ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ประเทศนาอูรู"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
Timekeepertmk (คุย | ส่วนร่วม) |
||
บรรทัด 60: | บรรทัด 60: | ||
== ประวัติศาสตร์ == |
== ประวัติศาสตร์ == |
||
[[File:Nauruan-warrior-1880ers.jpg|thumb|left|upright|นักรบชาวนาอูรู]] |
|||
[[ไมโครนีเซีย|ชาวไมโครนีเซีย]]และ[[โพลินีเซีย|ชาวโพลินีเซีย]]เข้ามาอยู่บนเกาะนาอูรูตั้งแต่อย่างน้อยสามพันปีก่อน นาอูรูถูกยึดครองโดย[[จักรวรรดิเยอรมัน|เยอรมนี]]ในปีพ.ศ. 2431 มีการค้นพบ[[ฟอสเฟต]]ในปีพ.ศ. 2443 และเริ่มมีการส่งออกฟอสเฟตในอีกสี่ปีต่อมา ในช่วง[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] [[ประเทศออสเตรเลีย|ออสเตรเลีย]]เข้ายึดครองนาอูรูในปีพ.ศ. 2457 หลังจากสงคราม [[สันนิบาตชาติ]]ให้นาอูรูเป็นดินแดนในอำนาจ (แมนเดต) ของออสเตรเลีย ร่วมกับ[[สหราชอาณาจักร]]และ[[ประเทศนิวซีแลนด์|นิวซีแลนด์]] รัฐบาลของสามประเทศลงนามในความตกลงเกาะนาอูรูในปีค.ศ. 1919 ซึ่งตั้งคณะกรรมการฟอสเฟตบริเตน ให้ได้สิทธิการทำเหมืองฟอสเฟตบนนาอูรู |
|||
ชาวไมโครนีเซียและเมลานีเซียได้เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะนาอูรูอย่างน้อย 3,000 ปีขึ้นไป<ref name="UNCCD">{{cite web|author=Nauru Department of Economic Development and Environment|year=2003|url=http://www.unccd.int/cop/reports/asia/national/2002/nauru-eng.pdf |archiveurl=http://web.archive.org/web/20110722013720/http://www.unccd.int/cop/reports/asia/national/2002/nauru-eng.pdf |archivedate=2011-07-22 |title=First National Report To the United Nations Convention to Combat Desertification|publisher=UNCCD|accessdate=25 June 2012}}</ref> โดยกลุ่มคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในนาอูรูสามารถแบ่งออกได้เป็น 12 เผ่า ซึ่งในธงชาติของประเทศนาอูรูในปัจจุบันนั้นแทนด้วยดาว 12 แฉก<ref>{{cite journal|last=Whyte|first=Brendan|title=On Cartographic Vexillology|journal=Cartographica: The International Journal for Geographic Information and Geovisualization|year=2007|volume=42|issue=3|pages=251–262|doi=10.3138/carto.42.3.251}}</ref> ในธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวนาอูรูจะนับญาติทางสายมารดาเป็นหลัก ประชากรเหล่านี้นิยมเลี้ยงและเพาะพันธุ์ปลาไว้ใน[[ลากูนบูอาดา]] เพื่อเป็นแปล่งอาหารให้กับประชากร ในขณะที่แหล่งอาหารในท้องถิ่นอื่น ๆ ที่มีปลูกในพื้นที่เกาะคือ[[มะพร้าว]]และ[[เตยทะเล]]<ref name=pollock>{{Cite book| author=Pollock, Nancy J|chapter=5: Social Fattening Patterns in the Pacific—the Positive Side of Obesity. A Nauru Case Study|editor=De Garine, I|title=Social Aspects of Obesity|pages=87–111|publisher=Routledge|year=1995}}</ref><ref name=spennemann/> สำหรับในส่วนของชื่อ ''นาอูรู'' นั้นมีการสันนิษฐานว่ามาจากศัพท์คำว่า ''Anáoero'' ใน[[ภาษานาอูรู]] ซึ่งมีความหมายว่าฉันไปที่ชายหาด<ref name=west>{{cite encyclopedia|encyclopedia=Encyclopedia of the Peoples of Asia and Oceania|title=Nauruans: nationality|pages=578–580|last=West|first=Barbara A|isbn=978-1-4381-1913-7|year=2010|publisher=Infobase Publishing}}</ref> |
|||
[[จอห์น เฟิร์น]] นักล่าวาฬชาวอังกฤษเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางมาถึงเกาะนาอูรูในปี ค.ศ. 1798 โดยเขาได้ตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า "Pleasant Island" นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1830 เป็นต้นมา ชาวนาอูรูได้ติดต่อกับเรือล่าวาฬของชาวตะวันตก ซึ่งเรือล่าวาฬเหล่านี้จะแสวงหาน้ำจืดจากนาอูรูเพื่อเก็บไว้ใช้ในเรือ<ref name=spennemann>{{cite journal|last=Spennemann|first=Dirk HR|journal=Aquaculture International|date=January 2002|volume=10|issue=6|pages=551–562|doi=10.1023/A:1023900601000|title=Traditional milkfish aquaculture in Nauru}}</ref> ในช่วงระหว่างนี้กะลาสีเรือที่เลิกทำงานให้กับเรือล่าวาฬเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยในนาอูรู ชาวเกาะได้เริ่มการแลกเปลี่ยนค้าขายกับชาวตะวันตกมากยิ่งขึ้น โดยชาวเกาะจะนำอาหารไปแลกเปลี่ยนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาวุธสงคราม<ref>{{cite journal|last=Marshall|first=Mac|coauthors=Marshall, Leslie B|title=Holy and unholy spirits: The Effects of Missionization on Alcohol Use in Eastern Micronesia|journal=Journal of Pacific History|date=January 1976|volume=11|issue=3|pages=135–166|doi=10.1080/00223347608572299}}</ref> อาวุธสงครามที่ได้มาจากชาวตะวันตกเหล่านี้ได้มีการนำมาใช้ในสงครามระหว่างชนเผ่าในนาอูรูในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1878 - 1888<ref>{{cite journal|journal=New York Law School Journal of International and Comparative Law|title=Nauru v. Australia|author=Reyes, Ramon E, Jr|volume=16|issue=1–2|year=1996|url=http://heinonline.org/HOL/LandingPage?collection=journals&handle=hein.journals/nylsintcom16&div=6&id=&page=}}</ref> |
|||
กองทัพ[[จักรวรรดิญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]เข้ายึดนาอูรูในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2485 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง [[สหประชาชาติ]]อนุมัติภาวะทรัสตี ให้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักรเป็นทรัสตี นาอูรูเริ่มปกครองตนเองในปีพ.ศ. 2509 และกลายเป็นประเทศเอกราชในปีพ.ศ. 2511 ในปี 2510 ประชาชนนาอูรูได้ซื้อสินทรัพย์ของคณะกรรมการฟอสเฟตบริเตน และต่อมาก็ไปอยู่ในความควบคุมของบริษัทฟอสเฟตนาอูรูของรัฐบาล |
|||
ในปี ค.ศ. 1888 เยอรมนีได้ผนวกเกาะนาอูรูเขาเป็นส่วนหนึ่งของ[[หมู่เกาะมาร์แชลล์]]ในอารักขา<ref name=firth>{{cite journal|last=Firth|first=Stewart|title=German labour policy in Nauru and Angaur, 1906–1914|journal=The Journal of Pacific History|date=January 1978|volume=13|issue=1|pages=36–52|doi=10.1080/00223347808572337}}</ref> การเข้ามาของเยอรมนีในครั้งนี้ช่วยให้สงครามกลางเมืองระหว่างชนเผ่าต่างๆสิ้นสุดลง นอกจากนี้ยังมีการตั้งตำแหน่งพระมหากษัตริย์ในการปกครองเกาะแห่งนี้ โดยพระมหากษัตริย์ของนาอูรูที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ[[พระเจ้าโอเวอีดาแห่งนาอูรู|พระเจ้าโอเวอีดา]] คณะมิชชันนารีสอนศาสนาเริ่มเข้ามาในปี ค.ศ. 1888 โดยเป็นกลุ่มมิชชันนารีที่เดินทางมาจาก[[หมู่เกาะกิลเบิร์ต]]<ref name=hill/><ref>{{cite book|author=Ellis, AF|year=1935|title=Ocean Island and Nauru – their story|publisher=Angus and Robertson Limited|pages=29–39}}</ref> ชาวเยอรมีนที่เข้ามาอาศัยในนาอูรูจะเรียกนาอูรูว่า ''Nawodo'' หรือ ''Onawero''<ref>{{cite book|title=Deutsche Rundschau für Geographie und Statistik|author=Hartleben, A|year=1895|page=429}}</ref> จักรวรรดิเยอรมันเข้าปกครองนาอูรูอยู่ราว ๆ 3 ทศวรรษ โดยโรเบิร์ต ราช พ่อค้าชาวเยอรมันที่แต่งงานกับผู้หฯิงชาวนาอูรูเป็นผู้บริหารของนาอูรูคนแรกในปี ค.ศ. 1890<ref name=hill>{{cite book|last=Hill|first=Robert A (ed)|title=The Marcus Garvey and Universal Negro Improvement Association Papers|year=1986|publisher=University of California Press|isbn=978-0-520-05817-0|chapter=2: Progress Comes to Nauru|volume=5}}</ref> |
|||
ในปี ค.ศ. 1900 [[อัลเบิร์ต ฟูลเลอร์ เอลลิส]] นักสำรวจแร่ได้ค้นพบแหล่งแร่ฟอสเฟตในนาอูรู<ref name=firth/> จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1906 บริษัทแปซิฟิกฟอสเฟตได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลของเยอรมนีในการเริ่มต้นทำกิจกรรมเหมืองแร่ฟอสเฟต โดยเริ่มการส่งออกฟอสเฟตไปขายยังต่างประเทศในปี ค.ศ. 1907<ref name=autogenerated1>{{cite journal|last=Manner|first=HI|coauthors=Thaman, RR; Hassall, DC|title=Plant succession after phosphate mining on Nauru|journal=Australian Geographer|date=May 1985|volume=16|issue=3|pages=185–195|doi=10.1080/00049188508702872}}</ref> เมื่อเกิด[[สงครามโลกครั้งที่ 1]]ในปี ค.ศ. 1914 กองทัพออสเตรเลียได้ส่งกองกำลังเข้ายึดครองนาอูรู จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1919 [[ออสเตรเลีย]] [[นิวซีแลนด์]]และ[[สหราชอาณาจักร]]ได้ลงนามในข้อตกลงนาอูรู ซึ่งมีผลให้เกิดการสถาปนา[[คณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษ]] (British Phosphate Commission - BPC) โดยคณะกรรมาธิการนี้มีสิทธิ์ในการประกอบกิจการเหมืองฟอสเฟตในนาอูรู<ref name=gowdy>{{cite journal|journal=Land Economics|volume=75|issue=2|title=The Physical Destruction of Nauru|author=Gowdy, John M; McDaniel, Carl N|date=May 1999|pages=333–338}}</ref> |
|||
ในปี ค.ศ. 1920 เกิดการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่งผลให้ชาวนาอูรูร้อยละ 18 ล้มตายจากการระบาดในครั้งนี้<ref>{{cite journal|last=Shlomowitz|first=R|title=Differential mortality of Asians and Pacific Islanders in the Pacific labour trade|journal=Journal of the Australian Population Association|date=November 1990|volume=7|issue=2|pages=116–127|pmid=12343016}}</ref> หลังจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 3 ปี [[สันนิบาตชาติ]]ได้ให้อำนาจออสเตรเลีย สหราชอาณาจักรและนิวซีแลนด์เป็นผู้ดูแลนาอูรูในฐานะดินแดนในอาณัติ<ref>{{cite journal|last=Hudson|first=WJ|title=Australia's experience as a mandatory power|journal=Australian Outlook|date=April 1965|volume=19|issue=1|pages=35–46|doi=10.1080/10357716508444191}}</ref> ในวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1940 เรือเยอรมันสองลำได้[[การโจมตีของเยอรมนีในนาอูรู|จมเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร 5 ลำ]]บริเวณใกล้กับนาอูรู นอกจากการจมเรือแล้ว เรือเยอรมันทั้งสองลำได้สร้างความเสียหายให้กับบริเวณเหมืองแร่และสายพานลำเลียงฟอสเฟตอีกด้วย<ref>{{cite book|last=Waters|first=SD|title=German raiders in the Pacific|year=2008|publisher=Merriam Press|isbn=978-1-4357-5760-8|edition=3rd|page=39}}</ref><ref name=bogart>{{cite journal|author=Bogart, Charles H|title=Death off Nauru|pages=8–9|date=November 2008|journal=CDSG Newsletter|url=http://cdsg.org/reprint%20PDFs/CDSGNnov08.pdf|accessdate=16 June 2012}}</ref> |
|||
[[File:Nauru surrender WW2.jpg|thumb|การยอมแพ้ของจักรวรรดิญี่ปุ่นบนเรือรบเดียมันตินา]] |
|||
[[จักรวรรดิญี่ปุ่น]]ได้ส่งกองกำลัง[[การยึดครองนาอูรูของญี่ปุ่น|เข้ายึดครองนาอูรู]] ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1942<ref name=bogart/> หลังจากนั้นได้เกณฑ์แรงงานชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวนาอูรูและชาวกิลเบิร์ตให้สร้างสนามบิน โดยในระยะเวลาต่อมา กองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดสนามบินนี้ครั้งแรกในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1943 เพื่อตัดการสนับสนุนเสบียงอาหารที่จะส่งไปยังนาอูรู การที่เสบียงอาหารมีน้อยลงเป็นผลให้กองทัพญี่ปุ่นต้องนำชาวนาอูรู 1,200 คนออกจากเกาะโดยส่งไปอยู่ที่[[เกาะชุก]]ในหมู่เกาะแคโรไลน์<ref name=PacMag>{{cite journal|author=Haden, JD|year=2000|url=http://166.122.164.43/archive/2000/April/04-03-19.htm|title=Nauru: a middle ground in World War II|journal=Pacific Magazine|accessdate=16 June 2012}}</ref> การที่นาอูรูโดนกองกำลังอเมริกาปิดล้อมมาอย่างยาวนาน นำไปสู่การยอมจำนนของผู้นำกองกำลังญี่ปุ่นบนเกาะนาอูรูคือ[[ฮิซาฮาชิ โซเอดะ]]ในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1945 ต่อกองทัพออสเตรเลีย<ref>{{cite web|first1=Akira |last1= Takizawa |first2=Allan |last2=Alsleben |url= http://www.dutcheastindies.webs.com/japan_garrison.html |title=Japanese garrisons on the by-passed Pacific Islands 1944–1945 |date=1999–2000 |work=Forgotten Campaign: The Dutch East Indies Campaign 1941–1942}}</ref> การยอมจำนนของญี่ปุ่นในครั้งนี้ได้รับการยอมรับโดยพลจัตวาสตีเวนสัน ซค่งเป็นผู้แทนของพลโทเวอรนอน สตูร์ดี ผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลียที่ 1 บนเรือรบเดียมันตินา<ref>''The Times'', 14 September 1945</ref><ref>{{cite news|url=http://trove.nla.gov.au/ndp/del/article/971354|title=Nauru Occupied by Australians; Jap Garrison and Natives Starving|newspaper=The Argus|date=15 September 1945|accessdate=30 December 2010}}</ref> หลังจากการบอมแพ้ของกองกำลังญี่ปุ่น ได้มีการส่งชาวนาอูรู 737 คนที่รอดชีวิตจากเกาะชุกกลับไปยังนาอูรู โดยเรือของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษที่ชื่อว่า ''Trienza'' ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946<ref>{{cite book|author=Garrett, J|year=1996|title=Island Exiles|publisher=ABC|isbn=0-7333-0485-0|pages=176–181}}</ref> ในปี ค.ศ. 1947 สหประชาชาติได้มอบหมายให้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักรเป็นผู้ดูแลเกาะนาอูรูในฐานะดินแดนในภาวะทรัสตี<ref name=highet/> |
|||
นาอูรูได้สิทธิ์ในการปกครองตนเองในเดือนมกราคม ค.ศ. 1966 และเมื่อการประชุมร่างรัฐธรรมนูญได้ผ่านไป 2 ปีหลังจากนั้น นาอูรูจึงได้ประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1968 โดยมีประธานาธิบดี[[แฮมเมอร์ ดีโรเบิร์ต]]เป็นประธานาธิบดีคนแรก<ref name=davidson>{{cite journal|last=Davidson|first=JW|title=The republic of Nauru|journal=The Journal of Pacific History|date=January 1968|volume=3|issue=1|pages=145–150|doi=10.1080/00223346808572131}}</ref> ในปี ค.ศ. 1967 ประชาชนชาวนาอูรูได้ร่วมกันซื้อทรัพย์สินของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษ ซึ่งนาอูรูได้สิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการเหมืองแร่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1970 ภายใต้การบริหารของ[[[บริษัทนาอูรูฟอสเฟต]]<ref name=autogenerated1 /> รายได้ของนาอูรูที่ได้จากการทำเหมืองแร่ส่งผลให้ประชาชนชาวนาอูรูมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศแถมแปซิฟิก<ref>{{cite news|url=http://news.bbc.co.uk/2/hi/programmes/from_our_own_correspondent/7296832.stm|title=Nauru seeks to regain lost fortunes|author=Squires, Nick| date=15 March 2008|publisher=BBC News Online|accessdate=16 March 2008}}</ref> ในปี ค.ศ. 1989 นาอูรูได้ฟ้องออสเตรเลียต่อ[[ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ]]จากความล้มเหลวของออสเตรเลียในการแก้ไขความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟตในครั้งที่อสสเตรเลียมีอำนาจบริหารกิจการต่าง ๆ ในนาอูรู<ref name=highet>{{cite journal|author=Highet, K; Kahale, H|year=1993|url=http://www.icj-cij.org/docket/index.php?p1=3&p2=3&code=naus&case=80&k=e2|title=Certain Phosphate Lands in Nauru|journal=American Journal of International Law|volume= 87|pages=282–288}}</ref><ref>{{cite book|series=ICJ Pleadings, Oral Arguments, Documents|title=Case Concerning Certain Phosphate Lands in Nauru (Nauru v. Australia) Application: Memorial of Nauru|date=January 2004|isbn=978-92-1-070936-1|publisher=United Nations, International Court of Justice}}</ref> |
|||
== การเมือง == |
== การเมือง == |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:54, 4 เมษายน 2557
สาธารณรัฐนาอูรู Republic of Nauru (อังกฤษ) Ripublik Naoero (นาอูรู) | |
---|---|
คำขวัญ: God's Will First (พระประสงค์ของพระเจ้ามาก่อน) | |
เมืองหลวง | ยาเรน (โดยพฤตินัย) [a] |
ภาษาราชการ | ภาษาอังกฤษและภาษานาอูรู |
การปกครอง | สาธารณรัฐประชาธิปไตย |
• ประธานาธิบดี | บารอน วากา |
ประกาศเอกราช | |
• พ้นจากดินแดนในภาวะพึ่งพิงของสหประชาชาติ [b] | 31 มกราคม ค.ศ. 1968 |
พื้นที่ | |
• รวม | 21 ตารางกิโลเมตร (8.1 ตารางไมล์) (203) |
น้อยมาก | |
ประชากร | |
• ค.ศ. 2014 ประมาณ | 9,488[1] (227) |
• สำมะโนประชากร ค.ศ. 2011 | 10,084[2] |
480 ต่อตารางกิโลเมตร (1,243.2 ต่อตารางไมล์) (24) | |
จีดีพี (อำนาจซื้อ) | ค.ศ. 2005 (ประมาณ) |
• รวม | 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐ [1] (224) |
• ต่อหัว | 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ [1] (160) |
สกุลเงิน | ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) |
เขตเวลา | UTC+12 |
ขับรถด้าน | ซ้ายมือ |
รหัสโทรศัพท์ | 674 |
โดเมนบนสุด | .nr |
^ นาอูรูไม่มีเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ ที่ทำการรัฐบาลและรัฐสภาแห่งชาติตั้งอยู่ในเขตยาเรนซึ่งเป็นหน่วยการบริหารระดับล่างสุด จึงอาจถือว่ายาเรนเป็นชื่อเมืองหลวงโดยอนุโลม
^ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และสหราชอาณาจักรร่วมกันบริหาร |
นาอูรู (อังกฤษ: Nauru, ออกเสียง: /nɑːˈu:ruː/; นาอูรู: Naoero) หรือชื่ออย่างเป็นทางการ สาธารณรัฐนาอูรู (อังกฤษ: Republic of Nauru; นาอูรู: Ripublik Naoero) เป็นประเทศเกาะตั้งอยู่ในภูมิภาคไมโครนีเซีย ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ประเทศนาอูรูตั้งอยู่ใกล้กับเกาะบานาบาของประเทศคิริบาสมากที่สุด โดยอยู่ห่างกัน 300 กิโลเมตร ไปทางตะวันออก ประเทศนาอูรูเป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดในมหาสมุทรแปซิฟิกและเล็กเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากนครรัฐวาติกัน โดยมีพื้นที่ 21 ตารางกิโลเมตร (8.1 ตารางไมล์) และมีประชากรอาศัยอยู่ทั้งสิ้น 9,488 คน
ดินแดนที่เป็นประเทศนาอูรูในปัจจุบันมีชาวไมโครนีเซียและโพลินีเซียเข้ามาอยู่อาศัย ในระยะเวลาต่อมาจักรวรรดิเยอรมนีได้ผนวกดินแดนนาอูรูเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด นาอูรูกลายเป็นดินแดนในอาณัติของสันนิบาตชาติโดยมีออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักรเป็นผู้บริหารกิจการต่าง ๆ ในเกาะแห่งนี้ร่วมกัน ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จักรวรรดิญี่ปุ่นได้เข้ามายึดครองนาอูรู เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด นาอูรูกลายเป็นดินแดนในภาวะทรัสตีและได้รับเอกราชในปี ค.ศ. 1968
เกาะนาอูรูเป็นเกาะหินฟอสเฟต โดยปริมาณของหินฟอสเฟตมีอยู่เป็นจำนวนมากตามผิวดิน ทำให้สามารถทำเหมืองแบบเปิดได้โดยง่าย อย่างไรก็ตามแหล่งฟอสเฟตบางส่วนไม่สามารถสกัดออกมาใช้ได้ เนื่องจากไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนสกัดด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน[3] ในช่วงระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1960 ถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1970นาอูรูเป็นประเทศที่มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในโลก เมื่อแหล่งแร่ฟอสเฟตเริ่มหมดลง รวมไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟต ส่งผลให้ความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศลดลงไป ด้วยเหตุนี้เองส่งผลให้นาอูรูต้องหารายได้จากแหล่งอื่น โดยนาอูรูได้กลายเป็นที่หลบภาษี (Tax haven) และศูนย์กลางของการฟอกเงิน นอกจากนี้นาอูรูยังมีรายได้จากการบริจาคของประเทศออสเตรเลีย โดยแลกเปลี่ยนกับการที่นาอูรูยินยอมให้มีการจัดตั้งศูนย์กักกันของออสเตรเลียในประเทศนาอูรู
ประวัติศาสตร์
ชาวไมโครนีเซียและเมลานีเซียได้เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่ในเกาะนาอูรูอย่างน้อย 3,000 ปีขึ้นไป[4] โดยกลุ่มคนที่เข้ามาอาศัยอยู่ในนาอูรูสามารถแบ่งออกได้เป็น 12 เผ่า ซึ่งในธงชาติของประเทศนาอูรูในปัจจุบันนั้นแทนด้วยดาว 12 แฉก[5] ในธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวนาอูรูจะนับญาติทางสายมารดาเป็นหลัก ประชากรเหล่านี้นิยมเลี้ยงและเพาะพันธุ์ปลาไว้ในลากูนบูอาดา เพื่อเป็นแปล่งอาหารให้กับประชากร ในขณะที่แหล่งอาหารในท้องถิ่นอื่น ๆ ที่มีปลูกในพื้นที่เกาะคือมะพร้าวและเตยทะเล[6][7] สำหรับในส่วนของชื่อ นาอูรู นั้นมีการสันนิษฐานว่ามาจากศัพท์คำว่า Anáoero ในภาษานาอูรู ซึ่งมีความหมายว่าฉันไปที่ชายหาด[8]
จอห์น เฟิร์น นักล่าวาฬชาวอังกฤษเป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางมาถึงเกาะนาอูรูในปี ค.ศ. 1798 โดยเขาได้ตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า "Pleasant Island" นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1830 เป็นต้นมา ชาวนาอูรูได้ติดต่อกับเรือล่าวาฬของชาวตะวันตก ซึ่งเรือล่าวาฬเหล่านี้จะแสวงหาน้ำจืดจากนาอูรูเพื่อเก็บไว้ใช้ในเรือ[7] ในช่วงระหว่างนี้กะลาสีเรือที่เลิกทำงานให้กับเรือล่าวาฬเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยในนาอูรู ชาวเกาะได้เริ่มการแลกเปลี่ยนค้าขายกับชาวตะวันตกมากยิ่งขึ้น โดยชาวเกาะจะนำอาหารไปแลกเปลี่ยนกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอาวุธสงคราม[9] อาวุธสงครามที่ได้มาจากชาวตะวันตกเหล่านี้ได้มีการนำมาใช้ในสงครามระหว่างชนเผ่าในนาอูรูในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1878 - 1888[10]
ในปี ค.ศ. 1888 เยอรมนีได้ผนวกเกาะนาอูรูเขาเป็นส่วนหนึ่งของหมู่เกาะมาร์แชลล์ในอารักขา[11] การเข้ามาของเยอรมนีในครั้งนี้ช่วยให้สงครามกลางเมืองระหว่างชนเผ่าต่างๆสิ้นสุดลง นอกจากนี้ยังมีการตั้งตำแหน่งพระมหากษัตริย์ในการปกครองเกาะแห่งนี้ โดยพระมหากษัตริย์ของนาอูรูที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือพระเจ้าโอเวอีดา คณะมิชชันนารีสอนศาสนาเริ่มเข้ามาในปี ค.ศ. 1888 โดยเป็นกลุ่มมิชชันนารีที่เดินทางมาจากหมู่เกาะกิลเบิร์ต[12][13] ชาวเยอรมีนที่เข้ามาอาศัยในนาอูรูจะเรียกนาอูรูว่า Nawodo หรือ Onawero[14] จักรวรรดิเยอรมันเข้าปกครองนาอูรูอยู่ราว ๆ 3 ทศวรรษ โดยโรเบิร์ต ราช พ่อค้าชาวเยอรมันที่แต่งงานกับผู้หฯิงชาวนาอูรูเป็นผู้บริหารของนาอูรูคนแรกในปี ค.ศ. 1890[12]
ในปี ค.ศ. 1900 อัลเบิร์ต ฟูลเลอร์ เอลลิส นักสำรวจแร่ได้ค้นพบแหล่งแร่ฟอสเฟตในนาอูรู[11] จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1906 บริษัทแปซิฟิกฟอสเฟตได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลของเยอรมนีในการเริ่มต้นทำกิจกรรมเหมืองแร่ฟอสเฟต โดยเริ่มการส่งออกฟอสเฟตไปขายยังต่างประเทศในปี ค.ศ. 1907[15] เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1ในปี ค.ศ. 1914 กองทัพออสเตรเลียได้ส่งกองกำลังเข้ายึดครองนาอูรู จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1919 ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักรได้ลงนามในข้อตกลงนาอูรู ซึ่งมีผลให้เกิดการสถาปนาคณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษ (British Phosphate Commission - BPC) โดยคณะกรรมาธิการนี้มีสิทธิ์ในการประกอบกิจการเหมืองฟอสเฟตในนาอูรู[16]
ในปี ค.ศ. 1920 เกิดการระบาดของไวรัสไข้หวัดใหญ่ ส่งผลให้ชาวนาอูรูร้อยละ 18 ล้มตายจากการระบาดในครั้งนี้[17] หลังจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ 3 ปี สันนิบาตชาติได้ให้อำนาจออสเตรเลีย สหราชอาณาจักรและนิวซีแลนด์เป็นผู้ดูแลนาอูรูในฐานะดินแดนในอาณัติ[18] ในวันที่ 6 และ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1940 เรือเยอรมันสองลำได้จมเรือของฝ่ายสัมพันธมิตร 5 ลำบริเวณใกล้กับนาอูรู นอกจากการจมเรือแล้ว เรือเยอรมันทั้งสองลำได้สร้างความเสียหายให้กับบริเวณเหมืองแร่และสายพานลำเลียงฟอสเฟตอีกด้วย[19][20]
จักรวรรดิญี่ปุ่นได้ส่งกองกำลังเข้ายึดครองนาอูรู ในวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1942[20] หลังจากนั้นได้เกณฑ์แรงงานชาวญี่ปุ่น ชาวเกาหลี ชาวนาอูรูและชาวกิลเบิร์ตให้สร้างสนามบิน โดยในระยะเวลาต่อมา กองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาได้ทิ้งระเบิดสนามบินนี้ครั้งแรกในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1943 เพื่อตัดการสนับสนุนเสบียงอาหารที่จะส่งไปยังนาอูรู การที่เสบียงอาหารมีน้อยลงเป็นผลให้กองทัพญี่ปุ่นต้องนำชาวนาอูรู 1,200 คนออกจากเกาะโดยส่งไปอยู่ที่เกาะชุกในหมู่เกาะแคโรไลน์[21] การที่นาอูรูโดนกองกำลังอเมริกาปิดล้อมมาอย่างยาวนาน นำไปสู่การยอมจำนนของผู้นำกองกำลังญี่ปุ่นบนเกาะนาอูรูคือฮิซาฮาชิ โซเอดะในวันที่ 13 กันยายน ค.ศ. 1945 ต่อกองทัพออสเตรเลีย[22] การยอมจำนนของญี่ปุ่นในครั้งนี้ได้รับการยอมรับโดยพลจัตวาสตีเวนสัน ซค่งเป็นผู้แทนของพลโทเวอรนอน สตูร์ดี ผู้บัญชาการกองทัพออสเตรเลียที่ 1 บนเรือรบเดียมันตินา[23][24] หลังจากการบอมแพ้ของกองกำลังญี่ปุ่น ได้มีการส่งชาวนาอูรู 737 คนที่รอดชีวิตจากเกาะชุกกลับไปยังนาอูรู โดยเรือของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษที่ชื่อว่า Trienza ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1946[25] ในปี ค.ศ. 1947 สหประชาชาติได้มอบหมายให้ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์และสหราชอาณาจักรเป็นผู้ดูแลเกาะนาอูรูในฐานะดินแดนในภาวะทรัสตี[26]
นาอูรูได้สิทธิ์ในการปกครองตนเองในเดือนมกราคม ค.ศ. 1966 และเมื่อการประชุมร่างรัฐธรรมนูญได้ผ่านไป 2 ปีหลังจากนั้น นาอูรูจึงได้ประกาศเอกราชในปี ค.ศ. 1968 โดยมีประธานาธิบดีแฮมเมอร์ ดีโรเบิร์ตเป็นประธานาธิบดีคนแรก[27] ในปี ค.ศ. 1967 ประชาชนชาวนาอูรูได้ร่วมกันซื้อทรัพย์สินของคณะกรรมาธิการฟอสเฟตของอังกฤษ ซึ่งนาอูรูได้สิทธิ์ในการบริหารจัดการกิจการเหมืองแร่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1970 ภายใต้การบริหารของ[[[บริษัทนาอูรูฟอสเฟต]][15] รายได้ของนาอูรูที่ได้จากการทำเหมืองแร่ส่งผลให้ประชาชนชาวนาอูรูมีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในกลุ่มประเทศแถมแปซิฟิก[28] ในปี ค.ศ. 1989 นาอูรูได้ฟ้องออสเตรเลียต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจากความล้มเหลวของออสเตรเลียในการแก้ไขความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการทำเหมืองแร่ฟอสเฟตในครั้งที่อสสเตรเลียมีอำนาจบริหารกิจการต่าง ๆ ในนาอูรู[26][29]
การเมือง
นาอูรูเป็นสาธารณรัฐและใช้ระบอบรัฐสภา มีประธานาธิบดีเป็นประมุขแห่งรัฐและหัวหน้ารัฐบาล รัฐสภาของนาอูรูประกอบด้วยสมาชิก 18 คน มาจากการเลือกตั้งทุกสามปี นาอูรูไม่มีโครงสร้างพรรคการเมืองอย่างเข้มแข็งเท่าใดนัก โดยตัวแทนส่วนใหญ่เป็นผู้สมัครอิสระ ประธานาธิบดีจะได้รับการแต่งตั้งจากสมาชิกรัฐสภา
หลังจากการประกาศเอกราช นาอูรูเข้าเป็นสมาชิกพิเศษของเครือจักรภพ และเป็นสมาชิกเต็มในปีพ.ศ. 2543 นาอูรูได้เข้าเป็นสมาชิกธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชียในปีพ.ศ. 2534 และสหประชาชาติในปีพ.ศ. 2542
การแบ่งเขตการปกครอง
นาอูรูมี 14 เขต:
- เขตเดนีโกโมดู (Denigomodu)
- เขตนีบ็อก (Nibok)
- เขตบูอาดา (Buada)
- เขตโบเอ (Boe)
- เขตบาอีตี (Baiti)
- เขตเมเนง (Meneng)
- เขตยาเรน (Yaren)
- เขตอานาบาร์ (Anabar)
- เขตอานีบาเร (Anibare)
- เขตอาเนตัน (Anetan)
- เขตอูอาโบเอ (Uaboe)
- เขตอีจูว์ (Ijuw)
- เขตเอวา (Ewa)
- เขตอาอีโว (Aiwo)
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ภูมิศาสตร์
นาอูรูเป็นเกาะทรงรีในมหาสมุทรแปซิฟิก ห่างจากเส้นศูนย์สูตรมาทางตอนใต้ 42 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยแนวปะการัง ซึ่งทำให้ไม่สามารถสร้างท่าเรือได้ นาอูรูเป็นหนึ่งในสามเกาะหินฟอสเฟตใหญ่ในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยอีกสองแห่งคือเกาะบานาบาของประเทศคิริบาส และมากาเทียของเฟรนช์โปลินีเซีย อย่างไรก็ตาม ฟอสเฟตของประเทศนั้นถูกนำมาใช้เกือบหมดแล้ว การทำเหมืองฟอสเฟตในที่ราบสูงตอนกลาง ทำให้พื้นที่กลายเป็นที่ไร้พืช เต็มไปด้วยหินปูนขรุขระที่มียอดสูงสุด 15 เมตร การทำเหมืองแร่เป็นเวลาหนึ่งศตวรรษ ได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ถึงสี่ในห้า นอกจากนี้ยังสร้างความเสียหายพื้นที่เขตเศรษฐกิจจำเพาะโดยรอบ โดยประมาณการว่า 40% ของสัตว์น้ำตายจากของเหลวที่ปล่อยออกมา ซึ่งเต็มไปด้วยฟอสเฟต[30]
เศรษฐกิจ
นาอูรูมีแร่ฟอสเฟตอยู่มาก และรายได้แทบทั้งหมดของประเทศมาจากอุตสาหกรรมการขุดและส่งออกแร่ฟอสเฟต ซึ่งมีรายได้ดีจนทำให้ชาวนาอูรู มีรายได้เฉลี่ยต่อหัวสูงเป็นอันดับต้นในหมู่ประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกด้วยกัน
ประชากร
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
วัฒนธรรม
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สัตว์ป่าและพันธุ์พืช
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อ้างอิง
- ↑ 1.0 1.1 1.2 Central Intelligence Agency (2014). "Nauru". The World Factbook. สืบค้นเมื่อ 1 April 2014.
- ↑ "The population of the Nauruan districts". citypopulation. สืบค้นเมื่อ 1 April 2014.
- ↑ Hogan, C Michael (2011). "Phosphate". Encyclopedia of Earth. National Council for Science and the Environment. สืบค้นเมื่อ 31 March 2013.
- ↑ Nauru Department of Economic Development and Environment (2003). "First National Report To the United Nations Convention to Combat Desertification" (PDF). UNCCD. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2011-07-22. สืบค้นเมื่อ 25 June 2012.
- ↑ Whyte, Brendan (2007). "On Cartographic Vexillology". Cartographica: The International Journal for Geographic Information and Geovisualization. 42 (3): 251–262. doi:10.3138/carto.42.3.251.
- ↑ Pollock, Nancy J (1995). "5: Social Fattening Patterns in the Pacific—the Positive Side of Obesity. A Nauru Case Study". ใน De Garine, I (บ.ก.). Social Aspects of Obesity. Routledge. pp. 87–111.
- ↑ 7.0 7.1 Spennemann, Dirk HR (January 2002). "Traditional milkfish aquaculture in Nauru". Aquaculture International. 10 (6): 551–562. doi:10.1023/A:1023900601000.
- ↑ West, Barbara A (2010). "Nauruans: nationality". Encyclopedia of the Peoples of Asia and Oceania. Infobase Publishing. pp. 578–580. ISBN 978-1-4381-1913-7.
- ↑ Marshall, Mac (January 1976). "Holy and unholy spirits: The Effects of Missionization on Alcohol Use in Eastern Micronesia". Journal of Pacific History. 11 (3): 135–166. doi:10.1080/00223347608572299.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ Reyes, Ramon E, Jr (1996). "Nauru v. Australia". New York Law School Journal of International and Comparative Law. 16 (1–2).
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ 11.0 11.1 Firth, Stewart (January 1978). "German labour policy in Nauru and Angaur, 1906–1914". The Journal of Pacific History. 13 (1): 36–52. doi:10.1080/00223347808572337.
- ↑ 12.0 12.1 Hill, Robert A (ed) (1986). "2: Progress Comes to Nauru". The Marcus Garvey and Universal Negro Improvement Association Papers. Vol. 5. University of California Press. ISBN 978-0-520-05817-0.
{{cite book}}
:|first=
มีชื่อเรียกทั่วไป (help) - ↑ Ellis, AF (1935). Ocean Island and Nauru – their story. Angus and Robertson Limited. pp. 29–39.
- ↑ Hartleben, A (1895). Deutsche Rundschau für Geographie und Statistik. p. 429.
- ↑ 15.0 15.1 Manner, HI (May 1985). "Plant succession after phosphate mining on Nauru". Australian Geographer. 16 (3): 185–195. doi:10.1080/00049188508702872.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|coauthors=
ถูกละเว้น แนะนำ (|author=
) (help) - ↑ Gowdy, John M; McDaniel, Carl N (May 1999). "The Physical Destruction of Nauru". Land Economics. 75 (2): 333–338.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Shlomowitz, R (November 1990). "Differential mortality of Asians and Pacific Islanders in the Pacific labour trade". Journal of the Australian Population Association. 7 (2): 116–127. PMID 12343016.
- ↑ Hudson, WJ (April 1965). "Australia's experience as a mandatory power". Australian Outlook. 19 (1): 35–46. doi:10.1080/10357716508444191.
- ↑ Waters, SD (2008). German raiders in the Pacific (3rd ed.). Merriam Press. p. 39. ISBN 978-1-4357-5760-8.
- ↑ 20.0 20.1 Bogart, Charles H (November 2008). "Death off Nauru" (PDF). CDSG Newsletter: 8–9. สืบค้นเมื่อ 16 June 2012.
- ↑ Haden, JD (2000). "Nauru: a middle ground in World War II". Pacific Magazine. สืบค้นเมื่อ 16 June 2012.
- ↑ Takizawa, Akira; Alsleben, Allan (1999–2000). "Japanese garrisons on the by-passed Pacific Islands 1944–1945". Forgotten Campaign: The Dutch East Indies Campaign 1941–1942.
- ↑ The Times, 14 September 1945
- ↑ "Nauru Occupied by Australians; Jap Garrison and Natives Starving". The Argus. 15 September 1945. สืบค้นเมื่อ 30 December 2010.
- ↑ Garrett, J (1996). Island Exiles. ABC. pp. 176–181. ISBN 0-7333-0485-0.
- ↑ 26.0 26.1 Highet, K; Kahale, H (1993). "Certain Phosphate Lands in Nauru". American Journal of International Law. 87: 282–288.
{{cite journal}}
: CS1 maint: multiple names: authors list (ลิงก์) - ↑ Davidson, JW (January 1968). "The republic of Nauru". The Journal of Pacific History. 3 (1): 145–150. doi:10.1080/00223346808572131.
- ↑ Squires, Nick (15 March 2008). "Nauru seeks to regain lost fortunes". BBC News Online. สืบค้นเมื่อ 16 March 2008.
- ↑ Case Concerning Certain Phosphate Lands in Nauru (Nauru v. Australia) Application: Memorial of Nauru. ICJ Pleadings, Oral Arguments, Documents. United Nations, International Court of Justice. January 2004. ISBN 978-92-1-070936-1.
- ↑ http://unfccc.int/resource/docs/natc/naunc1.pdf
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link FA
แม่แบบ:Link GA
แม่แบบ:Link GA
แม่แบบ:Link GA