พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ)
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2404 - 3 มีนาคม พ.ศ. 2460) นามเดิม กมล ผู้ได้รับพระราชทานนามสกุลสาลักษณ สมุหพระอาลักษณ์ เลขานุการรัฐมนตรีสภา ปลัดทูลฉลองกระทรวงเกษตราธิการ ปลัดทูลฉลองกระทรวงมุรธาธร ผู้ช่วยราชเลขาธิการ ราชเลขานุการ[1] องคมนตรี[2]
เนื้อหา
ปฐมวัย[แก้]
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา มีนามเดิมว่า กมล เป็นบุตรของพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 กับคุณหญิงอิ่ม เกิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2404 ปีระกา ที่เรือนมารดาในบ้านของพระศรีสหเทพ (เพง) ซึ่งตั้งอยู่ติดกับสี่แยกถนนเจริญกรุง และถนนเฟื่องนคร หรือที่รู้จักกันในนามของสี่กั๊กพระยาศรีในปัจจุบัน
พระยาศรีภูริปรีชาได้เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่ยังเล็ก โดยมารดาได้เริ่มสอนอ่านหนังสือตั้งแต่ 5 ขวบ ครั้นบิดา พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) ได้พาขึ้นเฝ้าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยให้อ่านหนังสือถวายตัว จนพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัยเอ็นดูและพระราชทานทองคำลิ่มเป็นรางวัล
การศึกษา[แก้]
เนื่องจากพระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) ผู้เป็นบิดา แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้มากอย่างยิ่ง แต่ก็หาได้มีเวลาว่างจากงานราชการเลย มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) จึงต้องเที่ยวเรียนวิชาในสำนักอื่น อาทิเช่น วัดพระเชตุพน สำนักพระมงคลเทพมุนี (เที่ยง) สำนักพระครูสมุหคณิศร (โต) และสำนักหมอยอน ฮัสเสต ชันดเลอร์ (หมอจัน) ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาชาวอเมริกัน เป็นต้น
นอกจากนี้ พระยาศรีภูริปรีชายังเคยได้รับการอบรมสั่งสอนวิชาจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร ร่วมกับนายเจิม ซึ่งเป็นน้องชาย เมื่อครั้นยังเป็นเสมียนฝึกหัด[3]
ชีวิตราชการ[แก้]
- มหาดเล็กวิเศษ รับราชการอยู่เวรศักดิ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2425 รับราชการในกรมราชเลขาธิการ
- พ.ศ. 2425 ลาอุปสมบท ณ สำนักวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทโว) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพระอรุณนิภาคุณากร วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
- พ.ศ. 2428 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นนายจำนงราชกิจ หุ้มแพรวิเศษในกรมพระอาลักษณ์
- พ.ศ. 2433 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงจำนงนริศร
- พ.ศ. 2435 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเลขานุการแห่งองคมนตรีสภา ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2436 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีสุนทรโวหาร ตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์
- พ.ศ. 2437 โปรดเกล้าฯ ให้เป็นเลขานุการแห่งมนตรีสภา ในรัฐมนตรีสภาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
- พ.ศ. 2440 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงเกษตราธิการ (อีกตำแหน่งหนึ่ง) โดยมิให้ขาดจากตำแหน่งเดิม (เจ้ากรมพระอาลักษณ์)
- พ.ศ. 2455 โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดทูลฉลอง กระทรวงมุรธาธร
- พ.ศ. 2455 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปรับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาธิการ
- พ.ศ. 2459 เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศรีภูริปรีชา รามาธิปติราชภักดี ศรีสาลักษณวิสัย อภัยพิริยพาหะ ตำแหน่งสมุหพระอาลักษณ์
ราชการพิเศษ[แก้]
- กรรมการองคมนตรี
- ที่ปรึกษาความฎีกาทูลเกล้าฯ ถวาย
- กรรมการหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร (หอสมุดแห่งชาติ)[4]
- เลขานุการกรรมการจัดการสร้างพระบรมรูปทรงม้า
- เลขานุการกรรมการจัดการสมโภชราชสมบัติครบ 41 ปี
- เลขาธิการราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม
ยศ[แก้]
- มหาเสวกโท (ยศในพระราชสำนัก)
- นายกองตรี (ยศในกองเสือป่า)
พระราชทานนามสกุล[แก้]
ด้วยเหตุที่ตระกูลสาลักษณได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ในตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์ถึงสามชั้น นับตั้งแต่รุ่นบิดา อันได้แก่ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ฟัก สาลักษณ) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สืบต่อมายัง มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา สมุหพระอาลักษณ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จวบจนกระทั่งถึงบุตร คือ มหาเสวกตรี พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ) ก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้ดำรงในตำแหน่งเจ้ากรมพระอาลักษณ์สืบทอดต่อจากปู่และบิดาด้วยเช่นกัน
สำหรับการพระราชทานนามสกุลได้ปรากฏความ ดังในพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งได้กล่าวถึงความไว้วางพระราชหฤทัย อันควรค่าแก่การรำลึกและภาคภูมิใจ ด้วยเหตุเพราะมิใช่ของง่ายที่บุตรจะได้รับสืบทอดในตำแหน่งและหน้าที่ทางราชการของบิดา และด้วยเหตุดังกล่าวนี้เอง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้พระราชทานนามสกุลแก่พระยาศรีภูริปรีชาว่า สาลักษณ ซึ่งเขียนเป็นตัวอักษรโรมันว่า Salakshna โดยนามสกุลสาลักษณนับเป็นนามสกุลพระราชทานชุดแรกในลำดับที่ 56 ของประกาศกระทรวงมุรธาธร เรื่อง การพระราชทานนามสกุลครั้งที่ 1[5]
ผลงานทางด้านการประพันธ์และงานทางด้านสาธารณกุศล[แก้]
นอกจากงานในหน้าที่ราชการแล้ว มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ยังได้รับการยกย่องให้เป็นนักประพันธ์คนสำคัญท่านหนึ่งของประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากผลงานอันประกอบไปด้วย
- 1. ตำนานทัพเรือไทย (พิมพ์ลงในหนังสือสมุทรสาร)
- 2. บทละครดึกดำบรรพ์ เรื่องสิทธิธนู ซึ่งใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบนอกเวลาวิชาภาษาไทยตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ ที่ วก.228/2538 และวก.256/2538[6]
- 3. คำเจรจาโขนหลวง ตอนสุครีพถอนพญารัง และตอนถวายลิง
- 4. โคลงสุภาษิต
ในส่วนของงานทางด้านสาธารณกุศล มหาเสวกโทพระยาศรีภูริปรีชาได้มีการบริจาคทานอยู่เป็นนิจ ดังจะเห็นได้จากการบริจาคเงินเป็นจำนวน 45 บาท เพื่อเป็นสาธารณกุศลในการพยาบาล เนื่องในโอกาสคล้ายวันเกิด โดยมอบให้แก่เจ้าพนักงานกระทรวงธรรมการเป็นผู้นำไปดำเนินการต่อ[7] เป็นต้น
รวมไปถึงการสร้างตึกสาลักษณาลัย[8] ภายในวัดโสมนัสราชวรวิหาร เพื่อเป็นโรงเรียนสำหรับสาธารณประโยชน์ โดยสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่คุณหญิง (พึ่ง) ศรีภูริปรีชา และได้ขอแบบจากกรมศึกษาธิการไปจัดการก่อสร้างเป็นตึกสองชั้น ยาว 8 วา กว้างในประธาน 4 วา สามารถจุนักเรียนได้ห้องละ 30 คน รวมทั้งสิ้น 4 ห้อง โดยในการนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชศรัทธาพระราชทานทรัพย์เข้าในส่วนกุศล ร่วมด้วยเจ้านายหลายพระองค์ และข้าราชการอีกเป็นจำนวนมาก พร้อมกันนี้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามตึกโรงเรียนหลังดังกล่าวนี้ว่า สาลักษณาลัย อีกด้วย
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา ได้มอบตึกดังกล่าวให้แก่กรมศึกษาธิการเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2459 และในปัจจุบันตึกสาลักษณาลัยได้กลายเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมภายในวัดโสมนัสราชวรวิหาร ยังประโยชน์สมดังเจตนารมณ์ของท่านเจ้าคุณในที่สุด
ชีวิตครอบครัวและชีวิตในบั้นปลาย[แก้]
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ได้ตั้งเคหสถานอยู่ที่ถนนตลาด ตำบลนางเลิ้ง จังหวัดพระนคร และสมรสกับคุณหญิง (พึ่ง) ศรีภูริปรีชา มีบุตรธิดาจำนวนทั้งสิ้น 8 คน[9] ได้แก่
- 1. มหาเสวกตรี พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ)
- 2. ท่านผู้หญิง (ถวิล) ธรรมศักดิมนตรี สมรสกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
- 3. นาง (ปรุง) ธรรมศักดิมนตรี ภริยาในเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
- 4. นาง (ฉวี) บวรวาที
- 5. หลวงวิจิตรราชมนตรี (เล็ก สาลักษณ)
- 6. พระสุนทรวาจนา (สุนทร สาลักษณ) อัครราชทูต ณ กรุงเบอร์ลิน[10] สมรสกับนางสุนทรวาจนา (สดับ) และนางสุนทรวาจนา (สดม) ซึ่งทั้งสองท่านล้วนเป็นบุตรีของเจ้าพระยาพิชัยญาติ (ดั่น บุนนาค)[11]
- 7. นางสาวศรี สาลักษณ
- 8. นายอุดม สาลักษณ
เครื่องราชอิสริยาภรณ์[แก้]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์รัตนวราภรณ์ (ร.ว.)[12]
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นที่ 2 ทุติยจุลจอมเกล้าวิเศษ (ท.จ.ว.)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้น 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)
- พ.ศ. ไม่ปรากฏ -
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้น 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)
เหรียญดุษฎีมาลา เข็มศิลปวิทยา (ร.ด.ม.(ศ))
เหรียญรัตนาภรณ์ รัชกาลที่ 6 (ว.ป.ร.2)
ตราวชิรมาลา (ว.ม.ล.)[13]
- พานทอง เต้าน้ำทอง กระโถนทอง ตามราชประเพณี
เหรียญราชินี
เหรียญราชรุจิ ชั้นกะไหล่ทอง
เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)
เข็มพระราชทาน[แก้]
- เข็มเสด็จประพาสยุโรปรักษาพระนครคราวหลัง
- เข็มพระชนมายุสมมงคลทอง
- เข็มพระบรมนามาภิไธย ว.ป.ร. ประดับเพชร
- เข็มข้าหลวงเดิม
- เข็มพระรูปสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี ชั้นที่ 2
- เข็มไอราพต
ถึงแก่อนิจกรรม[แก้]
มหาเสวกโท พระยาศรีภูริปรีชา (กมล สาลักษณ) ถึงแก่อนิจกรรมในปีมะเส็ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2460 (นับแบบปัจจุบันตรงกับ พ.ศ. 2461) สิริอายุรวม 56 ปี ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมสวมศพตั้งบนแว่นฟ้า 2 ชั้น ตั้งฉัตรเบญจา 4 คัน กลองชนะเขียว 10 จ่าปี่ 1 ประโคมประจำศพ กับพระสงฆ์สวดพระอภิธรรมรับพระราชทานฉันเช้า 4 รูป มีกำหนด 3 วันเป็นเกียรติยศ[14]
อ้างอิง[แก้]
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/A/283.PDF
- ↑ http://dl.kids-d.org/handle/123456789/2473
- ↑ http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/monk-raja/krompraya_vajirayarn-hist-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2.htm
- ↑ https://th.wikisource.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A3_%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88_%E0%B9%98
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2456/D/648.PDF
- ↑ http://www.bhannakij.com/product/84939/บทละครดึกดำบรรพ์_เรื่อง_สิทธิธนู_(พร้อมบทเสริมท้าย)/
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2449/036/916_1.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2460/D/3768.PDF
- ↑ http://www.sammajivasil.net/sripen/sriphen.htm
- ↑ http://thaiembassy.de/site/index.php/de/uncategorised/686-ambassadors-and-ministers
- ↑ http://www.bunnag.in.th/prarajpannuang085.html
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/D/2395.PDF
- ↑ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2458/D/5.PDF
- ↑ "ข่าวถึงอนิจกรรม" (PDF). ราชกิจจานุเบกษา. 34 (ง): 3617. 10 มีนาคม 2460. สืบค้นเมื่อ 23 มิถุนายน 2562.