วัคซีนโรคคอตีบ
DT vaccine in Japan | |
รายละเอียดวัคซีน | |
---|---|
โรคที่เป็นข้อบ่งชี้ | Corynebacterium diphtheriae |
ชนิด | Toxoid |
ข้อมูลทางคลินิก | |
MedlinePlus | a607027 |
ช่องทางการรับยา | Intramuscular injection |
รหัส ATC | |
ตัวบ่งชี้ | |
ChemSpider |
|
7 (what is this?) (verify) | |
วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ (Diphtheria) เป็นวัคซีนที่ใช้เพื่อต่อต้านเชื้อ Corynebacterium diphtheriae ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคคอตีบ[1] การใช้วัคซีนนี้ในผู้ป่วยทั่วโลกมีจำนวนลดลงกว่า 90% ในช่วงปี 2523 ถึง 2543[2] การแนะนำสำหรับการให้วัคซีนครั้งแรกคือสามครั้งตามขนาดที่กำหนด โดยวัคซีนจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคได้ประมาณ 95%[2] ทั้งนี้วัคซีนจะสามารถป้องกันโรคได้นานประมาณ 10 ปีซึ่งหลังจากเวลาดังกล่าวก็จำเป็นต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้น[2] การสร้างภูมิคุมกันโรคอาจเริ่มตั้งแต่เมื่อทารกอายุหกเดือนและการให้วัคซีนครั้งต่อ ๆ ไปทุกสี่สัปดาห์[2]
วัคซีนโรคคอตีบนี้มีความปลอดภัยมาก[2] ผลข้างเคียงสำคัญนั้นพบได้น้อยมาก[2] แต่ทั้งนี้อาจมีความเจ็บปวดที่ตำแหน่งการฉีดวัคซีนได้[2] รอยบวมที่ตำแหน่งการฉีดจะเกิดขึ้นนานราวสองสามสัปดาห์[3] วัคซีนนี้ปลอดภัยต่อผู้ที่ตั้งครรภ์และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง [3]
การให้วัคซีนร่วมที่ใช้เพื่อป้องกันโรคมีหลายวิธี[4] ซึ่งได้แก่ การให้ร่วมกับชีวพิษเชื่องบาดทะยัก (tetanus toxoid) (หรือที่เรียกว่า วัคซีน dT หรือ DT) และวัคซีนโรคบาดทะยักและวัคซีนโรคไอกรน หรือที่เรียกว่า วัคซีน DPT[2] ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ใช้นับตั้งแต่ปี 2517[2] ประชากรโลกที่ได้รับวัคซีนมีจำนวนประมาณ 84%[5] โดยเป็นการให้วัคซีนโดยการฉีดยาเข้าทางกล้ามเนื้อ[2] วัคซีนนี้ต้องเก็บในที่เย็นแต่ห้ามแช่แข็ง[3]
วัคซีนโรคคอตีบผลิตขึ้นในปี 2466[6] วัคซีนนี้อยู่ในทะเบียนยาที่จำเป็นขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization's List of Essential Medicines) โดยเป็นยารักษาโรคที่มีความสำคัญมากที่สุดในระบบสุขภาพขั้นพื้นฐาน[7] ตั้งแต่ปี 2557 ราคาขายส่งของวัคซีนที่มี tetanus toxoid อยู่ในราว 0.12 ถึง 0.99 เหรียญสหรัฐฯ[8] ในสหรัฐอเมริกามีราคาต่ำกว่า 25 เหรียญสหรัฐฯ[9]
ประสิทธิภาพ
[แก้]ประมาณ 95% ของผู้ที่ได้รับวัคซีนจะมีการสร้างภูมิคุ้มกัน การฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยทั่วโลกลดลงมากกว่า 90% ระหว่างปี 2523 ถึง 2543[2] ประมาณ 86% ของประชากรโลกได้รับการฉีดวัคซีนในปี 2559[5]
ผลข้างเคียง
[แก้]ผลข้างเคียงที่รุนแรงจากชีวพิษเชื่องโรคคอตีบ (diphtheria toxoid) มีน้อยมาก[2] ความเจ็บปวดอาจเกิดขึ้นที่บริเวณที่ฉีด[2] อาจเกิดตุ่มขึ้นบริเวณที่ฉีดซึ่งกินเวลาไม่กี่สัปดาห์[3] วัคซีนมีความปลอดภัยเมื่อใช้ในระหว่างการตั้งครรภ์และในหมู่ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ[3] วัคซีน DTP อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น มีไข้, หงุดหงิดง่าย, ง่วงซึม, เบื่ออาหาร และอาเจียนในผู้รับวัคซีนได้ 6–13%[2] ผลข้างเคียงที่รุนแรงของวัคซีน DTP ได้แก่ ไข้มากกว่า 40.5 °C/104.9 °F (1 ใน 333 โดส), ภาวะชักจากไข้ (1 ใน 12,500 โดส) และภาวะตัวอ่อนปวกเปียกและไม่ตอบสนอง (hypotonic-hyporesponsive episodes) (1 ใน 1,750 โดส)[2][10] ผลข้างเคียงของวัคซีน DTaP มีความคล้ายคลึงกันแต่พบน้อยครั้งกว่า[2] วัคซีนที่ประกอบด้วยชีวพิษเชื่องบาดทะยัก (Td, DT, DTP และ DTaP) อาจทำให้เกิดโรคประสาทแขนอักเสบในอัตรา 0.5 ถึง 1 รายต่อผู้รับชีวพิษเชื่อง 100,000 ราย[11][12]
ข้อแนะนำ
[แก้]องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบตั้งแต่ปี 2517[2] แนะนำให้ฉีดครั้งแรกเมื่ออายุ 6 สัปดาห์ โดยเพิ่มอีก 2 ครั้งห่างกัน 4 สัปดาห์ หลังจากได้รับยา 3 โดสนี้ ประมาณ 95% ของคนไข้จะมีภูมิคุ้มกัน[2] แนะนำให้ฉีดอีกสามโดสในช่วงวัยเด็ก[2] ไม่แนะนำให้ฉีดโดสกระตุ้นทุก ๆ สิบปีอีกต่อไป หากทำตามแผนการฉีดวัคซีน 3 โดส + 3 โดสกระตุ้น[2] การฉีด 3 โดส + 1 โดสกระตุ้น ให้ภูมิคุ้มกันเป็นเวลา 25 ปีหลังจากการฉีดครั้งสุดท้าย[2] หากให้ยาเริ่มแรกเพียง 3 โดส จำเป็นต้องให้โดสกระตุ้นเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการปกป้องอย่างต่อเนื่อง[2]
ดูเพิ่ม
[แก้]อ้างอิง
[แก้]- ↑ "MedlinePlus Medical Encyclopedia: Diphtheria immunization (vaccine)". สืบค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2009.
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 2.13 2.14 2.15 2.16 2.17 2.18 2.19 2.20 2.21 "Diphtheria vaccine" (PDF). Wkly Epidemiol Rec. 81 (3): 24–32. 20 มกราคม 2006. PMID 16671240.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 Atkinson, William (พฤษภาคม 2012). Diphtheria Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ed.). Public Health Foundation. pp. 215–230. ISBN 9780983263135.
- ↑ Centre for Disease Control and Prevention. "Diphtheria Vaccination". Department of Health and Human Services. สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2011.
- ↑ 5.0 5.1 "Diphtheria". who.int. 3 กันยายน 2014. สืบค้นเมื่อ 27 มีนาคม 2015.
- ↑ Macera, Caroline (2012). Introduction to Epidemiology: Distribution and Determinants of Disease. Nelson Education. p. 251. ISBN 9781285687148.
- ↑ "WHO Model List of EssentialMedicines" (PDF). World Health Organization. ตุลาคม 2013. สืบค้นเมื่อ 22 เมษายน 2014.
- ↑ "Vaccine, Diphtheria-Tetanus". International Drug Price Indicator Guide. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 18 มกราคม 2016. สืบค้นเมื่อ 6 ธันวาคม 2015.
- ↑ Hamilton, Richart (2015). Tarascon Pocket Pharmacopoeia 2015 Deluxe Lab-Coat Edition. Jones & Bartlett Learning. p. 313. ISBN 9781284057560.
- ↑ Braun, M. Miles; DuVernoy, Tracy S.; และคณะ (The VAERS Working Group) (October 2000). "Hypotonic–Hyporesponsive Episodes Reported to the Vaccine Adverse Event Reporting System (VAERS), 1996–1998". Pediatrics. 106 (4): e52. doi:10.1542/peds.106.4.e52. PMID 11015547. S2CID 12743062.
- ↑ "Tetanus". Centers for Disease Control and Prevention (CDC). 15 April 2019.
- ↑ Health, Australian Government Department of (10 October 2017). "Immunisation". Australian Government Department of Health.
อ่านเพิ่มเติม
[แก้]- Ramsay, Mary, บ.ก. (2013). "Chapter 15: Diphtheria". Immunisation against infectious disease. Public Health England.
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- "Infanrix". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 6 November 2019.
- "Daptacel". U.S. Food and Drug Administration (FDA). 22 July 2017.
- Diphtheria Toxoid ในหอสมุดแพทยศาสตร์แห่งชาติอเมริกัน สำหรับหัวข้อเนื้อหาทางการแพทย์ (MeSH)
- "Diphtheria Vaccine". Drug Information Portal. U.S. National Library of Medicine.