อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (ค.ศ. 1906)
ประวัติ | |
---|---|
สหราชอาณาจักร | |
ตั้งชื่อตาม | มณฑลมอริเทเนีย |
เจ้าของ |
|
ผู้ให้บริการ | คูนาร์ดไลน์ |
เส้นทางเดินเรือ | เซาแธมป์ตัน – โคฟ – นครนิวยอร์ก |
อู่เรือ | สวอนฮันเตอร์ แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน, นอร์ทัมเบอร์แลนด์, อังกฤษ |
Yard number | 367 |
ปล่อยเรือ | 18 สิงหาคม 1904 |
สร้างเสร็จ | 11 พฤศจิกายน 1907 |
Maiden voyage | 16 พฤศจิกายน 1907 |
บริการ | 1907–1934 |
หยุดให้บริการ | กันยายน 1934 |
รหัสระบุ |
|
ความเป็นไป | ปลดระวางในปี 1934 และถูกแยกชิ้นส่วนในปี 1935 ที่รอสไฟฟ์ สกอตแลนด์ |
ลักษณะเฉพาะ | |
ชั้น: | ชั้นลูซิเทเนีย |
ประเภท: | เรือเดินสมุทร |
ขนาด (ระวางขับน้ำ): | 31,938 ตัน |
ความยาว: | 790 ฟุต (240.8 เมตร) |
ความกว้าง: | 88 ฟุต (26.8 เมตร) |
ความสูง: | 144 ฟุต (43.9 เมตร) จากกระดูกงูถึงปลายปล่องควัน |
กินน้ำลึก: | 33 ฟุต 6 นิ้ว (10.2 เมตร) |
ดาดฟ้า: | 8 ชั้น |
ระบบพลังงาน: | กังหันไอน้ำพาร์สันส์ (Parsons) แบบขับเคลื่อนใบจักรโดยตรง (แรงดันสูง 2 เครื่อง แรงดันต่ำ 2 เครื่อง) ให้กำลังรวม 76,000 แรงม้า (57,000 กิโลวัตต์) ก่อนจะเพิ่มเป็น 90,000 แรงม้า (67,000 กิโลวัตต์) ในปี 1929 |
ระบบขับเคลื่อน: | ใบจักรปีก 4 ใบ จำนวน 4 เพลา |
ความเร็ว: |
ความเร็วบริการ: 25 นอต (46 กม./ชม.; 29 ไมล์ต่อชม.) ความออกแบบ: 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์ต่อชม.)[1][2] |
ความจุ: |
2,165 คน แบ่งเป็น:
|
ลูกเรือ: | 802 คน[1] |
หมายเหตุ: | เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 1907 และ เรือที่เร็วที่สุดในโลก 1910 |
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย (อังกฤษ: RMS Mauretania) หรือชื่อเต็มคือ เรือไปรษณีย์หลวงมอริเทเนีย (Royal Mail Steamer Mauretania) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติอังกฤษ ของสายการเดินเรือคูนาร์ด ออกแบบโดยลีโอนาร์ด เพสเกตต์ และสร้างโดยอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์แอนด์วิกแฮม ริชาร์ดสัน (Swan Hunter & Wigham Richardson) ปล่อยลงน้ำในช่วงบ่ายของวันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 และได้เป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนกระทั่งเรืออาร์เอ็มเอส โอลิมปิกเปิดตัวในปี ค.ศ. 1910[3]
เรือมอริเทเนียได้รับรางวัลบลูริบันด์ (Blue Riband) สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันออกในเที่ยวกลับครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี ค.ศ. 1907 จากนั้นได้รับรางวัลอีกครั้งสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกไปทางตะวันตกที่เร็วที่สุดในฤดูการเดินเรือปี ค.ศ. 1909 และถือครองสถิติทั้งสองนั้นเป็นเวลา 20 ปี[3]
ชื่อเรือนำมาจากชื่อมณฑลมอริเทเนียของโรมันโบราณ ซึ่งอยู่บนชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่ใช่ประเทศมอริเตเนียสมัยใหมที่อยู่ทางใต้[4] ชื่อของอาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ซึ่งเป็นเรือคู่แฝดก็ใช้แนวทางเดียวกัน โดยตั้งชื่อตามมณฑลลูซิเทเนียของโรมันโบราณที่อยู่เหนือมณฑลมอริเทเนีย ตรงข้ามช่องแคบยิบรอลตาร์
อาร์เอ็มเอส มอริเทเนีย ให้บริการจนถึงเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 แล้วจึงปลดระวาง และขายแยกชิ้นส่วนในเมืองรอสไฟฟ์ (Rosyth) ประเทศสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1935
เบื้องหลัง[แก้]
ในปี ค.ศ. 1897 เรือเดินสมุทร เอสเอส ไกเซอร์ วิลเฮล์ม แดร์โกรส (SS Kaiser Wilhelm der Grosse) ของเยอรมนีได้กลายเป็นเรือที่ใหญ่และเร็วที่สุดในโลก ด้วยความเร็ว 22 นอต (41 กม./ชม.; 25 ไมล์/ชม.) ชิงรางวัลบลูริบนด์ไปจากเรือคัมปาเนีย และลูคาเนีย ของสายการเดินเรือคูนาร์ด เยอรมนีเข้ามามีบทบาทในเส้นทางเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมากขึ้น และภายในปี 1906 พวกเขาก็มีเรือเดินสมุทรสี่ปล่องควันขนาดใหญ่ 5 ลำให้บริการ ซึ่ง 4 ลำในนั้นเป็นของสายการเดินเรือนอร์ทด็อยท์เชอร์ล็อยท์ (Norddeutscher Lloyd)
ในช่วงเวลาเดียวกัน เจ. พี. มอร์แกน นักการเงินชาวอเมริกัน ได้พยายามผูกขาดอุตสาหกรรมการเดินเรือผ่านบริษัทเดินเรือพาณิชย์ระหว่างประเทศ (International Mercantile Marine Co.) และได้เข้าซื้อกิจการสายการเดินเรือไวต์สตาร์ สายการเดินเรือข้ามมหาสมุทรหลักอีกแห่งของอังกฤษไปเรียบร้อยแล้ว[5]
เพื่อต่อกรกับภัยคุกคามเหล่านี้ คูนาร์ดไลน์มุ่งมั่นที่จะกู้คืนชื่อเสียงของการเป็นผู้นำด้านการเดินทางทางทะเล ไม่เพียงแค่สำหรับบริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสหราชอาณาจักรด้วย[5][6] ในปี 1902 คูนาร์ดไลน์และรัฐบาลอังกฤษได้ตกลงสร้างเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 2 ลำ ได้แก่ ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย[5] ด้วยความเร็วบริการที่รับประกันไม่น้อยกว่า 24 นอต (44 กม./ชม.; 28 ไมล์/ชม.) โดยรัฐบาลอังกฤษให้กู้เงิน 2,600,000 ปอนด์ (252 ล้านปอนด์ในปี 2015) สำหรับการสร้างเรือ[7] โดยมีอัตราดอกเบี้ย 2.75% ที่จะต้องจ่ายคืนภายใน 20 ปี พร้อมกับเงื่อนไขที่ว่าเรือต้องสามารถแปลงเป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธได้หากจำเป็น[8] และได้รับเงินทุนเพิ่มเติมเมื่อกระทรวงทหารเรือจัดการให้คูนาร์ดไลน์ได้รับเงินเพิ่มเติมต่อปีเป็นค่าอุดหนุนไปรษณีย์[8][9]
การออกแบบและการสร้าง[แก้]
เรือมอริเทเนีย และลูซิเทเนีย ได้รับการออกแบบโดยเลโอนาร์ด เพสเกตต์ (Leonard Peskett) สถาปนิกเรือของคูนาร์ด โดยมีอู่ต่อเรือสวอนฮันเตอร์ (Swan Hunter) และจอห์นบราวน์ (John Brown) ทำงานตามแผนสำหรับ "ม้าเร็วแห่งมหาสมุทร" ที่กำหนดความเร็วบริการไว้ที่ 24 นอตในสภาพอากาศปกติ ตามข้อตกลงของสัญญาอุดหนุนไปรษณีย์
การออกแบบเดิมของเพสเกตต์สำหรับเรือในปี 1902 นั้นเป็นแบบสามปล่องควัน เนื่องจากในเวลานั้นเครื่องยนต์แบบลูกสูบยังคงเป็นเครื่องยนต์หลัก ต่อมาคูนาร์ดได้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นเทคโนโลยีเครื่องกังหันไอน้ำแบบใหม่ของพาร์สัน และการออกแบบของเรือก็ได้รับการปรับเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อเพสเกตต์เพิ่มปล่องควันที่สี่เข้าไปในโครงสร้างเรือ ในที่สุดการก่อสร้างเรือก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการวางกระดูกงูในเดือนสิงหาคมปี 1904[10]
เรือมอริเทเนียถูกทาสีเทาอ่อนก่อนพิธีปล่อยเรือ เพื่อให้รูปถ่ายออกมาชัดเจนขึ้น เนื่องจากในยุคนั้นการถ่ายภาพยังเป็นแบบขาวดำ การใช้สีเทาอ่อนช่วยให้เส้นสายของเรือดูโดดเด่นและสวยงาม หลังจากเสร็จสิ้นการเดินทางเที่ยวแรก (maiden voyage) เรือก็ถูกเปลี่ยนสีเป็นสีดำทั้งลำ ซึ่งเป็นสีมาตรฐานของเรือของคูนาร์ดในเวลานั้น[11]
วันที่ 20 กันยายน ค.ศ. 1906 เรือมอริเทเนียถูกทำพิธีปล่อยโดยดัชเชสแห่งร็อกซ์เบิร์ก[12] ในเวลานั้นเรือลำนี้เป็นโครงสร้างที่เคลื่อนไหวได้ที่ใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา[13] และมีขนาดใหญ่กว่าเรือลูซิเทเนียเล็กน้อย ความแตกต่างทางรูปลักษณ์หลักระหว่างเรือทั้งสองลำ คือเรือมอริเทเนียจะยาวกว่า 5 ฟุต และมีช่องระบายอากาศที่แตกต่างกัน[14]
เรือมอริเทเนียยังมีใบพัดกังหันเพิ่มเติม 2 ชุดในกังหันด้านหน้า ที่ทำให้มีความเร็วมากกว่าลูซิเทเนียเล็กน้อย ทั้งเรือมอริเทเนียและลูซิเทเนียเป็นเรือที่ใช้เครื่องยนต์กังหันไอน้ำแบบขับเคลื่อนโดยตรงเพียงสองลำที่เคยครองรางวัลบลูริบันด์ ในขณะที่เรือรุ่นต่อมามักใช้เครื่องยนต์กังหันแบบทดเกียร์[15]
เรือมอริเทเนียใช้เครื่องยนต์กังหันไอน้ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดในเวลานั้นที่พัฒนาโดยชาลส์ อัลเจอร์นอน พาร์สันส์ (Charles Algernon Parsons) และถือเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีนี้ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา[16] แต่ในระหว่างการทดสอบความเร็ว เครื่องยนต์เหล่านี้ก่อให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงที่ความเร็วสูง เพื่อแก้ไขปัญหานี้ เรือจึงได้รับการติดตั้งโครงสร้างเสริมที่ท้ายเรือและใบจักรที่ออกแบบใหม่ก่อนเข้าประจำการ ซึ่งช่วยลดการสั่นสะเทือน[17]
เรือได้รับการออกแบบให้สอดคล้องกับรสนิยมอันหรูหราของยุคเอ็ดเวิร์ด ภายในเรือได้รับการรังสรรค์โดยสถาปนิกชื่อดัง ฮาโรลด์ เปโต (Harold Peto) ส่วนห้องโถงได้รับการตกแต่งอย่างประณีตโดยบริษัทออกแบบชั้นนำสองแห่งจากลอนดอน Ch. Mellier & Sons และ Turner and Lord[18][19] วัสดุที่ใช้ในการตกแต่งนั้นล้วนคัดสรรมาอย่างดีเยี่ยม ด้วยไม้ถึง 28 ชนิด หินอ่อน ผ้าทอสุดวิจิตร และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นเอก เช่น โต๊ะแปดเหลี่ยมอันน่าตื่นตาในห้องสูบบุหรี่[18][20]
แผ่นไม้แกะสลักที่ใช้ตกแต่งห้องโถงชั้นหนึ่งของเรือนั้น เชื่อกันว่าแกะสลักโดยช่างฝีมือ 300 คนจากปาเลสไตน์[21] เรือโดดเด่นด้วยห้องอาหารชั้นหนึ่งแบบหลายชั้น สร้างจากไม้โอ๊กสีฟาง ตกแต่งสไตล์ฟรานซิสที่ 1 และประดับด้วยโดมสกายไลท์ขนาดใหญ่[20] เทคโนโลยีล้ำสมัยในยุคนั้นอย่างลิฟต์ ถูกนำมาใช้บนเรือมอริเทเนียเป็นครั้งแรก โดยโครงลิฟต์ทำจากอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัสดุน้ำหนักเบาและค่อนข้างใหม่ ติดตั้งอยู่ข้างบันไดใหญ่ (grand staircase) ที่ทำจากไม้โอ๊ก[20]
จุดเด่นอีกอย่างของเรือคือ คาเฟ่ระเบียง (Verandah Café) บนดาดฟ้าชั้นเรือบด (boat deck) ซึ่งผู้โดยสารสามารถนั่งจิบเครื่องดื่มในบรรยากาศปลอดลมฟ้าอากาศ อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาเพียงปีเดียว คาเฟ่แห่งนี้ก็ถูกปิดล้อม เนื่องจากสภาพแวดล้อมชั้นเรือบดของเรือไม่เหมาะกับการเปิดโล่ง[18]
เทียบกับเรือชั้นโอลิมปิก[แก้]
เรือชั้นโอลิมปิกของไวต์สตาร์ไลน์มีความยาวมากกว่าเกือบ 30 เมตร (100 ฟุต) และกว้างกว่าเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียเล็กน้อย ทำให้เรือของไวต์สตาร์มีน้ำหนักรวมมากกว่าเรือของคิวนาร์ดประมาณ 15,000 ตัน
เรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เปิดตัวและให้บริการก่อนที่เรือโอลิมปิก ไททานิก และบริแทนนิก จะพร้อมให้บริการเป็นเวลาหลายปี แม้ว่าจะมีความเร็วมากกว่าเรือชั้นโอลิมปิกอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่เพียงพอที่จะทำให้สายการเดินเรือให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสองลำต่อสัปดาห์จากแต่ละฝั่งของมหาสมุทร จึงจำเป็นต้องมีเรือลำที่สามสำหรับให้บริการรายสัปดาห์ และเพื่อตอบโต้แผนการสร้างเรือชั้นโอลิมปิกทั้งสามลำที่ของไวต์สตาร์ คิวนาร์ดจึงสั่งต่อเรือลำที่สามชื่อว่า แอควิเทเนีย (Aquitania) ซึ่งจะมีความเร็วที่ต่ำกว่าเล็กน้อย แต่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า[ต้องการอ้างอิง]
เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย เช่น สระว่ายน้ำ ห้องอาบน้ำแบบตุรกี โรงยิม สนามสควอช ห้องรับแขกขนาดใหญ่ ร้านอาหารตามสั่งแยกจากห้องอาหาร และห้องนอนพร้อมห้องน้ำส่วนตัวมากกว่าเรือของคิวนาร์ดทั้งสองลำ[ต้องการอ้างอิง]
แรงสั่นสะเทือนอย่างหนักซึ่งเป็นผลพลอยได้จากเครื่องยนต์กังหันไอน้ำสมัยใหม่ทั้ง 4 ตัวในเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย ได้ส่งผลกระทบต่อเรือทั้งสองลำเมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุด แรงสั่นสะเทือนจะรุนแรงมากจนส่วนผู้โดยสารชั้นสองและสามไม่สามารถอยู่อาศัยได้[22] ในทางตรงกันข้าม เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกเลือกความประหยัดมากกว่าความเร็ว โดยการติดตั้งเครื่องยนต์ลูกสูบแบบดั้งเดิม 2 ตัว และกังหันสำหรับใบจักรกลาง ด้วยน้ำหนักที่มากขึ้นและความกว้างที่กว้างขึ้น เรือเดินสมุทรชั้นโอลิมปิกจึงมีความเสถียรมากขึ้นในทะเลและมีแนวโน้มที่จะโคลงน้อยลง
ลูซิเทเนีย และมอริเทเนีย มีหัวเรือที่ตรง ซึ่งต่างจากหัวเรือแบบทำมุมของเรือชั้นโอลิมปิก ออกแบบมาเพื่อให้เรือสามารถพุ่งผ่านคลื่นได้ แทนที่จะพุ่งขึ้นไปบนยอดคลื่น ผลที่ตามมาที่คาดไม่ถึงก็คือเรือของคิวนาร์ดจะขว้างไปข้างหน้าอย่างน่าตกใจ แม้จะอยู่ในสภาพอากาศที่สงบ ทำให้คลื่นขนาดใหญ่สาดเข้าหัวเรือและส่วนหน้าของโครงสร้างส่วนบน (superstructure)[23]
เรือชั้นโอลิมปิกยังแตกต่างจากเรือลูซิเทเนีย และมอริเทเนียในเรื่องกำแพงกั้นน้ำ เรือของไวต์สตาร์ถูกแบ่งด้วยกำแพงกั้นน้ำตามขวาง ในขณะที่ลูซิเทเนียก็มีกำแพงกั้นตามขวางเช่นเดียวกัน แต่ยังมีกำแพงกั้นตามยาว ระหว่างหม้อไอน้ำและห้องเครื่องยนต์ และคลังถ่านหินที่ด้านนอกของเรือ คณะกรรมาธิการอังกฤษที่สอบสวนการอับปางของเรือไททานิกในปี 1912 ได้ฟังคำให้การเกี่ยวกับน้ำท่วมคลังถ่านหินที่วางอยู่นอกกำแพงกั้นน้ำตามยาว ด้วยความยาวที่มาก เมื่อเรือถูกน้ำท่วม สิ่งเหล่านี้อาจเพิ่มความเอียงของเรือ และทำให้เรือสำรองที่อยู่อีกด้านหนึ่งลดระดับลงไม่ได้[24] นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูซิเทเนียในภายหลัง นอกจากนี้ เสถียรภาพของเรือยังไม่เพียงพอต่อการจัดกําแพงกั้นน้ำที่ใช้ น้ําท่วมคลังถ่านหินเพียง 3 แห่งในด้านหนึ่งอาจทําให้ความสูงจุดเปลี่ยนศูนย์เสถียร (Metacentric Height) เป็นลบ[25] ในทางกลับกัน เรือไททานิกมีความเสถียรมากพอที่จะจมลงด้วยความลาดเอียงเพียงไม่กี่องศา การออกแบบของไททานิกทำให้ความเสี่ยงที่น้ำจะท่วมไม่สม่ำเสมอและอาจพลิกคว่ำนั้นมีน้อยมาก[26]
เรือลูซิเทเนียมีเรือชูชีพไม่เพียงพอสำหรับทุกคนบนเรือในการเดินทางครั้งแรก (น้อยกว่าที่ไททานิก 4 ลำ) ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปสำหรับเรือโดยสารขนาดใหญ่ในขณะนั้น เนื่องจากมีความเชื่อว่าเส้นทางเดินเรือที่พลุกพล่านจะมีความช่วยเหลืออยู่ใกล้ ๆ เสมอ และเรือชูชีพที่มีอยู่ไม่กี่ลำก็เพียงพอที่จะส่งทุกคนไปยังเรือที่มาช่วยเหลือก่อนที่เรือจะจม
หลังจากเรือไททานิกอับปาง เรือลูซิเทเนียและมอริเทเนียได้ติดตั้งเรือชูชีพเพิ่มอีก 6 ลำบนดาวิต (davit; เครนแขวนเรือชูชีพชนิดหนึ่ง) ส่งผลให้มีเรือชูชีพทั้งหมด 22 ลำที่ติดตั้งบนดาวิต เรือชูชีพที่เหลือได้รับการเสริมด้วยเรือชูชีพแบบพับได้ 26 ลำ โดย 18 ลำเก็บไว้ใต้เรือชูชีพปกติโดยตรง และอีก 8 ลำอยู่บนดาดฟ้าเรือ ถูกสร้างขึ้นด้วยพื้นไม้กลวงและด้านข้างเป็นผ้าใบ จำเป็นต้องประกอบในกรณีที่ต้องใช้[27]
ช่วงต้น[แก้]
เรือมอริเทเนียออกเดินทางเที่ยวแรกจากลิเวอร์พูลในวันที่ 16 พฤศจิกายน ค.ศ. 1907 ภายใต้การบัญชาของกัปตันจอห์น พริทชาร์ด (John Pritchard) แต่ไม่สามารถทำลายสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกได้เนื่องจากเกิดพายุรุนแรงที่ทำให้สมอสำรองหลุดออก และเรือยังได้รับความเสียหายเล็กน้อยที่ส่วนบนของเรือ อย่างไรก็ตาม ในการเดินทางกลับเที่ยวแรก (30 พฤศจิกายน – 5 ธันวาคม 1907) เรือได้ทำลายสถิติการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดด้วยความเร็วเฉลี่ย 23.69 นอต (43.87 กม./ชม.)[3]
ในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1907 เรือมอริเทเนียกลับมาเทียบท่าที่นครนิวยอร์กอีกครั้ง ณ ท่าเทียบเรือหมายเลข 54 บริเวณแม่น้ำนอร์ท แต่เกิดเหตุการณ์พายุลมแรงกระทันหัน ทำให้เสาเทียบเรือที่ท่าหมายเลข 54 พังเสียหาย เรือมอริเทเนียลอยออกจากท่าไปบางส่วน หัวเรือหันไปกระแทกกับเรือบรรทุกสินค้าหลายลำที่กำลังนำถ่านหินมาส่งและขนขี้เถ้าออก ในคดีความที่ตามมา บริษัทคูนาร์ดไลน์เจ้าของเรือมอริเทเนียถูกตัดสินว่าต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น[28][29]
ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1909 เรือมอริเทเนียสามารถคว้ารางวัลบลูริบันด์ สำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปที่เร็วที่สุดได้ ซึ่งเป็นสถิติที่คงอยู่นานกว่าสองทศวรรษ[3] ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1911 เรือก็ประสบเหตุซ้ำอีกเช่นเดียวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าในปี 1909 สายสมอของเรือขาดขณะอยู่ที่แม่น้ำเมอร์ซีย์ ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหาย และทำให้การเดินทางพิเศษช่วงเทศกาลคริสต์มาสไปนครนิวยอร์กต้องถูกยกเลิก คูนาร์ดไลน์ตอบสนองต่อสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ด้วยการส่งเรือลูซิเทเนียที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากนิวยอร์กไปทำหน้าที่แทน ภายใต้การบัญชาของกัปตันเจมส์ ชาลส์ (James Charles)[30]
วันที่ 10 เมษายน ค.ศ. 1912 เรือมอริเทเนียเริ่มออกเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปจากลิเวอร์พูลไปนิวยอร์ก และเทียบท่าอยู่ที่เมืองควีนส์ทาวน์ ประเทศไอร์แลนด์ ในช่วงเวลาที่เรืออาร์เอ็มเอส ไททานิก (RMS Titanic) อับปาง ในขณะนั้นเรือมอริเทเนียได้ขนส่งเอกสารการขนส่งสินค้าของไททานิกไปด้วย โดยถูกจัดส่งเป็นไปรษณีย์ลงทะเบียน นอกจากนี้ บนเรือในตอนนั้นยังมีประธานของคูนาร์ดไลน์ เอ. เอ. บูธ (A. A. Booth) ซึ่งได้จัดให้มีการไว้อาลัยผู้เสียชีวิตจากเรือไททานิก[31] ในฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1913 การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกขาไปบนเรือมอริเทเนียสำหรับผู้โดยสารชั้นสามมีค่าใช้จ่ายประมาณ 17 ดอลลาร์สหรัฐ ตามที่แสดงในตั๋วต้นฉบับนี้[ต้องการอ้างอิง]
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1913 สมเด็จพระเจ้าจอร์จและสมเด็จพระราชินีแมรีได้เสด็จฯ มาทรงเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียซึ่งเป็นเรือที่เร็วที่สุดของอังกฤษในเวลานั้น การเสด็จเยือนครั้งนี้ยิ่งเสริมสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้แก่เรือลำนี้[32]
ในวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 1914 ขณะที่เรือมอริเทเนียกำลังเข้ารับการซ่อมประจำปีในลิเวอร์พูล ได้เกิดเหตุการณ์ถังแก๊สระเบิดระหว่างที่ลูกเรือกำลังทำงานบริเวณเครื่องกังหันไอน้ำ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน และบาดเจ็บอีก 6 คน[32] ความเสียหายต่อตัวเรือมีเพียงน้อยนิด ทีมงานสามารถซ่อมแซมเรือได้อย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 2 เดือน หลังซ่อมแซมเสร็จสิ้น เรือก็กลับมาทำหน้าที่ได้อีกครั้งในเดือนมีนาคมปี 1914[33]
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง[แก้]
หลังจากบริเตนใหญ่ประกาศสงครามกับเยอรมนีในวันที่ 4 สิงหาคม ค.ศ. 1914 เรือมอริเทเนียก็รีบเดินทางมุ่งหน้าสู่แฮลิแฟกซ์ โนวาสโกเชีย เพื่อความปลอดภัย และมาถึงท่าเรืออย่างรวดเร็วในวันที่ 6 สิงหาคม หลังจากนั้นไม่นาน เรือมอริเทเนียและอควิเทเนียก็ได้รับคำร้องขอจากรัฐบาลอังกฤษให้ทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนติดอาวุธ[34] แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่โตและการใช้เชื้อเพลิงอันมหาศาล จึงทำให้เรือทั้งสองลำไม่เหมาะสมกับภารกิจนี้[35] และเรือทั้งสองลำก็กลับมาทำหน้าที่พลเรือนอีกครั้งในวันที่ 11 สิงหาคม
ในภายหลัง เนื่องจากขาดผู้โดยสารที่จะข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกหยุดให้บริการและเทียบท่าอยู่ที่ลิเวอร์พูล จนกระทั่งวันที่ 7 พฤษภาคม ค.ศ. 1915 ซึ่งตรงกับช่วงเวลาที่เรือลูซิเทเนียอับปางจากเรือดำน้ำของเยอรมนี[ต้องการอ้างอิง]
เรือมอริเทเนียกำลังจะเข้ามาทำหน้าที่แทนเรือลูซิเทเนียที่อับปางไป แต่รัฐบาลอังกฤษก็ตัดสินใจเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันให้เรือไปทำหน้าที่เป็นเรือขนส่งทหาร เพื่อลำเลียงทหารอังกฤษไปยังสมรภูมิกัลลิโพลี[35] เรือถูกทาสีเทาเข้มพร้อมปล่องไฟสีดำ เช่นเดียวกับเรือลำอื่น ๆ ในช่วงสงคราม และรอดพ้นจากการเป็นเหยื่อของเรืออูของเยอรมนีได้ เนื่องด้วยความเร็วสูงและความชำนาญในการเดินเรือของลูกเรือ[ต้องการอ้างอิง]
เมื่อกองกำลังผสมของจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มเสียกำลังพลอย่างหนัก เรือมอริเทเนียก็ได้รับคำสั่งให้ไปทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลร่วมกับเรืออควิเทเนียและบริแทนนิกของไวต์สตาร์ไลน์ เพื่อทำการรักษาผู้บาดเจ็บจนถึงวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1916 เมื่อทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาล เรือก็ถูกทาสีขาวสะอาด พร้อมปล่องไฟสีน้ำตาลอ่อน สัญลักษณ์กาชาดทางการแพทย์ขนาดใหญ่รอบตัวเรือ และมีป้ายไฟส่องสว่างบริเวณกราบซ้ายและขวา[36] หลังจากทำหน้าที่เป็นเรือพยาบาลนาน 7 เดือน เรือมอริเทเนียก็กลับสู่การเป็นเรือขนส่งทหารอีกครั้งในปลายปี ค.ศ. 1916 โดยรัฐบาลแคนาดาได้ร้องขอให้เรือทำหน้าที่ขนส่งทหารแคนาดาจากแฮลิแฟกซ์ไปยังลิเวอร์พูล[35] ภาระหน้าที่ทางสงครามของเรือมอริเทเนียยังไม่จบสิ้น เมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับเยอรมนีในปี ค.ศ. 1917 เรือก็ได้รับหน้าที่ให้ลำเลียงทหารอเมริกันหลายพันคน[ต้องการอ้างอิง]
เรือลำนี้เป็นที่รู้จักในกองทัพเรือด้วยชื่อ เอชเอ็มเอส ทิวเบอร์โรส (HMS Tuberose)[37] จนกระทั่งจบสงคราม[35][ไม่แน่ใจ ] อย่างไรก็ตาม คูนาร์ดไลน์ก็ไม่เคยเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้อย่างเป็นทางการ
เรือมอริเทเนียเริ่มได้รับการทาสีเป็นลายพรางตาแบบเรขาคณิต (dazzle camouflage) ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 1918 โดยเรือได้รับการทาลวดลายนี้ถึงสองแบบ ลลายพรางตาแบบเรขาคณิตนี้เป็นผลงานการออกแบบของนอร์แมน วิลกินสัน (Norman Wilkinson) ในปี 1917 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสับสนให้กับเรือศัตรู
เรือมอริเทเนียได้รับลวดลายพรางตาแบบแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1918 ลวดลายนี้มีลักษณะโค้งเว้า เน้นโทนสีเขียวมะกอก ตัดกับสีดำ เทา และน้ำเงิน ส่วนลวดลายพรางตาแบบที่สองได้รับในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1918 เป็นแบบเรขาคณิต ที่คนทั่วไปเรียกติดปากว่า "แดซเซิล" (Dazzle) โดยใช้โทนสีน้ำเงินเข้มและเทาหลายเฉด ตัดกับสีดำเป็นหลัก หลังจบสงคราม เรือก็ถูกทาสีเทาหม่น และกลับมาทาสีแบบเดิมของคูนาร์ดในช่วงกลางปี ค.ศ. 1919[ต้องการอ้างอิง]
หลังสงคราม[แก้]
เรือมอริเทเนียกลับมาให้บริการขนส่งผู้โดยสารอีกครั้งในวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1919 หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยเส้นทางหลักของเรือคือจากเซาแทมป์ตันสู่นครนิวยอร์ก
เนื่องด้วยตารางการเดินเรือที่แน่นทำให้เรือไม่สามารถเข้ารับการซ่อมแซมใหญ่ตามแผนในปี ค.ศ. 1920 อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 1921 ก็ได้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นบนชั้น E ทางคูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจนำเรือออกจากบริการเพื่อทำการซ่อมแซม[38] เรือเดินทางกลับไปยังอู่ต่อเรือไทน์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เรือถูกสร้างขึ้น ที่นั่นหม้อน้ำของเรือได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นระบบเผาไหม้น้ำมันแทน[39] และกลับมาให้บริการอีกครั้งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1922 คูนาร์ดไลน์พบว่าเรือประสบปัญหาในการรักษาความเร็วตามปกติบนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก
แม้ว่าความเร็วในการให้บริการของเรือจะดีขึ้นและใช้น้ำมันเพียง 680 ตันต่อวัน เมื่อเทียบกับการใช้ถ่านหิน 1,000 ตันก่อนหน้านี้ แต่ก็ยังไม่สามารถทำความเร็วปกติได้เท่ากับช่วงก่อนสงคราม ในการข้ามมหาสมุทรครั้งหนึ่งในปี ค.ศ. 1922 เรือทำความเร็วเฉลี่ยได้เพียง 19 นอต (35 กม./ชม.; 22 ไมล์/ชม.)[ต้องการอ้างอิง]
ในช่วงเวลานี้เอง ทางเดินเล่นบนเรือก็ถูกปิดชั่วคราว และปล่องไฟของเรือก็ได้รับการเปลี่ยนให้เป็นทรงรี ทำให้ดูคล้ายกับเรือลูซิเทเนียเป็นอย่างมาก คูนาร์ดไลน์ตัดสินใจว่าเครื่องยนต์กังหันล้ำสมัยของเรือซึ่งเคยเป็นนวัตกรรมใหม่ในสมัยนั้นจำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเร่งด่วน[38] ในปี ค.ศ. 1923 เรือมอริเทเนียเข้ารับการซ่อมแซมครั้งใหญ่ที่เมืองเซาแทมป์ตัน เครื่องยนต์กังหันของเรือถูกถอดออกเพื่อทำการปรับปรุง แต่การซ่อมแซมต้องหยุดชะงักเนื่องจากการประท้วงหยุดงานของคนงานอู่ต่อเรือ คูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจลากเรือไปยังเมืองแชร์บูร์ ประเทศฝรั่งเศส เพื่อซ่อมแซมเรือให้เสร็จที่อู่ต่อเรือแห่งอื่น[40] ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1924 เรือก็กลับมาให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอีกครั้ง[38]
ปีต่อ ๆ มาได้พิสูจน์ให้กับคูนาร์ดไลน์ว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเรือมอริเทเนียนั้นได้ผล และเรือก็กลายเป็นเรือที่ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จอย่างมาก ในปี ค.ศ. 1928 เรือได้รับการปรับปรุงใหม่ด้วยการออกแบบตกแต่งภายในใหม่ และในปีต่อมา สถิติความเร็วของเรือก็ถูกทำลายโดยเรือเอสเอส เบรเมน (SS Bremen) ของเยอรมนี ด้วยความเร็ว 28 นอต (52 กม./ชม.; 32 ไมล์/ชม.)[41]
ในวันที่ 27 สิงหาคม ค.ศ. 1928 คูนาร์ดไลน์อนุญาตให้อดีต "ม้าเร็วแห่งมหาสมุทร" อย่างมอริเทเนียออกทำลายสถิติอีกครั้งจากเรือรุ่นใหม่ของเยอรมนี แต่แม้จะใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ เรือมอริเทเนียก็ยังไม่สามารถทำลายสถิติของเบรเมนได้ เรือถูกหยุดให้บริการและเครื่องยนต์ของเรือก็ได้รับการปรับแต่งให้มีกำลังมากขึ้นเพื่อให้มีความเร็วสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ก็ยังไม่เพียงพอ เรือเบรเมนได้กลายเป็นตัวแทนของเรือเดินมหาสมุทรรุ่นใหม่ที่ทรงพลังและล้ำหน้ากว่าเรือของคูนาร์ดที่เริ่มเก่าลง[41] แม้จะไม่สามารถทำลายสถิติเรือคู่แข่ง แต่ก็ทิ้งห่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากผ่านการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปี เรือมอริเทเนียก็ได้ทำลายสถิติความเร็วของตนเองทั้งขาไปและกลับ ในปี ค.ศ. 1929 เรือได้ชนกับเรือข้ามฟากขนส่งรถไฟใกล้ประภาคารร็อบบินส์รีฟ (Robbins Reef Light) ไม่มีบาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต และความเสียหายของเรือก็ได้รับการซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว[ต้องการอ้างอิง]
ในปี ค.ศ. 1930 ด้วยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และการแข่งขันที่รุนแรงจากเรือรุ่นใหม่บนเส้นทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก เรือมอริเทเนียจึงถูกเปลี่ยนบทบาทมาเป็นเรือสำราญ โดยให้บริการล่องเรือ 6 วันจากนิวยอร์กไปยังท่าเทียบเรือหมายเลข 21 ในแฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย[42][43]
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 1930 เรือมอริเทเนียได้ทำวีรกรรมสำคัญด้วยการช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเรือบรรทุกสินค้าสวีเดนที่ประสบเหตุอับปางในมหาสมุทรแอตแลนติก ห่างจากแหลมเรซ นิวฟันด์แลนด์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 400 ไมล์ทะเล (740 กิโลเมตร; 460 ไมล์) โดยสามารถช่วยชีวิตลูกเรือ 28 คนและแมวประจำเรือบรรทุกสินค้าเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย[44][45]
ในปี ค.ศ. 1932 เรือมอริเทเนียถูกทาสีขาวเพื่อให้เข้ากับบทบาทใหม่ในฐานะเรือสำราญ หลังจากนั้นในปี ค.ศ. 1934 คูนาร์ดไลน์ได้ควบรวมกิจการกับไวต์สตาร์ไลน์ ส่งผลให้เรือมอริเทเนีย รวมถึงเรือโอลิมปิก โฮเมริก และเรือเดินสมุทรเก่าลำอื่น ๆ ถูกมองว่าเกินความจำเป็นและค่อย ๆ ถูกปลดประจำการ[ต้องการอ้างอิง]
ปลดระวาง[แก้]
สายการเดินเรือคูนาร์ด–ไวต์สตาร์ได้ปลดประจำการเรือมอริเทเนียในเดือนกันยายน ค.ศ. 1934 หลังจากการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเที่ยวสุดท้ายจากนิวยอร์กมาเซาแทมป์ตัน โดยใช้ความเร็วเฉลี่ย 24 นอต (44 กม./ชม.; 28 ไมล์/ชม.) ซึ่งตรงกับเงื่อนไขเดิมของสัญญาอุดหนุนค่าขนส่งไปรษณีย์ หลังจากนั้น เรือมอริเทเนียก็ได้ถูกนำไปจอดเก็บไว้ที่เซาแทมป์ตัน ปิดฉากการเดินเรือมานานถึง 28 ปี[39]
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1935 บริษัทแฮมป์ตันแอนด์ซันส์ (Hampton and Sons) ได้จัดการประมูลเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งภายในเรือมอริเทเนีย และในวันที่ 1 กรกฎาคมปีเดียวกัน เรือก็เดินทางออกจากเซาแทมป์ตันเป็นครั้งสุดท้าย มุ่งหน้าสู่บริษัทเมทัลอินดัสตรีส์ (Metal Industries) ซึ่งเป็นอู่รื้อถอนเรือในเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์[39]
เซอร์อาร์เทอร์ รอสตรอน (Arthur Rostron) ผู้เคยเป็นกัปตันเรืออาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย (RMS Carpathia) ในการช่วยผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก และเคยเป็นหนึ่งในกัปตันของเรือมอริเทเนีย ได้เดินทางมาเพื่อดูเรือออกเดินทางเป็นครั้งสุดท้าย โดยรอสตรอนปฏิเสธที่จะขึ้นเรือมอริเทเนีย เขาเล่าว่าเขาอยากจดจำภาพลักษณ์ของเรือไว้ในยุคที่เขาเคยเป็นกัปตัน มากกว่าที่จะเห็นสภาพก่อนรื้อถอน[ต้องการอ้างอิง]
ในระหว่างทาง เรือมอริเทเนียได้แวะพัก ณ สถานที่ที่สร้างเรือที่ริมแม่น้ำไทน์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ฝูงชนที่มามุงดู บนสะพานเดินเรือมีการจุดพลุส่งสัญญาณ ข้อความต่าง ๆ ถูกส่งต่อ[46][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง] นายกเทศมนตรีเมืองนิวคาสเซิลได้ขึ้นเรือมาเยี่ยมชมเรือมอริเทเนียและกล่าวอำลาเรือลำนี้ในนามชาวเมือง ต่อจากนั้นกัปตันเรือคนสุดท้าย เอ. ที. บราวน์ (A. T. Brown) ก็นำเรือออกเดินทางต่อ
ประมาณ 30 ไมล์ไปทางเหนือของนิวคาสเซิล คือ ท่าเรือเล็ก ๆ ชื่อ อัมเบิล (Amble) ตั้งอยู่ในภูมิภาคนอร์ทัมเบอร์แลนด์ สภาท้องถิ่นของเมืองได้ส่งโทรเลขไปยังเรือว่า "ถึงแม้เวลาจะล่วงเลย แต่มอริเทเนียก็ยังคงเป็นเรือที่งดงามที่สุดในท้องทะเล" เรือมอริเทเนียตอบกลับด้วยความซาบซึ้งว่า "ถึงท่าเรือสุดท้ายและแสนดีในอังกฤษ สวัสดีและขอบคุณ"[47] จนถึงทุกวันนี้ อัมเบิลยังเป็นที่รู้จักในชื่อ 'อัมเบิล ท่าเรือมิตรภาพ' ป้ายชื่อนี้ปรากฏเด่นชัดให้ผู้มาเยือนได้เห็นทันทีเมื่อเข้าสู่เมือง เนื่องจากความสูงเกินกว่าจะผ่านใต้สะพานฟอร์ท เรือจึงถูกตัดเสากระโดง จากนั้นก็เรือมุ่งหน้าสู่จุดสิ้นสุดของการเดินทาง ณ บริษัทผู้รื้อถอนซากเรือ[ต้องการอ้างอิง]
วันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1935 เรือมอริเทเนียเดินทางมาถึงเมืองรอสไฟฟ์ ประเทศสกอตแลนด์ ในเวลาประมาณ 6 โมงเช้า ท่ามกลางพายุลมแรง เรือแล่นผ่านใต้สะพานฟอร์ทในเวลา 6:30 น. และเข้าเทียบท่าที่อู่รื้อถอนเรือ ที่ท่าเรือมีชายชาวสก็อตสวมชุดคิลต์เพียงคนเดียว เป่าขลุ่ยเล่นเพลงเศร้าไว้อาลัยเรือมอริเทเนีย
นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ จอห์น แม็กซ์โทน-เกรแฮม (John Maxtone-Graham) ได้รับรายงานว่า "ในขณะที่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ของเรือมอริเทเนียหยุดทำงานเป็นครั้งสุดท้าย เรือได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง... ราวกับเป็นอาการโหยหาหรือร่ำลึกถึงการเดินทางอันยาวนาน"[48] ก่อนเข้าสู่การรื้อถอน เรือมอริเทเนียได้เปิดให้ประชาชนเข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 8 กรกฎาคม โดยมีผู้เข้าชมถึง 20,000 คน และรายได้ทั้งหมดมอบให้กับองค์กรการกุศลท้องถิ่น[48]
การรื้อถอนเรือเริ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดให้ประชาชนเข้าชม เรือถูกตัดแบ่งเป็นชิ้น ๆ ในขณะที่ยังลอยน้ำอยู่ภายในอู่แห้ง ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ค่อยพบเห็นนัก โดยใช้ระบบไม้ค้ำยันที่ซับซ้อนและการทำเครื่องหมายด้วยดินสอเพื่อควบคุมความสมดุล ภายในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ปล่องไฟอันโดดเด่นของเรือก็หายไป การรื้อถอนเรือเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1937[48][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งนำชื่อมอริเทเนียไปใช้ และเพื่อรักษาชื่อนี้ไว้ให้กับเรือลำใหม่ที่จะสร้างในอนาคต คูนาร์ดจึงจัดการให้เรือใบพายชื่อควีน (Queen) ของบริษัทเรือกลไฟเรดฟันเนิล (Red Funnel Paddle Steamer) เปลี่ยนชื่อเป็นมอริเทเนียเป็นการชั่วคราว จนกระทั่งเรือมอริเทเนียลำใหม่เปิดตัวในปี 1938[49][ต้องการเลขหน้า]
การรื้อถอนเรือมอริเทเนียถูกคัดค้านโดยอดีตผู้โดยสารจำนวนมาก และอดีตประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. โรเซอเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) ได้ถึงกับเขียนจดหมายส่วนตัวประท้วงการรื้อถอน[6]
หลังปลดระวาง[แก้]
ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
รายชื่อกัปตัน[แก้]
รายการนี้อิงตามข้อมูลที่มีอยู่และอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ วันที่อาจแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่มา:
- จอห์น พริทชาร์ด (John Pritchard) (16 พฤศจิกายน – 6 ธันวาคม 1907) บัญชาการในการเดินทางเที่ยวแรก
- ธีโอดอร์ วิลเลียม แชลเมอส์ (Theodore William Chalmers) (7 ธันวาคม 1907 – 11 กุมภาพันธ์ 1911) บัญชาการเรือเป็นเวลานานหลายปี และช่วยสร้างชื่อเสียงให้กับเรือในฐานะเรือที่เชื่อถือได้และรวดเร็ว
- เจมส์ ชาลส์ (James Charles) (12 กุมภาพันธ์ 1911 – 16 เมษายน 1912) บัญชาการเรือในช่วงที่เรือทำลายสถิติความเร็ว และในช่วงที่เรือไททานิกอับปาง
- เฮอร์เบิร์ต ออกัสตัส วอเตอร์ (Herbert Augustus Water) (17 เมษายน – 13 พฤศจิกายน 1912) เข้ารับตำแหน่งต่อจากเหตุภัยพิบัติเรือไททานิก และยังคงให้บริการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือมอริเทเนียต่อไป
- วิลเลียม เทอร์เนอร์ (William Turner) (14 พฤศจิกายน 1912 – 12 กรกฎาคม 1913) ได้นำเรือมอริเทเนียผ่านปีแห่งการข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง และได้เห็นการเยือนของกษัตริย์จอร์จที่ 5 และสมเด็จพระราชินีแมรี
- แฮโรลด์ อาร์เทอร์ ไบรท์ (Harold Arthur Bright) (13 กรกฎาคม 1913 – 30 เมษายน 1914) บัญชาการเรือมอริเทเนียระหว่างการเสด็จประพาสอันทรงเกียรติ และดูแลการปรับปรุงประจำปีของเรือที่ลิเวอร์พูล ซึ่งน่าเศร้าที่ประสบเหตุถังแก๊สระเบิดที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต
- อาร์เทอร์ เฮนรี รอสตรอน (Arthur Henry Rostron) (1 พฤษภาคม – 4 สิงหาคม 1914) ผู้โด่งดังจากวีรกรรมในการช่วยเหลือผู้รอดชีวิตจากเรือไททานิก เคยเป็นผู้บัญชาการเรือมอริเทเนียในช่วงสั้น ๆ ก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้น
- วิลเลียม ไมลส์ (William Miles) (5 สิงหาคม 1914 – 1920) บัญชาการเรือผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ซึ่งเรือทำหน้าที่เป็นเรือลาดตระเวนพาณิชย์ติดอาวุธ
- เบนจามิน เจมส์ วิลเลียมส์ (Benjamin James Williams) (1920 – 1924) บัญชาการเรือในระหว่างการฟื้นฟูเรือหลังสงคราม และดูแลการกลับคืนสู่การให้บริการพลเรือนของเรือ
- จอร์จ ชาลส์ เอ็ดการ์ เทอร์เนอร์ (George Charles Edgar Turner) (1924 –1929) นำพาเรือผ่านฤดูกาลที่ประสบความสำเร็จหลายฤดูกาล และดูแลการปรับปรุงครั้งสุดท้ายของเรือ ก่อนสถิติความเร็วข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเรือจะถูกทำลาย
- อาร์เทอร์ โรแลนด์ บราวน์ (Arthur Roland Brown) (1929 – 1934) บัญชาการเรือในช่วงปีสุดท้ายของการเป็นเรือเดินสมุทร ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นเรือสำราญ
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]
เรือมอริเทเนียได้รับการกล่าวถึงในเพลง "The fireman's lament" หรือ "Firing the Mauretania" เพลงนี้เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไอริชที่กล่าวถึงชีวิตอันยากลำบากของคนงานเตาเผาบนเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโหดร้ายของการทำงานบนเรือมอริเทเนีย[50]
เรื่องราวในนิยาย "The Thief" ของไคลฟ์ คัสเลอร์ ( Clive Cussler) เกิดขึ้นบนเรือเดินสมุทรชื่อมอริเทเนีย โดยไฟไหม้รุนแรงได้โหมกระหน่ำบริเวณห้องเก็บสินค้าด้านหน้าของเรือ แต่สุดท้ายก็สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในบทกวี "The Secret of the Machines" ของรัดยาร์ด คิปลิง (Rudyard Kipling) ด้วย โดยปรากฏอยู่ในท่อนนี้:
เรือด่วนแห่งท้องน้ำ รอคำสั่งจากท่านอยู่!
ท่าเรือโน้น ท่านจะพบมอริเทเนีย
จนกระทั่งกัปตันหมุนคันโยกใต้มือ
เมืองมหึมาเก้าชั้นก็ทะยานสู่ทะเล
เรือมอริเทเนียถูกกล่าวถึงในช่วงต้นของภาพยนตร์ ไททานิค ของเจมส์ แคเมรอน เมื่อโรส เดวิตต์ บูเคเตอร์ (รับบทโดย เคต วินสเล็ต) กล่าวว่า "[ไททานิก] ดูไม่ใหญ่ไปกว่าเรือมอริเทเนียเลย" และคู่หมั้นของเธอ คาเลดอน ฮ็อกลีย์ (รับบทโดย บิลลี เซน) อธิบายให้เธอฟังว่า "โรส ที่รัก นี่คือไททานิก มันยาวเกิน 880 ฟุต เป็นเรือลำใหญ่ที่สุดที่เคยสร้างมา"
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง "Maiden Voyage" โดยโรเจอร์ ฮาร์วีย์ (Roger Harvey) นักเขียนชาวอังกฤษ เล่าเรื่องราวการสร้างเรือมอริเทเนียอย่างละเอียด พร้อมด้วยตัวละครผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์กังหันอันล้ำสมัยของเรือ[51]
ดูเพิ่ม[แก้]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ 1.0 1.1 1.2 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อMaritimequest
- ↑ อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อLiner
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 Maxtone-Graham 1972, pp. 41–43.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 24.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 Maxtone-Graham 1972, p. 11.
- ↑ 6.0 6.1 Floating Palaces. (1996) A&E. TV documentary. Narrated by Fritz Weaver.
- ↑ UK Retail Price Index inflation figures are based on data from Clark, Gregory (2017). "The Annual RPI and Average Earnings for Britain, 1209 to Present (New Series)". MeasuringWorth. สืบค้นเมื่อ 2 December 2021.
- ↑ 8.0 8.1 Layton, J. Kent. (2007) Lusitania: An Illustrated Biography, Lulu Press, pp. 3, 39.
- ↑ Vale, Vivian, The American Peril: Challenge to Britain on the North Atlantic, 1901–04, pp. 143–183.
- ↑ "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-07-24. สืบค้นเมื่อ 2023-07-24.
- ↑ Piouffre 2009, p. 52 .
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 25.
- ↑ "RMS Mauretania Construction". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-01-06. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ Layton 2007, p. 44.
- ↑ Williams, Trevor. (1982) A short history of twentieth-century technology. Oxford University Press, p. 174.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 15.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, pp. 38–39.
- ↑ 18.0 18.1 18.2 "RMS Mauretania Fitting Out". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-03-23. สืบค้นเมื่อ 25 November 2008.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 31.
- ↑ 20.0 20.1 20.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 33–36.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 33.
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert.The Lost Ships of Robert Ballard, Thunder Bay Press: 2005; p. 46.
- ↑ Archibald, Rick & Ballard, Robert."The Lost Ships of Robert Ballard," Thunder Bay Press: 2005; pp. 51–52.
- ↑ "British Wreck Commissioner's Inquiry, Day 19, Testimony of Edward Wilding, recalled (20227)". Titanic Inquiry Project.
- ↑ Layton 2010, p. 55.
- ↑ Hackett & Bedford 1996, p. 171.
- ↑ Simpson 1972, p. 159.
- ↑ Anonymous, The Federal Reporter, Volume 174, St. Paul, Minnesota: West Publishing Company, 1910, pp. 166–175.
- ↑ Department of Commerce and Labor Bureau of Navigation Fortieth Annual List of Merchant Vessels of the United States for the Year Ending June 30, 1908, Washington, D.C.: Government Printing Office, 1908, p. 383.
- ↑ Layton 2007, p. 120.
- ↑ "TIP – Titanic Related Ships – Mauretania – Cunard Line".
- ↑ 32.0 32.1 [1][แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ Tansley, Janet (13 January 2016). "Nostalgia: Cunard's super ship RMS Mauretania".
- ↑ Layton 2007, pp. 170–171.
- ↑ 35.0 35.1 35.2 35.3 "RMS Mauretania War Service". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ "Luxury liner played vital war role". BBC News. 13 November 2014.
- ↑ Ocean liners of the past: the Cunard express liners Lusitania and Mauretania. Published by Patrick Stephens, 1970 (p. 207).
- ↑ 38.0 38.1 38.2 "RMS Mauretania Final (Service)". Tyne and Wear Archives Service. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-11-20. สืบค้นเมื่อ 23 November 2008.
- ↑ 39.0 39.1 39.2 Maxtone-Graham 1972, pp. 342–345.
- ↑ "Mauretania". collectionsprojects.org.uk. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-02-06. สืบค้นเมื่อ 2023-12-16.
- ↑ 41.0 41.1 Maxtone-Graham 1972, p. 255.
- ↑ Maxtone-Graham 1972, p. 340.
- ↑ "Website Update | Nova Scotia Archives". novascotia.ca. 20 April 2020.
- ↑ "Swedish steamer abandoned". The Times. No. 45675. London. 20 November 1930. col E, p. 16.
- ↑ "Rescued Swedish crew". The Times. No. 45676. London. 21 November 1930. col F, p. 13.
- ↑ "Welcome to North Atlantic Run". www.northatlanticrun.com.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ "Why we are known as "The Friendliest Port" – The Ambler". 11 December 2012.
- ↑ 48.0 48.1 48.2 Longo, Eric K. (8 July 2010). "Mauretania 75th Anniversary". Liners of the Edwardian Era. สืบค้นเมื่อ 18 September 2018.[แหล่งข้อมูลที่ตีพิมพ์เอง]
- ↑ Adams, R. B. [1986] Red Funnel and Before. Kingfisher Publications.[ต้องการเลขหน้า]
- ↑ Hugill, Stan in Spin, The Folksong Magazine, Volume 1, # 9, 1962.
- ↑ Maiden Voyage by Roger Harvey, New Generation (2017), ISBN 978-1-78719-357-4