ข้ามไปเนื้อหา

ลัทธิมากซ์–เลนิน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก ลัทธิมากซ์-เลนิน)
สัญลักษ์ที่ประกอบไปด้วยหน้าของ คาร์ล มาคส์ และ วลาดีมีร์ เลนิน

ลัทธิมากซ์-เลนิน (อังกฤษ: Marxism–Leninism; รัสเซีย: Марксизм-ленинизм, Marksizm-Leninizm) เป็นอุดมการณ์ที่ใหญ่ที่สุดของกระแสการเคลื่อนไหวของลัทธิคอมมิวนิสต์ หลังจากการเหตุการณ์ปฏิวัติเดือนตุลาคม และเป็นอุดมการณ์ที่โดดเด่นที่สุดของรัฐบาลคอมมิวนิสต์โดยส่วนใหญ่ตลอดศตวรรษที่ 20[1] เป็นอุดมการณ์ของรัฐอย่างเป็นทางการของสหภาพโซเวียตและฝ่ายปกครองประเทศอื่น ๆ ของกลุ่มตะวันออกรวมทั้งขององค์การคอมมิวนิสต์สากล ลัทธินี้ได้รับการพัฒนาโดยโจเซฟ สตาลิน ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1920 โดยอาศัยความเข้าใจและการวิเคราะห์ลัทธิมากซ์ดั้งเดิมและลัทธิเลนิน[2]

ภายหลังกระบวนการของการเอาชนะเสียงข้างมากของพรรคบอลเชวิก (Bolshevization)[2] เป้าหมายของลัทธิมากซ์-เลนินคือการเปลี่ยนแปลงรัฐทุนนิยมให้เป็นรัฐสังคมนิยมเพียงพรรคเดียว ซึ่งนักวิชาการตะวันตกเรียกกันโดยทั่วไปว่า รัฐคอมมิวนิสต์[3][4][5][6] เพื่อสร้างอำนาจเผด็จการของชนชั้นกรรมาชีพ[7] สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จากการปฏิวัติที่นำโดยแนวหน้าระดับชนชั้นนำ ซึ่งจะได้รับการจัดระเบียบตามลำดับชั้นและตัดสินใจผ่านการรวมศูนย์กลางตามระบอบประชาธิปไตย[8][9][10] รัฐจะเข้าควบคุมเศรษฐกิจและปัจจัยการผลิต[11] ส่งเสริมแนวคิดการให้มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในสังคม ปราบปรามความเห็นแย้งทางการเมือง[12][13] และปูทางไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ไร้ชนชั้นและไร้สัญชาติในที่สุด[14] นักลัทธิมากซ์-เลนินโดยทั่วไปจะสนับสนุนลัทธิสากลนิยมและต่อต้านลัทธิทุนนิยม ลัทธิฟาสซิสต์ ลัทธิจักรวรรดินิยม และเสรีประชาธิปไตย ในฐานะอุดมการณ์อย่างหนึ่ง

ปัจจุบัน ลัทธิมากซ์-เลนินเป็นอุดมการณ์ของพรรคการเมืองของลัทธิสตาลินและลัทธิเหมาและยังคงเป็นอุดมการณ์อย่างเป็นทางการของฝ่ายปกครองประเทศของจีน คิวบา ลาว และเวียดนาม[15]

ภายหลังการเสียชีวิตของวลาดีมีร์ เลนินในปี ค.ศ. 1924 ลัทธิมาร์ซ-ลัทธิเลนินกลายเป็นขบวนการทางปรัชญาที่มีความชัดเจนในสหภาพโซเวียต เมื่อสตาลินและผู้สนับสนุนของเขาได้เข้าควบคุมพรรค ได้ปฏิเสธแนวคิดทั่วไปในหมู่นักนิยมลัทธิมาร์ซตะวันตกเกี่ยวกับการปฏิวัติโลก ซึ่งเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการสร้างลัทธิสังคมนิยม เพื่อสนับสนุนแนวคิดสังคมนิยมในประเทศเดียว ตามที่ผู้สนับสนุนได้กล่าวไว้ว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากลัทธิทุนนิยมสู่ลัทธิสังคมนิยมได้บ่งชี้โดยการนำเสนอแผนห้าปีเป็นครั้งแรกและรัฐธรรมนูญโซเวียต ปี ค.ศ. 1936 ความเป็นสากลนิยมของลัทธิมาร์ซ-ลัทธิเลนินได้แสดงออกในการสนับสนุนการปฏิวัติในประเทศอื่นๆ (ตัวอย่างเช่น เริ่มแรกโดยองค์การ์คอมมิวนิสต์สากลหรือผ่านแนวคิดของประเทศพึ่งพาสังคมนิยม ภายหลังการล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน) ในปลายปี ค.ศ. 1920 สตาลินได้สถาปนาออร์ทอดอกซ์ทางอุดมการณ์ในพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย(บอลเชวิก) สหภาพโซเวียตและองค์การคอมมิวนิสต์สากลก่อตั้งองค์กรนักลัทธิมากซ์-เลนินระดับสากลในการบัญญัติแนวคิดของลัทธิมากซ์–เลนิน[16][17] เพื่อกำหนดรูปแบบทฤษฎีวัตถุนิยมวิภาษในฉบับของโซเวียตในปลายปี ค.ศ. 1930 โดยสตาลินและผู้สนับสนุนหนังสือเรียนอย่างเป็นทางการของสตาลินในหัวข้อเรื่องประวัติศาสตร์ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต(บอลเชวิก) (ค.ศ. 1938) นิยมใช้คำว่า ลัทธิมาร์ซ-ลัทธิเลนินในท่ามกลางหมู่คอมมิวนิสต์และไม่ใช่คอมมิวนิสต์[18]

ลัทธิมาร์ซ-ลัทธิเลนินได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางจากทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ของนักลัทธิมากซ์-เลนินได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รวมทั้งนักสังคมนิยมคนอื่นๆ เช่น อนาธิปไตย คอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยสังคมนิยม และนักนิยมลัทธิมาร์ซ รัฐที่นิยมลัทธิมากซ์-เลนินถูกกล่าวหาว่าเป็นลัทธิอำนาจนิยมและระบบรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ รวมทั้งการปราบปรามและสังหารต่อผู้ที่มีความคิดเห็นแย้งทางการเมืองและชนชั้นทางสังคมจำนวนมาก (ที่เรียกกันว่า "ศัตรูของประชาชน") การกดขี่ข่มเหงทางศาสนา การกวาดล้างเผ่าพันธ์ บังคับให้ทำการผลิตเกษตรกรรมแบบรวม และใช้แรงงานเกณฑ์บังคับในค่ายกักกัน[19][20] รัฐต่างๆ ได้ถูกกล่าวหาว่า ได้กระทำการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในประเทศจีน โปแลนด์ และยูเครน[21][22][23][24] นักการเมืองฝ่ายซ้ายที่ต่อต้านลัทธิสตาลินและนักวิจารณ์ฝ่ายซ้ายคนอื่นๆ ได้ลงความเห็นว่า เป็นตัวอย่างของรัฐทุนนิยม[25][26] และได้เรียกกันว่า "พวกฟาสซิสต์แดง" ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้ามกับการเมืองฝ่ายซ้าย[27][28][29] นักฝ่ายซ้ายคนอื่นๆ รวมทั้งนักลัทธิมากซ์-เลนินบางคนได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำกดขี่ของรัฐ ในขณเดียวกันก็ตระหนักถึงความก้าวหน้าบางอย่าง เช่น ความสำเร็จในการเสมอภาคเท่าเทียมกันและการทำให้ทันสมัยภายใต้รัฐดังกล่าว[30][31]

อ้างอิง

[แก้]
  1. Lansford, Tom (2008). Communism. Political systems of the world. New York: Marshall Cavendish Benchmark. ISBN 978-0-7614-2628-8. "By 1985, one-third of the world's population lived under a Marxist–Leninist system of government in one form or another."
  2. 2.0 2.1 Bottomore, T. B. (1991). A Dictionary of Marxist Thought. Wiley-Blackwell. p. 54.
  3. Wilczynski, J. (2008). The Economics of Socialism after World War Two: 1945-1990. Aldine Transaction. p. 21. ISBN 978-0202362281. Contrary to Western usage, these countries describe themselves as 'Socialist' (not 'Communist'). The second stage (Marx's 'higher phase'), or 'Communism' is to be marked by an age of plenty, distribution according to needs (not work), the absence of money and the market mechanism, the disappearance of the last vestiges of capitalism and the ultimate 'whithering away' of the State.
  4. Steele, David Ramsay (September 1999). From Marx to Mises: Post Capitalist Society and the Challenge of Economic Calculation. Open Court. p. 45. ISBN 978-0875484495. Among Western journalists the term 'Communist' came to refer exclusively to regimes and movements associated with the Communist International and its offspring: regimes which insisted that they were not communist but socialist, and movements which were barely communist in any sense at all.
  5. Rosser, Mariana V. and J Barkley Jr. (23 July 2003). Comparative Economics in a Transforming World Economy. MIT Press. p. 14. ISBN 978-0262182348. Ironically, the ideological father of communism, Karl Marx, claimed that communism entailed the withering away of the state. The dictatorship of the proletariat was to be a strictly temporary phenomenon. Well aware of this, the Soviet Communists never claimed to have achieved communism, always labeling their own system socialist rather than communist and viewing their system as in transition to communism.
  6. Williams, Raymond (1983). "Socialism". Keywords: A vocabulary of culture and society, revised edition. Oxford University Press. p. 289. ISBN 978-0-19-520469-8. The decisive distinction between socialist and communist, as in one sense these terms are now ordinarily used, came with the renaming, in 1918, of the Russian Social-Democratic Labour Party (Bolsheviks) as the All-Russian Communist Party (Bolsheviks). From that time on, a distinction of socialist from communist, often with supporting definitions such as social democrat or democratic socialist, became widely current, although it is significant that all communist parties, in line with earlier usage, continued to describe themselves as socialist and dedicated to socialism.
  7. Busky, Donald. Communism in History and Theory: From Utopian socialism to the fall of the Soviet Union. Greenwood Publishing, 2002. pp.163-165
  8. Cooke, Chris, ed. (1998). Dictionary of Historical Terms (2nd ed.). pp. 221–222.
  9. Albert, Michael; Hahnel, Robin (1981). Socialism Today and Tomorrow. Boston, Massachusetts: South End Press. pp. 24–26.
  10. John Morgan, W. "Marxism–Leninism: The Ideology of Twentieth-Century Communism". In: James D. Wright (editor-in-chief), International Encyclopedia of the Social & Behavioral Sciences, 2nd edition. Oxford: Elsevier, 2015. pp.657–662
  11. Andrai, Charles F. (1994). Comparative Political Systems: Policy Performance and Social Change. Armonk, New York: M. E. Sharpe. p. 140.
  12. John Morgan, W. "Marxism–Leninism: The Ideology of Twentieth-Century Communism". In: James D. Wright (editor-in-chief), International Encyclopedia of the Social & Behavioral Sciences, 2nd edition. Oxford: Elsevier, 2015. pp.657–662
  13. Andrai, Charles F. (1994). Comparative Political Systems: Policy Performance and Social Change. Armonk, New York: M. E. Sharpe. p. 140.
  14. Cooke, Chris, ed. (1998). Dictionary of Historical Terms (2nd ed.). pp. 221–222.
  15. Cooke, Chris, ed. (1998). Dictionary of Historical Terms (2nd ed.). pp. 221–222.
  16. Bullock, Allan; Trombley, Stephen, eds. (1999). The New Fontana Dictionary of Modern Thought (3rd ed.). p. 506.
  17. Lisischkin, G. (1989). "Mify i real'nost'" (ในภาษารัสเซีย). Novy Mir (3): 59.
  18. "Marxism". Soviet Encyclopedic Dictionary. p. 00.
  19. Service, Robert (2007). Comrades!: A History of World Communism. Harvard University Press. pp. 3–6.
  20. Gray, Daniel; Walker, David (2009). The A to Z of Marxism. Rowman & Littlefield. p. 305.
  21. "Holodomor". Holocaust and Genocide Studies. College of Liberal Arts, University of Minnesota. สืบค้นเมื่อ 6 October 2020.
  22. Becker, Jasper (24 September 2010). "Systematic genocide" (PDF). The Spectator. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2021-08-02. สืบค้นเมื่อ 6 October 2020.
  23. Karski, Karol (2012). "The Crime of Genocide Committed against the Poles by the USSR before and during World War II: An International Legal Study". Case Western Reserve Journal of International Law. 45 (3): 703–760. สืบค้นเมื่อ 6 October 2020.
  24. Sawicky, Nicholas D. (20 December 2013). The Holodomor: Genocide and National Identity (Education and Human Development Master's Theses). The College at Brockport: State University of New York. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-06. สืบค้นเมื่อ 6 October 2020 – โดยทาง Digital Commons. Scholars also disagree over what role the Soviet Union played in the tragedy. Some scholars point to Stalin as the mastermind behind the famine, due to his hatred of Ukrainians (Hosking, 1987). Others assert that Stalin did not actively cause the famine, but he knew about it and did nothing to stop it (Moore, 2012). Still other scholars argue that the famine was just an effect of the Soviet Union's push for rapid industrialization and a by-product of that was the destruction of the peasant way of life (Fischer, 1935). The final school of thought argues that the Holodomor was caused by factors beyond the control of the Soviet Union and Stalin took measures to reduce the effects of the famine on the Ukrainian people (Davies & Wheatcroft, 2006).
  25. Cliff, Tony (1996). State Capitalism in Russia (PDF). สืบค้นเมื่อ 6 October 2020 – โดยทาง Marxists Internet Archive.
  26. Alami, Ilias; Dixon, Adam D. (January 2020). "State Capitalism(s) Redux? Theories, Tensions, Controversies". Competition & Change. 24 (1): 70–94. doi:10.1177/1024529419881949. ISSN 1024-5294.
  27. Voline (1995). แปลโดย Sharkey, Paul. "Red Fascism". Itinéraire. Paris (13). สืบค้นเมื่อ 6 October 2020 – โดยทาง The Anarchist Library. First published in the July 1934 edition of Ce qu'il faut dire (Brussels).{{cite journal}}: CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  28. Meyer, Gerald (Summer 2003). "Anarchism, Marxism and the Collapse of the Soviet Union". Science & Society. 67 (2): 218–221. ISSN 0036-8237. JSTOR 40404072.
  29. Tamblyn, Nathan (April 2019). "The Common Ground of Law and Anarchism". Liverpool Law Review. 40 (1): 65–78. doi:10.1007/s10991-019-09223-1. ISSN 1572-8625.
  30. Parenti, Michael (1997). Blackshirts and Reds: Rational Fascism and the Overthrow of Communism. San Francisco: City Lights Books. ISBN 9780872863293.
  31. Milne, Seumas (16 February 2006). "Communism may be dead, but clearly not dead enough". The Guardian. Retrieved 18 April 2020. "The dominant account gives no sense of how communist regimes renewed themselves after 1956 or why western leaders feared they might overtake the capitalist world well into the 1960s. For all its brutalities and failures, communism in the Soviet Union, eastern Europe and elsewhere delivered rapid industrialisation, mass education, job security and huge advances in social and gender equality."

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]