คราวซึมเศร้า
Major depressive episode | |
---|---|
![]() ภาพหญิงที่วินิจฉัยว่ามีภาวะซึมเศร้า | |
บัญชีจำแนกและลิงก์ไปภายนอก | |
ICD-10 | F32.2-F32.3 |
ICD-9 | 296.2 |
คราวซึมเศร้า[1] หรือ คราวแสดงอาการซึมเศร้า หรือ ภาวะซึมเศร้า (อังกฤษ: major depressive episode) เป็นช่วงเวลาที่มีอาการของโรคซึมเศร้า (major depressive disorder ตัวย่อ MDD) โดยหลักก็คือมีอารมณ์เศร้าเป็นเวลา 2 อาทิตย์หรือมากกว่านั้น และการสูญเสียความสนใจหรือความสุขในชีวิตประจำวัน ประกอบด้วยอาการอื่น ๆ เช่น ความรู้สึกว่าไร้ความหมาย ไม่มีหวัง วิตกกังวล ตนไม่มีค่า ความรู้สึกผิดและ/หรือความฉุนเฉียวง่าย ความเปลี่ยนแปลงต่อความอยากอาหาร ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถจำรายละเอียดหรือตัดสินใจได้ และความคิดเกี่ยวกับหรือความพยายามที่จะฆ่าตัวตาย อาการนอนไม่หลับหรือการนอนมากเกินไป (hypersomnia) ความเจ็บปวด หรือปัญหาย่อยอาหารที่แก้ไม่ได้ ก็อาจจะมีด้วย นี้เป็นคำอธิบายดังที่ใช้ในเกณฑ์วินิจฉัยทางจิตเวช ดังที่พบในคู่มือ DSM-5 และ ICD-10[2]
ความซึมเศร้าก่อทั้งปัญหาทางอารมณ์และปัญหาทางเศรษฐกิจ ในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ค่าเสียหายที่สัมพันธ์กับโรคซึมเศร้าเทียบได้กับที่เกิดจากโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และปัญหาเกี่ยวกับเจ็บหลัง และเสียหายมากกว่าโรคความดันโลหิตสูง[3] ตามงานวิจัยหนึ่ง คราวซึมเศร้ามีสหสัมพันธ์โดยตรงกับความว่างงาน[4] การรักษารวมทั้งการออกกำลังกาย จิตบำบัด และยาแก้ซึมเศร้า แม้ว่าในกรณีที่รุนแรง การเข้าโรงพยาบาลอาจจำเป็น[5]
มีทฤษฎีมากมายว่าความซึมเศร้าเกิดขึ้นได้อย่างไร ทฤษฎีหนึ่งก็คือว่า สารสื่อประสาทในสมองไม่สมดุล ก่อความรู้สึกว่าตนไม่มีค่าและสิ้นหวัง การสร้างภาพในสมองด้วย MRI แสดงว่า สมองของผู้ซึมเศร้าต่างจากของคนที่ไม่มีอาการ[6] การมีประวัติของโรคในครอบครัวเพิ่มความเสี่ยง[7]
อาการ[แก้]

เกณฑ์วินิจฉัยต่อไปนี้มากจาก DSM-IV สำหรับคราวซึมเศร้า (major depressive episode) การวินิจฉัยว่าเป็นคราวซึมเศร้า บังคับว่าคนไข้ต้องประสบอาการอย่างน้อย 5 อย่างที่จะกล่าวต่อไปเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ ซึ่งเป็นอาการนอกเหนือไปจากพฤติกรรมปกติของคนไข้ ความเศร้า (depressed mood) หรือความสนใจ/ความสุขเพลิดเพลินที่ลดลง ต้องเป็นอาการ 1 ใน 5 (แม้ว่าทั้งสองบ่อยครั้งจะเกิดด้วยกัน)
อารมณ์ ความไม่เป็นสุข และความไม่สนใจ[แก้]
คนที่ประสบกับภาวะซึมเศร้าอาจรายงานอารมณ์เศร้า (depressed mood) หรืออาจปรากฏว่าซึมต่อคนอื่น[8] บ่อยครั้ง ความสนใจและความสุขเพลิดเพลินในกิจกรรมชีวิตประจำวันจะลดลง ซึ่งเรียกว่าภาวะสิ้นยินดี (anhedonia) ความรู้สึกเช่นนี้ต้องมีทุกวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์หรือนานกว่านั้นที่จะผ่านเกณฑ์ของ DSM-IV ว่ามีภาวะซึมเศร้า[8] นอกจากนั้นแล้ว บุคคลอาจจะประสบกับอารมณ์ดังต่อไปนี้ คือ ความเศร้าโศก ความรู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหมาย ความหมดหวัง ความรู้สึกผิด ความไม่แยแส ความวิตกกังวล การร้องไห้ การมองในแง่ร้าย หรือความฉุนเฉียวง่าย[2] เด็กและวัยรุ่นโดยเฉพาะอาจจะฉุนเฉียวง่าย[2] อาจจะเสียความสนใจหรือความต้องการในเพศสัมพันธ์ เพื่อน ๆ และครอบครัวของคนไข้อาจสังเกตว่าเขาออกห่างจากเพื่อน หรือว่าละเลยหรือเลิกทำกิจกรรมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่ชอบ[9]
คนซึมเศร้าอาจมีความรู้สึกผิดเกินปกติ จนกระทั่งถึงกับหลงผิด[8] อาจจะคิดถึงตัวเองในเชิงลบที่ไม่สมกับความจริง เช่นหมกมุ่นกับความล้มเหลวในอดีต การยึดมั่นกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเชื่อว่าความผิดพลาดเล็กน้อยเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าตนเป็นคนล้มเหลว และอาจจะรู้สึกต้องรับผิดชอบอย่างไม่สมจริง และเห็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ว่าเป็นความผิดของตน นอกจากนั้นแล้ว การรังเกียจตัวเอง (self-loathing) ก็ยังเป็นอาการสามัญอีกด้วย ซึ่งอาจจะทำให้มีอาการแย่ลงเรื่อย ๆ เมื่อเกิดขึ้นรวมกับอาการอื่น ๆ[9]
ความเปลี่ยนแปลงในการรับประทาน ความอยากอาหาร หรือน้ำหนัก[แก้]
คนที่มีภาวะซึมเศร้าอาจมีน้ำหนักลดหรือขึ้นอย่างสำคัญ (เช่น 5% ของน้ำหนักปกติของตนภายในเดือนหนึ่ง) หรือความอยากอาหารอาจจะเปลี่ยนไป[8] ซึ่งเป็นได้ทั้งสองอย่าง คือ น้อยหรือมากเกินไป ในกรณีแรก บางคนอาจจะไม่รู้สึกหิวเลย คืออยู่ได้โดยไม่ต้องทาน หรืออาจจะลืม และถ้าทาน อาหารเพียงแค่เล็กน้อยก็พอแล้ว ในเด็ก การไม่เพิ่มน้ำหนักตามเกณฑ์อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในกรณีนี้[2] การทานน้อยเกินไปบ่อยครั้งสัมพันธ์กับความซึมเศร้าแบบ melancholic ในกรณีหลัง บางคนอาจอยากอาหารมากขึ้นและน้ำหนักอาจจะขึ้นอย่างสำคัญ และอาจจะต้องการทานอาหารบางประเภท เช่น ของหวานหรือแป้ง บุคคลที่ซึมเศร้าแบบ seasonal affective disorder (ตัวย่อ SAD คือความผิดปกติทางอารมณ์ที่เป็นไปตามฤดู) อาจจะอยากอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง การทานอาหารเกินบ่อยครั้งสัมพันธ์กับความซึมเศร้าที่เรียกว่า atypical depression[9]
การนอนหลับ[แก้]
ทุก ๆ วัน คนซึมเศร้าอาจจะนอนมากเกินไป ซึ่งเรียกว่า hypersomnia หรือนอนน้อยเกินไป ซึ่งเรียกว่า insomnia (การนอนไม่หลับ)[8] การนอนไม่หลับเป็นปัญหาการนอนที่สามัญที่สุดสำหรับคนซึมเศร้าและบ่อยครั้งสัมพันธ์กับความซึมเศร้าแบบ melancholic
อาการนอนไม่หลับรวมทั้งปัญหาในการหลับ ปัญหาตื่นง่าย และ/หรือตื่นเช้าเกินไป ส่วนการนอนมากเกินไปสามัญน้อยกว่า ซึ่งอาจจะเป็นการนอนยาวตอนกลางคืน หรือนอนมากขึ้นตอนกลางวัน การนอนอาจจะไม่ทำให้รู้สึกว่าได้พักผ่อน คือบุคคลอาจจะรู้สึกเพลียแม้ว่าจะได้นอนหลายชั่วโมง ซึ่งมีผลต่อกิจกรรมชีวิตประจำวันและสมาธิในที่ทำงานหรือที่บ้าน ตามห้องสมุดการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก (United States National Library of Medicine) คนซึมเศร้าแบบ SAD อาจจะนอนนานกว่าในช่วงหน้าหนาว การนอนมากเกินไปบ่อยครั้งสัมพันธ์กับความซึมเศร้าแบบ atypical depression[9] และไม่สามัญเท่ากับนอนไม่หลับ และคนไข้ประมาณ 40% จะนอนมากเกินไปเป็นบางครั้งบางคราว[10]
การเคลื่อนไหว/กิจกรรม[แก้]
เกือบทุกวัน บุคคลอื่นจะเห็นว่ากิจกรรมของบุคคลนั้นอยู่ในระดับไม่ปกติ[8] คือ อาจจะกระวนกระวาย (เรียกว่า psychomotor agitation) หรือว่า เฉื่อยชาเกินไป (เรียกว่า psychomotor retardation) ถ้ากระวนกระวาย คนไข้อาจจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ ต้องเดินไปเดินมา บีบรัดมือ หรือเล่นกับเสื้อผ้ากับวัตถุอื่น ๆ ถ้าเฉื่อยชา คนไข้มักจะเคลื่อนไหวช้าลง อาจจะเดินในห้องช้า ๆ ไม่มองใคร นั่งซบเซาบนเก้าอี้และพูดช้า ๆ ถ้าพูดอะไรเลย คนไข้อาจจะกล่าวว่าแขนขาหนัก
เพื่อที่จะผ่านเกณฑ์วินิจฉัย การเคลื่อนไหวต้องเปลี่ยนไปอย่างผิดปกติจนผู้อื่นเห็นได้[9] ถ้าคนไข้กล่าวเองว่า รู้สึกอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ หรือรู้สึกเชื่องช้า ยังไม่นับเข้ากับเกณฑ์นี้[2]
ความล้าและสมาธิ[แก้]
เกือบทุกวัน บุคคลจะประสบความรู้สึกล้ามาก เหนื่อยมาก หรือหมดแรง[2][8] อาจจะรู้สึกเหนื่อยโดยที่ไม่ได้ทำอะไร จนกิจกรรมประจำวันกลายเป็นเรื่องยาก งานอาชีพและที่บ้านจะทำให้รู้สึกเหนื่อยมาก และก็จะเริ่มมีปัญหากับงาน[9] คนไข้อาจจะตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรือมีปัญหาในการคิดหรือในเรื่องสมาธิ[8] ปัญหากับความจำและความวอกแวกเป็นเรื่องสามัญ อาการเหล่านี้จะเป็นปัญหามากขึ้นในกิจกรรมที่ต้องใช้ความคิด เช่น การเรียนหนังสือหรืองาน โดยเฉพาะในเรื่อง/สาขาวิชาที่ยาก[9]
ความคิดเกี่ยวกับความตายและการฆ่าตัวตาย[แก้]
บุคคลอาจจะคิดซ้ำ ๆ เรื่องความตาย (นอกเหนือจากกลัวตาย) หรือการฆ่าตัวตาย (ไม่ว่าจะมีแผนหรือไม่) หรืออาจพยายามฆ่าตัวตาย[8] ความถี่และความหมกมุ่นในความคิดเกี่ยวกับความตายอาจจะเริ่มตั้งแต่การเชื่อว่า เพื่อน ๆ และครอบครัวจะดีกว่าถ้าตนตาย, การคิดบ่อย ๆ ถึงการฆ่าตัวตาย (ทั่วไปโดยหวังจะยุติความเจ็บปวดทางใจ), จนกระทั่งถึงการวางแผนอย่างละเอียดว่าจะทำอย่างไร คนที่อยากฆ่าตัวตายมากอาจมีแผนโดยเฉพาะและได้ตัดสินใจถึงวันและสถานที่ที่จะฆ่าตัวตายแล้ว[9]
การวินิจฉัย[แก้]
ในประเทศตะวันตก ผู้ให้บริการทางสุขภาพอาจจะตรวจคัดโรคซึมเศร้าโดยใช้คำถาม เช่นชุดคำถาม Patient Healthcare Questionnaire-2 (PHQ-2)[11] เพื่อที่จะวินิจฉัยว่าเป็นภาวะซึมเศร้า ผู้รักษาพยาบาลควรจะแน่ใจว่า
- อาการไม่ผ่านเกณฑ์แบบผสม (Mixed state) ซึ่งมีทั้งความฟุ้งพล่าน (mania) และความซึมเศร้า เช่น ความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล ความอ่อนเพลีย ความรู้สึกผิด การทำอะไรแบบไม่คิด ความฉุนเฉียวง่าย ความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย อาการตื่นตระหนก การพูดอย่างรีบเร่ง ที่เกิดสลับกันเป็นเวลาสั้น ๆ[2]
- อาการก่อความทุกข์หรือปัญหาอย่างพอสมควร ในการทำงาน ในความสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือในด้านอื่น ๆ ของชีวิต เพื่อที่จะผ่านเกณฑ์ว่าเป็นคราวแสดงออก[2]
- อาการไม่ใช่เป็นผลทางสรีรภาพโดยตรงของสาร (เช่นยาเสพติดหรือยา) หรืออาการทางแพทย์อื่น ๆ (เช่น โรคไทรอยด์)[2]
- นอกจากกรณีที่มีอาการรุนแรง (คือ ไม่สามารถทำกิจในชีวิตประจำวัน การหมกมุ่นอย่างรุนแรงว่าตนไม่มีค่า ความคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย อาการหลงผิดหรือประสาทหลอน หรือการเคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า) คราวแสดงออกไม่ควรจะเริ่มภายในสองเดือนที่เสียคนรักไป[12]
การรักษาบำบัด[แก้]
ความซึมเศร้าเป็นความเจ็บป่วยที่รักษาได้ ในประเทศตะวันตก การรักษาภาวะซึมเศร้าสามารถได้จากสถานที่ดังต่อไปนี้ คือ ผู้ชำนาญการเกี่ยวกับสุขภาพจิต (เช่น นักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ ผู้ให้คำปรึกษา เป็นต้น) ศูนย์หรือองค์กรสุขภาพจิต โรงพยาบาล คลินิกผู้ป่วยนอก องค์กรบริการสังคม คลินิกเอกชน กลุ่มผู้ป่วยที่ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผู้ทำการเกี่ยวกับศาสนา และโปรแกรมช่วยเหลือลูกจ้างของบริษัท[13] การรักษาอาจจะทำด้วยจิตบำบัดอย่างเดียว ยาแก้ซึมเศร้าอย่างเดียว หรือทั้งสองอย่างรวมกัน
สำหรับภาวะซึมเศร้ารุนแรง (คือมีอาการหลายอย่าง มีความไวปฏิกิริยาต่ออารมณ์บวกน้อย มีปัญหาทางชีวิตหลายอย่าง) การรักษาด้วยวิธีทั้งสองรวมกันมีผลดีกว่าจิตบำบัดอย่างเดียว[2] คนไข้ที่มีอาการรุนแรงอาจจะต้องเข้าโรงพยาบาลหรือได้การรักษาจากโรงพยาบาล[5] จิตบำบัด ซึ่งบางครั้งรู้จักเป็นคำภาษาอังกฤษอื่น ๆ ว่า talk therapy (การบำบัดโดยการคุยกัน) counseling (การให้คำปรึกษา) หรือ psychosocial therapy (การบำบัดทางจิต-สังคม) เป็นการให้คนไข้พูดถึงอาการและปัญหาสุขภาพจิตของตนกับผู้บำบัดที่ได้ฝึกมาแล้ว มีจิตบำบัดหลายอย่างที่ได้ผลในการรักษา รวมทั้งการบำบัดโดยการปรับเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรม (cognitive behavioral therapy), interpersonal therapy, dialectical behavior therapy, acceptance and commitment therapy, และเทคนิครักษาที่อาศัยสติ[5]
ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้ารวมทั้ง selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI) เช่นฟลูอ๊อกซิติน, serotonin-norepinephrine reuptake inhibitor (SNRI), norepinephrine-dopamine reuptake inhibitor (NDRI), tricyclic antidepressant, monoamine oxidase inhibitor (MAOI) และ atypical antidepressants เช่น mirtazapine ซึ่งไม่สามารถรวมเข้าในประเภทอื่น[5] ยาแก้ซึมเศร้าได้ผลต่าง ๆ กันสำหรับบุคคลต่าง ๆ บ่อยครั้งจำเป็นต้องลองยาหลายอย่างก่อนที่จะเจอขนานที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้คนหนึ่ง ๆ บางคนอาจจะต้องใช้หลายขนานรวมกัน ซึ่งอาจจะหมายถึงยาแก้ซึมเศร้าสองอย่าง บวกกับยารักษาโรคจิต (antipsychotic)[14] ถ้ามีญาติใกล้ชิดของคนไข้ที่ใช้ยาแบบหนึ่งดี ยาขนานนั้นก็น่าจะดีต่อคนไข้ด้วย[5] บางครั้ง คนอาจจะเลิกทานยาแก้ซึมเศร้าเพราะผลข้างเคียง แม้ว่า ผลข้างเคียงบ่อยครั้งจะรุนแรงน้อยลงต่อ ๆ มา[14] การเลิกทานยาแบบฉับพลัน หรือไม่ได้ทานยาหลายครั้ง อาจจะทำให้เกิดอาการขาดยา[5] งานศึกษาบางงานพบว่า ยาแก้ซึมเศร้าอาจเพิ่มความคิดหรือการกระทำเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่วัยต้น ๆ แต่ว่า ยาแก้ซึมเศร้ามีโอกาสสูงกว่าที่จะลดระดับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายในระยะยาว[5]
ถ้าไม่รักษา ภาวะซึมเศร้าปกติอาจยาวถึง 6 เดือน และประมาณ 20% อาจยาวถึง 2 ปีหรือมากกว่านั้น ประมาณครึ่งหนึ่งหายเอง (Spontaneous remission) แต่ว่า แม้ว่าหลังจากภาวะจะยุติลง 20%-30% ก็จะยังมีอาการเหลือ ซึ่งอาจจะก่อความทุกข์และความพิการ[3]
ข้อมูลประชากร[แก้]
จำนวนประมาณของคนที่มีภาวะซึมเศร้า (major depressive episode) และโรคซึมเศร้า (MDD) ต่าง ๆ กันอย่างสำคัญ ในช่วงชีวิต 10%-25% ของหญิง และ 5%-12% ของชายจะเกิดภาวะซึมเศร้า (major depressive episode) แต่จะมีคนน้อยกว่า คือ 5%-9% ของหญิง และ 2%-3% ของชายจะมีโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) ความแตกต่างทางจำนวนระหว่างหญิงชายพบมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาและยุโรป[2]
วัยที่เกิดภาวะซึมเศร้ามากที่สุดก็คือช่วงอายุระหว่าง 25-44 ปี การเริ่มต้นของภาวะหรือโรคซึมเศร้าบ่อยครั้งเกิดขึ้นกับคนช่วงกลาง ๆ วัย 20-30 ปี และน้อยครั้งกว่าหลังจากถึงอายุ 65 ปี เด็กก่อนวัยเจริญพันธุ์ทั้งหญิงชายสามารถเกิดภาวะนี้ได้เท่า ๆ กัน อาการซึมเศร้าเหมือนกันทั้งในเด็กและวัยรุ่น แม้จะมีหลักฐานว่าการแสดงออกของภาวะในบุคคลเดียวกันจะเปลี่ยนไปเมื่อเจริญวัยขึ้น[2]
องค์กรวิจัยทางสุขภาพจิตประจำชาติของสหรัฐอเมริกา (National Institute of Mental Health) มีงานศึกษาที่พบว่า บุคคลที่มีความผิดปกติที่เกิดหลังความเครียดที่สะเทือนใจ (PTSD) จะมีภาวะซึมเศร้าภายใน 4 เดือนหลังจากเหตุการณ์ที่ประสบ[15]
ปัจจัยทางวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่ออาการที่ปรากฏ ค่านิยมของวัฒนธรรมอาจจะมีอิทธิพลว่า บุคคล เพื่อน หรือครอบครัว จะกังวลเกี่ยวกับอาการใดของผู้ป่วยมากที่สุด เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ทำการบำบัดจะรู้ว่า ไม่ควรละเลยอาการอะไรบางอย่างเพราะเป็นเรื่อง "ปกติ" ของวัฒนธรรมนั้น ๆ[2] แต่ว่า ปัจจัยทางสังคม-เศรษฐกิจและทางสิ่งแวดล้อมดูเหมือนจะไม่มีผลอะไรต่อการเกิดขึ้นของภาวะหรือโรคซึมเศร้า[3]
หญิงที่พึ่งคลอดบุตรอาจจะมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า ซึ่งเรียกว่า postpartum depression (ความซึมเศร้าหลังคลอด) ซึ่งต่างจากอาการที่เรียกว่า maternity blues อันเป็นความเศร้าที่หายเองภายใน 10 วันหลังจากคลอด[16]
ความผิดปกติที่เกิดร่วมกัน[แก้]
ภาวะซึมเศร้าอาจเกิดร่วมกับปัญหาทางกายหรือทางใจอื่น ๆ (comorbidity) คนไข้ที่มีโรคเรื้อรังอย่างอื่นประมาณ 20-25% จะเกิดภาวะซึมเศร้า[3] โรคที่เกิดร่วมกันอย่างสามัญรวมทั้ง ความผิดปกติในการรับประทาน (eating disorder) ความผิดปกติที่เกิดจากสาร (substance-related disorders) โรคตื่นตระหนก และโรคย้ำคิดย้ำทำ บุคคลที่เกิดภาวะซึมเศร้าประมาณ 25% มีอาการของโรค Dysthymia (เป็นความปั่นป่วนทางอารมณ์ที่เรื้อรังแต่รุนแรงน้อยกว่าที่คนไข้แจ้งว่ามีอารมณ์เศร้าเกือบทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี) อยู่แล้ว[3] บุคคลที่มีโรคถึงตายหรืออยู่ในระยะสุดท้ายในชีวิตอาจจะประสบความซึมเศร้า แต่นี่ไม่ได้เกิดกับทุกคน[16]
ดูเพิ่ม[แก้]
เชิงอรรถและอ้างอิง[แก้]
- ↑ "episode (แพทยศาสตร์)", ศัพท์บัญญัติอังกฤษ-ไทย, ไทย-อังกฤษ ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (คอมพิวเตอร์) รุ่น ๑.๑ ฉบับ ๒๕๔๕,
คราว (การสำแดง)
- ↑ 2.00 2.01 2.02 2.03 2.04 2.05 2.06 2.07 2.08 2.09 2.10 2.11 2.12 American Psychiatric Association (1994). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorders (4th ed.).
- ↑ 3.0 3.1 3.2 3.3 3.4 Medscape (ต้องรับบริการ)
- ↑ Hämäläinen, Juha (2005). "Major depressive episode related to long unemployment and frequent alcohol intoxication". Nordic Journal of Psychiatry. สืบค้นเมื่อ 2015-02-14.
- ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 5.4 5.5 5.6 "Depression (major depression)". Mayo Clinic. สืบค้นเมื่อ 2015-02-13.
- ↑ Katon, W (2002). "Impact of major depression on chronic medical illness". Journal of Psychosomatic Research. 53: 859–863. doi:10.1016/s0022-3999(02)00313-6.
- ↑ Tsuang, M (2004). "Gene-environment interactions in mental disorders". World Psychiatry. 3 (2): 72–83.
{{cite journal}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help) - ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 8.4 8.5 8.6 8.7 8.8 "Criteria for Major Depressive Episode". Winthrop University. faculty.winthrop.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-11-23. สืบค้นเมื่อ 2013-11-20.
- ↑ 9.0 9.1 9.2 9.3 9.4 9.5 9.6 9.7 "All About Depression: Diagnosis". All About Depression.com. www.allaboutdepression.com. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-02-13. สืบค้นเมื่อ 2015-02-13.
- ↑ Shalev, A (1998). "Prospective study of posttraumatic stress disorder and depression following trauma". American Journal of Psychiatry. 155 (5): 630–637. doi:10.1176/ajp.155.5.630.
- ↑ Maurer, DM (2012). "Screening for depression". Am Fam Physician. PMID 22335214. สืบค้นเมื่อ 2015-05-09.
- ↑ "Mood". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-10-25. สืบค้นเมื่อ 2013-11-20.
- ↑ Cassano, P (2002). "Depression and public health, an overview". Journal of Psychosomatic Research. 53: 849–857. doi:10.1016/s0022-3999(02)00304-5.
- ↑ 14.0 14.1 "Depression Medicines". WebMD. สืบค้นเมื่อ 2015-02-13.
- ↑ Shalev, A. "Prospective study of posttraumatic stress disorder and depression following trauma". American Journal of Psychiatry.
{{cite web}}
:|access-date=
ต้องการ|url=
(help);|url=
ไม่มีหรือว่างเปล่า (help) - ↑ 16.0 16.1 Hirst, KP; และคณะ (2010). "Postpartum major depression". Am Fam Physician. PMID 20949886. สืบค้นเมื่อ 2015-05-09.
แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]
- Depression and Bipolar Support Alliance (DBSA) website from the Depression and Bipolar Support Alliance
- Depression information from the National Institutes of Health
- The Truth About Depression