บาป (ศาสนาคริสต์)
![]() | บทความนี้ได้รับแจ้งให้ปรับปรุงหลายข้อ กรุณาช่วยปรับปรุงบทความ หรืออภิปรายปัญหาที่หน้าอภิปราย
|
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
ในศาสนาคริสต์ บาป (อังกฤษ: sin; ฮีบรู: חָטָא khatah ทำผิด) คือการไม่บรรลุถึงความครบถ้วนแห่งกฎหมายอันชอบธรรมที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสำหรับมนุษย์ (กฎทางศีลธรรม) การไม่บรรลุเช่นนั้น ยังผลให้มนุษย์ตกเข้าสู่แนวทางการดำเนินชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ ความไม่สมบูรณ์อันเป็นผลจากบาปได้เป็นเหมือนนายที่กดขี่เขา ให้อยู่ในสภาพเป็นทาส สภาพเช่นนั้นคือ ความบกพร่องของทั้งจิตวิญญาน (ทั้งหมดในตัวบุคคล) ที่ต้องเสื่อมลงทุกด้าน และที่สุดคือ ความตาย ดังที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ว่า "เพราะว่าค่าจ้างของบาปคือความตาย"[1]
จุดเริ่มต้นของบาป[แก้]
ณ สวนเอเดน อันเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์คู่แรก ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงจัดเตรียมให้ พระองค์อนุญาตให้เขากินผลไม้ทุกอย่างในสวนได้ แต่มีต้นหนึ่งที่อยู่กลางสวน เป็นต้นไม้ที่ให้รู้จักความดีและชั่ว พระองค์ทรงสงวนไว้จากมนุษย์คู่แรก โดยบัญชาแก่เขาว่า "แต่ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่" [2] อย่างไรก็ดี อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่เอวากำลังมองดูผลจากต้นไม้นั้น เธอก็ได้ยินเสียงพูดมาจากงูตัวหนึ่ง ถามกับเธอว่า "จริงหรือ? ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’" เอวาจึงตอบงูว่า "ผลของต้นไม้ในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินและถูกต้องเลย มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’" งูจึงหลอกเอวาโดยพูดว่า "พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว" เอวาจึงคล้อยตามการชี้นำของซาตาน หยิบผลไม้ที่พระเจ้าตรัสห้ามมากินเข้าไป ทั้งยังส่งให้อาดัมกินด้วย
การละเมิดต่อพระบัญชาโดยเจตนาเช่นนั้น ทำให้สัมพันธภาพอันดีของเขากับพระเจ้ายุติลง และตั้งแต่วันนี้นเอง ทั้งสองจึง ตาย ในสายพระเนตรพระเจ้า "เขามีมลทิน และมีบาป ขาดจากชีวิตนิรันดร์ พระเจ้ายังได้ขับเขาออกจากสวนเอเดนด้วย"[3]
บาปสืบทอดมาถึงคนทั้งปวง[แก้]
ดังที่ หนังสือโรม 5:12-15 กล่าว "เพราะเหตุนี้ บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป ความจริงบาปได้มีอยู่ในโลกแล้วก่อนมีธรรมบัญญัติ แต่ที่ไหนไม่มีธรรมบัญญัติก็ไม่ถือว่ามีบาป อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้คนที่ไม่ได้ทำบาปอย่างเดียวกับการละเมิดของอาดัม ผู้ซึ่งเป็นแบบของผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง แต่ของประทานแห่งพระคุณก็ไม่เหมือนการละเมิดนั้น เพราะว่าถ้าคนจำนวนมากต้องตายเพราะการละเมิดของคนๆ เดียว" เช่นเดียวกับแม่พิมพ์ หลังจากได้ทำบาปแล้ว อาดามยังคงมีอายุยืนยาวถึง 930 ปี จึงตาย แต่ก่อนตาย เขาได้ให้กำเนิดบุตรชาย-หญิง หลายคน ทุกคนจึงล้วนแต่สืบทอดความบาป ความไม่สมบูรณ์จากแม่พิมพ์เป็นมรดก บรรดามนุษย์ทั้งปวงที่เกิดมาจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงจากพันธนาการของบาป ที่ยังผลเป็นความตายเรื่อยมา เช่น บุตรชายที่ชื่อเสท มีอายุได้ 912 ปีจึงสิ้นชีวิต โนอาห์ อายุ 950 ปีจึงสิ้นชีวิต เชม อายุ 600 ปีจึงสิ้นชีวิต อารปัคชาด อายุ 438 ปีจึงสิ้นชีวิต เรอู อายุ 239 ปีจึงสิ้นชีวิต อับราฮัม อายุ 175 ปีจึงสิ้นชีวิต ยาโคป อายุ 147 ปีจึงสิ้นชีวิต โมเสส อายุ 120 ปีจึงสิ้นชีวิต ฯลฯ หนังสือปฐมกาล บท 1 มีการสะท้อนถึงความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ในหลาย ฯ ด้าน เช่น การคิด การพูด การกระทำ ฯลฯ ด้วย
การอภัยบาป[แก้]
แม้ว่ามนุษย์คู่แรกได้ทำผิดประสงค์ของพระองค์ในเรื่องชีวิตบนแผ่นดินโลก แต่นั่นหาได้ทำให้พระองค์ล้มเหลวไม่ โดยพระกรุณาอันไม่พึงได้รับต่อลูกหลานของอาดัมที่เกิดมา พระองค์ทรงเลือกอับราฮัม ชายผู้ยำเกรงพระเจ้า ตรัสสัญญากับท่านว่า จะมีพงศ์พันธุ์หนึ่งซึ่งจะมาบังเกิดในเชื้อวงศ์ของท่าน ผู้นี้จะได้กระทำตามการจัดเตรียมของพระเจ้า ที่จะช่วยมนุษย์โลกให้รอด พ้นจากบาป นั้นแสดงให้เห็นว่าผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลที่แตกต่างจากมนุษย์ทั้งปวงที่มีบาป เพราะที่หนังสือเพลงสดุดี 49:7-9 กล่าวว่า "แน่ทีเดียว ไม่มีคนใดไถ่พี่น้องของตนได้ หรือถวายค่าไถ่ตัวเขาแด่พระเจ้า เพราะค่าไถ่ชีวิตของเขานั้นแพง และไม่เคยพอเลย ที่จะให้เขามีชีวิตตลอดไป และไม่ต้องเห็นหลุมมรณะ" จนกระทั่งหลายศตวรรตต่อมา หญิงพรหมจารีย์คนหนึ่งที่ชื่อมารีย์แห่งเมืองนาซาเรธ (ได้หมั้นไว้แล้วกับโยเซฟ) ได้รับแจ้งจากทูตสวรรค์ของพระเป็นเจ้าว่า "เธอจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย จงตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จลงมาเหนือเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปกเธอ เพราะฉะนั้นองค์บริสุทธิ์ที่เกิดมานั้นจะได้ชื่อว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า-พระวรสารนักบุญลูกา 1:31,35 นั่นจึงหมายความว่า พระเยซูจะกำเนิดมาโดยมิได้ปฏิสนธิเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่พระเจ้าอาศัยครรภ์ของนางมารีย์ เพื่อพระเยซูจะกำเนิดมามีเลือดเนื้อได้โดยไม่สืบทอดความบาปอย่างมนุษย์ แต่จะสมบูรณ์ ปราศจากบาป เหมือนอย่างอาดัมตอนที่ยังไม่ได้ทำบาป
เหตุการณ์นั้นมาเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวยิวตามที่พระคัมภีร์พยากรณ์ เมื่อพระเยซูทรงรับบัพติศมาและเริ่มประกาศถึงความหวังแก่ผู้คนเพื่อให้เขาทราบว่าพระเมสสิยาห์ที่ทรงสัญญาคือพระคริสต์ ซึ่งจะต้อง"ให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนเป็นจำนวนมาก[4] และพระองค์ได้สละชีวิตที่สมบูรณ์เป็นเครื่องบูชาในปี 33 ส.ศ.พระองค์คือผู้ที่ยอห์นอัครทูตกล่าวว่า "พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์"-พระวรสารนักบุญยอห์น 3:16
ดังนั้นเอง การแสดงความเชื่อต่อการจัดเตรียมเกี่ยวกับค่าไถ่ที่พระเจ้าประทานให้โดยทางพระเยซู จึงเป็นหนทางที่มนุษย์คนใด ฯ ก็ตามที่มีความเชื่อจะกลับมีสัมพันธภาพอันดีกับพระเจ้าได้อีกครั้ง ขณะที่พวกเขาจะปฏิเสธหรือพยายามที่จะไม่ทำบาปอีก แต่เขาจะทำการเฉพาะที่จำเป็น เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานศีลธรรมที่พระเจ้าวางไว้ ครั้นแล้วการอภัยบาปจึงเป็นไปได้สำหรับคนนั้น แม้ว่าเขาอาจสิ้นชีวิตก่อนที่เครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูจะสำเร็จครบถ้วน ณ ตอนสิ้นกำหนดพันปีก็ตาม เขายังคงได้รับการระลึกถึงโดยการกลับเป็นขึ้นจากตายเพื่อมีชีวิตอีกในช่วงพันปีของพระคริสต์ เวลาที่เรียกว่า "นครเยรูซาเล็มใหม่"[5] ตามคำสัญญาของพระเจ้า และเมื่อถึงคราวที่คุณค่าแห่งค่าไถ่ที่พระเยซูถวายแก่พระเจ้านั้นครบถ้วน ณ ตอนสิ้นกำหนดพันปีของพระคริสต์ มนุษย์สามารถปิติยินดีได้ที่พบฟ้าสวรรค์และโลกใหม่ "และข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกต่อไป และข้าพเจ้าได้เห็นนครบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า “นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา] พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว”"[6]
ทัศนะคาทอลิก[แก้]
คริสตจักรโรมันคาทอลิกถือว่าบาปมี 2 ชนิด บาปหนักและบาปเบา
บาปหนัก[แก้]
ผลของบาปหนัก[แก้]
- ทำลายความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนมนุษย์ และพระเป็นเจ้า
- ทำลายชีวิตเหนือธรรมชาติในใจเรา
- ไม่สามารถรับพระหรรษทานจากพระได้ ชีวิตค่อยๆแห้งตาย ที่สุดต้องรับโทษในนรก
วิธีการแก้ไขหากทำบาปหนัก[แก้]
- เป็นทุกข์ถึงบาปอย่างสมบูรณ์ หรือแท้จริง
- รีบไปสารภาพบาปกับบาทหลวง
- ตั้งใจ และระวังไม่ทำบาปหนำซ้ำอีกต่อไป
บาปเบา[แก้]
ผลของบาปเบา[แก้]
จิตใจของเราจะค่อยๆแข็งกระด้างทีละน้อย สนุกในความผิดบาป ชินชา ไม่ยอมฟังเสียงของพระ และพาไปสู่การทำบาปหนัก
วิธีการแก้ไข[แก้]
- เป็นทุกข์เสียใจอย่างสมบูรณ์ ที่ได้ทำผิดพลาดไป
- สวดภาวนา หรือ ทำกิจการดีอื่นๆ ชดเชยความผิดพลาด
- ตั้งใจและระวังจะไม่ทำผิดซ้ำอีก
- พยายาม ไม่อยู่ในสถานที่ที่ชักชวนให้ทำบาป หรือท่าทางบาป
- หากมีโอกาส ให้ไปสารภาพบาปกับบาทหลวง
อ้างอิง[แก้]
- ↑ หนังสือโรม 6:23, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล 2:17, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือปฐมกาล บท 3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ พระวรสารนักบุญมัทธิว 20:28, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ พระวรสารนักบุญยอห์น 5:28-29 หนังสือวิวรณ์ บทที่ 21, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011
- ↑ หนังสือวิวรณ์ 21:1-4, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน 2011