ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
Matable (คุย | ส่วนร่วม)
บรรทัด 34: บรรทัด 34:


== ช่วงชีวิตตอนต้นและอาชีพ ==
== ช่วงชีวิตตอนต้นและอาชีพ ==
คลูเกอเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 ใน[[พอซนาน|โพเซิน]] [[ปรัสเซีย]] และปัจจุบันคือทางตะวันตกของ[[โปแลนด์]]{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} พ่อของเขา แม็กซ์ ฟ็อน คลูเกอ ซึ่งมาจากครอบครัวทหารปรัสเซียชนชั้นสูง ด้วยการเป็นผู้บัญชาการที่มีความโดดเด่น แม็กซ์เป็นนายทหารตำแหน่งยศพลโทใน[[กองทัพบกปรัสเซีย]] ซึ่งประจำการอยู่ใน[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] เขาได้แต่งงานกับ lise Kühn-Schuhmann{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} ในปี ค.ศ. 1881 คลูเกอเป็นหนึ่งในลูกชายสองคน ซึ่งมีน้องชายที่ชื่อว่า ว็อล์ฟกัง (ค.ศ. 1892-1976){{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} ว็อล์ฟกังได้ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกสองครั้ง ได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลโท 1943, และเป็นผู้บัญชาการป้อมปราการดันเคิร์ก ระหว่างเดือนกรกฏาคม ถึง เดือนกันยายน ค.ศ. 1944{{sfn|Mitcham|2008|p=201}}
คลูเกอเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 ใน[[พอซนาน|โพเซิน]] [[ปรัสเซีย]] และปัจจุบันคือทางตะวันตกของ[[โปแลนด์]]{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} พ่อของเขา แม็กซ์ ฟ็อน คลูเกอ ซึ่งมาจากครอบครัวทหารปรัสเซียชนชั้นสูง ด้วยการเป็นผู้บัญชาการที่มีความโดดเด่น แม็กซ์เป็นนายทหารตำแหน่งยศพลโทใน[[กองทัพบกปรัสเซีย]] ซึ่งประจำการอยู่ใน[[สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง]] เขาได้แต่งงานกับ lise Kühn-Schuhmann{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} ในปี ค.ศ. 1881 คลูเกอเป็นหนึ่งในลูกชายสองคน ซึ่งมีน้องชายที่ชื่อว่า ว็อล์ฟกัง (ค.ศ. 1892-1976){{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} ว็อล์ฟกังได้ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกสองครั้ง ได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลโท ในปี ค.ศ. 1943, และเป็นผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการดันเคิร์ก ระหว่างเดือนกรกฏาคม ถึง เดือนกันยายน ค.ศ. 1944{{sfn|Mitcham|2008|p=201}}


ในปี ค.ศ. 1901 คลูเกอได้รับหน้าที่ในกรมทหารปืนใหญ่ภาคสนามที่ 46 แห่งกองทัพบกปรัสเซีย เขาได้ทำหน้าที่ใน[[คณะเสนาธิการใหญ่ (เยอรมนี)|คณะเสนาธิการทั่วไป]] ระหว่างปี ค.ศ. 1910 และ ค.ศ. 1918 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นร้อยเอกบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขายังคงประจำการอยู่ใน[[ไรชส์แวร์]]ภายหลังความขัดแย้ง จนได้เป็นพันเอกในปี ค.ศ. 1930 พลตรีในปี ค.ศ. 1933 และพลโทในอีกหนึ่งปีต่อมา{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 คลูเกอได้บัญชาการแก่กองพลที่ 6 ใน[[มึนส์เทอร์]]{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} คำประกาศ[[แวร์มัคท์]]ของ[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]]ในปี ค.ศ. 1935 ได้เร่งรัดการกำหนดของเขาให้กับกองพลน้อยที่ 6 และกองทัพกลุ่มที่ 6 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองทัพที่ 4 {{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}}
ในปี ค.ศ. 1901 คลูเกอได้รับหน้าที่ในกรมทหารปืนใหญ่ภาคสนามที่ 46 แห่งกองทัพบกปรัสเซีย เขาได้ทำหน้าที่ใน[[คณะเสนาธิการใหญ่ (เยอรมนี)|คณะเสนาธิการทั่วไป]] ระหว่างปี ค.ศ. 1910 และ ค.ศ. 1918 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นร้อยเอกบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขายังคงประจำการอยู่ใน[[ไรชส์แวร์]]ภายหลังความขัดแย้ง จนได้เป็นพันเอกในปี ค.ศ. 1930 พลตรีในปี ค.ศ. 1933 และพลโทในอีกหนึ่งปีต่อมา{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 คลูเกอได้บัญชาการแก่กองพลที่ 6 ใน[[มึนส์เทอร์]]{{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}} คำประกาศ[[แวร์มัคท์]]ของ[[อดอล์ฟ ฮิตเลอร์]]ในปี ค.ศ. 1935 ได้เร่งรัดการกำหนดของเขาให้กับกองพลน้อยที่ 6 และกองทัพกลุ่มที่ 6 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองทัพที่ 4 {{sfn|Barnett|1989|pp=395–396}}
บรรทัด 45: บรรทัด 45:


=== การบุกครองโปแลนด์ ===
=== การบุกครองโปแลนด์ ===
ฮิตเลอร์ได้อนุมัติเค้าโครงสำหรับ[[การบุกครองโปแลนด์|การรุกรานโปแลนด์]]ของ[[กองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมัน]]กับกองทัพสองกลุ่มในช่วงการบรรยายสรุปทางทหาร เมื่อวันที่ 26-27 เมษายน ค.ศ. 1939{{sfn|Kennedy|2015|p=71}} กองทัพที่ 4 ของคลูเกอได้รับมอบหมายให้เป็นกองกำลังของ[[กองทัพกลุ่มเหนือ]]ภายใต้การบัญชาการโดย[[เฟดอร์ ฟ็อน บ็อค]]{{sfn|Barnett|1989|pp=396–397}} การทัพโปแลนด์ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 1 กันยายน โดยใช้ประโยชน์จากชายแดนที่ยืดยาวติดกับประเทศเยอรมนี กองทัพที่ 4 ได้เคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเข้าสู่ฉนวนจากทางตะวันตกของ[[พอเมอเรเนีย]]เพื่อเข้าสมทบกับกองทัพที่ 3 เมืองท่าเรือดันท์ซิชได้ถูกยึดครองภายในวันแรก{{sfn|Barnett|1989|pp=79–80}}
{{โครงส่วน}}

ในวันต่อมา ด้วยความวิตกกังวลต่อแนวป้องกันของโปแลนด์ที่แข็งแกร่งตามแนวแม่น้ำเบรดาไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน กองทัพที่ 4 ได้ข้ามแม่น้ำ ทำการปิดล้อมกองพลทหารราบที่ 9 กองพลทหารราบที่ 27 และกองพลน้อยทหารม้าพอเมอเรเนียของโปแลนด์ไว้ในฉนวน คลูเกอได้ส่งกองพลยานเกราะที่ 10 จากกองทัพของเขาเองให้ข้ามแม่น้ำวิสตูล่า ไปสมทบกับกองทัพที่ 3 เมื่อวันที่ 3 กันยายน{{sfn|Kennedy|2015|p=82}} กองทัพน้อยยานเกราะที่ 19 ([[ไฮนทซ์ กูเดรีอัน]]) ได้เข้ายึดครองเมืองเบรสท์ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ภายหลังสามวันของการสู้รบใน[[ยุทธการที่เบรสท์-ลีตอฟสก์]]{{sfn|Kennedy|2015|p=98}} กองทัพกลุ่มเหนือได้รับแจ้งข่าวว่า การบุกครองโปแลนด์ทางตะวันออกของกองทัพในวันเดียวกัน และได้รับคำสั่งให้อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ Bug เมืองเบรสท์ได้ถูกส่งไปให้กับกองทัพโซเวียต เมื่อวันที่ 22 กันยายน สำหรับการโอบล้อมต่อกองกำลังโปแลนด์ในช่วงเริ่มต้นของการบุกครอง คลูเกอได้รับการยกย่องจากฮิตเลอร์ว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่เก่งกาจที่สุดของเขา{{sfn|Barnett|1989|pp=396–397}}


=== ยุทธการที่ฝรั่งเศส ===
=== ยุทธการที่ฝรั่งเศส ===
[[ไฟล์:Bundesarchiv_Bild_146-1973-023-19,_Frankreich,_Günther_v._Kluge,_Adolf_Hitler.jpg|thumb|Kluge with Hitler during a troop visit in France, 1940]]
{{โครงส่วน}}
{{โครงส่วน}}



รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:51, 28 กันยายน 2564

กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ
ชื่อเล่นแดร์คลูเกอฮันส์
เกิด30 ตุลาคม ค.ศ. 1882(1882-10-30)
โพเซิน, ราชอาณาจักรปรัสเซีย, จักรวรรดิเยอรมัน
เสียชีวิต19 สิงหาคม ค.ศ. 1944(1944-08-19) (61 ปี)
แม็ส, นาซีเยอรมนี
รับใช้ เยอรมนี
 เยอรมนี
 ไรช์เยอรมัน
แผนก/สังกัดกองทัพเยอรมัน 1901–1919
ไรชส์แวร์ 1919–1935
แวร์มัคท์ 1935–1944
ประจำการ1901–1944
ชั้นยศจอมพล
หน่วย46th Field Artillery Regiment
XXI Corps
บังคับบัญชา4th Army
Army Group Centre
การยุทธ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

สงครามโลกครั้งที่สอง

บำเหน็จกางเขนเหล็กกางเขนอัศวินประดับด้วยใบโอ๊กและดาบ

กึนเทอร์ อดอล์ฟ แฟร์ดีนันท์ ฟ็อน คลูเกอ (30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 – 19 สิงหาคม ค.ศ. 1944) ยังเป็นรู้จักกันคือ ฮันส์ กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ เป็นจอมพลชาวเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งได้บัญชาการการรบทั้งแนวรบตะวันออกและแนวรบตะวันตก เขาได้บัญชาการแก่กองทัพที่ 4 ของแวร์มัคท์ในช่วงการบุกครองโปแลนด์ในปี ค.ศ. 1939 และยุทธการที่ฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1940 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นจอมพลไรช์ คลูเกอยังคงบัญชาการกองทัพที่ 4 ในปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา(การบุกครองสหภาพโซเวียต) และยุทธการที่มอสโกในปี ค.ศ. 1941

ท่ามกลางวิกฤตของการรุกตอบโต้กลับของโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 คลูเกอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการแห่งกองทัพกลุ่มกลาง เข้ามาแทนที่กับจอมพล เฟดอร์ ฟ็อน บ็อค สมาชิกหลายคนของกลุ่มทหารเยอรมันฝ่ายต่อต้านอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ซึ่งทำหน้าที่ในคณะเสนาธิการของเขา รวมทั้งเฮ็นนิง ฟ็อน เทร็สโค คลูเกอได้รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวของผู้วางแผนก่อกบฏ แต่ปฏิเสธที่จะให้การสนับสนุนยกเว้นแต่เพียงฮิตเลอร์จะถูกสังหาร การบัญชาการของเขาในแนวรบด้านตะวันออกได้ดำเนินไปจนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 เมื่อคลูเกอได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์

ภายหลังจากได้พักฟื้นรักษาตัวเป็นเวลานาน คลูเกอได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ตะวันตก(OB West) ในเขตยึดครองฝรั่งเศสในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1944 ภายหลังคนก่อนหน้านี้ จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ถูกสั่งปลดเพราะมีความเชื่อว่าจะพ่ายแพ้สงคราม กองกำลังของคลูเกอไม่สามารถหยุดยั้งแรงผลักดันของการบุกครองนอร์ม็องดีของฝ่ายสัมพันธมิตรไว้ได้ และเขาเริ่มตระหนักแล้วว่าสงครามทางด้านตะวันตกกำลังจะพ่ายแพ้แล้ว แม้ว่าคลูเกอจะไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในแผนลับ 20 กรกฎาคม แต่ภายหลังการก่อรัฐประหารได้ล้มเหลว เขาได้กระทำอัตวินิบาตกรรมในวันที่ 19 สิงหาคม ค.ศ. 1944 หลังจากที่ถูกเรียกตัวกลับไปยังกรุงเบอร์ลินเพื่อเข้าพบกับฮิตเลอร์ ดังนั้นตำแหน่งของคลูเกอร์จึงถูกแทนที่โดยจอมพล วัลเทอร์ โมเดิล

ช่วงชีวิตตอนต้นและอาชีพ

คลูเกอเกิดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1882 ในโพเซิน ปรัสเซีย และปัจจุบันคือทางตะวันตกของโปแลนด์[1] พ่อของเขา แม็กซ์ ฟ็อน คลูเกอ ซึ่งมาจากครอบครัวทหารปรัสเซียชนชั้นสูง ด้วยการเป็นผู้บัญชาการที่มีความโดดเด่น แม็กซ์เป็นนายทหารตำแหน่งยศพลโทในกองทัพบกปรัสเซีย ซึ่งประจำการอยู่ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขาได้แต่งงานกับ lise Kühn-Schuhmann[1] ในปี ค.ศ. 1881 คลูเกอเป็นหนึ่งในลูกชายสองคน ซึ่งมีน้องชายที่ชื่อว่า ว็อล์ฟกัง (ค.ศ. 1892-1976)[1] ว็อล์ฟกังได้ปฏิบัติหน้าที่ในสงครามโลกสองครั้ง ได้รับเลื่อนยศตำแหน่งเป็นพลโท ในปี ค.ศ. 1943, และเป็นผู้บัญชาการแห่งป้อมปราการดันเคิร์ก ระหว่างเดือนกรกฏาคม ถึง เดือนกันยายน ค.ศ. 1944[2]

ในปี ค.ศ. 1901 คลูเกอได้รับหน้าที่ในกรมทหารปืนใหญ่ภาคสนามที่ 46 แห่งกองทัพบกปรัสเซีย เขาได้ทำหน้าที่ในคณะเสนาธิการทั่วไป ระหว่างปี ค.ศ. 1910 และ ค.ศ. 1918 ได้รับเลื่อนตำแหน่งยศเป็นร้อยเอกบนแนวรบด้านตะวันตกในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เขายังคงประจำการอยู่ในไรชส์แวร์ภายหลังความขัดแย้ง จนได้เป็นพันเอกในปี ค.ศ. 1930 พลตรีในปี ค.ศ. 1933 และพลโทในอีกหนึ่งปีต่อมา[1] วันที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1934 คลูเกอได้บัญชาการแก่กองพลที่ 6 ในมึนส์เทอร์[1] คำประกาศแวร์มัคท์ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ในปี ค.ศ. 1935 ได้เร่งรัดการกำหนดของเขาให้กับกองพลน้อยที่ 6 และกองทัพกลุ่มที่ 6 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นกองทัพที่ 4 [1]

คลูเกอเชื่อว่า "ลัทธิแสนยนิยมที่หยาบประด้าง" ของฮิตเลอร์จะนำพาเยอรมนีไปสู่หายนะ ในช่วงวิกฤตการณ์ซูเดเทินลันท์ เขาเป็นสมาชิกของกลุ่มลับต่อต้านสงครามซึ่งนำโดยลูทวิช เบ็ค และ Ernst von Weizsäcker ได้คาดหวังว่าจะหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในดินแดนข้อพิพาท วิกฤตดังกล่าวได้ถูกเบี่ยงเบนโดยข้อตกลงมิวนิก เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1938 แม้ว่าเขาจะวิพากษ์วิจารณ์ถึงพวกนาซีเป็นการส่วนตัว แต่คลูเกอมีความเชื่อมั่นในหลักการของเลเบินส์เราม์ (พื้นที่อยู่อาศัย) และภาคภูมิใจในการฟื้นแสนยานุภาพของแวร์มัคท์[3]

เขาได้มีชื่อเล่นว่า เดอ คลูเกอ ฮันส์ ("เคลฟเวอร์ ฮันส์") ตามชื่อของม้าเยอรมันที่สามารถคำนวณคิดเลขได้[4]

สงครามโลกครั้งที่สอง

การบุกครองโปแลนด์

ฮิตเลอร์ได้อนุมัติเค้าโครงสำหรับการรุกรานโปแลนด์ของกองบัญชาการใหญ่กองทัพบกเยอรมันกับกองทัพสองกลุ่มในช่วงการบรรยายสรุปทางทหาร เมื่อวันที่ 26-27 เมษายน ค.ศ. 1939[5] กองทัพที่ 4 ของคลูเกอได้รับมอบหมายให้เป็นกองกำลังของกองทัพกลุ่มเหนือภายใต้การบัญชาการโดยเฟดอร์ ฟ็อน บ็อค[6] การทัพโปแลนด์ได้เริ่มต้นขึ้น เมื่อวันที่ 1 กันยายน โดยใช้ประโยชน์จากชายแดนที่ยืดยาวติดกับประเทศเยอรมนี กองทัพที่ 4 ได้เคลื่อนทัพไปทางตะวันออกเข้าสู่ฉนวนจากทางตะวันตกของพอเมอเรเนียเพื่อเข้าสมทบกับกองทัพที่ 3 เมืองท่าเรือดันท์ซิชได้ถูกยึดครองภายในวันแรก[7]

ในวันต่อมา ด้วยความวิตกกังวลต่อแนวป้องกันของโปแลนด์ที่แข็งแกร่งตามแนวแม่น้ำเบรดาไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน กองทัพที่ 4 ได้ข้ามแม่น้ำ ทำการปิดล้อมกองพลทหารราบที่ 9 กองพลทหารราบที่ 27 และกองพลน้อยทหารม้าพอเมอเรเนียของโปแลนด์ไว้ในฉนวน คลูเกอได้ส่งกองพลยานเกราะที่ 10 จากกองทัพของเขาเองให้ข้ามแม่น้ำวิสตูล่า ไปสมทบกับกองทัพที่ 3 เมื่อวันที่ 3 กันยายน[8] กองทัพน้อยยานเกราะที่ 19 (ไฮนทซ์ กูเดรีอัน) ได้เข้ายึดครองเมืองเบรสท์ เมื่อวันที่ 17 กันยายน ภายหลังสามวันของการสู้รบในยุทธการที่เบรสท์-ลีตอฟสก์[9] กองทัพกลุ่มเหนือได้รับแจ้งข่าวว่า การบุกครองโปแลนด์ทางตะวันออกของกองทัพในวันเดียวกัน และได้รับคำสั่งให้อยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ Bug เมืองเบรสท์ได้ถูกส่งไปให้กับกองทัพโซเวียต เมื่อวันที่ 22 กันยายน สำหรับการโอบล้อมต่อกองกำลังโปแลนด์ในช่วงเริ่มต้นของการบุกครอง คลูเกอได้รับการยกย่องจากฮิตเลอร์ว่าเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการที่เก่งกาจที่สุดของเขา[6]

ยุทธการที่ฝรั่งเศส

Kluge with Hitler during a troop visit in France, 1940

การบุกครองสหภาพโซเวียต

ยุทธการที่มอสโก

กองทัพกลุ่มกลาง

แนวรบด้านตะวันตก

แผนลับต่อต้านฮิตเลอร์

รางวัลเกียรติยศ

  • กางเขนเหล็ก (ค.ศ. 1914) ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 1
  • กางเขนอัศวินแห่งเครื่องราชอิสรยาภรณ์ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น ประดับด้วยดาบ[10]
  • เข็มกลัดกางเขนเหล็ก (ค.ศ. 1939) ชั้นที่ 2 (5 กันยายน ค.ศ. 1939) และชั้นที่ 1[11]
  • กางเขนอัศวินติดใบโอ๊กคาดดาบแห่งกางเขนเหล็ก
    • กางเขนอัศวิน เมื่อวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1939 และผู้บัญชาการกองทัพที่ 4[12]
    • ใบโอ๊ก เมื่อวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 1943 ในฐานะผู้บัญชาการแห่งกองทัพกลุ่มกลาง[12]
    • ดาบ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1943 ในฐานะผู้บัญชาการแห่งกองทัพกลุ่มกลาง[12][12]

อ้างอิง

  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 Barnett 1989, pp. 395–396.
  2. Mitcham 2008, p. 201.
  3. Barnett 1989, pp. 396–398.
  4. Margaritis 2019, p. 29.
  5. Kennedy 2015, p. 71.
  6. 6.0 6.1 Barnett 1989, pp. 396–397.
  7. Barnett 1989, pp. 79–80.
  8. Kennedy 2015, p. 82.
  9. Kennedy 2015, p. 98.
  10. Hürter 2007, p. 639.
  11. Thomas 1997, p. 378.
  12. 12.0 12.1 12.2 12.3 Scherzer 2007, p. 451.

แหล่งข้อมูลอื่น

  • Hoffman, Peter, (tr. Richard Barry) (1977). The History of the German Resistance, 1939–1945. Cambridge, MA: MIT Press. ISBN 978-0-262-08088-0.
  • Knopp, Guido (2007). Die Wehrmacht: Eine Bilanz. C. Bertelsmann Verlag. München. ISBN 978-3-570-00975-8.
  • Moczarski, Kazimierz; Mariana Fitzpatrick; Jürgen Stroop (1981). Conversations With an Executioner. Prentice-Hall. ISBN 0-13-171918-1.
  • Scherzer, Veit (2007). Die Ritterkreuzträger 1939–1945 Die Inhaber des Ritterkreuzes des Eisernen Kreuzes 1939 von Heer, Luftwaffe, Kriegsmarine, Waffen-SS, Volkssturm sowie mit Deutschland verbündeter Streitkräfte nach den Unterlagen des Bundesarchives [The Knight's Cross Bearers 1939–1945 The Holders of the Knight's Cross of the Iron Cross 1939 by Army, Air Force, Navy, Waffen-SS, Volkssturm and Allied Forces with Germany According to the Documents of the Federal Archives] (ภาษาเยอรมัน). Jena, Germany: Scherzers Miltaer-Verlag. ISBN 978-3-938845-17-2.
  • Shirer, William L. (1990). The Rise and Fall of the Third Reich. New York: Simon & Schuster. ISBN 0-671-72868-7.
  • Wheeler-Bennett, Sir John (2005) [1953]. The Nemesis of Power: German Army in Politics, 1918 – 1945. New York: Palgrave Macmillan Publishing Company. ISBN 978-1-4039-1812-3.
  • Die Wehrmachtberichte 1939–1945 Band 1, 1. September 1939 bis 31. Dezember 1941 [The Wehrmacht Reports 1939–1945 Volume 1, 1 September 1939 to 31 December 1941] (ภาษาเยอรมัน). München, Germany: Deutscher Taschenbuch Verlag GmbH & Co. KG. 1985. ISBN 978-3-423-05944-2.
ก่อนหน้า กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ ถัดไป
จอมพล เฟดอร์ ฟ็อน บ็อค แม่ทัพกลุ่มกลาง
(19 ธันวาคม 1941 – 12 ตุลาคม 1943)
จอมพล แอ็นสท์ บุช
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท แม่ทัพกลุ่ม D
(2 กรกฎาคม 1944 – 15 สิงหาคม 1944)
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท
จอมพล แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ผู้บัญชาการใหญ่ตะวันตก
(2 กรกฎาคม 1944 – 15 สิงหาคม 1944)
จอมพล วัลเทอร์ โมเดิล
(รักษาการแทน)
จอมพล แอร์วีน ร็อมเมิล แม่ทัพกลุ่ม B
(19 กรกฎาคม 1944 – 17 สิงหาคม 1944)
จอมพล วัลเทอร์ โมเดิล