แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก แกร์ด ฟอน รุนด์ชเตดท์)
แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท
จอมพล ฟ็อน รุนท์ชเต็ท
เกิด12 ธันวาคม ค.ศ. 1875(1875-12-12)
มิวนิก จักรวรรดิเยอรมัน
เสียชีวิต2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1953(1953-02-02) (77 ปี)
ฮันโนเฟอร์ เยอรมนีตะวันตก
รับใช้ เยอรมนี
 เยอรมนี
 ไรช์เยอรมัน
แผนก/สังกัดกองทัพบก
ประจำการค.ศ. 1892-1945
ชั้นยศ จอมพล
การยุทธ์สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
สงครามโลกครั้งที่สอง
บำเหน็จปูร์เลอเมริต
กางเขนอัศวินประดับใบโอ๊กและดาบ
กางเขนเหล็กชั้น 1

คาร์ล รูด็อล์ฟ แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท (เยอรมัน: Karl Rudolf Gerd von Rundstedt) เป็นจอมพลเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

สงครามโลกครั้งที่สอง[แก้]

เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มต้นขึ้น เขาถูกเรียกตัวกลับมารับราชการทหารอีกครั้งหนึ่ง เพื่อนำกลุ่มทัพใต้ระหว่างการรุกรานโปแลนด์ และในระหว่างการรบในฝรั่งเศส เขาได้บัญชาการกองพลพันท์เซอร์ 7 หน่วย กองพลยานยนต์ทหารราบ 3 หน่วย และกองพลทหารราบ 35 หน่วย

แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ทได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจอมพลเมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 และมีส่วนในการวางแผนปฏิบัติการสิงโตทะเล เมื่อแผนการบุกดังกล่าวถูกเลื่อนเวลาออกไป เขาจึงเป็นผู้บัญชาการกองกำลังยึดครองและได้รับมอบหมายให้สร้างแนวป้องกันทางทะเลตามชายฝั่งของเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม และฝรั่งเศส

ปฏิบัติการบาร์บารอสซา[แก้]

ระหว่างปฏิบัติการบาร์บารอสซา ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 เขาได้รับมอบอำนาจบัญชาการกลุ่มทัพใต้ ซึ่งประกอบด้วยกองพลทหารราบ 52 หน่วย และกองพลพันท์เซอร์ 5 หน่วย บุกเข้าไปในสหภาพโซเวียต เมื่อถึงเดือนกันยายน กลุ่มทัพใต้สามารถยึดเคียฟ ในปฏิบัติการโอบล้อมสองครั้ง ทำให้สตาลินจำเป็นต้องละทิ้งเมืองไว้ กองทัพเยอรมันอ้างว่าตนสามารถจับเชลยศึกชาวโซเวียตได้กว่า 665,000 นาย หลังจากนั้น จึงเป็นผู้บัญชาการการโจมตีคาร์คอฟและรอสตอฟในเวลาต่อมา เขามีความเห็นคัดค้านการเดินหน้ารุกรานสหภาพโซเวียตต่อไปในฤดูหนาวและแนะนำให้ฮิตเลอร์สั่งหยุดการโจมตีไว้ก่อน แต่ข้อเสนอของเขาไม่ได้รับความเห็นชอบ

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1941 เขาเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่เขาปฏิเสธที่จะได้รับการรักษาพยาบาล และยืนยันที่จะบัญชาการรบต่อไป หลังจากตีได้รอสตอฟ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน แล้ว แต่กองทัพเยอรมันถูกตีโต้กลับมา เขาจึงสั่งการให้กองทัพบางส่วนล่าถอย ฮิตเลอร์โกรธมาก จึงสั่งให้นายพลวัลเทอร์ ฟ็อน ไรเชอเนา บัญชาการรบแทน

แนวรบด้านตะวันตก[แก้]

ฮิตเลอร์เรียกตัวแกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท กลับเข้ารับหน้าที่ดังเดิมในกองบัญชาการกองทัพเยอรมันด้านตะวันตก ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1942 แต่การทำงานของเขาล่าช้า จนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. 1943 ก็ยังแทบไม่มีการสร้างป้อมปราการใดตามแนวชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกเลย จนเมื่อแอร์วีน ร็อมเมิล ได้รับมอบหมายมาอยู่ใต้บังคับบัญชาของเขา จึงค่อยได้เห็นความคืบหน้าการก่อสร้างบ้าง

ส่วนแผนการป้องกันทางทะเล เขาเห็นว่า ควรจะมีการจัดวางกำลังยานเกราะอยู่ในแนวหลัง เพื่อที่จะได้สั่งโจมตีพื้นที่ที่กองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกมา แต่จอมพลรอมเมลไม่เห็นด้วยกับแนวความคิดดังกล่าว เขาเห็นว่า ควรจะจัดวางกำลังยานเกราะใกล้กับแนวชายฝั่ง โดยอยู่นอกวิถีของปืนใหญ่ฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนทางด้านฟ็อน รุนท์ชเต็ทถูกชักจูงให้เชื่อว่า การยกพลขึ้นบกตามแนวชายฝั่งทางด้านตะวันตกของฝรั่งเศสจะไม่เกิดขึ้น และควรจะมีการวางกำลังยานเกราะเพียงเล็กน้อยไว้ที่นั้น ทำให้มีกองกำลังยานเกราะเพียงสองกองพลป้องกันเขตนอร์ม็องดี ซึ่งก่อให้เกิดความสูญเสียมหาศาลเมื่อการโจมตีของฝ่ายสัมพันธมิตรมาถึง

หลังจากการยกพลขึ้นบกในนอร์ม็องดี เมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1944 เขาได้กระตุ้นให้ฮิตเลอร์เจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร แต่เมื่อเขาถูกปฏิเสธ ว่ากันว่า เขาได้ระเบิดออกมาว่า "สงบศึกซะ ไอ้โง่" ฮิตเลอร์ได้ปลดเขาออก และแทนที่โดยจอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ

กลางเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1944 เขาได้รับตำแหน่งในกองบัญชาการกองทัพเยอรมันด้านตะวันตกอีกครั้งหนึ่ง เขาได้รวบรวมกองกำลังเพื่อต่อกรกับปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดนอย่างรวดเร็ว และได้รับชัยชนะ เขาถูกปลดออกจากกองบัญชาการอีกครั้งหนึ่งในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1945 เนื่องจากเขาบอกกับเคย์เทลว่า ฮิตเลอร์ควรจะเจรจาสันติภาพกับฝ่ายสัมพันธมิตร ดีกว่าสู้รบในสงครามอันสิ้นหวังนี้

หลังสงคราม[แก้]

ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1945 เขาถูกกองพลทหารราบที่ 36 แห่งสหรัฐจับกุม ระหว่างการถูกควบคุมตัว เขาประสบกับภาวะหัวใจขาดเลือดอีกครั้งหนึ่ง และได้ถูกนำตัวไปพิจารณาคดีที่เกาะอังกฤษ รัฐบาลอังกฤษแจ้งข้อกล่าวหาเขาในฐานะอาชญากรสงคราม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสุขภาพอันย่ำแย่ของเขา เขาจึงถูกปล่อยตัวโดยไม่มีการพิจารณาคดีใน ค.ศ. 1948 และอาศัยอยู่ในฮันโนเฟอร์จนกระทั่งเสียชีวิต

ยศทหาร[แก้]

  • มีนาคม 1892 : นักเรียนทำการนายร้อย (Fähnrich)
  • กรกฎาคม 1893 : ร้อยตรี (Leutnant)
  • ตุลาคม 1901 : ร้อยโท (Oberleutnant)
  • มีนาคม 1909 : ร้อยเอก (Hauptman)
  • พฤศจิกายน 1914 : พันตรี (Major)
  • ตุลาคม 1920 : พันโท (Oberstleutnant)
  • มีนาคม 1923 : พันเอก (Oberst)
  • พฤศจิกายน 1927 : พลตรี (Generalmajor)
  • มีนาคม 1929: พลโท (Generalleutnant)
  • ตุลาคม 1932: พลเอกทหารราบ (General der Infanterie)
  • มีนาคม 1938: พลเอกอาวุโส (Generaloberst)
  • กรกฎาคม 1940: จอมพล (Generalfeldmarschall)

อ้างอิง[แก้]

  • Bungay, Stephen. The Most Dangerous Enemy: A History of the Battle of Britain. London: Aurum Press 2000. ISBN 1-85410-721-6(hardcover), ISBN 1-85410-801-8(paperback 2002).
  • Günther Blumentritt, Von Rundstedt: The Man and the Soldier, London: Odhams Press, 1952
  • B. H. Liddell Hart, The German Generals Talk, New York: William and Morrow, 1948, chap. 7
  • Charles Messenger, The Last Prussian: A Biography of Field Marshal Gerd von Rundstedt, 1875-1953, London: Brassey's, 1991 ISBN 0-08-036707-0
  • Schaulen, Fritjof (2005). Eichenlaubträger 1940 - 1945 Zeitgeschichte in Farbe III Radusch - Zwernemann (in German). Selent, Germany: Pour le Mérite. ISBN 3-932381-22-X.
  • Ziemke, Earl, "Gerd Von Rundstedt" in Hitler's Generals, ed. Correlli Barnet, New York: Grove Weidenfeld, 1989
ก่อนหน้า แกร์ท ฟ็อน รุนท์ชเต็ท ถัดไป
ไม่มี (เป็นคนแรก) ผู้บัญชาการกลุ่มทัพใต้
(1 กันยายน – 26 ตุลาคม 1939)
ตัวเอง
(ตำแหน่งว่างจนถึง 1941)
ไม่มี (เป็นคนแรก) ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ A
(26 ตุลาคม 1939 – 22 กรกฎาคม 1941)
จอมพล วิลเฮ็ล์ม ลิสท์
ไม่มี (เป็นคนแรก) ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันตก
(10 ตุลาคม 1940 – 1 เมษายน 1941)
จอมพล แอร์วีน ฟ็อน วิทซ์เลเบิน
ตัวเอง
ผู้บัญชาการกลุ่มทัพใต้
(22 กรกฎาคม – 3 ธันวาคม 1941)
จอมพล วัลเทอร์ ฟ็อน ไรเชอเนา
จอมพล แอร์วีน ฟ็อน วิทซ์เลเบิน ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ D
ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันตก

(15 มีนาคม 1942 – 2 กรกฎาคม 1944)
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ
จอมพล กึนเทอร์ ฟ็อน คลูเกอ ผู้บัญชาการกลุ่มทัพ D
(15 สิงหาคม 1944 – 11 มีนาคม 1945)
จอมพล อัลแบร์ท เค็สเซิลริง
จอมพล วัลเทอร์ โมเดิล
(รักษาการแทน)
ผู้บัญชาการใหญ่เขตตะวันตก
(3 กันยายน 1944 – 11 มีนาคม 1945)
จอมพล อัลแบร์ท เค็สเซิลริง