สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส
สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส (บุญทัน ธมฺมญาโณ) | |
---|---|
สมเด็จพระสังฆราชแห่งพระราชอาณาจักรลาว | |
ดำรงพระยศ | พ.ศ. 2496 — พ.ศ. 2518 |
สถาปนา | พ.ศ. 2496 วัดใหม่สุวรรณภูมาราม |
ก่อนหน้า | รวมพระราชอาณาจักรลาว |
ถัดไป | สิ้นสุดระบบสังฆราช |
พรรษา | 69 |
สถิต | วัดใหม่สุวรรณภูมาราม |
นิกาย | มหานิกาย |
ประสูติ | 7 ธันวาคม พ.ศ. 2435 บ้านป่าขาม ตาแสงป่าขาม หลวงพระบาง |
สิ้นพระชนม์ | 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524 (88 ปี 200 วัน) โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพมหานครประเทศไทย |
พระชนก | เซียงผุย บุปผรัตน์ |
พระชนนี | ป้อม บุปผรัตน์ |
สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส (ลาว: ສົມເດັດພະສັງຄະລາດຍອດແກ້ວພຸດທະຊິໂນຣົສ) พระนามเดิมว่า บุญทัน บุปผรัตน์ (ลาว: ບຸນທັນ ບຸບຜາລັດ) (พ.ศ. 2435 — 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชพระองค์แรกและพระองค์เดียวในยุคพระราชอาณาจักรลาว
ประวัติ[แก้]
สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส ประสูติเมื่อปีมะโรง (ปีเต่าสี) วันพุธ แรม 3 ค่ำ ตรงกับวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1892 (พ.ศ. 2435) ที่บ้านป่าข้าม ตาแสงป่าขาม กำแพงเมืองหลวงพระบาง ในรัชสมัยของพระเจ้ามหินทรเทพนิภาธร ผู้ทรงเป็นพระเจ้านครหลวงพระบางในเวลานั้น ทรงมีพระนามเดิมว่า บุญทัน บุปผรัตน์ พระชนกชื่อ เซียงผุย พระชนนีชื่อ ป้อม พระองค์เป็นบุตรคนที่ 4 จากพี่น้อง 5 คน
ทรงบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2447 ณ พัทธสีมาวัดล้องคูณ ตาแสงเชียงแมน เมืองหลวงพระบาง แขวงหลวงพระบาง โดยมีอาชญาครูหลวงเหล็กใหญ่เป็นพระอุปัชฌาย์ ทรงพระผนวชเมื่อ 30 เมษายน พ.ศ. 2455 ณ พัทธสีมาวัดป่าไผ่ แขวงหลวงพระบาง โดยมีพระอัครวรราชครูเพ็ง พุทธฺรกฺขิโต (ภายหลังทรงได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรหลวงพระบาง) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับพระนามฉายาทางธรรมว่า ธมมฺญาโณ จากนั้นได้ทรงประทับจำพรรษาที่วัดล้องคูณ เมืองหลวงพระบาง จนถึง พ.ศ. 2483 รวมระยะเวลา 37 พรรษา
พระองค์ได้รับการฮดสรง (กระทำพิธีเถราภิเษก) สถาปนาสมณศักดิ์เป็นพระสำเร็จตามธรรมเนียมล้านช้างเมื่อปี พ.ศ. 2455 เลื่อนเป็นอาชญาซาในปี พ.ศ. 2458 เป็นอาชญาครูในปี พ.ศ. 2462 เป็นพระหลักคำธรรมญาณวิสุทธิคุณในปี พ.ศ. 2465 และเป็นพระลูกแก้วพุทธชิโนรส ธรรมญาณมหาเถระ เมื่อ พ.ศ. 2470 ต่อมาทรงได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ให้เป็น พระยอดแก้วพุทธชิโนรส สกลมหาสังฆปาโมกข์ ธรรมญาณมหาเถระ สมเด็จพระสังฆราชแห่งราชอาณาจักรหลวงพระบาง เมื่อปี พ.ศ. 2479 และได้ทรงรับอาราธนามาจำพรรษา ณ วัดใหม่สุวรรณภูมาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงติดกับพระราชวังหลวงพระบาง เมื่อ พ.ศ. 2483 และได้ประทับอยู่ที่นี่จนถึง พ.ศ. 2522 รวมระยะเวลา 39 พรรษา
ในปี พ.ศ. 2496 เมื่อประเทศลาวได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์จากฝรั่งเศส และดินแดนลาวทั้งสามส่วนได้รวมกันเป็นเอกภาพภายใต้ชื่อพระราชอาณาจักรลาวแล้ว พระองค์จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชแห่งพระราชอาณาจักรลาว ทรงบริหารการคณะสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรจนกระทั่งเสด็จลี้ภัยออกจากประเทศลาวเมื่อปี พ.ศ. 2522
สมณกิจอันสำคัญ[แก้]
สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส เสด็จเยือนนานาประเทศเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีทางศาสนา เช่น ไทย พม่า อินเดีย ศรีลังกา และนานาประเทศในยุโรป เช่น ทรงเจริญสัมพันธไมตรีกับสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6 ที่นครรัฐวาติกัน และเสด็จเยือนสถานที่สำคัญของทางพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และยังได้เสด็จเยือนประเทศพม่าและได้รับถวายสมณศักดิ์ที่ อภิธชมหารัฐคุรุ เมื่อปี พ.ศ. 2500 นอกจากนี้ยังได้ทรงจัดทำพระไตรปิฎกภาษาลาวขึ้นมาเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2515 แต่ไม่ได้จัดทำสำเร็จลุล่วงเนื่องจากเหตุการณ์ความไม่สงบของบ้านเมืองในประเทศลาวในเวลานั้น
ความขัดแย้งทางการเมืองและคณะสงฆ์[แก้]
เมื่อเจ้าเพชรราชสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2502 ความวุ่นวายทางการเมืองลาวได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยได้แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายเจ้าสุวรรณภูมา อันเป็นฝ่ายกลาง ฝ่ายเจ้าบุญอุ้ม ณ จำปาศักดิ์ อันเป็นฝ่ายขวา และฝ่ายเจ้าสุภานุวงศ์ อันเป็นฝ่ายซ้าย โดยฝ่ายกลางและขวาได้รับการสนับสนุนจากโลกเสรีคือสหรัฐและประเทศฝรั่งเศส ส่วนฝ่ายซ้ายได้รับการสนับสนุนจากโลกคอมมิวนิสต์คือ สหภาพโซเวียต, จีน และเวียดนามเหนือ โดยรัฐบาลฝ่ายขวาได้กดดันให้สมเด็จพระสังฆราชนำพระสงฆ์จากภาคอีสานมาเทศนาต่อต้านฝ่ายซ้าย แต่ปรากฏว่าพระสงฆ์จากอีสานล้วนเป็นพระธรรมยุต ขณะที่พระสงฆ์ในลาวส่วนใหญ่เป็นพระมหานิกาย โดยความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้พระสงฆ์ลาวได้เข้าสนับสนุนทั้งฝ่ายซ้ายและขวา โดยพระสงฆ์มหานิกายเข้าสนับสนุนฝ่ายซ้าย ส่วนพระสงฆ์ธรรมยุตและมหานิกายบางส่วนยังสนับสนุนฝ่ายขวา นอกจากนี้ การออกพระราชบัญญัติลำดับที่ 160 ซึ่งสามารถก้ายก่าวอำนาจของคณะสงฆ์ ข้าราชการสามารถใช้สิทธิยับยั้งอำนาจแต่งตั้งสงฆ์ ทำให้พระสงฆ์ส่วนหนึ่ง ไม่พอใจและเข้าร่วมกับกลุ่มฝ่ายซ้าย
เสด็จลี้ภัยสู่ประเทศไทย[แก้]
ต่อมาเมื่อพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ได้ทำการปฏิวัติได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2518 ในระยะแรก ได้ทำการใช้พระสงฆ์เป็นสื่อโฆษณาต่อประชาชนเพื่อเชื่อมต่อระหว่างกลุ่มผู้นำและประชาชน แต่ในเวลาต่อมากลับใช้คำสอนของพระพุทธศาสนาดัดแปลงจากคำสอนของ คาร์ล มาร์กซ์ และ วลาดีมีร์ เลนิน กลายเป็นคำสอนแบบใหม่เพื่อปลุกระดมและโฆษณาประชาชนแทน โดยในระยะต่อมา ได้มีการนำพระสงฆ์ไปสัมมนาทั้งการอบรมและใช้แรงงาน และถึงกับถูกทำร้ายหรือสังหารแบบเดียวกับเขมรแดงและอาจจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวิทยุของรัฐบาลระบอบใหม่
ต่อมา พรรคประชาชนปฏิวัติลาวได้ทำการยกเลิกตำแหน่งสงฆ์และจัดระเบียบสถาบันสงฆ์ใหม่ในปี พ.ศ. 2519 โดยมีองค์กรพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว เป็นองค์กรหลักของคณะสงฆ์ลาวและได้ยุบรวมคณะมหานิกายและธรรมยุต กลายเป็นคณะสงฆ์ลาว โดยหลังจากการยกเลิกตำแหน่งทางระบอบเก่า สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรสได้ทรงดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษาขององค์กรพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว
โดยสาเหตุสำคัญที่ได้ทรงลี้ภัยมาที่ประเทศไทยก็คือ การที่มีการเดินขบวนประท้วงพระองค์ให้สิ้นอำนาจในคณะสงฆ์และการรื้อถอนทำลายศาลาพันห้อง ณ กรุงเวียงจันทน์ โดยต่อมา พระหลักคำสุวรรณบุรีศรีคณาจารย์ เจ้าคณะแขวงหลวงพระบางและเลขานุการส่วนพระองค์ ได้คิดให้พระองค์ลี้ภัยไปยังประเทศไทยโดยประทับแพยางรถยนต์ข้ามแม่น้ำโขง ในวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2522 โดยทรงได้ประทับที่วัดหายโศก จังหวัดหนองคาย ก่อนเสด็จประทับที่วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดอุดรธานี และเสด็จย้ายไปทรงรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลสงฆ์ ถนนศรีอยุธยา กรุงเทพมหานคร ตามลำดับ
สิ้นพระชนม์[แก้]
สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วพุทธชิโนรส สิ้นพระชนม์เมื่อเวลา 19.30 น. ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2524 รวมเวลารักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลสงฆ์ เป็นเวลา 4 เดือน 26 วัน สิริพระชนมายุ 90 พรรษา ทรงดำรงสมณเพศเป็นพระภิกษุได้ 69 พรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานโกศไม้สิบสองแก่สมเด็จพระสังฆราชยอดแก้วฯ และต่อมาโปรดให้พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ในขณะนั้น) ถวายพระเพลิงพระศพ ณ เมรุวัดเทพศิรินทร์ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2528 พระอัฐิของพระองค์ได้บรรจุไว้ ณ ฐานบัลลังก์ของพระพุทธรูปศิลปะแบบสุโขทัย เบื้องขวาของพระศรีศากยมุนีซึ่งเป็นพระประธานภายในพระวิหารวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ กรุงเทพมหานคร