ต่ง เจี้ยนหฺวา

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ต่ง เจี้ยนหฺวา
董建華
ผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง คนที่ 1
ดำรงตำแหน่ง
1 กรกฎาคม 2540 – 12 มีนาคม 2548
ประธานาธิบดีเจียง เจ๋อหมิน
หู จิ่นเทา
หัวหน้ารัฐบาลหลี่ เผิง
อู่ หรงจี
หวัง เจิ่งเบา
ก่อนหน้าสถาปนาตำแหน่งใหม่
คริส แพตเทิน
(ในนามของผู้ว่าการเกาะฮ่องกงของอังกฤษ)
ถัดไปโดนัลด์ จาง
รองประธานสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน
ดำรงตำแหน่ง
13 มีนาคม 2548 – 10 มีนาคม 2566
ประธานสภาเจี่ย จิงหลิน
อู่ เจ้อเจียง
วัง หยาง
สมาชิกของสภาบริหารฮ่องกง (คณะรัฐมนตรี)
ดำรงตำแหน่ง
7 ตุลาคม 2535 – 3 มิถุนายน 2539
แต่งตั้งโดยคริส แพตเทิน
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด (1937-07-07) 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 (86 ปี)
เซี่ยงไฮ้, สาธารณรัฐจีน
คู่สมรสเบตตี้ ถัง (สมรส 1981)[1]
ที่อยู่อาศัยGrenville House, Mid-Levels
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล (วิทยาศาสตรบัณฑิต)
อาชีพ
  • นักการเมือง
  • นักธุรกิจ
ลายมือชื่อ
ชื่อภาษาจีน
อักษรจีนตัวเต็ม董建華
อักษรจีนตัวย่อ董建华

ต่ง เจี้ยนหฺวา (เกิด 7 กรกฎาคม พ.ศ.2480) เป็นนักธุรกิจชาวฮ่องกงและอดีตผู้บริหารเขตบริหารพิเศษฮ่องกงระหว่างปี 2540 – 2548 ซึ่งเป็นผู้นำคนแรกของฮ่องกงหลังจากอังกฤษส่งมอบคืนเกาะฮ่องกงให้กับอังกฤษ นอกจากนี้เขายังเคยเป็นรองสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีนในช่วงปี 2548-2566 อีกด้วย

ต่ง เจี้ยนหฺวา เป็นลูกชายคนโตของต่ง เจ้าหรง พ่อค้าแม่เหล็กในเซี่ยงไฮ้ ภายหลังจากการอพยพมายังฮ่องกงหลังพรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน จากนั้นก็เริ่มทำธุรกิจในการขนส่งข้ามสมุทรในชื่อบริษัท Orient Overseas Container Line (OOCL) ในปี 2524 เขาได้เข้าคุมบริษัทต่อหลังจากพ่อของเขาเสียชีวิต แต่ในช่วงที่เขาบริหารบริษัท OOCL ก็เกิดวิกฤติจนล้มละลาย แต่ในช่วงวิกฤตินั้นบริษัทของเขาได้รับความช่วยเหลือจากเฮนรี่ ฟอร์คซึ่งทำให้บริษัทของเขาได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน และทำให้เขาได้มีความสัมพันธ์กับคนระดับสูงภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน

ด้วยเส้นสายความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลจีน ทำให้เขาได้เริ่มเข้าสู่วงการทางการเมืองมากขึ้น และทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีชุดสุดท้ายของคริส แพตเทิน ผู้ว่าการเกาะฮ่องกงของอังกฤษคนสุดท้าย และหลังจากนั้นเขาก็ได้ชนะการเลือกตั้งปี 1996 ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งรัฐบาลของต่ง เจี้ยนหฺวา หลังจากเข้ามาบริหารฮ่องกงในฐานะเขตบริหารพิเศษ ก็เผชิญกับปัญหาและความขัดแย้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 การระบาดของไข้หวัดนก และการเรียกร้องประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน ซึ่งในปี 2545 เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สองโดยปราศจากคู่แข่ง ทำให้ยิ่งเผชิญแรงต้านมากขึ้นจากกระแสมวลชนที่ไม่พอใจกับการบริหารของเขาและสิทธิในหลักประชาธิปไตย สุดท้ายทำให้เขาต้องตัดสินใจลาออกในวันที่ 10 มีนาคม 2548

หลังจากลงตำแหน่งผู้นำฮ่องกง เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรองที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน และยังคงมีอิทธิพลอยู่ในฮ่องกงอยู่มาก โดยเขาได้ก่อตั้งกองทุนและองค์กรที่เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจฮ่องกง และยังมีฉายาว่า “Kingmakers” เพราะคนที่เขาสนับสนุนมักจะสามารถไต่เต้าขึ้นไปเป็นผู้นำของฮ่องกงได้ทุกคน

ชีวิตช่วงต้น[แก้]

ต่ง เจี้ยนหฺวา เกิดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2480[3] ที่เมืองเซี่ยงไฮ่ประเทศจีน ในครอบครัวพ่อค้าพอมีฐานะ แต่ในวัย 12 ครอบครัวของเขาต้องอพยพลงมาอยู่ที่ฮ่องกงหลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนสถาปนาการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ขึ้นภายในประเทศเมื่อปี 2492 ซึ่งต่งก็ได้เรียนในฮ่องกงก่อนจะถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศในอังกฤษและอเมริกา ก่อนจะกลับเข้ามาดำเนินการธุรกิจของครอบครัวอีกครั้งหลังจากเรียนจบ ซึ่งหลังจากพ่อของเขาเสียชีวิตไปในปี 2524 ต่งก็ได้เข้าควบคุมและดำเนินการกิจการของบริษัท Orient Overseas Container Line (OOCL) ต่อ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเข้ามาบริหารกิจการของบริษัทเขาก็เจอกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี และเกิดปัญหาหนี้จนในที่สุดบริษัทก็ต้องยื่นล้มละลายไป แต่ในช่วงวิกฤตินั้นเฮนรี่ ฟอคนักธุรกิจชาวฮ่องกงผู้มีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลจีนได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือและได้ใช้เส้นสายของตัวเองในการทำให้รัฐบาลจีนช่วยอุ้มบริษัทของเขาเอาไว้ ซึ่งด้วยผลพวงในครั้งนี้ทำให้เข้ามีความสัมพันธ์และรู้จักกับคนระดับสูงภายในพรรคคอมมิวนิสต์หลายคน เช่น เจียง เจ๋อหมิน

หลังจากเหตุการณ์ความช่วยเหลือในครั้งนั้น ทำให้ต่ง เจี้ยนหฺวา เริ่มเข้ามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลจีนก็ต้องการยกระดับการเจรจาระหว่างจีนกับอังกฤษในเรื่องของการคืนเกาะฮ่องกงมากขึ้น จีนต้องการคนฮ่องกงที่มีชื่อเสียงหรือมีบทบาททางเศรษฐกิจในการกดดันรัฐบาลฮ่องกงอีกทางหนึ่ง ต่งใช้จุดนี้เริ่มเดินในเส้นทางการเมือง จนในที่สุดเมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าอังกฤษจะส่งมอบเกาะฮ่องกง เขาก็ได้เข้าร่วมในสภาร่างธรรมนูญการปกครอง ในการร่างธรรมนูญการปกครองของฮ่องกง (Basic Law) และรับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีของคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของคริส แพตเทิน ก่อนจะลงรับการเลือกตั้งชิงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของเขตบริหารพิเศษฮ่องกงในปี 2539 ซึ่งในตอนที่ลงนั้นเขาเป็นม้ารองบ่อนที่แทบไม่มีใครรู้จัก และยังมีบารมีทางการเมืองที่น้อย แต่ด้วยแรงสนับสนุนจากรัฐบาลจีนโดยเฉพาะจากเจียง เจ๋อหมิน ทำให้เขามีฐานเสียงมากขึ้นและชนะการเลือกตั้งจากคณะกรรมการเลือกตั้งที่รัฐบาลปักกิ่งเลือกขึ้นมา และขึ้นเป็นผู้นำเขตบริหารพิเศษฮ่องกงคนแรกหลังจากที่ฮ่องกงกลับสู่ดินแดนจีนอีกครั้ง[4]

ผู้นำเขตบริหารพิเศษฮ่องกง[แก้]

รัฐบาลสมัยแรก[แก้]

หลังจากเข้ามากุมบังเหียน รัฐบาลก็ออกนโยบายที่มุ่งเน้นไปยังโครงสร้างสามกลุ่ม ประกอบด้วย การเคหะ สังคมผู้สูงอายุและภาคการศึกษา[5]โดยเฉพาะเรื่องการเคหะเพราะฮ่องกงประสบปัญหาผู้คนล้นเมืองทำให้ต่งมองว่าฮ่องกงควรจะมีการสร้างแฟลตราคาถูกเพื่อให้คนทั่วไปมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักเป็นแหล่ง โครงการของรัฐบาลมองว่าควรจะมีการสร้างแฟลตหรือการเคหะจำนวน 85,000 ยูนิตในแต่ละปี ซึ่งจะเพียงพอและช่วยทำให้คนมีที่อยู่อาศัยได้ อย่างไรก็ตามภายหลังการเข้ามาบริหารรัฐบาลของต่งก็ถูกพิษเศรษฐกิจเล่นงานจากวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียปี 2540 ทำให้โครงการที่ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากต้องถูกระงับไป

อย่างไรก็ตามภายใต้การบริหารงานของต่ง เจี้ยนหฺวา โครงการหลายอย่างมักจะถูกตั้งคำถามจากสาธารณชนตลอดจนรัฐบาลกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเอื้อพรรคพวกเพราะโครงการหลายอย่างมักจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเอื้อประโยชน์กับกลุ่มธุรกิจอื่น เช่น โครงการ Cyberport อันเป็นโครงการสวนขนาดใหญ่ก็ถูกตั้งคำถามว่าเอื้อประโยชน์การประมูลโครงการให้กับมหาเศรษฐีริชาร์ด ลี หรือการจัดการพื้นที่ของฮ่องกงดิสนีย์แลนด์ด้วยการปล่อยเช่าพื้นที่ด้วยสัญญา 50 ปี และโครงการการสร้างคาสิโนในฮ่องกง นอกจากนี้รัฐบาลต่งยังถูกมองว่าไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารสิ่งต่าง ๆ เช่น การรับมือการระบาดของไข้หวัดนกที่ระบาดครั้งใหญ่ การจัดการสนามบิน หรือการรับมือประชากรที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลทำให้ในช่วงปี 2545 คะแนนของต่งตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว และเขาเหลือความนิยมแค่เพียง 47 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

รัฐบาลสมัยที่สอง[แก้]

แม้จะเผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมาก แต่ต่ง เจี้ยนหฺวาก็ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำฮ่องกงอีกครั้งในปี 2545 ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่มีใครลงสมัครชิงเป็นคู่แข่ง และแม้ว่าความนิยมจะตกต่ำแต่คนที่เลือกไม่ใช่ประชาชน แต่เป็นรัฐบาลจีนทำให้เขายังสามารถชนะการเลือกตั้งและเข้าบริหารฮ่องกงได้อีกวาระหนึ่ง

การปฏิรูปกลไกราชการ[แก้]

การบริหารงานในฐานะรัฐบาลทำให้เขารู้ว่ากลไกของหน่วยงานราชการในฮ่องกงค่อนข้างที่จะเชื่องช้าและค่อนข้างที่จะไร้ประสิทธิภาพในการสั่งการ ดังนั้นเมื่อเขาเข้ามาอยู่ในตำแหน่งเป็นสมัยที่สองจึงทำการปฏิรูประบบกลไกราชการเสียใหม่ให้มีความรวดเร็วมากขึ้น ระบบใหม่ที่ต่งต้องการนั้นถูกเรียกกันว่า ระบบแบ่งข้าราชการตามสายงานที่รับผิดชอบ (Principal Officials Accountability System) ซึ่งกลไกระบบราชการแต่เดิมของฮ่องกงนั้น บางตำแหน่งระดับสูงเช่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ปลัดกระทรวง หรือแม้แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่มาจากการไต่เต้าตำแหน่งตามความสามารถและผลงาน แต่ในการปฏิรูประบบใหม่นี้ให้อำนาจผู้บริหารสูงสุดในการแต่งตั้งคนเข้าไปยังตำแหน่งต่าง ๆ ได้เลย โดยเฉพาะตำแหน่งพวกเจ้ากระทรวงที่ไม่ต้องรอการอนุมัติหรือการแต่งตั้งจากหน่วยงานอื่น ซึ่งจากการปฏิรูประบบราชการใหม่นี้ยังเอื้อให้ผู้นำสภานิติบัญญัติที่เป็นสองพรรคใหญ่ฝ่ายโปรจีนสามารถเข้ามาสู่สภาบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ได้โดยตำแหน่ง ยิ่งทำให้พลังของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยยิ่งอ่อนแอลงเข้าไปอีก

วิกฤติการ์ณทางการเมืองใน 2546[แก้]

เมื่อปี 2546 รัฐบาลฮ่องกงพยายามผ่านร่างกฎหมายในการออกกฎหมายความมั่นคง ตลอดจนเพิ่มบทบัญญัติในธรรมนูญการปกครองฮ่องกงมาตรา 23 ที่ว่าด้วยการลิดรอนสิทธิมนุษยชน สิทธิในการแสดงออก ตลอดจนกิจกรรมทางการเมือง นักข่าว นักหนังสือพิมพ์ นักกฎหมาย[6] สิ่งนี้ทำให้ชาวฮ่องกงไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะกระบวนการการออกกฎหมายและแสดงความมั่นคงทางการเมืองของรัฐบาลต่งนั้น มีมากกว่าการจัดการโรคไข้หวัดใหญ่และโรคซาร์ที่ระบาดจนมีคนตายไปเป็นจำนวนมาก และมองว่านี่เป็นกระบวนการในการปิดปากประชาชนไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล จนในที่สุดก็นำไปสู่การลุกฮือของมวลชนกว่า 600,000 คน ที่ประท้วงตามท้องถนน เพื่อเรียกร้องให้ถอนกฎหมายนี้และให้ต่ง เจี้ยนหฺวา ลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง[7] ผลจากการประท้วงในครั้งนั้นทำให้บุคคลสำคัญหลายคนในรัฐบาลและสภาต้องลาออก เช่น หัวหน้าพรรคเสรีนิยมอย่างเจมส์ เถียนที่เป็นสมาชิกสภาบริหารก็ตัดสินใจลาออก เช่นเดียวกับรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่เป็นตำแหน่งใหญ่ในฮ่องกงตอนนั้นตัดสินใจลาออกเช่นเดียวกัน พร้อมกันนั้นรัฐบาลก็ผ่อนปรนท่าทีด้วยการถอนข้อกฎหมายนั้นออกไปจากฮ่องกง

ลาออก[แก้]

สถานการณ์ในช่วงขวบปีสุดท้ายของต่ง เจี้ยนหฺวา ค่อนข้างที่จะย่ำแย่เป็นอย่างมาก นอกจากเสียวิพากษ์วิจารณ์จากคนภายในแล้ว การเปลี่ยนแปลงภายในของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ทำให้หู จิ่นเทาขึ้นมาเป็นใหญ่ในพรรคคอมมิวนิสต์จีน หูยังเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ต่งออกสื่อมากขึ้น พร้อมกับกดดันให้ต่งลงจากอำนาจ นอกจากนี้พวกนักธุรกิจชั้นนำและกลุ่มนักธุรกิจต่าง ๆ เริ่มให้การสนับสนุนโดนัลด์ จางในการขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารเขตพิเศษฮ่องกงคนต่อไปมากขึ้น[8] แรงกดดันนี้ยิ่งสร้างกระแสการกดดันให้ต่งมากขึ้น สื่อหลายสำนักต่างพิมพ์ข่าวเกี่ยวกับการลาออกเพิ่มขึ้น ยิ่งเมื่อมีข่าวลือว่ารัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่เตรียมตั้งเขาให้เป็นรองสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ซึ่งอาจเป็นตำแหน่งที่รองรับให้กับเขาหลังจากลงจากตำแหน่งผู้บริหารเขตพิเศษฮ่องกง ต่งไม่ตอบคำถามสื่อในเรื่องนี้แต่สถานการณ์ภายในเป็นที่รับรู้แล้วว่าต่งจะลาออก

วันที่ 10 มีนาคม 2548 ต่ง เจี้ยนหฺวา ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บริหารเขตพิเศษฮ่องกง โดยอ้าง “ปัญหาสุขภาพ” หลังจากนั้นเขาก็ได้บินไปปักกิ่งทันทีเพื่อรับตำแหน่งในสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน เวลาถัดมาคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เลือกให้โดนัลด์ จางขึ้นมารับตำแหน่งเป็นผู้บริหารเขตพิเศษฮ่องกงคนถัดไป

บทบาทหลังจากลงจากอำนาจ[แก้]

ความสัมพันธ์สหรัฐ-จีน[แก้]

ในบทบาทฐานะของรองสภาที่ปรึกษาทางการเมืองประชาชนจีน ต่งมีบทบาทสำคัญในการกระจายและสร้างความรับรู้เรื่องเกี่ยวกับจีน หรือที่เราอาจจะเข้าใจโดยทั่วไปในฐานะของการขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีนไปยังต่างประเทศ โดยต่งได้ตั้งมูลนิธิแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมจีน-สหรัฐอเมริกา (China-United States Exchange Foundation (CUSEF)) ขึ้นมา ซึ่งมีหน้าที่ในการให้ทุนกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในอเมริกา เพื่อส่งเสริมและสร้างเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับจีนในมหาวิทยาลัย ทั้งนี้หลายฝ่ายกังวลถึงการเข้าถึงมหาวิทยาลัยจะสร้างอิทธิพลและสร้างกรอบให้กับนโยบายของมหาวิทยาลัย เพราะการให้ทุนของมหาวิทยาลัยแลกมาด้วยการที่ทางมหาวิทยาลัยจะต้องไม่มีนโยบายโจมตีหรือสร้างความเสียหายทางชื่อเสียงให้กับจีน รวมทั้งยังบังคับให้มีมาตรการขั้นเด็ดขาดในการกำราบนักศึกษาที่กระด้างกระเดื่องหรือโจมตีจีน ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหนก็ตาม

ซึ่งในขณะที่ทำเป็นหัวหน้าของมูลนิธิ ต่งก็ถูกจับตามองโดยสมาชิกวุฒิสภาของสหรัฐและนักการเมืองบางส่วนอย่างไม่ไว้วางใจเป็นจำนวนมาก

ผู้กำหนดตัวผู้บริหารเขตพิเศษฮ่องกง[แก้]

ต่ง เจี้ยนหฺวา ยังมีบทบาทในหน้าสื่อต่อไปจากบทบาทของเขาต่อการเมืองในฮ่องกง ที่มักจะมีการเจรจากับกลุ่มนักธุรกิจและเส้นสายทางการเมืองกับจีน จนได้รับฉายาว่า “Kingmakers” ในการทำให้คนที่เขาสนับสนุนสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของเกาะฮ่องกงได้ เช่น ในการเลือกตั้งปี 2555 และ การเลือกตั้งปี 2560

ในการเลือกตั้งปี 2555 เขาได้ให้การสนับสนุนกับเหลียง ชุน หยิง นักการเมืองฝ่ายปักกิ่งที่มีสายสัมพันธ์อันดีกับสี จิ้นผิง เพียงแต่ในการเลือกตั้งในตอนนั้นเขาเป็นคนรองบ่อน ที่ไม่ได้มีคะแนนนิยมในฮ่องกง ต่งจึงระดมสรรพกำลังพร้อมด้วยกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ เอามาช่วยเหลือเหลียงในแคมเปญการหาเสียง และการทำงาน จนนำไปสู่ชัยชนะของเหลียง ชุน หยิงในการเลือกตั้งครั้งนั้น

อีกครั้งหนึ่งคือการเลือกตั้งเมื่อปี 2560 เมื่อเขาออกหน้าให้การสนับสนุนแคร์รี หลั่ม ทั้งจากหน้าสื่อและการล็อบบี้ยิสต์ ซึ่งเขาได้คุยกับทั้งคนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งไปจนถึงคนระดับสูงในการเมืองระดับชาติจีนเพื่อให้การสนับสนุนแครี่ ลัม ด้วยมองว่าเธอนั้นมีศักยภาพพอที่จะคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้อยู่[9] รวมทั้งพยายามที่จะสกัดคู่แข่งไม่ให้ชนะ ซึ่งรวมถึงแผนการที่อาจจะทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้หากแคร์รี หลั่มไม่ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้แคร์รี หลั่มชนะการเลือกตั้งก็มาจากการช่วยเหลือของต่งด้วยส่วนหนึ่ง

อ้างอิง[แก้]

  1. First Lady on the go เก็บถาวร 3 พฤษภาคม 2016 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, South China Morning Post, 25 July 1997
  2. "Search". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 July 2015. สืบค้นเมื่อ 1 July 2015. Association for Conversation of Hong Kong Indigenous Languages Online Dictionary for Hong Kong Hakka and Hong Kong Punti (Weitou dialect)
  3. Chinese calendar 29 May 1937 as disclosed in directorship filings at UK Companies Registry
  4. "HKSAR Chief Executive Tung Chee-hwa Sworn In". China Internet Information Center. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 February 2021. สืบค้นเมื่อ 2021-02-11.
  5. Western, Neil (9 October 1997). "Maiden policy address". The Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2008. สืบค้นเมื่อ 11 January 2007.
  6. Staff reporter (7 July 2003). "Bill will limit freedoms say majority of Catholics". The Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2008. สืบค้นเมื่อ 11 January 2007.
  7. Paris Lord; Cannix Lau (2 July 2003). "500,000 show anger at 'stubborn' rulers". The Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2008. สืบค้นเมื่อ 11 January 2007.
  8. Ng, Michael (18 February 2005). "Ho throws backing behind Tsang". The Standard. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 30 April 2008. สืบค้นเมื่อ 11 January 2007.
  9. "Tung Chee-hwa: Beijing may not appoint Tsang even if he wins". ejinsight.com. 22 February 2017. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 February 2017. สืบค้นเมื่อ 24 February 2017.