หมู่บ้านสันติคีรี
หมู่บ้านสันติคีรี เดิมชื่อ หมู่บ้านแม่สลอง เป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่บนดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย พื้นที่ดังกล่าวมีลักษณะภูมิประเทศและภูมิอากาศเป็นแบบอัลไพน์ และเป็นที่รู้จักกันจากชาวบ้านที่เป็นเผ่าชนภูเขา ไร่ชา และดอกซากุระ
ประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของหมู่บ้านสันติคีรีมีศูนย์กลางอยู่ที่การค้าฝิ่นในแถบสามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งมีประชากรจากกองพล 93 "กองทัพสาบสูญ" ของสาธารณรัฐจีน มีส่วนพัวพันอยู่ด้วย ภายหลังสงครามกลางเมืองจีนสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2492 บางส่วนของกองกำลังพรรคก๊กมินตั๋งปฏิเสธที่จะยอมจำนน รวมทั้งกองพล 93 นำโดยพลเอกต้วน ซีเหวิน[1] กองพล 93 ทำการสู้รบออกจากมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และทหารได้อยู่อาศัยอย่างเร่ร่อนในป่าของพม่า ก่อนที่จะลี้ภัยเข้ามาในแม่สลอง เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลี้ภัยของพวกเขา ทหารกองพล 93 จึงช่วยทำการสู้รบต่อต้านการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์บริเวณพรมแดนไทยนับตั้งแต่ พ.ศ. 2525 รัฐบาลไทยตอบแทนโดยการมอบสถานะพลเมืองให้กับทหารก๊กมินตั๋งและครอบครัว
พืชที่ปลูกเพื่อการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชา ได้เข้ามาแทนที่การปลูกฝิ่น และในปัจจุบัน สันติคีรีเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันในชื่อ "สวิตเซอร์แลนด์น้อย"[2]
ประวัติ
[แก้]จุดกำเนิดของหมู่บ้านสันติคีรีมีมาตั้งแต่สมัยสิ้นสุดสงครามกลางเมืองจีน เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2492 พรรคคอมมิวนิสต์จีน ภายใต้การนำของเหมา เจ๋อตุง ได้รับชัยชนะในประเทศจีน ส่วนกองทัพก๊กมินตั๋ง ภายใต้การนำของจอมทัพเจียง ไคเช็ค ที่พ่ายแพ้ ได้ล่าถอยไปยังไต้หวัน ยกเว้นกรมทหารราบที่ 3 ที่ 5 และกองพล 93 ซึ่งปฏิเสธที่จะยอมจำนน[3] การสู้รบระหว่างกองทัพคอมมิวนิสต์และก๊กมินตั๋งยังคงดำเนินต่อไปในพื้นที่ห่างไกลบางส่วนของจีน รวมทั้งมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ เมื่อฝ่ายคอมมิวนิสต์เคลื่อนทัพเข้าสู่คุนหมิง เมืองหลวงของมณฑล ได้สำเร็จในเดือนมกราคม พ.ศ. 2493 กรมทหารที่ 3 และที่ 5 ภายใต้การบัญชาการของพลเอกลี เหวินห้วน และต้วน ซีเหวิน ตามลำดับ ได้ทำการสู้รบออกจากยูนนานและหลบหนีเข้าไปในพื้นที่ป่าของพม่า[4]
สงครามยังไม่สิ้นสุดสำหรับทหารก๊กมินตั๋ง หลังจาก "การเดินทางวิบาก" ของพวกเขาตั้งแต่ยูนนานจนถึงรัฐฉานของพม่า ฝ่ายพม่าเมื่อค้นพบว่ามีกองทัพต่างชาติเข้ามาตั้งค่ายในแผ่นดินของตนก็ได้ทำการโจมตี การสู้รบยืดเยื้อกว่า 12 ปี และทหารก๊กมินตั๋งหลายพันคนได้อพยพไปยังไต้หวัน เมื่อจีนเข้าร่วมในสงครามเกาหลี หน่วยสืบราชการลับกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (CIA) มีความต้องการข่าวกรองเกี่ยวกับจีนอย่างมาก ซีไอเอได้หันไปพึ่งนายพลก๊กมินตั๋งทั้งสอง ผู้ซึ่งตกลงที่จะส่งทหารบางส่วนกลับเข้าไปในจีนสำหรับภารกิจในการแสวงหาข่าวกรอง เพื่อเป็นการตอบแทน ซีไอเอได้เสนออาวุธยุทธภัณฑ์ให้แก่นายพลทั้งสองเพื่อยึดจีนคืนจากฐานในรัฐฉาน กองทัพก๊กมินตั๋งพยายามมากกว่าเจ็ดครั้งระหว่าง พ.ศ. 2493 และ 2495 แต่ก็ถูกขับไล่กลับมายังรัฐฉานครั้งแล้วครั้งเล่า[5] การสิ้นสุดของสงครามเกาหลีใน พ.ศ. 2496 มิใช่จุดสิ้นสุดสำหรับการต่อสู้กองทัพคอมมิวนิสต์จีนและพม่า ซึ่งยังคงมีต่อเนื่องมาเป็นเวลาอีกหลายปี โดยได้รับการสนับสนุนจากวอชิงตันและไต้หวัน ซึ่งเงินทุนนั้นก็ได้รับมาจากการมีส่วนเกี่ยวข้องในการค้ายาเสพติดบริเวณสามเหลี่ยมทองคำ[6]
ลี้ภัยในประเทศไทย
[แก้]พ.ศ. 2504 นายพลต้วนนำทหารก๊กมินตั๋งที่เหนื่อยล้าจากการทำศึกราว 4,000 นายออกจากพม่าเข้ามายังแถบภูเขาแม่สลองในประเทศไทย ในการแลกเปลี่ยนกับการลี้ภัยครั้งนี้ รัฐบาลไทยกำหนดให้พวกเขาช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ต่อการแทรกซึมของคอมมิวนิสต์[7] ผลที่ตามมาคือ ชาวบ้านที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ทุกวันนี้มีเชื้อชาติจีน เป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงมาจากทหารก๊กมินตั๋ง ขณะเดียวกัน พลเอกลี แห่งกรมทหารที่ 3 ได้ก่อตั้งกองบัญชาการใหญ่ขึ้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของจังหวัดเชียงใหม่[8] กองทัพก๊กมินตั๋งได้เปลี่ยนชื่อเป็น "กำลังนอกแบบจีน" (CIF) และได้รับการจัดวางให้อยู่ภายใต้การควบคุมของคณะทำงานพิเศษ ชื่อรหัส "04" โดยอยู่ภายใต้กองบัญชาการทหารสูงสุดในกรุงเทพมหานคร[5]
หลังจากที่ทหารก๊กมินตั๋งมาถึงดอยแม่สลอง ได้ตกลงที่จะถ่ายโอนการบริการกลุ่มให้แก่รัฐบาลไทย ผู้ว่าราชการจังหวัดทางภาคใต้ ประหยัด สมานมิตร ซึ่งถูกย้ายมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เพื่อคอยดูกองพลก๊กมินตั๋ง ได้ถูกสังหารโดยคอมมิวนิสต์ ไม่นานหลังจากนั้น กองพลก๊กมินตั๋งได้รับคำสั่งให้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการตอบโต้กองทัพที่กำลังรุกคืบเข้าใกล้ชายแดนทางเหนือของไทย และภัยคุกคามภายในที่มาจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย[9] ได้มีการสู้รบอย่างดุเดือดในแถบภูเขาดอยหลวง ดอยยาว ดอยผาหม่น ปฏิบัติการนองเลือดเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2513 ระยะเวลาห้าปีคร่าชีวิตไปกว่า 1,000 ชีวิต โดยจำนวนมากเสียชีวิตจากทุ่นระเบิด จนกระทั่ง พ.ศ. 2525 ทหารจึงสามารถวางอาวุธและปลดจากหน้าที่กลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติสุขที่ดอยแม่สลอง เพื่อเป็นรางวัลแก่การให้ความช่วยเหลือดังกล่าว รัฐบาลไทยมอบสถานะพลเมืองให้แก่ทหารก๊กมินตั๋งและครอบครัวเป็นส่วนใหญ่[9]
แม้รัฐบาลไทยพยายามที่จะรวมกองพลก๊กมินตั๋งและครอบครัวเข้ากับชาติไทย แต่ผู้อาศัยบนดอยแม่สลองกลับเลือกที่จะใช้เวลาหลายปีเกี่ยวข้องกับการค้าฝิ่นผิดกฎหมาย ร่วมกับขุนศึกยาเสพติด ขุนส่า แห่งกองทัพสหฉาน[3] พ.ศ. 2510 ต้วนได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษของวีกเอนด์เทเลกราฟว่า
เรายังต้องต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ที่ชั่วร้ายต่อไป และเพื่อที่จะสู้ คุณต้องมีกองทัพ และกองทัพจะต้องมีปืน และในการที่จะซื้อปืน คุณต้องมีเงิน ในแถบภูเขานี้ เงินเพียงแหล่งเดียวก็คือฝิ่น[10]
— พลเอกต้วน ซีเหวิน (10 มีนาคม 2510)
ตามรายงานของซีไอเอใน พ.ศ. 2514 ดอยแม่สลองเป็นหนึ่งในพื้นที่ผลิตเฮโรอีนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[11] จนกระทั่งปลายทศวรรษ 1980 หลังกองทัพของขุนส่าถูกขับไล่และผลักดันกลับเข้าสู่พม่าโดยกองทัพไทยแล้ว รัฐบาลจึงสามารถควบคุมพื้นที่ดังกล่าวได้ ซึ่งบางส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการเปลี่ยนพืชที่ปลูกและการให้ชื่อใหม่ สันติคีรี หมายถึง "ภูเขาแห่งสันติภาพ" รัฐบาลพยายามที่จะแยกพื้นที่ดังกล่าวออกจากภาพลักษณ์ในอดีตที่เป็นพื้นที่ปลูกฝิ่น[12] พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมาชิกราชวงศ์จักรีพระองค์อื่นมักเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเป็นประจำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์สนับสนุนอดีตทหารผู้ซึ่งเคยต่อสู้ให้กับชาติไทย[9]
สันติคีรีในปัจจุบัน
[แก้]ก่อนหน้ากลางทศวรรษ 1970 ดอยแม่สลองห้ามคนภายนอกเข้าอย่างเข้มงวด[13] จากประวัติศาสตร์ของพื้นที่ ตั้งแต่ พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา สันติคีรีได้พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยว มีถนนสายแคบที่มีร้านเหล้า ร้านก๋วยเตี๋ยว และร้านน้ำชาตั้งอยู่ข้างทาง ผลที่ตามมาคือ สันติคีรีได้กลายมาเป็นหนึ่งในสิบจุดหมายเดินทางของนักท่องเที่ยวสะพายเป้หลังที่ได้รับความนิยมสูงสุด[14] อดีตทหารได้ตั้งถิ่นฐานลง โดยมีบางส่วนสมรสกับเจ้าสาวเชื้อสายจีนผู้ซึ่งข้ามพรมแดนมาก่อนที่สงครามกลางเมืองจีนจะยุติ และอีกส่วนหนึ่งสมรสกับชาวไทยท้องถิ่น อดีตทหารและผู้สืบเชื้อสายได้ดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข แต่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็นชาวจีน ภาษาหลักที่ใช้พูดกันยังคงเป็นภาษาแมนดาริน
โครงการเปลี่ยนพืชประสบความสำเร็จ กระตุ้นให้เกิดการปลูกชา กาแฟ ข้าวโพดและไม้ผล แทนที่ฝิ่นซึ่งเคยปลูกกันมาแต่เดิม ได้มีการจัดตั้งสวนผลไม้และโรงงานชาขึ้น ตามมาด้วยโรงงานการผลิตไวน์ผลไม้และสมุนไพรจีน ซึ่งได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทย ไต้หวัน ประชาคมชาวจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจีน[15]
ภูมิประเทศและภูมิอากาศ
[แก้]หมู่บ้านสันติคีรีตั้งอยู่บนยอดดอยในอำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย ห่างจากตัวเมืองประมาณ 80 กิโลเมตร ซึ่งเป็นบริเวณยอดสูงสุดของทิวเขาแม่ฟ้าหลวง ที่ระดับความสูง 1,800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล มีภูมิอากาศคล้ายอัลไพน์ โดยมีอากาศหนาวเย็นสดชื่นตลอดทั้งปี และหนาวยะเยือกในช่วงฤดูหนาวตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ การเดินทางไปยังหมู่บ้านสันติคีรีสามารถใช้สองเส้นทาง คือ ทางหลวงหมายเลข 1130 และทางหลวงหมายเลข 1234 จากทางใต้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการตัดถนนลาดยางเข้ามานั้น หมู่บ้านสามารถเข้าถึงได้โดยม้าบรรทุกสัมภาระเท่านั้น[12] ในปัจจุบัน มีบริการรถมินิบัส ให้บริการตั้งแต่ 6.00 น. จนถึง 22.00 น. เส้นทางจากเชียงรายจนถึงหมู่บ้านสันติคีรี[16]
หมู่บ้านสันติคีรีเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาหลายชนเผ่า เช่น อาข่า ซึ่งมีถิ่นกำเนิดจากจีนตอนใต้และพม่า แต่ละชนเผ่าต่างก็มีภาษาเป็นของตนเอง มีประเพณีและวิถีปฏิบัติแบบนับถือผี ผู้สืบเชื้อสายชาวจีนเป็นประชากรส่วนใหญ่ของหมู่บ้านสันติคีรีมีอยู่ราว 20,000 คน[4]
จุดสังเกตและแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
[แก้]หมู่บ้านสันติคีรีเป็นที่รู้จักกันดี "ชาอูหลง เป็นชาจีนโบราณคุณภาพสูง มีปริมาณการผลิตกว่า 80% ของการผลิตชาทั้งหมดในจังหวัดเชียงราย (200 ตันต่อปี) ลักษณะภูมิอากาศและพื้นที่หมู่บ้านสันติคีรีมีความเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการปลูกอูหลง[4] โดยปลูกที่ระดับความสูงตั้งแต่ 1,200 เมตร ถึง 1,400 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล พ.ศ. 2548 หมู่บ้านสันติคีรีได้รับเลือกจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาให้เป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวโอทอป จากชาอูหลงคุณภาพดีดังกล่าว เป้าหมายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว พัฒนาสินค้าและบริการของประเทศ ผู้เชี่ยวชาญชาวไต้หวันทำงานร่วมกับเกษตรกรท้องถิ่น ในกระบวนการผลิตชาคุณภาพสูงสำหรับตลาดภายในและตลาดส่งออก จำนวนไร่ชาในหมู่บ้านได้เพิ่มมากขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 รวมทั้งไร่โชคจำเริญ, วังพุดตาล และไร่ชา 101[17]
ระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม จนถึง 2 มกราคมของทุกปี หมู่บ้านสันติคีรีจัดเทศกาลซากุระบานประจำปี โดยองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สลอง ร่วมกับอำเภอแม่ฟ้าหลวง เทศกาลดังกล่าวเฉลิมฉลองวัฒนธรรมชาวเขาพื้นที่จังหวัดเชียงราย รวมทั้งการขายสิ่งของหัตถกรรม การแสดงแสงและเสียง ขบวนพาเหรดชาวเขา และการประกวดนางงาม[18]
พลเอกต้วน ชีเหวิน เสียชีวิตใน พ.ศ. 2523 และร่างถูกฝังอยู่ในสุสานคล้ายสถูปบนยอดเนินที่สามารถไปถึงได้โดยการปีน 300 เมตร จากยอดเนินดังกล่าว มีมุมพาโนรามาของหมู่บ้าน[8] นอกจากนี้ ยังมีอนุสรณ์สถานทหารก๊กมินตั๋งซึ่งเสียชีวิตระหว่างการรบต่อต้านคอมมิวนิสต์ อนุสรณ์วีรชน พิพิธภัณฑ์ซึ่งมีการจารึกนามผู้เสียชีวิตไว้บนกระดาน ติดตั้งอยู่บนแท่นบูชาในอาคารหลัก ตัวอาคารสร้างขึ้นในรูปแบบศาลเจ้าจีนขนาดใหญ่ จัดแสดงนิทรรศการการต่อสู้ของทหารก๊กมินตั๋ง และการพัฒนาของดอยแม่สลอง[19]
พระบรมธาตุเจดีย์เป็นเจดีย์ซึ่งสร้างขึ้นบนเนินใกล้กับหมู่บ้าน เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี นอกจากนี้ ยังมีมุมทิวทัศน์พรมแดนพม่าซึ่งเคยห้ามเข้าในยุคภายใต้การควบคุมของขุนส่า[2]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ "The Kuomintang". Shan Herald Agency for News dated 26 July 2005. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-28. สืบค้นเมื่อ 2007-07-01.
- ↑ 2.0 2.1 "Guide to Mae Salong". One Stop Chiang Mai. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-01-01. สืบค้นเมื่อ 2007-10-25.
- ↑ 3.0 3.1 Chua Mui Yoon (25 February 2007). "China's forgotten soldiers". StarMag (The Star Sunday supplement). pp. SM4–5.
- ↑ 4.0 4.1 4.2 Jinakul, Surath (17 July 2005). "Perspective: 'Lost army' at home in the Mountains of Peace". Bangkok Post. p. P1.
- ↑ 5.0 5.1 Lintner, Bertil. "The Golden Triangle Opium Trade: An Overview" (PDF). Asia Pacific Media Services. สืบค้นเมื่อ 2007-11-07.
- ↑ Collins, Larry (3 December 1993). "The CIA drug connection is as old as the agency". International Herald Tribune. p. 5.
- ↑ Gray, Denis (12 May 2002). "Anti-communist Chinese army in exile fading away". Associated Press. p. 25.
- ↑ 8.0 8.1 "The lost army". Bangkok Post. 15 November 1998.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 Chua Mui Yoon (25 February 2007). "China's forgotten soldiers—Long March to Peace". StarMag (The Star Sunday supplement). p. SM5.
- ↑ Endnote: Weekend Telegraph (London) dated 10 March 1967.
- ↑ Campbell, Colin (3 February 1983). "Thailand's Kuomintang Warlords Go Respectable". The New York Times.
- ↑ 12.0 12.1 "Natural Attractions — Doi Mae Salong". Thailand.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-03-22. สืบค้นเมื่อ 2007-07-02.
- ↑ Gagliardi, Jason (25 February 2002). "Forever China in a Corner of Thailand". Time Magazine dated 18 February 2002. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-15. สืบค้นเมื่อ 2007-07-01.
- ↑ "Thailand's Top 10". Pass Planet. สืบค้นเมื่อ 2007-11-07.
- ↑ Gray, Denis (17 April 2002). "Chinese nationalist veterans fade away as stronghold turns to tea and tourism". Associated Press.
- ↑ Cummings, Joe (2005). Thailand. Lonely Planet. pp. 350–351. ISBN 1740596978.
- ↑ Theparat, Chatrudee (2 October 2006). "Anyone for a brew? Little Switzerland has a lot to offer with its beautiful scenery and aromatic tea". Bangkok Post. p. B8.
- ↑ "Travel Guide: January trip bargains". Bangkok Post. 23 December 2004. p. H8.
- ↑ Weeradet, Thanin (14 December 2006). "Distinctly Yunnan: Doi Mae Salong in Chiang Rai is tea country, the legacy of Chinese who found refuge in this distant dale". Bangkok Post. p. H1.