จาง เทียนหรัน
จาง เทียนหรัน | |
---|---|
เกิด | 8 สิงหาคม ค.ศ. 1889 จี่หนิง มณฑลซานตง ราชวงศ์ชิง |
เสียชีวิต | กันยายน 29, 1947 เฉิงตู มณฑลเสฉวน | (58 ปี)
สัญชาติ | ชาวฮั่น |
ยุคสมัย | สาธารณรัฐ |
ตำแหน่ง | จู่ซือลัทธิอนุตตรธรรม |
คู่สมรส | นางจู นางหลิว และนางซุน ฮุ่ยหมิง |
บิดามารดา |
|
จาง เทียนหรัน (จีน: 張天然) เป็นจู่ซือรุ่นที่ 18 ซึ่งเป็นรุ่นสุดท้ายของลัทธิอนุตตรธรรม ผู้ปฏิรูปโครงสร้างองค์กรและจารีตพิธีกรรมของลัทธิ ซึ่งยังใช้อยู่จวบจนปัจจุบัน จึงถือไว้ว่าเขาเป็นศาสดาของลัทธิอนุตตรธรรมสมัยใหม่[1]
ประวัติ
[แก้]จาง เทียนหรัน มีนามเดิมว่าจาง ขุยเซิง เกิดวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1889 ที่เมืองจี่หนิง มณฑลซานตง ประเทศจีนสมัยราชวงศ์ชิง เมื่ออายุได้ 19 ปี เขาได้แต่งงานกับสตรีแซ่จู มีธิดาด้วยกัน 1 คน นางจูเสียชีวิตในปีต่อมา จางจึงแต่งงานใหม่กับสตรีแซ่หลิว และมีบุตรด้วยกัน 1 คน ชื่อจาง อิงอวี้ เมื่ออายุได้ 22 ปี จาง ชุยเซิงได้เข้ารับราชการเป็นทหารที่เมืองหนานจิงและเซี่ยงไฮ้เป็นเวลาหลายปี จนเมื่อทราบข่าวว่าบิดาล้มป่วยจึงลาออกจากกองทัพ เพื่อกลับมาดูแลกิจการของครอบครัว[2]
ในปี ค.ศ. 1915 จางได้พบอาจารย์เกิ่ง ศิษย์อาจารย์ลู่ จงอี จู่ซือของลัทธิอนุตตรธรรม ด้วยความเลื่อมใส จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์ ได้รับนามทางธรรมว่าเทียนหรัน และติดตามช่วยเหลืออาจารย์เกิ่งเผยแผ่ลัทธิ เมื่ออาจารย์เกิ่งเสียชีวิตในปี ค.ศ.1920 จางจึงย้ายไปติดตามรับใช้อาจารย์ลู่แทน จางเผยแผ่ลัทธิอนุตตรธรรมจนแพร่หลาย และกลายเป็น 1 ใน 7 ศิษย์อาวุโสของอาจารย์ลู่ในเวลาต่อมา
เมื่ออาจารย์ลู่ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1925 ได้เกิดความแตกแยกขึ้นภายในลัทธิเพราะศิษย์อาวุโสแต่ละคนต่างตั้งตนเป็นใหญ่เป็นอิสระต่อกัน ต่อมาลู่ จงเจี๋ย น้องสาวของอาจารย์ลู่อ้างว่าพระแม่องค์ธรรมได้มาประทับทรงประทานอาณัติสวรรค์แต่งตั้งให้ตนเป็นผู้รักษาการจู่ซือไป 12 ปี แต่มีเพียงจางคนเดียวที่ยอมรับ หลังจากรักษาการได้ 6 ปี ถึงปี ค.ศ. 1930 จงเจี๋ยจึงประกาศว่าพระแม่องค์ธรรมให้จาง ขุยเซิงและซุน ซู่เจิน รับสืบทอดอาณัติสวรรค์พร้อมกันในฐานะสามีภรรยา ร่วมกันปกครองสำนักต่อในฐานะจู่ซือรุ่นที่ 18 โดยขุยเซิงได้นามใหม่ว่ากงฉัง และซู่เจินได้นามใหม่ว่าจื่อซี่[2] แต่กงฉังยังคงเป็นผู้นำหลักของลัทธิ เขาอ้างว่าตนเองเป็นพระภาคของพระจี้กง และได้เผยแผ่ลัทธิจนแพร่ไปทั่วลุ่มแม่น้ำแยงซี ส่วนซุนแม้จะมีบทบาทน้อยกว่าในช่วงแรก แต่เธอก็ได้รับยกย่องจากกงฉังว่าเป็นพระภาคของพระจันทรปัญญาโพธิสัตว์ (จีน: 月慧菩薩)
จางได้พัฒนาลัทธิอนุตตรธรรมในหลายประการ เช่น แต่งตั้งสาวกคนสนิท 9 คน เป็นเต้าจั่ง[1](จีน: 道長) เป็นเหล่าเฉียนเหริน (จีน: 老前人) สาวกชั้นรองลงไปมีเฉียนเหริน (จีน: 前人) เตี่ยนฉวนซือ (จีน: 點傳師) เจี่ยงซือ และถันจู่ (จีน: 壇主) ตามลำดับ ในด้านพิธีกรรมนอกจากการอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับทรงประทานโอวาทที่กระบะทรายแล้ว ได้เริ่มใช้เด็กอายุ 12 ปีมาฝึกฝนเพื่อทำหน้าที่เป็นคนทรงโดยเฉพาะเรียกว่า "ร่างสามคุณ" (จีน: 三才 ซันไฉ) โดยจางเป็นผู้ควบคุมการฝึกเอง[3]
ในปี ค.ศ. 1935 จางตัดสินใจย้ายศูนย์กลางของลัทธิจากเมืองจี่หนาน มณฑลซานตง ไปอยู่เมืองเทียนจิน ประเทศแมนจู (รัฐหุ่นเชิดของจักรวรรดิญี่ปุ่น) เจ้าหน้าที่รัฐหลายคนเข้าเป็นสมาชิกของลัทธิ และสนับสนุนลัทธิจนแพร่หลายอย่างมากในพื้นที่ที่ญี่ปุ่นยึดครอง[4] ลัทธิอนุตตรธรรมเชื่อว่าสงครามครั้งนี้จะเป็นความยากลำบากครั้งสุดท้าย และญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำสันติภาพมาสู่โลก[3] เมื่อแมนจูเรียถูกจีนยึดกลับคืนมาได้ในปี ค.ศ. 1945 ทั้งรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนจึงดำเนินการปราบปรามลัทธิอนุตตรธรรมอย่างหนัก โทษฐานที่เข้าสนับสนุนการปกครองของญี่ปุ่น
ผลจากการปราบปรามลัทธิ ทำให้จาง เทียนหรัน เริ่มมีสุขภาพย่ำแย่ลง จนถึงแก่กรรมวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 1947 เวลาประมาณ 20:00 น. ในระหว่างเยือนเมืองเฉิงตู มณฑลเสฉวน หลังจากเสียชีวิตได้ 5 วัน ซุน ฮุ่ยหมิง ได้เชิญวิญญาณของจางมาเข้าทรง จึงทราบว่าเขาต้องการให้ฟังศพที่เชิงเขาหนันผิง เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สาวกของเขาจึงประกอบพิธีฝังตามนั้นใน 1 เดือนให้หลัง
ต่อมาพระแม่องค์ธรรมได้ประทับทรงประกาศว่าจาง เทียนหรัน ได้รับอริยฐานะเป็นเทียนหรันกู่ฝอ (จีน: 天然古佛)[2]
อ้างอิง
[แก้]- ↑ 1.0 1.1 "A Study of the Yiguan Dao (Unity Sect) and its Development in the Penensular Malaysia" (PDF). The University of British Columbia. 1997. สืบค้นเมื่อ 25 March 2014.
- ↑ 2.0 2.1 2.2 ศุภนิมิต, พระพุทธบรรพจารย์เทียนหยาน, กรุงเทพฯ : ส่งเสริมคุณภาพชีวิต, ม.ป.ป.
- ↑ 3.0 3.1 Religion and Democracy in Taiwan, pg. 67-9
- ↑ Edward L. Davis, Yiguan Dao, Encyclopedia of contemporary Chinese culture, Routledge
ก่อนหน้า | จาง เทียนหรัน | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
ลู่ จงอี | จู่ซือลัทธิอนุตตรธรรม ร่วมกับซุน ฮุ่ยหมิง (ค.ศ. 1930 - 1947) |
ไม่มี |