พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9
ภาพในเอกสาร ตุมโบ เอ ของอาสนวิหารซันเตียโกเดกอมโปสเตลา
กษัตริย์แห่งเลออนและกาลิเซีย
ครองราชย์22 มกราคม ค.ศ. 1188 – 24 กันยายน ค.ศ. 1230
รัชกาลก่อนหน้าพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออน
รัชกาลถัดไปพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา
ประสูติ15 สิงหาคม ค.ศ. 1171
ซาโมรา
สิ้นพระชนม์23/24 กันยายน ค.ศ. 1230 (59 พรรษา)
ฝังพระศพอาสนวิหารซันเตียโกเดกอมโปสเดกอมโปสเตลา
พระมเหสีตึเรซาแห่งโปรตุเกส พระราชินีแห่งเลออน
เบเรงเกลาแห่งกัสติยา
พระบุตรเฟร์นันโด
ซันชา
ดูลเซ
กอนสตันซา พระอธิการิณีแห่งลัสเฮวกัส
พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา
อัลฟอนโซแห่งโมลินา
เบเรงเกลาแห่งเลออน
ราชวงศ์ราชวงศ์บูร์กอญของกัสติยา
พระบิดาพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออน
พระมารดาอูร์รากาแห่งโปรตุเกส พระราชินีแห่งเลออน

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 (สเปน: Alfonso IX; เลออน: Alfonsu IX) หรือ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 (กาลิเซีย: Afonso VIII) เสด็จพระราชสมภพ 15 สิงหาคม ค.ศ. 1171 ที่ซาโมรา ราชอาณาจักรเลออน สิ้นพระชนม์ 24 กันยายน ค.ศ. 1230 ที่ซาร์เรีย ราชอาณาจักรกาลิเซีย ครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งเลออนและกาลิเซีย ทรงเป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าอัลฟอลโซที่ 8 แห่งกัสติยา

ด้วยอุปนิสัยที่เด็ดเดี่ยวจึงทำให้พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 มุ่งมั่นที่จะกอบกู้อาณาเขตของเลออนที่สูญเสียไปให้กัสติยากลับคืนมา และแม้พระองค์จะเคยถวายความเคารพต่อพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา แต่สุดท้ายกลับหันไปเป็นพันธมิตรกับกลุ่มมุสลิมอัลโมฮัดได้อย่างไม่ลังเล เป็นผลให้ราชอาณาจักรของพระองค์ต้องโทษต้องห้ามจากสมเด็จพระสันตะปาปา การอภิเษกสมรสกับพระธิดาคนโตของกษัตริย์แห่งกัสติยาของพระองค์ถูกสมเด็จพระสันตะปาปาบีบคั้น ทว่าในปี ค.ศ. 1212 พระองค์ปฏิเสธที่จะทำสงครามครูเสดกับกลุ่มอัลโมฮัดร่วมกับพระสสุระเว้นแต่จะได้ดินแดนที่สูญเสียไปกลับคืนมาจากกัสติยา แต่ข้อเรียกร้องของพระองค์ไม่ได้รับการตอบสนอง และชาวคริสต์ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาดที่ลัสนาบัสเดโตโลซาโดยไม่ต้องมีกองทัพของเลออน อย่างไรก็ดีตัวพระเจ้าอัลฟอนโซเองได้รับชัยชนะครั้งสำคัญนอกพรมแดนทางใต้ของเลออน ทรงยึดกาเซเรสมาจากกลุ่มอัลโมฮัดได้ในปี ค.ศ. 1127 และเมริดากับบาดาโฆซในปี ค.ศ. 1230 ชัยชนะดังกล่าวเป็นการปูเส้นทางสู่การทำเรกองกิสตาที่เซบิยาในเวลาต่อมา

ครอบครัว[แก้]

พระเจ้าอัลฟอนโซเสด็จพระราชสมภพในซาโมรา พระองค์เป็นพระโอรสคนเดียวของพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 2 แห่งเลออนกับอูร์รากาแห่งโปรตุเกส[1] พระบิดาของพระองค์เป็นพระโอรสคนสุดท้องของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 7 แห่งเลออนและกัสติยาที่ได้รับส่วนแบ่งในการแบ่งราชอาณาจักร อันเป็นชนวนก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นภายในตระกูลที่สิ้นสุดลงเมื่อพระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา พระโอรสของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 รวมราชอาณาจักรเข้าด้วยกันอีกครั้ง[2]

การครองราชย์[แก้]

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 ได้บัลลังก์มาด้วยความยากลำบากแม้จะมีสิทธิ์โดยชาติกำเนิด ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1188 ลูกพี่ลูกน้องของพระองค์ พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยา เรียกร้องให้อัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่ายอมรับอัลฟอนโซผู้อาวุโสกว่าเป็นเจ้าเหนือหัว แลกกับการที่อัลฟอนโซผู้อาวุโสกว่าจะยอมรับอำนาจในเลออนของอัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่า[3]

หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าอัลฟอนโซคือการประชุมกอร์เตสเดเลออนที่ระเบียงมหาวิหารนักบุญอิซิโดโร สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในต้นรัชสมัยบีบบังคับให้พระเจ้าอัลฟอนโซต้องขึ้นภาษีชนชั้นล่าง อันนำไปสู่การต่อต้านและการปฏิวัติในเมืองสองสามแห่ง กษัตริย์ตอบสนองด้วยการเรียกประชุมกอร์เตสหรือกลุ่มสมัชชาที่ประกอบด้วยขุนนาง นักบวช และผู้แทนเมือง และเผชิญหน้ากับข้อเรียกร้องให้จ่ายเงินชดเชย บริหารภายในประเทศให้ดียิ่งขึ้น และใช้จ่ายเงินอย่างรอบคอบ นักประวัติศาสตร์มองว่าการประชุมการ์เตสของพระเจ้าอัลฟอนโซมีบทบาทสำคัญต่อการก่อตั้งรัฐสภาตามระบอบประชาธิปไตยทั่วทั้งยุโรป

ภาพจำหลัก ๆ อีกอย่างของพระเจ้าอัลฟอนโซคือการอภิเษกสมรสในเวลาต่อมาที่เป็นชนวนปัญหาระหว่างพระองค์กับสมเด็จพระสันตะปาปาเซเลสทีนที่ 3 พระองค์อภิเษกสมรสครั้งแรกในปี ค.ศ. 1191 กับตึเรซาแห่งโปรตุเกส[1] ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่มีพระธิดาให้พระองค์สองคนกับพระโอรสหนึ่งคนที่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังเด็ก การแต่งงานถูกประกาศให้เป็นโมฆะโดยพระคาร์ดินัลเกรกอรี ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปา ด้วยเหตุผลว่าเป็นการร่วมประเวณีกันของญาติใกล้ชิด[4]

หลังการพ่ายแพ้ของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยาที่สมรภูมิอาลาร์โกส พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 บุกกัสติยาโดยมีชาวมุสลิมให้ความช่วยเหลือด้านกองทัพ[1] พระองค์ถูกสมเด็จพระสันตะปาปาเซเลสทีนที่ 3 ตัดขาดจากศาสนา ในปี ค.ศ. 1197 พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 อภิเษกสมรสกับเบเรงเกลาแห่งกัสติยา ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่หนึ่งที่อยู่ห่างกันหนึ่งขั้นเพื่อกระชับสันติภาพระหว่างเลออนกับกัสติยา[5] การทำผิดด้วยการร่วมประเวณีกับญาติใกล้ชิดครั้งที่สองนี้ทำให้ผู้แทนสมเด็จพระสันตะปาปาลงโทษให้ราชอาณาจักรต้องโทษต้องห้าม[6] ในปี ค.ศ. 1198 สมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ประกาศให้การแต่งงานของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 กับเบเรงเกลาเป็นโมฆะ แต่ทั้งคู่ก็ยังอยู่ด้วยกันจนถึงปี ค.ศ. 1204[7] การถูกประสันตะปาปาประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะครั้งนี้เป็นแรงขับเคลื่อนให้พระเจ้าอัลฟอนโซผู้อ่อนวัยกว่ากลับมาโจมตีลูกพี่ลูกน้องของตนอีกครั้งในปี ค.ศ. 1204 แต่สนธิสัญญาทั้งที่ทำในปี ค.ศ. 1205, 1207 และ 1209 ต่างบีบให้พระองค์ยอมรับในอาณาเขตและสิทธิ์ที่ตนมี[8][9] สนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1207 เป็นเอกสารสาธารณะที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังเหลือรอดอยู่ที่เขียนด้วยภาษาถิ่นกัสติยา[10]

ทว่าสมเด็จพระสันตะปาปาถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนมาตราการด้วยความเสี่ยงที่ว่าหากไม่สามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ ประชาชนก็จะไม่สนับสนุนนักบวช และพฤติกรรมนอกรีตดังกล่าวจะแพร่กระจายเป็นวงกว้าง กษัตริย์จึงต้องโทษต้องห้ามเพียงผู้เดียว แต่ก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างใด ๆ ให้กับพระองค์ พระองค์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากนักบวชของพระองค์[4]

ในปี ค.ศ. 1211 พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออนมอบปราสาทอัลกัญญิเซสให้กลุ่มอัศวินเทมพลาร์[11] ผู้อยู่อาศัยในปราสาทต่างฉลองให้กับชัยชนะครั้งใหญ่ของกลุ่มอัศวิน[12]

พระโอรสธิดา[แก้]

ในปี ค.ศ. 1191 พระองค์อภิเษกสมรสกับตึเรซาแห่งโปรตุเกส[13] พระธิดาของพระเจ้าซังชูที่ 1 แห่งโปรตุเกสและพระราชินีดุลเซแห่งอารากอน[14] ระหว่างปี ค.ศ. 1191 ถึง ค.ศ. 1196 ที่การแต่งงานของทั้งคู่ถูกประกาศให้เป็นโมฆะ มีพระโอรสธิดาสามคนถือกำเนิด คือ

  • ซันชา (ค.ศ. 1191–ก่อน ค.ศ. 1243)[15] ไม่แต่งงานและไม่มีบุตร พระองค์กับดุลเซ พระขนิษฐา กลายเป็นแม่ชีหรือไม่ก็เกษียณตนเข้าสู่อารามซานกิเยร์โมบิยาบูเอนา (ราชอาณาจักรเลออน) พระองค์สิ้นพระชนม์ที่อารามดังกล่าวก่อนปี ค.ศ. 1243
  • เฟร์นันโด (ค.ศ. 1192/1193–1214)[16] ไม่แต่งงานและไม่มีบุตร
  • ดุลเซ (ค.ศ. 1193/1194–1248)[17]

วันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1197 พระองค์อภิเษกสมรสกับอินฟันตาเบเรงเกลาแห่งกัสติยา พระธิดาของพระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 แห่งกัสติยากับเอเลนอร์แห่งอังกฤษ การแต่งงานครั้งนี้ให้กำเนิดพระโอรสธิดาห้าคน คือ

  • เอเลนอร์[18] (ค.ศ. 1198[19] – 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 1202[19])
  • กอนส์ตันซา (สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1242)[20] กลายเป็นแม่ชีที่วิหารซานตามาริอาลาเรอัลเดลัสอูเอลกัสในบูร์โกส พระองค์สิ้นพระชนม์ที่วิหารดังกล่าว[18]
  • พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา (ค.ศ. 1199/1201–1252) กษัตริย์แห่งกัสติยาในปี ค.ศ. 1217 ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าเอนริเกที่ 1 แห่งกัสติยาและเลออนในปี ค.ศ. 1230
  • อัลฟอนโซ (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1272) ลอร์ดแห่งโมลินาจากการแต่งงานครั้งแรกกับมาฟัลดา กอนซาเลซ เด ลารา[18]
  • เบเรงเกลาแห่งเลออน (สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1237) ในปี ค.ศ. 1224 แต่งงานกับจอห์นแห่งบรีแยน

พระเจ้าอัลฟอนโซยังเป็นบิดาของบุตรนอกสมรสอีกมากมาย

การสิ้นพระชนม์[แก้]

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 9 แห่งเลออนสิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1230 การสิ้นพระชนม์ของพระองค์มีความสำคัญคือทำให้พระโอรสของพระองค์ พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 แห่งกัสติยา ที่ขณะนั้นเป็นกษัตริย์แห่งกัสติยาอยู่แล้วได้สิบทอดบัลลังก์เลออนต่อจากพระบิดา ซึ่งเป็นผลมาจากการเจรจาต่อรองของเบเรงเกลา พระมารดาของพระองค์ ที่โน้มน้าวให้พระธิดาเลี้ยงสละสิทธิ์ในบัลลังก์[21] เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับอำนาจในเลออนของตน พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 ทิ้งการสู้รบทางทหารในการยึดนครฆาเอนทันทีที่ทราบข่าวการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา และเดินทางมาเลออนเพื่อรับการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์ การราชาภิเษกครั้งดังกล่าวรวมราชอาณาจักรเลออนกับกัสติยาซึ่งต่อมาจะครองความเป็นใหญ่ในคาบสมุทรไอบีเรียเข้าด้วยกัน

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.0 1.1 1.2 Gerli 2003, p. 54.
  2. Shadis 2010, p. xix.
  3. Shadis 2010, p. 53.
  4. 4.0 4.1 One or more of the preceding sentences incorporates text from a publication now in the public domain: Chisholm, Hugh, ed. (1911). "Alphonso s.v. Alphonso IX.". Encyclopædia Britannica. 1 (11th ed.). Cambridge University Press. p. 735.
  5. Shadis 2010, p. 61-62.
  6. Moore 2003, pp. 70-71.
  7. Reilly 1993, p. 133.
  8. Shadis 2010, pp. 78-84.
  9. Túy 2003, p. 324, 4.84.
  10. Wright 2000.
  11. Martínez Díez, Gonzalo. Los Templarios en la Corona de Castilla (1st ed.). Burgos: La Olmeda, D.L. p. 103. ISBN 9788460462774.
  12. Historia (October 22, 2015). "Apéndice I. Los lugares del Temple". In Martínez, Gemma; Mínguez, Nines. Templarios. Del origen de las cruzadas al final de la Orden del Temple (1st ed.). Madrid: Penguin Random House Grupo Editorial, S. A. U. p. 417. ISBN 9788401015731.
  13. Echols 1992, pp. 400-401.
  14. Fernandes Marques 2008, pp. 62, 87.
  15. Fernandes Marques 2008, pp. 89, 140.
  16. Fernandes Marques 2008, p. 140.
  17. Fernandes Marques 2008, p. 140 y 143.
  18. 18.0 18.1 18.2 Martínez Díez 2007, p. 47.
  19. 19.0 19.1 Flórez 1761, p. 348.
  20. Flórez 1761, p. 355.
  21. Shadis 2010, p. 3.