ผู้ใช้:Minos777/วัดสุทธิวราราม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดสุทธิวราราม
ชื่อสามัญวัดสุทธิวราราม
ที่ตั้งถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120
ประเภทวัดราษฎร์
นิกายมหานิกาย
พระประธานพระพุทธสุทธิมงคลชัย
เจ้าอาวาสพระมหาสุทิตย์ อาภากโร ดร.
ความพิเศษเป็นวัดราษฎร์แห่งแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน
จุดสนใจอุโบสถหินอ่อนจตุรมุข 2 ชั้น
เว็บไซต์วัดสุทธิวราราม , Watsuthiwararam
พระพุทธศาสนา ส่วนหนึ่งของสารานุกรมพระพุทธศาสนา

วัดสุทธิวราราม ตั้งอยู่บน ถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 13 วา ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อ พ.ศ. 2424 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรี

ประวัติ[แก้]

เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงกู้อิสระเป็นเอกราชแล้ว ได้เสด็จไปปราบหัวเมืองที่ตั้งตนเป็นก๊กต่างๆ และในปี พ.ศ. 2312 ได้ยกทัพทางเรือไปปราบก๊กพระยานครศรีธรรมราช (หนู) ที่เมืองนครศรีธรรมราช แล้วได้นำตัวพระยานครศรีธรรมราช (หนู) พร้อมภรรยาและธิดามายังกรุงธนบุรี ให้พำนักอยู่ฝั่งธนบุรีประมาณ 2 ปี พระยานคร ฯ ขอพระบรมราชานุญาต มาตั้งบ้านพักอยู่ฝั่งพระนคร ตามแนวคลองกรวย ติดแม่น้ำเจ้าพระยา (จนปรากฏชื่อว่า “ตรอกพระยานคร” ย่านถนนเจริญกรุง 69 ในปัจจุบัน) โดยได้รับพระราชทานที่ดินประมาณ 200 ไร่ พระยานครฯ ขอพระราชทานสร้างวัดใกล้ๆ กับวัดคอกควายหรือที่เรียกว่า “วัดยานนาวา” ในปัจจุบัน โดยยกเนื้อที่พระราชทานถวายเป็นที่วัด 48 ไร่ ชื่อวัดไม่ปรากฏชัด แต่ในฐานะที่อยู่บริเวณบ้านทะวายและบ้านชนชาติลาวจึงเรียก “วัดลาว” เขตวัดติดแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นที่ตั้งขององค์การสะพานปลาในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2319 สมเด็จพระเจ้าตากสิน ทรงแต่งตั้งให้พระยานครศรีธรรมราช (หนู) กลับไปครองเมืองนครศรีธรรมราชอีกครั้ง และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระเจ้านครศรีธรรมราช ให้มีเกียรติเสมอเจ้าประเทศราช มีอำนาจแต่งตั้งขุนนางตามแบบจตุสดมภ์ได้เช่นเดียวกับราชธานี วัดลาว ตั้งมาได้ 100 กว่าปี เกิดเพลิงไหม้วัดทั้งหมด จึงต้องย้ายวัดไปสร้างในที่ป่าช้าของวัด ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางทิศตะวันออก ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดสุทธิวรารามในปัจจุบัน ที่ตั้งวัดเดิมริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็รกร้างว่างเปล่า ต่อมาบริษัทวินเซอร์โรซ ซึ่งเป็นบริษัทชาวเยอรมัน มาขอเช่าทำที่ดิน โดยทำสัญญาเช่าที่ดินจากกระทรวงธรรมการ ตั้งแต่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา จรด ถนนเจริญกรุง เพื่อสร้างเป็นโกดังเก็บสินค้า เมื่อได้เช่าแล้วก็ได้สร้างรั้วรอบพื้นที่ สร้างท่าเทียบเรือตรงมาจากถนนซอยแสงจันทร์ลงไปแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเรียกชื่อว่า “ท่าเจ้าพระยา” แต่ในฐานะที่ผู้จัดการบริษัทวินเซอร์โรซสวมแว่นตา ซึ่งคนไทยในสมัยนั้นยังไม่ค่อยรู้จักแว่นตามากนัก จึงเรียกท่าน้ำนี้ว่า “ท่าสี่ตา” จนถึงปัจจุบัน

จากจารึกในแผ่นศิลาที่ติดไว้หน้าโบสถ์หลังเก่า ระบุว่า วัดนี้เดิมเป็นวัดร้าง เมื่อปี ร.ศ. 100 ปีมะเส็ง จุลศักราช 1243 ตรงกับพุทธศักราช 2424 ท่านผู้หญิงสุทธิ์ ภรรยาเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 6 ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สร้างขึ้นใหม่ และเมื่อได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ พระราชทานนามวัดนี้ว่า “วัดสุทธิวราราม” ตามนามของท่านผู้หญิงสุทธิ์

ต่อมาวัดนี้ทรุดโทรมลง ท่านปั้น ภรรยาหลวงอุปการโกษากร (เวท วัชราภัย) ซึ่งเป็ยบุตรีเจ้าพระยาวิเชียรคีรี (เม่น ณ สงขลา) และท่านผู้หญิงสุทธิ์ มีกตัญญูระลึกถึงคุณบิดา มารดา และเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ปฏิสังขรณ์ก่อสร้างขึ้นบริบูรณ์ ในปี ร.ศ. 118 จุลศักราช 1262 ตรงกับพุทธศักราช 2442 และได้รับแต่งตั้งให้เป็นมรรคทายิกาวัดนี้ พร้อมให้ความอุปถัมภ์ตลอดมา ต่อมาประมาณปี พ.ศ. 2450 เจ้าอาวาสวัดสุทธิวราราม ชื่อพระอธิการแดง มีความประสงค์ย้ายวัดจากที่ป่าช้ากลับไปอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตามเดิม จึงเจรจากับทางบริษัทวินเซอร์โรซ ซึ่งบริษัทวินเซอร์โรซขอค่ารื้อถอนขนย้ายเป็นเงิน 1,800 บาท ทางวัดไม่มีเงินจ่าย ต้องจำยอมให้บริษัทเช่าอยู่ต่อไป และเมื่อท่านปั้น อุปการโกษากร ถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2454 บุตรธิดาของท่านปั้น ได้แก่คุณหญิงสมบุญ วิเชียรคีรี ภริยาพระยาวิเชียรคีรี (ชม ณ สงขลา) ผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ลำดับที่ 8 คุณหญิงบุญรอด สุรบดินทร์สุรินทรฤาชัย ภริยา เจ้าพระยาสุรบดินทร์สุรินทรฤาชัย (พร จารุจินดา) ท่านเชื้อ อนันตสมบัติ ภริยาพระอนันตสมบัติ (เอม ณ สงขลา) ผู้ช่วยราชการเมืองสงขลา มหาอำมาตย์โท พระยาพิจารณาปฤชามาตย์ (สุหร่าย วัชราภัย) คุณหญิงเป้าเพชรกำแหงสงคราม ภริยาพระยาเพชรกำแหงสงคราม (มะลิ ยุตะนันท์) พระกรณีศรีสำรวจ (แดง วัชราภัย) และ คุณหญิงตาบ ศรีสังกร ภริยาพระยาศรีสังกร (ตาด จารุรัตน์) มีประสงค์จะสร้างอนุสรณ์สถานเพื่ออุทิศเป็นทักษิณานุปทานแด่มารดา จึงได้รวบรวมทุนทรัพย์จัดสร้างโรงเรียนวัดสุทธิวรารามขึ้นในบริเวณที่ธรณีสงฆ์ซึ่งบริษัทวินเซอร์โรซเช่าอยู่ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นสถานที่อบรมและให้การศึกษาแก่เยาวชนของชาติ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้เสด็จมาทรงกระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2454 เป็นโรงเรียนแรกที่สร้างขึ้นในรัชกาลของพระองค์ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชดำรสชมเชย ให้การสร้างโรงเรียนวัดสุทธิวราราม เป็นแบบอย่างของการบำเพ็ญกุศลที่ต้องด้วยพระราชนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนมัธยมพิเศษวัดสุทธิวราราม”

ในปี พ.ศ. 2460 ทางบริษัทวินเซอร์โรซ (ห้างสี่ตา) ได้หมดสัญญาเช่าที่ดิน(ด้านหน้า) ท่านขุนสิทธิ์ดรุณเวชย์ อาจารย์ผู้ปกครองได้ขอสถานที่จากทางวัดสุทธิราราม เพื่อสร้างเป็นโรงเรียนชั้นประถม เมื่อท่านเจ้าอาวาสวัดสุทธิรารามได้กรุณาให้เป็นไปตามความประสงค์ จึงได้รื้อโรงเรียนประถมวัดยานนาวา มาปลูกสร้างต่อจากโรงเรียนเดิมไปทางทิศตะวันตก เมื่อสร้างเสร็จแล้ว กระทรวงธรรมการ เห็นสมควรจะเปิดเป็นโรงเรียนสตรีอีกแผนกหนึ่ง

พ.ศ. 2461 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงประกาศสงครามกับประเทศเยอรมัน จึงส่งทหารเข้ายึดโกดังของบริษัทวินเซอร์โรซ ในฐานะเชลยสงคราม เมื่อยึดโกดังทรัพย์สินไปแล้ว ที่ดินวัดซึ่งเป็นที่ธรณีสงฆ์ก็พลอยติดไปด้วย ที่ดินนี้จึงเป็นที่ราชพัสดุ แล้วกลายเป็นที่ตั้งองค์การสะพานปลาในปัจจุบัน โดยมีเนื้อที่ทั้งหมด 18 ไร่

ต่อมา วัดนี้ทรุดโทรมลงอีก ในปีพ.ศ. 2473 เชื้อ ณ สงขลา ภรรยาพระอนันตสมบัติ (เอม ณ สงขลา) บุตรี ท่านปั้นฯ และหลวงอุปการโกษากร (เวท วัชรภัย) ได้จัดการปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ โดยได้รื้อเพิงทั้งด้านและด้านหลังของอุโบสถ เปลี่ยนมุขซ้อนลงมาและได้ปฏิสงขรณ์อุโบสถทั้งหลัง รวมทั้งได้ย้ายแท่นระประธานซึ่งเดิมตั้งอยู่ด้านตะวันตก เปลี่ยนมาเป็นทิศตะวันออกและสร้างพระประธานขึ้นใหม่หันพระพักตร์ไปทางถนนเจริญกรุง วัดนี้ได้อยู่ในความอุปถัมภ์ของท่านผู้สร้างในครั้งแรก และครั้งต่อ ๆ มา ดังได้ออกนามมาแล้ว ตลอดจนถึงผู้ที่สืบตระกูลของท่านเหล่านั้น เป็นต้นว่า พระยาพิจารณาปรีชาปฤชามาตย์ ( สุหร่าย วัชราภัย ) ได้รับแต่งตั้งเป็นมรรคทายกวัดนี้ สืบต่อจาก ปั้น วัชราภัย ผู้เป็นมารดา ถัดมาได้แก่ เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) และพระยามานวรราชเสวี (ปลอด ณ สงขลา) ผู้เป็นองคมนตรี โดยเป็นผู้ช่วยเหลือ อุปถัมภ์สืบต่อจาก เชื้อ ณ สงขลา ผู้เป็นมารดา ที่สำคัญยิ่งเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2511 ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลปัจจุบัน เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดสุทธิวราราม ซึ่งเป็นการทอดผ้าพระกฐินหลวงครั้งแรก ณ วัดที่ไม่ใช่พระอารามหลวง หลังจากถวายผ้าพระกฐินเสร็จแล้ว ได้ตรัสกับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) องคมนตรี ผู้รับเสด็จใกล้ชิดว่า “ขอฝากดูแลวัดนี้ด้วย มีโอกาสจะมาอีก” หลังจากนั้น วัดสุทธิวราราม ก็ได้มีการพัฒนาเพื่อเป็นสถานที่พักอาศัยและศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุ สามเณร รวมทั้งเป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชนและเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของกุลบุตร กุลธิดา สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ถาวรวัตถุภายในวัด[แก้]

วัดสุทธิวรารามมีที่ดินที่ตั้งวัด โดยมีเนื้อที่ 5 ไร่ 3 งาน 13 วา มีสิ่งปลูกสร้างดังนี้

สิ่งปลูกสร้าง[แก้]

อุโบสถ[แก้]

สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2537 เป็นอุโบสถจัตุรมุข กว้าง 9 เมตร ยาว 25 เมตร สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาแกรนิต พื้นทั้ง 2 ชั้น ปูด้วยหินแกรนิต ฝาผนังทั้งด้านในและด้านนอกบุด้วยหินอ่อน

กุฎิสงฆ์สุทธิวราราม[แก้]

สร้างเมื่อปี พ.ศ.25390 กว้าง 9 เมตร ยาว 21 เมตร สูง 4 ชั้น สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นด้านล่างโล่งเป็นอเนกประสงค์ ชั้นบนทั้ง 3 ชั้นเป็นห้องพักพระภิกษุ-สามเณร 21 ห้อง มีห้องน้ำ – ห้องส้วมในตัว

ศาลา อโศกมหาราช[แก้]

สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นอาคารตรีมุข 4 ชั้น กว้าง 12 เมตร ยาว 24 เมตร สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก เสาหินอ่อนกลม พื้นแกรนิต ชั้นล่างโล่งเป็นอเนกประสงค์ เช่นเดียวกับชั้นที่ 2 ส่วนชั้นที่ 3-4 เป็นห้องพักสงฆ์มีห้องน้ำ – ห้องส้วมในตัว พื้นปูด้วยหินอ่อน

ศาลา นวมินทรมหาราช[แก้]

สร้างเมื่อปี พ.ศ.2544 เป็นอาคารตรีมุข กว้าง 16 เมตร รวมมุข 5 เมตร ยาว 36 เมตร เสากลมแกรนิต พื้นแกรนิต ชั้นล่างกว้างโล่ง ชั้นที่ 2 เสาหินอ่อน เปิดโล่งตลอดสำหรับเป็นห้องประชุม ชั้นที่ 3-4 เป็นห้องพักสงฆ์ 32 ห้อง มีห้องน้ำครบ

อื่นๆ[แก้]

  • กุฏิ ที่พักสงฆ์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นอาคารฝาแฝด 2 ชั้น หันหน้าเข้าหากัน กว้าง 14 เมตร ยาว 24 เมตร สร้างด้วยไม้สัก ผสมคอนกรีต ชั้นล่างเป็นพื้นที่โล่งใช้อเนกประสงค์ ส่วนชั้นที่ 2 มีห้องพักพระภิกษุ-สามเณรจำนวน 16 ห้อง
  • ศาลาการเปรียญ สร้างในปี พ.ศ. 2474 เป็นอาคารไม้สักทองทั้งหลัง 2 ชั้น กว้าง 12 เมตร ยาว 12 เมตร
  • กุฏิเจ้าอาวาส สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2473 เป็นอาคารไม้สักทอง 2 ชั้น กว้าง 15 เมตร ยาว 15 เมตร สร้างโดยท่านเชื้อ ณ สงขลา
  • หอระฆัง สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2475 อุปถัมภ์โดยคุณหญิงจำเริญ พิจารณาปรีชามาตย์
  • เจดีย์ สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2480
  • เมรุเผาศพ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2529 ใช้เตาเผาระบบป้องกันมลภาวะ 2 หัวเตา
  • ศาลาบำเพ็ญกุศล 3 หลัง

ปูถุชนียวัตถุที่สำคัญ[แก้]

องค์พระประธานในอุโบสถ ปางมารวิชัย ศิลปะแบบสุโขทัย โดยท่านผู้หญิงสุทธิ์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6

เจดีย์ทรงลังกา 1 องค์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เป็นแบบศิลปะไทยประยุกต์ โดยสร้างครอบเจดีย์องค์เก่า ซึ่งเรียกว่าเจดีย์ดำ

พระพุทธบาทจำลอง ยาวขนาด 1 เมตร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 9 มีความสวยงามตามลักษณะแห่งพระมหาบุรุษ