ข้ามไปเนื้อหา

มูแลงรูจ!

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
มูแลงรูจ!
ใบปิดภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ
กำกับบาซ เลอห์มานน์
เขียนบทบาซ เลอห์มานน์
เครก เพียร์ซ
อำนวยการสร้างบาซ เลอห์มานน์
เฟรด แบรอน
มาร์ติน บราวน์
นักแสดงนำยวน แมคเกรเกอร์
นิโคล คิดแมน
จิม บรอดเบนต์
ริชาร์ด ร็อกซ์เบิร์ก
จอห์น เลกูชิอาโน
ไคลี มิโนก
กำกับภาพDonald McAlpine
ตัดต่อJill Bilcock
ดนตรีประกอบเครก อาร์มสตรอง
ผู้จัดจำหน่าย20th Century Fox
วันฉายสหรัฐอเมริกา:
1 มิถุนายน, พ.ศ. 2544
ไทย:
3 สิงหาคม, พ.ศ. 2544
ความยาว128 นาที
ประเทศธงของประเทศออสเตรเลีย ออสเตรเลีย
 สหราชอาณาจักร
 สหรัฐ
ภาษาภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง$52,500,000[1]
ทำเงิน$179,213,434[2]
ข้อมูลจาก IMDb
ข้อมูลจากสยามโซน

มูแลงรูจ! (อังกฤษ: Moulin Rouge!) เป็นภาพยนตร์เพลงเรื่องที่สามในภาพยนตร์ชุดไตรภาค "The Red Curtain Trilogy" ของบาซ เลอห์มานน์ ออกฉายในปี พ.ศ. 2544 เขียนบทโดยเลอห์มานน์ ดัดแปลงจากเรื่องของออร์ฟิอุสและยูริดิซี ในตำนานเทพปกรณัมกรีก และจากอุปรากรเรื่อง La Traviata ของจูเซปเป แวร์ดี

ภาพยนตร์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ 8 สาขา และได้รับรางวัลสองสาขา จากการออกแบบเครื่องแต่งกาย และการออกแบบฉาก โดยแคเทอรีน มาร์ติน (ภรรยาของเลอห์มานน์) และได้รับรางวัลลูกโลกทองคำ สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (ภาพยนตร์ตลกและเพลง) นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม (นิโคล คิดแมน) และดนตรีประกอบยอดเยี่ยม และได้รับรางวัลบาฟตา สาขานักแสดงประกอบชายยอดเยี่ยม (จิม บรอดเบนท์) [3]

เรื่องย่อ

[แก้]
นิโคล คิดแมน กับ ยวน แมคเกรเกอร์ ในภาพยนตร์

เรื่องราวในภาพยนตร์เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1899 ที่โรงละครมูแล็งรูฌ ย่านม็องมาร์ ในกรุงปารีส ซึ่งมีจุดเด่นที่อาคารโรงละครเป็นรูปกังหันลม (ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า มูแลงส์)

กวีและนักเขียนหน้าใหม่ชาวอังกฤษชื่อ คริสเตียน (รับบทโดย แมคเกรเกอร์) ได้รับการชักชวนจากตูลูส-โลแตร็ก (รับบทโดย เลกูซิอาโน) ให้เขียนบทละครเพลงเรื่องใหม่ให้กับคณะคาบาเรต์ของแฮโรลด์ ซิดเลอร์ (รับบทโดย บรอดเบนท์) ชื่อเรื่อง "Spectacular Spectacular" เขามีความรักกับ ซาทีน (รับบทโดย คิดแมน) นางเอกระบำแคนแคนและหญิงงามเมืองในคณะของซิดเลอร์ ละครเพลงเรื่องใหม่นี้ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากท่านดยุกแห่งมอนร็อธ (รับบทโดย ร็อกซ์เบิร์ก) โดยมีเงื่อนไขว่าซาทีนจะต้องตกเป็นนางบำเรอของท่านดยุกก่อนจะเปิดการแสดงรอบแรก

ละครเพลง Spectacular Spectacular ที่ซ้อนอยู่ในเรื่อง เป็นละครเพลงแบบโบฮีเมีย คือมีเนื้อเรื่องในอุดมคติเกี่ยวกับความจริง ความสวยงาม อิสรภาพ และความรัก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมอินเดีย [4] เกี่ยวกับนางบำเรอของมหาราชาอินเดีย ที่ลักลอบมีความรักกับนักเล่นซีตาร์พเนจร เปรียบเทียบกับความรักของซาทีน กับคริสเตียน และดยุก

ก่อนการแสดงรอบแรกจะเริ่มขึ้น ดยุกพบความจริงว่า คริสเตียนกับซาทีนลักลอบมีความสัมพันธ์กันตลอดมา จึงยื่นคำขาดกับซิดเลอร์ ให้กำจัดคริสเตียนให้พ้นทาง มิฉะนั้นจะให้ลูกสมุนสังหารคริสเตียนเสีย ซาทีนจึงบอกกับคริสเตียนว่า เธอเลือกที่จะแต่งงานกับดยุก เช่นเดียวกับในเรื่อง Spectacular Spectacular ที่นางสนมเลือกอภิเษกกับมหาราชา แทนที่จะเป็นนักเล่นซีตาร์ ทั้งนี้เพื่อผลักไสให้เขาเดินออกไปจากชีวิตของเธอ และไม่ถูกสมุนของดยุกสังหาร

ด้วยความคับแค้นใจ คริสเตียนกลับมาขึ้นบนเวทีระหว่างการแสดงรอบแรก ในชุดแต่งกายของนักเล่นซีตาร์ เขาประกาศตัดสัมพันธ์กับซาทีนต่อหน้าผู้ชมทั้งโรงละคร แล้วเดินจากไป แต่เมื่อซาทีนร้องเพลง "Come What May" เพลงที่ทั้งคู่เคยตกลงกันว่าจะใช้แสดงความรักต่อกัน ในตอนท้ายของการแสดง ทั้งคริสเตียนและซาทีนก็รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของอีกฝ่าย

การแสดงละครรอบแรกสำเร็จลงด้วยดี ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลามจากผู้ชม แต่ซาทีนก็เสียชีวิตลงหลังการแสดงจบ จากอาการป่วยเป็นวัณโรคเรื้อรัง ในอ้อมกอดของคริสเตียน ก่อนตายเธอให้เขาสัญญาว่า จะเขียนเรื่องราวความรักระหว่างคนทั้งคู่ เกี่ยวกับ "สิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้เรียนรู้ คือการได้รัก และถูกรักตอบ" [5]

หนึ่งปีหลังการเสียชีวิตของซาทีน คริสเตียนได้เริ่มเขียนบทละคร พรรณนาความรักของเขากับซาทีน ชื่อเรื่องว่า "มูแลงรูจ"

นักแสดง

[แก้]

ดนตรีประกอบภาพยนตร์

[แก้]

ดนตรีประกอบภาพยนตร์ในเรื่องมีความโดดเด่นที่การนำเพลงในสมัยนิยม ทั้งทำนองเพลง หรือคำร้องบางส่วน ไม่ว่าจะเป็นเพลงป็อบ ร็อก ริทึมแอนด์บลู มาสอดแทรกนำเสนอในเนื้อหาของภาพยนตร์ ได้แก่

ในภาพยนตร์มีเพลงที่แต่งขึ้นใหม่หนึ่งเพลง คือเพลง "Come What May" แต่งโดย David Baerwald (เป็นคนละเพลงกับเพลง Come What May ที่ขับร้องในปี 1952 โดย แพตตี เพจ) ขับร้องโดยยวน แมคเกรเกอร์ และนิโคล คิดแมน เป็นเพลงที่เดิมแต่งขึ้นสำหรับใช้ในภาพยนตร์เรื่องก่อนหน้าของเลอห์แมนน์ คือเรื่อง โรมิโอ + จูเลียต แต่ได้นำมาใช้ในภาพยนตร์เรื่องนี้แทน [6] โดยใช้เป็นเพลงสำหรับลักลอบแสดงความรักต่อกันระหว่างคริสเตียนและซาทีนในเรื่อง

การที่ภาพยนตร์ใช้เพลงฮิตจำนวนมาก ทำให้เลอห์มานน์ต้องใช้เวลาเกือบสองปีในการติดต่อเรื่องลิขสิทธิ์

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Moulin Rouge! (2001) - Box Office and Business". The Internet Movie Database. สืบค้นเมื่อ 2009-03-27.
  2. "Moulin Rouge!". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 2009-03-27.
  3. http://www.imdb.com/title/tt0203009/awards
  4. Murray, Rebecca. "Baz Luhrmann Talks Awards and "Moulin Rouge"". About.com Hollywood Movies. สืบค้นเมื่อ 2009-03-27.
  5. the greatest thing you'll ever learn is just to love, and be loved in return จากเนื้อเพลง "Nature Boy" ปี 1947 แต่งโดย eden ahbez ดัดแปลงคำร้องสำหรับใช้ในภาพยนตร์โดยเดวิด โบวี
  6. "Alex's Oscar Column #09 for the 74th Annual Academy Awards". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-25. สืบค้นเมื่อ 2009-09-28.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]