วยงานของรัฐ 2 |
|||
| ชื่อหน่วยงาน = ศาลฎีกา |
|||
| ชื่อในภาษาแม่_1 = |
|||
| ชื่อในภาษาแม่_2 = |
|||
| ชื่อในภาษาแม่_ท = |
|||
| สัญลักษณ์ = |
|||
| สัญลักษณ์_กว้าง = |
|||
| สัญลักษณ์_บรรยาย = |
|||
| ตรา = |
|||
| ตรา_กว้าง = |
|||
| ตรา_บรรยาย = ตราศาลฎีกา |
|||
| ภาพ = |
|||
| ภาพ_กว้าง = |
|||
| ภาพ_บรรยาย = |
|||
| วันก่อตั้ง = พ.ศ. 2428 |
|||
| ผู้ก่อตั้ง = |
|||
| สืบทอดจาก_1 = |
|||
| สืบทอดจาก_2 = |
|||
| สืบทอดจาก_3 = |
|||
| สืบทอดจาก_4 = |
|||
| สืบทอดจาก_5 = |
|||
| สืบทอดจาก_6 = |
|||
| วันยุบเลิก = |
|||
| สืบทอดโดย = |
|||
| เขตอำนาจ = ทั่วราชอาณาจักร |
|||
| กองบัญชาการ = เลขที่ 6 ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร |
|||
| latd= |latm= |lats= |latNS= |
|||
| longd= |longm= |longs= |longEW= |
|||
| รหัสภูมิภาค = |
|||
| บุคลากร = |
|||
| งบประมาณ = |
|||
| รัฐมนตรี1_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี1_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี2_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี2_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี3_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี3_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี4_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี4_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี5_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี5_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี6_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี6_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี7_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี7_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี8_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี8_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี9_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี9_ตำแหน่ง = |
|||
| รัฐมนตรี10_ชื่อ = |
|||
| รัฐมนตรี10_ตำแหน่ง = |
|||
| หัวหน้า1_ชื่อ = ไสลเกษ วัฒนพันธุ์ <ref> [http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/E/231/T_0001.PDF พระบรมราชโองการ ประกาศ แต่งตั้งประธานศาลฎีกา (นายไสลเกษ วัฒนพันธุ์)] </ref> |
|||
| หัวหน้า1_ตำแหน่ง = ประธาน |
|||
| หัวหน้า2_ชื่อ = ชัยยุทธ ศรีจำนงค์ |
|||
| หัวหน้า2_ตำแหน่ง = รองประธาน |
|||
| หัวหน้า3_ชื่อ = ธีระพงศ์ จิระภาค |
|||
| หัวหน้า3_ตำแหน่ง = รองประธาน |
|||
| หัวหน้า4_ชื่อ = สุรพันธุ์ ละอองมณี |
|||
| หัวหน้า4_ตำแหน่ง = รองประธาน |
|||
| หัวหน้า5_ชื่อ = บุญมี ฐิตะศิริ<ref>http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2561/E/326/T_0024.PDF</ref> |
|||
| หัวหน้า5_ตำแหน่ง = รองประธาน |
|||
| หัวหน้า6_ชื่อ = |
|||
| หัวหน้า6_ตำแหน่ง = |
|||
| หัวหน้า7_ชื่อ = |
|||
| หัวหน้า7_ตำแหน่ง = |
|||
| หัวหน้า8_ชื่อ = |
|||
| หัวหน้า8_ตำแหน่ง = |
|||
| หัวหน้า9_ชื่อ = |
|||
| หัวหน้า9_ตำแหน่ง = |
|||
| หัวหน้า10_ชื่อ = |
|||
| หัวหน้า10_ตำแหน่ง = |
|||
| ประเภทหน่วยงาน = |
|||
| ต้นสังกัด = |
|||
| กำกับดูแล = |
|||
| ลูกสังกัด_1 = |
|||
| ลูกสังกัด_2 = |
|||
| ลูกสังกัด_3 = |
|||
| ลูกสังกัด_4 = |
|||
| ลูกสังกัด_5 = |
|||
| ลูกสังกัด_6 = |
|||
| ลูกสังกัด_7 = |
|||
| ลูกสังกัด_8 = |
|||
| ลูกสังกัด_9 = |
|||
| เอกสารหลัก_1= |
|||
| เอกสารหลัก_2= |
|||
| เอกสารหลัก_3= |
|||
| เอกสารหลัก_4= |
|||
| เอกสารหลัก_5= |
|||
| เอกสารหลัก_6= |
|||
| เว็บไซต์ = http://www.supremecourt.or.th/webportal/supremecourt/ |
|||
| หมายเหตุ = |
|||
| แผนที่ = |
|||
| แผนที่_กว้าง = |
|||
| แผนที่_บรรยาย = |
|||
}} |
|||
⚫ | '''ศาลฎีกา''' เป็น[[ศาลยุติธรรม]][[ศาลสูงสุด|ชั้นสูงสุด]] มีเขตอำนาจทั่วทั้ง[[ประเทศไทย|ราชอาณาจักร]] มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการฎีกา และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งที่กฎหมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23) คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23) |
||
== องค์คณะ == |
== องค์คณะ == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:33, 22 สิงหาคม 2563
บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
ศาลฎีกา เป็นศาลยุติธรรมชั้นสูงสุด มีเขตอำนาจทั่วทั้งราชอาณาจักร มีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ภาค ภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการฎีกา และมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งที่กฎหมายอื่นบัญญัติให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดหรือสั่งคำร้องคำขอที่ยื่นต่อศาลฎีกาตามกฎหมาย (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23) คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลฎีกาเป็นที่สุด (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23)
องค์คณะ
ศาลฎีกามีองค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน (พระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 27) แต่หากคดีใดมีปัญหาสำคัญ เมื่อประธานศาลฎีกาเห็นว่าควรให้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา ประธานศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้นำปัญหาดังกล่าวเข้าสู่การวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ หรือเมื่อเป็นกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติเป็นการเฉพาะว่าให้คดีเรื่องใดวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ (ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 140 วรรคสอง) ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาทุกคนซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่มีการจัดประชุมใหญ่ แต่ทั้งนี้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด
องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีประกอบด้วยผู้พิพากษาอย่างน้อย 3 คน แต่หากคดีใดมีปัญหาสำคัญ ประธานศาลฎีกามีอำนาจสั่งให้นำปัญหาดังกล่าวเข้าสู่การวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษาศาลฎีกาทุกคนซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่มีการจัดประชุมใหญ่ แต่ทั้งนี้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนผู้พิพากษาศาลฎีกาทั้งหมด
แผนก
ศาลฎีกามีแผนกคดีพิเศษทั้งสิ้น 11 แผนก เพื่อวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่อาศัยความชำนาญพิเศษ มีผู้พิพากษาศาลฎีกาประจำแผนก ๆ ละ ประมาณ 10 คน โดยแผนกคดีพิเศษในศาลฎีกาประกอบด้วยแผนกคดีที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย 10 แผนก ได้แก่
- แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว
- แผนกคดีแรงงาน
- แผนกคดีภาษีอากร
- แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ
- แผนกคดีล้มละลาย
- แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
- แผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจ
- แผนกคดีสิ่งแวดล้อม
- แผนกคดีผู้บริโภค
- แผนกคดีเลือกตั้ง
และแผนกคดีที่ศาลฎีกาแบ่งเป็นการภายใน 1 แผนกคือ
- แผนกคดีปกครอง (ภายใน)
นอกจากผู้พิพากษาศาลฎีกาซึ่งทำหน้าที่วินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว ศาลฎีกามีกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและค้นคว้าปัญหาข้อกฎหมาย ตลอดจนช่วยตรวจและแก้ไขปรับปรุงร่างคำพิพากษาศาลฎีกา เพื่อเป็นหลักประกันในด้านความถูกต้องความรวดเร็ว และความเป็นธรรมแก่ประชาชน
นอกจากอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีแล้ว ศาลฎีกามีอำนาจหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายต่าง ๆ คือ
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 255 บัญญัติให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีหน้าที่คัดเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกา ซึ่งดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าผู้พิพากษาศาลฎีกา จำนวน 5 คน ไปเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 138 (2) บัญญัติให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีหน้าที่สรรหาผู้สมควรเป็นกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน 5 คน เสนอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อเลือกเป็นกรรมการการเลือกตั้งต่อไป
- พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542 มาตรา 5 (1) บัญญัติให้ ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีหน้าที่คัดเลือกผู้มีความรู้ และมีประสบการณ์เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรม จำนวน 1 คน ไปเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
- พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2541 ให้ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง คุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาไว้รวม 2 กรณี
กรณีแรก เป็นกรณีตามมาตรา 34 วรรคหนึ่ง กำหนดให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไม่มีชื่อเป็นผู้สมัครในประกาศของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเพื่อให้วินิจฉัยว่ามีสิทธิรับเลือกตั้งหรือไม่ และศาลฎีกาต้องพิจารณาและมีคำวินิจฉัยให้แล้วเสร็จก่อนวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน เมื่อศาลฎีกามีคำวินิจฉัยเช่นใด ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาลฎีกาโดยเร็ว
กรณีที่สอง เป็นกรณีตามมาตรา 34/1 วรรคหนึ่ง ก่อนวันเลือกตั้งถ้าปรากฏหลักฐานว่าผู้สมัครผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ให้ผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว ถ้าเห็นว่าผู้สมัครผู้นั้นขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ให้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น ซึ่งในกรณีที่สองนี้หากถึงวันเลือกตั้ง ถ้าปรากฏว่าไม่มีการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามวรรคหนึ่งหรือมีการยื่นคำร้องแล้ว แต่ศาลฎีกายังไม่มีคำวินิจฉัย ให้การพิจารณาเป็นอันยุติและให้ดำเนินการเลือกตั้งไปตามประกาศการรับสมัครที่มีผลอยู่ในวันเลือกตั้ง
สำหรับแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกานั้น จัดตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 272 วรรคสองและวรรคสาม, มาตรา 308 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น รวมทั้งกรณีบุคคลอื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วย
องค์คณะผู้พิพากษาในแผนกนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คน ที่คัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขึ้นนั่งพิจารณาคดีเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่การพิจารณาคดีจะแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไปเนื่องจากเป็นระบบไต่สวน ซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542
ปัจจุบันศาลฎีกาตั้งอยู่ที่เลขที่ 6 ถนนราชดำเนินใน แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ซึ่งเคยมีการรื้อถอนและสร้างใหม่ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2555 จนถึงวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2562 ซึ่งระหว่างรื้อถอนนั้นศาลฎีกาได้ย้ายไปใช้ที่ทำการชั่วคราวภายในศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ถนนแจ้งวัฒนะ แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นแผนกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เพื่อพิจารณาพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น รวมทั้งกรณีบุคคลอื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วย
องค์คณะผู้พิพากษาในแผนกนี้ประกอบด้วย ผู้พิพากษาศาลฎีกาจำนวน 9 คน ที่คัดเลือกโดยที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ขึ้นนั่งพิจารณาคดีเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่การพิจารณาคดีจะเป็นระบบไต่สวน ซึ่งแตกต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไป ศาลมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร ตามวิธีพิจารณาคดีที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542