แผนการเล่น (ฟุตบอล)
แผนการเล่น (อังกฤษ: formation) ในกีฬาฟุตบอล จะบ่งบอกถึงการที่ผู้เล่นในทีมจะยืนตำแหน่งใดในสนาม ซึ่งฟุตบอลเป็นเกมที่มีความยืดหยุ่นและเร็ว (ยกเว้นผู้รักษาประตู) ผู้เล่นอาจจะปรับเปลี่ยนตำแหน่งได้ในระหว่างการแข่งขัน เช่นในรักบี้ ผู้เล่นจะไม่ยืนเป็นแถวในตำแหน่งเดิมตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การกำหนดตำแหน่งมีเพื่ออธิบายถึงผู้เล่นในตำแหน่งนั้นว่าจะเน้นการรุกหรือรับ หรือการเล่นในด้านใดด้านหนึ่งของสนาม
แผนการเล่นจะอธิบายด้วยตัวเลขจำนวน 3–4 ตัว (หรืออาจจะมากกว่านั้นในแผนการเล่นฟุตบอลสมัยใหม่) โดยตัวเลขจะแสดงตั้งแต่แถวของผู้เล่นในตำแหน่งเกมรับไปจนถึงเกมรุก เช่น 4–5–1 แผนการเล่นนี้จะมีกองหลัง 4 คน, กองกลาง 5 คน และกองหน้า 1 คน โดยในแต่ละช่วงเวลาของการแข่งขันอาจจะใช้แผนการเล่นที่แตกต่างกันไปตามกลยุทธ์และสถานการณ์ของทีม
การเลือกแผนการเล่นจะเลือกโดยผู้จัดการทีมหรือหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีม ทักษะและวินัยของผู้เล่นเป็นสิ่งที่สำคัญในการเล่นฟุตบอลอาชีพ แผนการเล่นอาจจะถูกเลือกตามผู้เล่นที่มีอยู่ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ถนัด หรือบางแผนการเล่นจะใช้เพื่อกำจัดจุดอ่อนหรือเพิ่มจุดแข็งของทีมด้วยทักษะของผู้เล่นแต่ละคน
ในสมัยก่อน ทีมจะใช้ผู้เล่นที่เล่นเกมรุกมากกว่า แต่ในยุคปัจจุบัน แทบทุกแผนการเล่นจะมีผู้เล่นเกมรับมากกว่าเกมรุก
ชื่อ
[แก้]แผนการเล่นจะอธิบายถึงประเภทของผู้เล่น (ไม่รวมผู้รักษาประตู) เรียงตามตำแหน่งจากเกมรับไปยังเกมรุก เช่น 4–4–2 หมายถึงมีกองหลัง 4 คน, กองกลาง 4 คน และกองหน้า 2 คน
ในอดีต หากใช้แผนการเล่นเดียวกัน อาจจะยืนตำแหน่งไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะมีผู้เล่นด้านกว้างหรือยืนตำแหน่งสูงต่ำไม่เท่ากัน แต่ในยุคปัจจุบันนั้นมีวิวัฒนาการที่มากขึ้นในการแสดงแผนการเล่นแบบใหม่ ที่จะแสดงแผนการเล่นในรูปแบบตัวเลข 4–5 ตัว เช่น 4–2–1–3 โดยกองกลางจะถูกแบ่งเป็นกองกลางตัวรับ 2 คน และตัวรุกอีก 1 คน ซึ่งแผนนี้อาจจะคล้างคลึงกันกับ 4–3–3 หรือแผนการเล่นที่แสดงตัวเลข 5 ตัว เช่น 4–1–2–1–2 โดยกองกลางจะแบ่งเป็นกองกลางตัวรับ 1 คน, ตัวกลาง 2 คน และตัวรุก 1 คน ซึ่งอาจจะคล้ายคลึงกันกับ 4–4–2 (หรือ 4–4–2 ไดมอนด์)
ระบบเลขแผนการเล่นนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่มีการใช้แผนการเล่น 4–2–4 ในยุค 1950
การเลือกใช้
[แก้]การเลือกใช้แผนการเล่นส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผู้เล่นที่มีอยู่ในทีม
- แผนการเล่นแบบแคบ (อังกฤษ: Narrow formation) เหมาะกับทีมที่มีกองกลางตัวกลางที่ดีหรือทีมที่บุกจากกลางสนามได้ดี จะใช้แผนการเล่นแบบแคบ เช่น 4–1–2–1–2 หรือ 4–3–2–1 โดยจะใช้ผู้เล่นกองกลาง 4–5 คน อย่างไรก็ดี อาจจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งฟุลแบ็ก ซึ่งแม้ว่าแผนการเล่นจะแสดงถึงกองหลัง 4 คน แต่อาจจะช่วยในการเติมเกมจากด้านกว้างของสนามเมื่อทีมกำลังทำเกมบุกได้
- แผนการเล่นแบบกว้าง (อังกฤษ: Wide formation) เหมาะกับทีมที่มีกองหน้าและปีกที่ดี จะใช้แผนการเล่นแบบกว้าง เช่น 4–2–3–1, 3–5–2 และ 4–3–3 โดยกองหน้าและปีกจะยืนอยู่ในตำแหน่งสูง ซึ่งแผนการเล่นแบบกว้างจะทำให้การเล่นมีความหลากหลายมากขึ้นและมีผู้เล่นยืนคุมพื้นที่อยู่รอบสนาม
ทีมอาจจะทำการเปลี่ยนแผนการเล่นระหว่างเกมเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป:
- เปลี่ยนเป็นเกมบุก เมื่อทีมกำลังถูกนำอยู่ อาจจะทำการเปลี่ยนผู้เล่นกองหลังหรือกองกลางออก แล้วเปลี่ยนกองหน้าลงมาเล่นแทน เช่น เปลี่ยนจาก 4–5–1 เป็น 4–4–2, 3–5–2 เป็น 3–4–3 หรือ 5–3–2 เป็น 4–3–3.
- เปลี่ยนเป็นตั้งรับ เมื่อทีมกำลังนำอยู่หรือต้องการที่จะป้องกันประตู ผู้จัดการทีมอาจจะเลือกที่จะเปลี่ยนผู้เล่นในเกมรับด้วยการเปลี่ยนกองหน้าออก หรือเพิ่มตำแหน่งในกองกลาง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการคุมพื้นที่ เช่น เปลี่ยนจาก 4–4–2 เป็น 5–3–2, 3–5–2 เป็น 4–5–1 หรือ 4–4–2 เป็น 5–4–1
แผนการเล่นของทีมอาจจะไม่ใช่แผนการเล่นจริงในสนาม เช่น ทีมที่ใช้แผนการเล่น 4–3–3 สามารถเปลี่ยนเป็น 4–5–1 ได้อย่างรวดเร็วหากผู้จัดการทีมต้องการผู้เล่นไปช่วยในเกมรับมากขึ้น
แผนการเล่นในอดีต
[แก้]ในการแข่งขันฟุตบอลยุคศตวรรษที่ 19 ไม่มีการเล่นฟุตบอลแบบตั้งรับ ทุกการแข่งขันมีเพียงการบุกใส่กันเท่านั้น
ในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1872 การแข่งขันฟุตบอลกระชับมิตรทีมชาตินัดแรก ระหว่างสกอตแลนด์กับอังกฤษ โดยทีมชาติอังกฤษเล่นในแผนการเล่นกองหน้า 7 หรือ 8 คน ในแผนการเล่น 1–1–8 หรือ 1–2–7 ส่วนสกอตแลนด์เล่นในแผนการเล่น 2–2–6 สำหรับอังกฤษนั้นมีกองหลังเพียง 1 คน คอยเก็บบอลที่ทำเสีย ส่วน 1 หรือ 2 คน คอยวิ่งช่วยในตำแหน่งกองกลางและเปิดบอลไปด้านหน้า ซึ่งรูปแบบการเล่นของอังกฤษนั้นใช้เพียงความสามารถส่วนตัวของผู้เล่น ซึ่งมีผู้เล่นที่มีทักษะการเลี้ยงบอลที่ดี ผู้เล่นจะทำเพียงเปิดบอลยาวไปด้านหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือเปิดไปให้ผู้เล่นคนอื่นคอยวิ่งไล่บอล ส่วนสกอตแลนด์ใช้การส่งบอลระหว่างผู้เล่นเป็นคู่ ๆ แต่ในท้ายที่สุดแม้ว่าจะใช้ตำแหน่งกองหน้ามากเพียงใด เกมก็จบลงที่ผลเสมอกัน 0–0
แผนการเล่นดั้งเดิม
[แก้]2–3–5 (พีระมิด)
[แก้]เป็นแผนการเล่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในอดีต ซึ่งมีการบันทึกไว้ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1880[1] อย่างไรก็ดี เคยมีการเผยแพร่โดยคักซ์ตันในปี ค.ศ. 1960 ตามฉบับที่ 2 หน้าที่ 432 ความว่า "เร็กซ์แฮม ... ชนะเลิศครั้งแรกในเวลส์คัพ ปี ค.ศ. 1877 ... เป็นครั้งแรกในเวลส์และอาจจะเป็นครั้งแรกในสหราชอาณาจักร ที่มีทีมเล่นด้วยกองกลาง 3 คน และกองหน้า 5 คน ..."
แผนการเล่น 2–3–5 หรือรู้จักกันในชื่อ "พีระมิด" เป็นแผนการเล่นที่ได้รับการอ้างอิงในภายหลัง ในยุค 1890 เคยเป็นแผนการเล่นพื้นฐานในประเทศอังกฤษและต่อจากนั้นได้ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเคยใช้ในทีมชั้นนำจำนวนมากในยุค 1930
ในเริ่มแรก ความสมดุลระหว่างเกมรุกกับเกมรับได้ได้รับการค้นพบ โดยมีกองหลัง 2 คน (ฟุลแบ็ก) คอยคุมพื้นที่กองหน้าฝ่ายตรงข้าม (ส่วนใหญ่ยุคนั้นใช้กองหน้า 3 คน) ส่วนกองกลาง (ฮาล์ฟแบ็ก) จะคอยสอดแทรกในช่องว่าง (หรือคอยประกบปีกและกองหน้าด้านในของฝ่ายตรงข้าม)
ฮาล์ฟแบ็กตัวกลางเป็นตำแหน่งสำคัญที่ช่วยควบคุมเกมระหว่างเกมรุกของทีมกับการประกอบกองหน้าตัวกลางของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเป็นผู้เล่นที่มีความอันตรายมากที่สุด
ทีมชาติอุรุกวัยเคยใช้แผนการเล่นนี้ในการได้แชมป์โอลิมปิกฤดูร้อนปี ค.ศ. 1924 และ ค.ศ. 1928 และฟุตบอลโลก 1930 อีกด้วย
จึงเป็นรูปแบบในการให้หมายเลขเสื้อของผู้เล่นเรียงจากกองหลังไปหน้าและจากซ้ายไปขวา[2]
โรงเรียนดานูเบียน
[แก้]โรงเรียนฟุตบอลดานูเบียน ได้ปรับการเล่นของแผน 2–3–5 โดยใช้กองหน้าตัวกลางที่ถอยลงมามากขึ้น จะเห็นการเล่นแบบนี้ได้ในทีมในประเทศออสเตรีย, สาธารณรัฐเช็ก และฮังการี ในยุค 1920 โดยประสบผลสำเร็จเป้นอย่างมากกับออสเตรียในยุค 1930 ซึ่งจะใช้การส่งบอลสั้นและทักษะส่วนตัว โรงเรียนดานูเบียนได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายจาก อูโก เมเซิล และ จิมมี โอแกน หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวอังกฤษที่ได้เดินทางไปออสเตรียในช่วงนั้น
เมโทโด (2–3–2–3)
[แก้]แผนการเล่นแบบเมโทโดได้ได้รับการคิดค้นโดยวิตโตรีโอ ปอซโซ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติอิตาลี ในยุค 1930[3] ซึ่งมีการดัดแปลงมาจากแผนการเล่นของโรงเรียนดานูเบียน โดยจะเล่นในแผนการเล่น 2–3–5 ปอซโซได้ใช้ฮาล์ฟแบ็กคอยช่วยดึงตัวประกบผู้เล่นกองกลางฝ่ายตรงข้าม กลายเป็นแผนการเล่น 2–3–2–3 ช่วยสร้างเกมรับที่แข็งแกร่งมากกว่าแผนการเล่นเดิม หรือที่เรียกว่าการตั้งรับรอสวนกลับ (Counter-attacks) ทำให้ทีมชาติอิตาลีได้แชมป์โลกในปีค.ศ. 1934 และ ค.ศ. 1938 ด้วยแผนการเล่นนี้ ซึ่งในยุคปัจจุบันอาจจะได้เห็นแผนการเล่นนี้ที่นำมาปรับปรุงใหม่ของแป็ป กวาร์ดิออลา ที่ใช้กับบาร์เซโลนาและไบเอิร์นมิวนิก[4] และแผนการเล่นนี้จะเห็นได้ในฟุตบอลโต๊ะ ที่จะใช้กองหลัง 2 คน, กองกลาง 5 คน และกองหน้า 3 คน (ซึ่งผู้เล่นจะถูกติดตั้งมากับไม้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้)
ดับเบิลยูเอ็ม
[แก้]แผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็ม (WM) ตั้งชื่อตามการยืนตำแหน่งของผู้เล่นในสนาม ได้รับการคิดค้นในช่วงกลางยุค 1920 โดยเฮอร์เบิร์ต แชปแมน ผู้จัดการทีมอาร์เซนอล เพื่อที่จะรับมือกับการใช้กฎการล้ำหน้า ในปี ค.ศ. 1925 โดยการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ลดผู้เล่นในเกมรุกลง สิ่งที่สำคัญและเพิ่มขึ้นมาในระบบนี้คือการใช้กองหลังตัวกลางคอยหยุดกองหน้าของคู่ต่อสู้ และมีความสมดุลมากขึ้นระหว่างเกมรุกและเกมรับ ซึ่งแผนการเล่นแบบนี้เคยประสบความสำเร็จในช่วงปลายยุค 1930 โดยสโมสรในประเทศอังกฤษได้นำแผนนี้มาใช้เป็นอย่างมาก ในอดีตแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็ม อาจแสดงในรูปแบบ 3–2–5 หรือ 3–4–3 แต่รูปแบบแผนการเล่นที่แท้จริงคือ 3–2–2–3 โดยช่องว่างระหว่างวิงฮาล์ฟ 2 คน และกองหน้า 2 คน ทำให้อาร์เซนอลสามารถเล่นเกมรับแล้วสวนกลับได้อย่างมีประสิทธิภาพ แผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็มได้รับการปรับใช้ในหลายทีมแต่ก็ยังไม่สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่ากับแชปแมน ซึ่งมีผู้เล่นอย่างอเล็กซ์ เจมส์ ที่เป็นหนึ่งในกองกลางตัวสร้างสรรค์เกมในยุคบุกเบิกของโลกฟุตบอล ต่อมาในปี ค.ศ. 2016 ปาทริก วีเยรา อดีตผู้เล่นอาร์เซนอล ได้นำแผนการเล่นนี้มาใช้กับนิวยอร์กซิตี[5]
ดับเบิลยูดับเบิลยู
[แก้]แผนการเล่นแบบดับเบิลยูดับเบิลยู (WW) ได้รับการพัฒนามาจากแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็ม (WM) ได้รับการคิดค้นโดยมาร์ตอน บูโควี หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวฮังการี ที่ปรับเปลี่ยนจากแผนการเล่น 3–2–5 (ดับเบิลยูเอ็ม) เป็น 2–3–2–3 ที่กลับหัวตัว "M" ลง[6] ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนผู้เล่นกองหน้าตัวกลาง โดยใช้กองกลางสร้างสรรค์เกมแทน ส่วนกองกลางจะเน้นเล่นเกมรับมากกว่า ทำให้เกิดเป็นแผนการเล่น 2–3–1–4 และเปลี่ยนเป็น 2–3–2–3 เมื่อทีมเสียการครองบอล ซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างแผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็มและ 4–2–4 แผนการเล่นนี้เคยประสบความสำเร็จกับฮังการี ในช่วงต้นยุค 1950
3–3–4
[แก้]แผนการเล่น 3–3–4 มีความคล้ายคลึงกับแผนการเล่นแบบดับเบิลยูดับเบิลยู (WW) ด้วยการมีกองหน้าตัวในแทน ยืนอยู่ด้านหน้ากองกลางระหว่างวิงฮาล์ฟทั้งสองคน แผนการเล่นนี้ได้นำมาใช้ในช่วงยุค 1950 และต้นยุค 1960 แผนการเล่นนี้เคยประสบความสำเร็จกับทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ใช้ แดนนี บลันช์ฟลาวเออร์, จอห์น ไวท์ และ เดฟ แมคเคย์ เล่นในตำแหน่งกองกลาง และโปร์ตู เคยได้แชมป์ปรีไมราลีกา ในฤดูกาล 2005–06 ด้วยแผนการเล่นนี้
4–2–4
[แก้]แผนการเล่น 4–2–4 เป็นส่วนผสมระหว่างเกมรุกและเกมรับที่แข็งแกร่ง และสามารถใช้เมื่อฝ่ายตรงข้ามใช้แผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ็ม คาดว่ามีการพัฒนามาจากแผนการเล่นแบบดับเบิลยูดับเบิลยู โดยแผนการเล่น 4–2–4 เป็นแผนการเล่นแรกที่ใช้ระบบอธิบายแผนการเล่นด้วยตัวเลข
การพัฒนาแผนการเล่น 4–2–4 ได้รับการคิดค้นโดยมาร์ตอน บูโควี โดยคาดว่าอาจจะมาจากฟลาวีอู กอสตา หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติบราซิลในต้นยุค 1950 หรือเบลา กัตต์มัน หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวฮังการี ซึ่งต่อมาได้รับการพัฒนาขึ้นโดยชาวบราซิลที่ใช้แผนการเล่นนี้อย่างแพร่หลาย[6][7][8]
กอสตา ได้เผยแพร่ความคิดของเขาในหนังสือพิมพ์บราซิลที่มีชื่อว่า "อูครูเซรู" ถึงระบบการเล่นแบบแนวทแยงนี้ โดยเป็นแหล่งอ้างอิงถึงแผนการเล่นที่เคยใช้ในบทความที่เคยปรากฏนี้[7]
กัตต์มัน ได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศบราซิลในภายหลัง ช่วงยุค 1950 เพื่อช่วยพัฒนาแผนการเล่นจากประสบกาณ์ของเขา
แผนการเล่น 4–2–4 ใช้ผู้เล่นที่มีทักษะและความฟิตมากขึ้น เพื่อใช้การตั้งรับ 6 คน และการรุก 6 คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งกองกลางจะต้องช่วยทั้งเกมรับและรุก ส่วนผู้เล่นกองหลังทั้ง 4 คนอาจจะช่วยบีบเข้ามาตรงกลางเพื่อช่วยให้เกมรับแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
กองกลางที่มีเพียง 2 คน อาจจะทำให้มีช่องว่างที่เยอะ นอกจากจะต้องคอยวิ่งแย่งบอลแล้ว จะต้องครองบอล, ส่งบอล และวิ่งเพื่อทำเกมรุก ดังนั้นแผนการเล่นนี้จึงต้องใช้ผู้เล่นที่มีทักษะแตกต่างกันไป และมีการใช้กลยุทธ์อย่างสูง เนื่องจากกองกลางทั้ง 2 คนจะต้องคอยช่วยแก้ปัญหาเกมรับ แต่แผนการเล่นนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ระหว่างการแข่งขัน
แผนการเล่น 4–2–4 ประสบความสำเร็จกับ ปัลเมรัส และ ซังตูซ สโมสรในประเทศบราซิล อีกทั้งยังเคยใช้กับทีมชาติบราซิล ช่วยให้พวกเขาได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1958 และฟุตบอลโลก 1970 ซึ่งมีเปเล่ และมารีอู ซากายู เป็นผู้เล่นในปี ค.ศ. 1958 และเป็นผู้ฝึกสอนในปี ค.ศ. 1970 ทำให้แผนการเล่นนี้ได้แพร่หลายไปทั่วโลกจากการประสบความสำเร็จของทีมชาติบราซิล ซึ่งเซลติก ภายใต้การคุมทีมของจอห์น สไตน์ ใช้แผนการเล่นนี้ทำให้ทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันยูโรเปียนคัพ 1969–70
แผนการเล่นสมัยใหม่
[แก้]
|
แผนการเล่นดังต่อไปนี้ใช้ในฟุตบอลสมัยใหม่ รูปแบบจะมีความยืดหยุ่นตามความต้องการของทีมตามผู้เล่นที่มีอยู่ และตำแหน่งของผู้เล่นเปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกันกับการแทนกองหลังแบบดั้งเดิมด้วยสวีปเปอร์
4–4–2
[แก้]แผนการเล่นนี้เป็นแผนการเล่นทั่วไปในฟุตบอลยุค 1990 และต้นยุค 2000 อีกทั้งเป็นที่มาของนิตยสารชื่อดัง โฟร์โฟร์ทู โดยผู้เล่นกองกลางจะต้องช่วยในเกมรับและรุก โดยอาจจะมีกองกลางตัวกลาง 1 คนที่คอยเล่นเกมรุกและช่วยเหลือกองหน้า ส่วนที่เหลือจะคอยคุมเกมและป้องกันกองหลัง ส่วนผู้เล่นกองกลางด้านกว้างทั้ง 2 คนจะวิ่งไปยังด้านกว้างและคอยเปิดบอลเข้าสู่พื้นที่เขตโทษ หรือช่วยเหลือฟุลแบ็ก[9][10] ในการแข่งขันฟุตบอลยุโรป มีการใช้แผนการเล่น 4–4–2 เช่น เอซี มิลาน ที่คุมทีมโดยอาร์รีโก ซัคคี และฟาบีโอ กาเปลโล ซึ่งได้แชมป์ยูโรเปียนคัพ 3 สมัย, อินเตอร์คอนติเนนทัลคัพ 2 สมัย และยูฟ่าซูเปอร์คัพ 3 สมัย ระหว่างปี ค.ศ. 1988 ถึง ค.ศ. 1995 ทำให้เป็นที่นิยมในประเทศอิตาลีตั้งแต่ช่วงปลายยุค 1980 ถึงต้นยุค 1990
ในปัจจุบันแผนการเล่น 4–4–2 ได้รับการพัฒนามาอยู่ในรูปแบบของแผนการเล่น 4–2–3–1[11] ในปี ค.ศ. 2010 ไม่มีทีมแชมป์ในลีกของประเทศสเปน, ประเทศอังกฤษ และประเทศอิตาลี หรือแม้แต่ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทีมใด ที่ใช้แผนการเล่นนี้ หลังจากการที่ทีมชาติอังกฤษได้แพ้ให้กับเยอรมนีที่ใช้แผนการเล่น 4–2–3–1 ในฟุตบอลโลก 2010 ฟาบีโอ กาเปลโล ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษที่เคยประสบความสำเร็จกับแผนการเล่น 4–4–2 เมื่อคุมทีมเอซี มิลาน ได้วิพากษ์วิจารณ์ว่าแผนการเล่น 4–4–2 ได้ล้าสมัยไปแล้ว[12]
อย่างไรก็ดี แผนการเล่น 4–4–2 ยังคงเป็นแผนกานเล่นที่คุมพื้นที่ด้านกว้างของสนามทั้งหมดจากผู้เล่นที่มากกว่าได้ ซึ่งในปัจจุบันเริ่มมีการนำกลับมาใช้อีกครั้งดังเห็นได้จากอัตเลติโกเดมาดริดของดิเอโก ซิเมโอเน, เรอัลมาดริดของการ์โล อันเชลอตตี และเลสเตอร์ซิตีของเกลาดีโอ รานีเอรี[13][14]
4–4–1–1
[แก้]เป็นแผนการเล่นในอีกรูปแบบหนึ่งของแผนการเล่น 4–4–2 ที่มีกองหน้า 1 คนเป็นกองหน้าตัวต่ำ โดยยืนอยู่ด้านหลังของกองหน้า.[15] โดยกองหน้าคนที่สองจะคอยสร้างสรรค์เกม และวิ่งไปยังตำแหน่งกองกลางเพื่อเก็บบอล ก่อนที่จะส่งบอลให้เพื่อหรือเลี้ยงบอลไปด้านหน้า[15] การตีความของแผนการเล่น 4–4–1–1 อาจจะสับสนเล็กน้อย โดยกองหน้าคนที่สองจะเล่นในตำแหน่งกองหน้า ไม่ใช่กองกลาง โดยแผนการเล่นนี้เคยเป็นที่ประสบความสำเร็จกับฟูลัม โดยใช้โซลตัน เกรา ยืนอยู่ด้านหลังบ็อบบี ซาโมรา ซึ่งทำให้พวกเขาเขาถึงรอบชิงชนะเลิศในการแข่งขันยูฟ่ายูโรปาลีก 2010
4–3–3
[แก้]แผนการเล่น 4–3–3 ได้รับการพัฒนามากจากแผนการเล่น 4–4–2 และได้นำมาใช้โดยทีมชาติบราซิลในฟุตบอลโลก 1962 แม้ว่าแผนการเล่นนี้เคยใช้โดยทีมชาติอุรุกวันในฟุตบอลโลก 1950 และ 1954 ผู้เล่นกองกลางที่เพิ่มขึ้นมาจะมีผู้เล่นเกมรับที่แข็งแกร่ง ส่วนผู้เล่นที่เหลือจะมีหน้าที่แตกต่างกันไป โดยกองกลางทั้ง 3 คน จะเล่นแบบแคบใกล้กันเมื่อต้องป้องกัน และขยายไปทางด้านกว้างเมื่อต้นการส่งบอลและเปิดเกมรุก ส่วนกองหน้าทั้ง 3 คนจะยืนตำแหน่งกระจายอยู่ทุกด้านของสนามเพื่อการโจมตีที่หลากหลาย และยังมีฟุลแบ็กคอยช่วยสนับสนุนการทำเกมรุก เหมือนกันกับแผนการเล่น 4–4–2 เมื่อนำแผนการเล่นนี้มาใช้ในช่วงต้นเกม จะทำให้ทีมสามารถครองบอลได้ทั่วสนาม หรือสามารถเปลี่ยนจากแผนการเล่น 4–4–2 ด้วยการเพิ่มกองหน้าเข้าไป 1 คนแทนกองกลาง ซึ่งแผนนี้สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสำหรับการเล่นต่อบอลสั้นและการเน้นการครองบอล
แผนการเล่น 4–3–3 ได้มีกองกลางตัวรับ 1 คน (ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อหมายเลข 4 หรือ 6) และกองกลางตัวรุก 2 คน (ส่วนใหญ่จะสวมเสื้อหมายเลข 8 และ 10) เป็นที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศอิตาลี, ประเทศอาร์เจนตินา และประเทศอุรุกวัย ในช่วยยุค 1960 และ 1970 โดยในอิตาลีนั้น รูปแบบของแผนการเล่น 4–3–3 มาจากการปรับใช้แผนการเล่นแบบดับเบิลยูเอ้ม โดยเปลี่ยนจากวิงฮาล์ฟ 1 คนเป็นสวีปเปอร์ ส่วนในอาร์เจนตินาและอุรุกวัย พัฒนามาจาก 2–3–5 ซึ่งคงไว้ในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟตัวรุก ส่วนการแข่งขันระดับทีมชาติที่เป็นชื่อเสียงคือทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 1974 และ 1978 แม้ว่าทีมจะไม่ได้แชมป์ก็ตาม
ในฟุตบอลสโมสร แผนการเล่นนี้มีชื่อเสียงจากอายักซ์ ในต้นยุค 1970 ซึ่งได้แชมป์ยูโรเปียนคัพ 3 สมัย กับโยฮัน ไกรฟฟ์ และเดเน็ก เซมัน และฟอคเคีย ในอิตาลี ช่วงปลายยุค 1980 ที่มีการใช้แผนการเล่นนี้
ปัจจุบันหลายทีมใช้แผนการเล่นนี้และใช้กองกลางตัวรับ ที่แข็งแกร่ง เช่น โปร์ตู เชลซีซึ่งคุมทีมโดยโชเซ มูรีนโย และอย่างยิ่งกับบาร์เซโลนาที่ได้ถึง 6 แชมป์ในฤดูกาลเดียวภายใต้การคุมทีมของแป็ป กวาร์ดิออลา
4–3–1–2
[แก้]เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ 4–3–3 ซึ่งจะมีกองกลางตัวรุกตัวกลาง แผนการเล่นนี้จะเน้นไปที่การเคลื่อนที่ของกองกลางตัวรุกที่อยู่ด้านหลังกองหน้า ซึ่งแผนการเล่นนี้จะเน้นการเล่นด้านแคบหรือด้านในมากกว่า 4–3–3 และให้กองกลางตัวรุกสร้างโอกาสเพิ่มมากขึ้น แผนนี้เคยประสบความสำเร็จกับโปร์ตู ที่คุมทีมโดยโชเซ มูรีนโย ทำให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่าคัพ 2002–03 และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2003–04 เช่นเดียวกันกับการ์โล อันเชลอตตี สำหรับแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2002–03 และเซเรียอา 2003–04 กับมิลาน และพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2009–10 กับเชลซี โดยแผนการเล่นนี้ มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี ได้นำมาปรับใช้กับมิลาน และทำให้ได้แชมป์เซเรียอาในฤดูกาล 2010–11
4–1–2–3
[แก้]เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ 4–3–3 ซึ่งจะมีกองกลางตัวรับตัวกลาง และมีกองกลางตัวกลาง 2 คน[16]
4–4–2 ไดมอนด์ หรือ 4–1–2–1–2
[แก้]แผนการเล่น 4–4–2 ไดมอนด์ (หรือ 4–1–2–1–2) มีกองกลางที่ยืนคุมพื้นที่ตรงกลางได้ดี ส่วนด้านกว้างนั้นจะใช้ฟุลแบ็กคอยเติมเกมแทน ส่วนกองกลางตัวรับอาจจะใช้กองกลางตัวลึกแทน แต่หน้าที่สำคัญยังคงเป็นการตัดบอลก่อนจะถึงกองหลัง[17] กองกลางตัวรุกตัวกลางเป็นผู้เล่นที่คอยสร้างสรรค์เกม, คอยเก็บบอล และเปิดบอลไปด้านข้างให้ฟุลแบ็กหรือเล่นบอลกับ 2 กองหน้า[18] เมื่อทีมเสียการครองบอล กองกลางทั้ง 4 คนจะถอยลงมาช่วยเกมรับ ส่วนกองหน้าทั้ง 2 คนจะยืนรออยู่ด้านหน้าเพื่อรอเล่นเกมสวนกลับ[18] แผนนี้เป็นแผนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากกับเอซี มิลาน ซึ่งคุมทีมโดยการ์โล อันเชลอตตี โดยได้แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2002–03 และรองชนะเลิศในฤดูกาล 2004–05 ซึ่งในขณะนั้นมิลานมีกองกลางตัวกลางที่มีความสามารถสูงอย่างอันเดรอา ปีร์โล และมีผู้เล่นตัวรุกอย่างรุย กอชตา ซึ่งต่อมาเป็นกาก้า[19] โดยแผนการเล่นนี้มิลานได้เลิกใช้นับตั้งแต่การย้ายออกจากทีมของอันดรีย์ แชวแชนกอ ในปี ค.ศ. 2006 แผนการเล่นนี้ทำให้เกิดแผนการเล่นแบบต้นคริสต์มาสขึ้น
4–1–3–2
[แก้]แผนการเล่น 4–1–3–2 เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ 4–1–2–1–2 โดยมีกองกลางตัวรับตัวกลางที่มีความสามารถสูง ช่วยเหลือผู้เล่นกองกลางอีก 3 คนคอยสร้างเกมรุกไปด้านหน้าอย่างเต็มที่ และคอยส่งกลับคืนหลังหากทีมกำลังเสียการครองบอลจากการโต้กลับ โดยแผนการเล่นนี้จะต้องมีกองหน้าที่แข็งแกร่งเพื่อการโจมตีที่มีประสิทธิภาพ หากฝ่ายตรงข้ามมีปีกที่รวดเร็วและส่งบอลได้ดี สามารถใช้แผนนี้ด้วยการให้กองกลางทั้ง 3 คนช่วยวิ่งกลับมาช่วยเกมรับได้ โดยวาเลรี ลอบานอฟสกี เคยใช้แผนการเล่นนี้กับดือนาโมกือยิว โดยได้แชมป์ยุโรป 3 ฤดูกาลติดต่อกัน อีกทั้งยังเห็นได้จากทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 1966 โดยอัลฟ์ แรมซีย์
อ้างอิง
[แก้]- ↑ Murphy, Brenden. From Sheffield with Love. SportsBooks Limited. p. 83. ISBN 978-1-899807-56-7.
- ↑ "England's Uniforms — Shirt Numbers and Names". Englandfootballonline.com. สืบค้นเมื่อ 28 June 2010.
- ↑ Ingle, Sean (15 November 2000). "Knowledge Unlimited: What a refreshing tactic (November 15, 2000)". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 10 July 2006.
- ↑ Wilson, Jonathan (26 October 2010). "The Question: Are Barcelona reinventing the W-W formation?". The Guardian. London.
- ↑ Araos, Christian. "NYCFC comfortable in unconventional formation". Empire of Soccer. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-10-18. สืบค้นเมื่อ 12 May 2016.
- ↑ 6.0 6.1 "Gusztáv Sebes (biography)". FIFA. สืบค้นเมื่อ 10 July 2006.
- ↑ 7.0 7.1 Lutz, Walter (11 กันยายน 2000). "The 4–2–4 system takes Brazil to two World Cup victories". FIFA. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 9 มกราคม 2006. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2006.
- ↑ "Sebes' gift to football". UEFA. 21 พฤศจิกายน 2003. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2003. สืบค้นเมื่อ 10 กรกฎาคม 2006.
- ↑ "Formations: 4–4–2". BBC News. 1 September 2005. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ "National Soccer Coaches Association of America". Nscaa.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-10-17. สืบค้นเมื่อ 28 June 2010.
- ↑ Wilson, Jonathan (18 December 2008). "The Question: why has 4–4–2 been superseded by 4–2–3–1?". The Guardian. London.
- ↑ "England's World Cup disaster exposes the antiquity of 4–4–2". CNN. 30 June 2010. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-09-22. สืบค้นเมื่อ 2019-03-03.
- ↑ "Why is 4-4-2 thriving? Is it the key to Leicester and Watford's success?".
- ↑ "The Rebirth of 4-4-2". 19 February 2016. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-02-25. สืบค้นเมื่อ 2019-03-03.
- ↑ 15.0 15.1 "Formations: 4–4–1–1". BBC News. 1 September 2005. สืบค้นเมื่อ 2 May 2010.
- ↑ "Tactics for Beginners – No.14 – The Tomkins Times".
- ↑ Srivastava, Aniket. (18 May 2005) "Explaining the Role of a CDM" manager.protegesportshq.com. Retrieved 21 October 2017.
- ↑ 18.0 18.1 "Tactical Analysis: The 4-1-2-1-2 Formation" social.shorthand.com. 25 March 2017. Retrieved 21 October 2017.
- ↑ "News – Notizie, rassegna stampa, ultim'ora, calcio mercato". A.C. Milan. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 21 เมษายน 2009. สืบค้นเมื่อ 7 พฤศจิกายน 2012.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- Introduction to formations ที่ บีบีซี สปอร์ต
- The development of early formations จาก สมาคมหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลสหรัฐอเมริกา