กรมหมื่นเทพพิพิธ
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง คุณสามารถพัฒนาบทความนี้ได้โดยเพิ่มแหล่งอ้างอิงตามสมควร เนื้อหาที่ขาดแหล่งอ้างอิงอาจถูกลบออก |
กรมหมื่นเทพพิพิธ | |
---|---|
พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา (อ้างสิทธิ) | |
ระยะเวลาอ้างสิทธิ | พ.ศ. 2310–2311 |
ก่อนหน้า | สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ |
ถัดไป | สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช |
พระบุตร | หม่อมเจ้าชายประยง หม่อมเจ้าหญิงอุบล หม่อมเจ้าชายมงคล หม่อมเจ้าชายพยอม หม่อมเจ้าชายมันทแวกสถี หม่อมเจ้าหญิงนุ่น หม่อมเจ้าชายแดง หม่อมเจ้าหญิงอภัย หม่อมเจ้าหญิงดารา หม่อมเจ้าหญิงกษัตรี |
ราชวงศ์ | ราชวงศ์บ้านพลูหลวง |
พระบิดา | สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ |
ประสูติ | พระองค์เจ้าแขก |
สิ้นพระชนม์ | พ.ศ. 2311 |
กรมหมื่นเทพพิพิธ มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าแขก เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ผนวชในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ต่อมามีความผิดฐานคิดกบฏ จึงถูกเนรเทศออกไปอยู่ที่ประเทศศรีลังกา เมื่อพระเจ้ามังระส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยา กรมหมื่นเทพพิพิธทรงทราบว่าพม่าปิดล้อมกรุงศรีอยุธยา จึงได้เดินทางกลับ เกลี้ยกล่อมผู้คนทางหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออกเพื่อจะเข้ากู้กรุงศรีฯ แต่ไม่สำเร็จ จึงทรงหนีไปเกลี้ยกล่อมพระยานครราชสีมา เจ้าเมืองนครราชสีมาให้เข้าร่วมช่วยกอบกู้กรุงศรีฯ แต่พระยานครราชสีมาไม่ยอม จึงเกลี้ยกล่อมชาวบ้านบริเวณนั้นให้เข้าร่วมเป็นพวกของพระองค์ และให้ หม่อมเจ้าประยง พระโอรส กับ หลวงมหาพิชัย นำไพร่พลไปลอบสังหารพระยานครราชสีมา และยึดเมืองได้ในที่สุด
ต่อมา หลวงแพ่ง น้องพระยานครราชสีมาได้ไปเกณฑ์พลจากเมืองพิมาย เพื่อไปตีเมืองนครราชสีมาเอาเมืองคืน ปรากฏว่ารบชนะ จึงจับกรมหมื่นเทพพิพิธได้ หลวงแพ่งต้องการที่จะประหารชีวิตกรมหมื่นเทพพิพิธเสีย แต่พระพิมายมีความสงสารจึงขอชีวิตไว้ และขอนำกรมหมื่นเทพพิพิธไปคุมไว้ที่เมืองพิมาย แต่พระพิมายจงรักภักดีต่อเจ้ากรุงศรีอยุธยามาก จึงยกกรมหมื่นเทพพิพิธขึ้นเป็นเจ้าแผ่นดินเมืองพิมาย สถาปนาเมืองพิมายเป็นราชธานีต่อจากกรุงศรีอยุธยา[1] ส่วนพระพิมายนั้นนั้นได้ถูกแต่งตั้งให้เป็น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั้งหมด หลังจากนั้น เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ก็ได้สังหารหลวงแพ่ง แล้วยึดเมืองนครราชสีมาและหัวเมืองน้อยใหญ่ทั้งปวงมารวมกับพิมายทั้งหมด เมืองพิมายมีอาณาเขตตั้งแต่แขวงหัวเมืองตะวันออกฝ่ายดอน ไปจนถึงแดนกรุงศรีสัตนาคนหุตและกรุงกัมพูชาธิบดี ฝ่ายใต้ลงมาถึงเมืองสระบุรีตลอดลำน้ำแควป่าสัก[2]
ภายหลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนากรุงธนบุรี พระองค์ทรงมีบัญชาให้พระราชวรินทร์ (ทองด้วง) และพระมหามนตรี (บุญมา) ยกทัพมาตีชุมนุมของกรมหมื่นเทพพิพิธ กองทัพพิมายของกรมหมื่นเทพพิพิธมิอาจต่อสู้ได้ พระองค์จึงพาครอบครัวหนีไปเมืองเวียงจันทน์ แต่ถูกขุนชนะกรมการเมืองนครราชสีมาตามจับตัวได้ทัน จึงนำตัวมาถวายพระเจ้ากรุงธนบุรี ในภายแรกพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงไม่ปรารถนาจะสำเร็จโทษ แต่กรมหมื่นเทพพิพิธไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระองค์ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงตรัสว่า[3]
ตัวหาบุญวาสนาบารมีมิได้ ไปอยู่ที่ไหนก็พาพวกผู้คนที่นับถือพลอยพินาศฉิบหายที่นั่น ครั้นจะเลี้ยงไว้ก็จะพาคนที่เชื่อถือบุญพลอยล้มตายเสียอีกด้วย เจ้าอย่าอยู่เลยจงตายเสียครั้งนี้ทีเดียวเถิด อย่าให้เกิดจลาจลในแผ่นดินสืบไปข้างหน้าอีกเลย
พระองค์จึงจำต้องสำเร็จโทษกรมหมื่นเทพพิพิธ
อ้างอิง[แก้]
- ↑ พระจรัสชวนะพันธ์ เจ้ากรมราชบัณฑิต. พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ (พระเจ้าตากสิน). กรุงเทพฯ : กรมตำรา กระทรวงธรรมการ. ๒๔๗๒
- ↑ พระจรัสชวนะพันธ์ เจ้ากรมราชบัณฑิต. พระราชพงศาวดารกรุงธนบุรี แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ (พระเจ้าตากสิน). กรุงเทพฯ : กรมตำรา กระทรวงธรรมการ. ๒๔๗๒
- ↑ "สงครามครั้งที่ ๓ คราวพม่าตีเมืองสวรรคโลก", ประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๖ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖). กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, 2506. หน้า 190.