กรมหมื่นอินทรภักดี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กรมหมื่นอินทรภักดี
เจ้ากรมพระคชบาล
ดำรงตำแหน่งไม่ปรากฏ – พ.ศ. 2293
รัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ
สวรรคตพ.ศ. 2293
กรุงศรีอยุธยา อาณาจักรอยุธยา
พระราชบุตรหม่อมพัด
หม่อมกลาง
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง

พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นอินทรภักดี (ไม่ปรากฏ – พ.ศ. 2293)[1]: 205  หรือ เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ไม่ปรากฏพระนามเดิม ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเพทราชา ราชนิกูลราชวงศ์บ้านพลูหลวง เจ้ากรมพระคชบาล[1]: 205 [note 1] ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และทรงเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายราชสมบัติของสมเด็จพระเพทราชาให้แก่กรมพระราชวังบวรพระมหาอุปราช (หลวงสรศักดิ์) ให้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี

พระประวัติ[แก้]

กรมหมื่นอินทรภักดี เดิมมีบรรดาศักดิ์เป็น นายกรินท์คชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย กรมพระคชบาลสมัยรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[3]: 252  ซึ่งเป็นพระราชนัดดารับราชการมาด้วยกันกับพระเพทราชาเมื่อครั้งรับราชการกรมช้างก่อนขึ้นเสวยราชย์ พอเสวยราชสมบัติแล้วสมเด็จพระเพทราชาจึงทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าราชนิกูล ชื่อ เจ้าพระพิไชยสุรินทร์[4]: 126 

สมเด็จพระเพทราชาทรงโปรดปรานเจ้าพระขวัญ พระราชโอรสของพระองค์และกรมหลวงโยธาทิพ (หลักฐานร่วมสมัยว่ากรมหลวงโยธาเทพ) แถมมีผู้คนมากมายต่างพากันนับถือ ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ เกิดความหวาดระแวงว่าราชสมบัติจะตกไปอยู่กับเจ้าพระขวัญ จึงเกิดเหตุการณ์นำเจ้าพระขวัญมาสำเร็จโทษด้วยไม้ท่อนจันทร์ ปรากฏความว่า :-

แผ่นดินขุนหลวงเสือ เห็นจะฆ่ามากเพราะคนนิยมเจ้าพระขวัญ ฤาพวกเจ้าพระพิไชยสุรินทรจะเป็นขุนนางอยู่ไม่ได้[5]: 86 

เมื่อสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงประชวรทรงทราบทรงพระพิโรธกรมพระราชวังบวรฯ เป็นอันมากแลตรัสว่าจะไม่ยกราชสมบัติให้แก่กรมพระราชวังบวรฯ แล้วทรงพระกรุณาตรัสเวนราชสมบัติให้ "เจ้าพระพิไชยสุรินทร" พระราชนัดดา

ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ว่า :-

...มีพระราชดำรัศให้หาเจ้าพระพิไชยสุรินทรราชนัดา ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบันยงครัตนาศน ซึ่งเสดจทรงพระประชวรอยู่นั้น แล้วทรงพระกรุณาตรัสมอบเวรราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าพระพิไชยสุรินทร แล้วสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสดจสวรรคตในเพลาราษตรีวันนั้น...[6]: 22 

หลังจากสมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคต กรมพระราชวังบวรฯ ไม่ได้เสร็จพระราชดำเนินมายังพระราชวังหลวง และเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ก็เกรงพระเดชานุภาพจึงได้นำเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง 5 ประการ พร้อมท้าวพระยาเสนาบดีขึ้นเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ เพื่อกราบบังคมทูลถวายราชสมบัติและเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ แต่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงไม่รับ และมีพระบัณฑูรตรัสแก่เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ว่า :-

พระราชโองการโปรดมอบเวนราชสมบัติให้เป็นสิทธิแก่ท่านแล้ว ท่านจงครองราชสมบัติเถิด แลซึ่งท่านจะมายกราชสมบัติให้แก่เรา แลเราจะรับราชสมบัตินั้น ก็จะเป็นการละเมิดพระโองการไปดูมิบังควรนัก[7]: 262–266 

เจ้าพระพิไชยสุรินทร์จึงทราบทูลอ้อนวอนหลายครั้ง และซบพระเศียรเกล้าลงกลิ้งเกลือกกับฝ่าพระบาทของกรมพระราชวังบวรฯ และกราบทูลวิงวอนกับกรมพระราชวังบวรฯ ความว่า :-

ข้าพระพุทธเจ้าวาสนาบารมีก็น้อยบุญน้อยกําลังน้อย มิอาจสามารถจะดํารงราชสมบัติไว้ได้ ถ้าแลข้าพระพุทธเจ้าจะครองแผ่นดินสืบไปบัดนี้ เห็นจะมีภยันตรายแก่ราชสมบัติและบ้านเมือง สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนเป็นมั่งคง อันเศวตฉัตรนี้เป็นมหาสิริอันประเสริฐ ถ้าบุคคลผู้ใดมิได้มีบุญญาภิสังขารล่ำสมมาแต่ก่อน ก็หาดำรงรักษาไว้ได้ไม่ อุปมาดังมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์ มีธรรมชาติอันสุขุมละเอียดยิ่งนัก ถ้าจะเอาภาชนะใด ๆ ก็ดีมารองรับไว้นั้น ก็หารองรับไว้ได้ไม่ ก็จะไหลรั่วไปเสียสิ้น แลซึ่งจะรองรับไว้ได้นั้น ก็แต่สุวรรณภาชนะสิ่งเดียว และพระองค์กอปรด้วยพระกฤษฎาเดชาธิการภินิหารบารมีมาก สมควรจะดำรงราชอาณาจักรในแผ่นดินสยามประเทศได้ อุปมาดังภาชนะทองอันรองรับไว้ซึ่งมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์เหมือนฉะนั้น ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดรับครอบราชสมบัติโดยสุภาวสุจริตธรรมเถิด เหมือนพระองค์ทรงพระมหาการุญภาพแก่แผ่นดิน อย่าให้เป็นจลาจลเลย สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้พึ่งพระบารมีร่มเย็นเป็นสุขานุสุข แลซึ่งพระองค์จะมิทรงพระกรุณาโปรดรับครอบราชสมบัติไซร้ ก็เหมือนหนึ่งมิทรงพระกรุณาแก่แผ่นดินและไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑเสมาทั้งปวง เห็นว่าบ้านเมืองจะเกิดอันตราย สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนเป็นแท้ ข้าพระพุทธเจ้าก็จะหาที่พึ่งที่พำนักมิได้ ก็จะกราบถวายบังคมลาพระองค์ บุกป่าผ่าดงไปซุกซ่อนนอนตายเสียตามยถากรรมของข้าพระพุทธเจ้า[7]: 262–266 

กรมพระราชวังบวรฯ ก็รับพระโองการและพระบัณฑูรตามเจ้าเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกตามอย่างโบราณราชประเพณีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8

ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าและทรงกรมเป็นเจ้าต่างกรม เฉลิมพระยศว่า พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นอินทรภักดี[8]: 83  มีความชอบครั้งถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี[9]: 9  และตั้งเป็นเจ้ากรมพระคชบาล ข้อสันนิษฐานของสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เรื่อง กรมหมื่นอินทรภักดี ทรงทราบไม่แน่ชัดว่าเป็นพระองค์ใดแต่ทรงสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ราชนิกุล[10]: 15 

ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2277 ได้มีพระราชโองการให้กรมหมื่นอินทรภักดีกับเจ้าพระยากลาโหม ขึ้นไปล้อมช้าง ณ เมืองลพบุรี[11]

พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กล่าวว่า :-

...วันเดือน ๙ ข้างขึ้น ปีขาล ฉศก มีพระราชโองการให้กรมหมื่นอินทรภักดีกับเจ้าพระยากลาโหม ขึ้นไปล้อมช้าง ณ เมืองลพบุรี ครั้น ณ เดือน ๑๐ ก็เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปเมืองลพบุรี ให้ออกไปเร่งนายกองต้อนสัตว์จตุบาท มาแต่ทะลชุบศรฟากตะวันออกที่ล้อมเก่าเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกไปขึ้นพระตำหนักห้างให้คนยิง ปืน ตีม้า ฬ่อ ฆ้องกลองโห่ร้องเร้าเข้ามา แลฝูงโค กระทิง มหิงสาเถื่อน ละมั่ง กวาง ทราย สุกรป่า วิ่งกระเจิงออกมาเป็นอันมาก ฝูงช้างเถื่อนก็วิ่งบากบ่ายหน้าหนี ช้างเชือกก็วงล้อมไว้ ได้ทีคล้องต้อนไล่ช้าง[12]: 320 [13]: 224 

ครั้นกรมหลวงโยธาเทพเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2278 กรมหมื่นอินทรภักดีทรงรับหน้าที่เป็นผู้โยงพระมหาพิชัยราชรถ[14]

กรมหมื่นอินทรภักดีสิ้นพระชนม์เมื่อศักราช ๑๑๑๒ ปีมะเมีย (ตรงกับปี พ.ศ. 2293)[15]: 563  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โปรดให้สร้างพระเมรุชั้นเจ้าต่างกรม และเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพกรมหมื่นอินทรภักดี ณ วัดไชยวัฒนาราม[16]: 6, 601 

ส่วนคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม และคำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของกรมหมื่นอินทรภักดีต่างจากพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาออกไป กล่าวคือ เมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ เกิดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเจ้าฟ้าอภัยกับพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ เจ้าราชนิกุล ก็ได้ไปเข้ากับวังหลวงฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ (เจ้าฟ้าพร) มีชัยชนะได้ขึ้นครองราชย์แล้ว จึงจับเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร์ไปสำเร็จโทษเมื่อ พ.ศ. 2275 บรรดาเจ้านายและข้าราชการฝ่ายวังหลวงต่างถูกกวาดล้างสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเจ้าพระพิไชยสุรินทร์กับเจ้าพระอินทรอภัย เจ้าราชนิกุลทั้งสองพระองค์จึงถูกสำเร็จโทษด้วยเหตุไม่ซื่อตรงต่อกรมพระราชวังบวรฯ (เจ้าฟ้าพร)

ปรากฏใน คําให้การขุนหลวงหาวัด ความว่า :-

อันกุมารทั้งสองนั้น พระองค์สั่งให้สังหารชีวิตตามกฎหมายพิพากษา อันไชยสุรินทร อินทอภัยนั้น ก็มาพลอยตายด้วยไม่ตรง อันพระยาอภัยราชากับพระยายมราชนั้นหนีไปบวชเป็นสงฆ์ เป็นกรรมที่จะตายนั้นจึงแต่งแขกอาสาออกไป[17]: 85 

หากยึดหลักฐานตาม คําให้การขุนหลวงหาวัด กรมหมื่นอินทรภักดีสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2275 (พ.ศ. 2276 หากนับปีแบบปัจจุบัน)

พระโอรสธิดา[แก้]

กรมหมื่นอินทรภักดี มีพระบุตร ดังนี้

  • หม่อมพัด[18]: 18  มีพระบุตรปรากฏ 2 คน
  • หม่อมกลาง

พระอิสริยยศ[แก้]

  • นายกรินท์คชประสิทธิ ทรงบาศซ้ายกรมพระคชบาล รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
  • เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ เจ้าราชนิกูล[19]: 126  รัชกาลสมเด็จพระเพทราชา[20]: 198 
  • พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นอินทรภักดี[8]: 83  ตั้งแต่รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจนถึงรัชกาลสมเด็จพระอยู่หัวบรมโกศ[1][21]: 216 [10]: 15 [22]

เครื่องราชอิสริยยศ[แก้]

กรมหมื่นอินทรภักดี ได้รับพระราชทานเครื่องยศ ดังนี้[3]: 252 

เครื่องราชูปโภค
  • หมากทองคำ
  • เต้าน้ำทองคำ

วัฒนธรรมร่วมสมัย[แก้]

  • เรื่องหลายรส ตอน ละครพงศาวดารตอนสิ้นแผ่นดินพระนารายณ์[23]: 163  นิพนธ์โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงใช้นามปากกาว่า ว.ณ ประมวญมารค เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงเหตุการณ์มีข้อราชการด่วนให้เรียกตามตัว นายกรินท์คชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย และเป็นครูช้างในกรมพระคชบาลกับนายประจบคชสิน และให้คัดเลือกชายฉกรรจ์ในกรมช้างจำนวนมากตามมาด้วย
  • เพชรพระนารายณ์ ตอนอวสานพระนารายณ์[24]: 476  เป็นนวนิยายประวัติศาสตร์แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง) โดยเหตุการณ์หลังราชวงศ์บ้านพลูหลวงได้ขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากราชวงศ์ปราสาททอง กล่าวถึง นายกรินทคชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย ข้าราชการในกรมช้างและเป็นหลานของพระเพทราชา ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นราชนิกูลทรงพระนามว่า เจ้าพระพิชัยสุรินทร์

ทรงเป็นบรรพบุรุษขุนนางผู้หนึ่ง[แก้]

มีหลักฐานร่วมสมัยกล่าวถึง กรมหมื่นอินทรภักดี ครั้งยังทรงเป็น เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ เจ้าราชนิกุลในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา เป็นบรรพบุรุษของเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ผู้เป็นต้นสกุล "โรจนกุล"[27][28]: 205  ผู้สำเร็จราชการเมืองพระพิษณุโลก แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เช่น เชาวน์ รูปเทวินทร์ กล่าวว่า "อันเจ้าพระยาพิษณุโลกเรือง ที่ยกตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น เดิมเป็นนายทหารผู้มีฝีมือคนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่ามีเชื้อสายเป็นเจ้าราชนิกูลผู้หนึ่งในราชวงศ์บ้านพลูหลวงของพระเพทราชา..."[29]: 342–343  สอดคล้องกับ หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ซึ่งกล่าวว่า "จ้าวพระพิศณุโลกย์เรืองสืบสายจ้าวราชนิกุญผู้เปนพระหลานเธอแผ่นดินพระมหาบุรุษ"[30]: 24  และใน ประชุมพงศาวดาร เรื่อง ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเครือพระญาติกับเจ้าพระยาพิษณุโลกว่า "...ทํานองเจ้าฟ้าจีดจะเกี่ยวดองเป็นญาติกับเจ้าพระยาพิษณุโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง..."[31]: 107 

อ้างอิง[แก้]

หมายเหตุ
  1. สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน อธิบายว่า "...เข้าใจว่ากรมหมื่นอินทรภักดีจะเป็นเจ้ากรมช้าง เพราะมีเรื่องราวเกี่ยวกับช้างอยู่บ่อย ๆ"[2]
เชิงอรรถ
  1. 1.0 1.1 1.2 ประยุทธ สิทธิพันธ์. (2505). ต้นตระกูลขุนนางไทย. กรุงเทพฯ: คลังวิทยา. 544 หน้า.
  2. ราชบัณฑิตยสถาน. (2523). สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๑๑. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย.
  3. 3.0 3.1 กำธรเทพ กระต่ายทอง และปริยัติธรรมธาดา (แพ), พระยา. (2514). พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ และพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย. 298 หน้า.
  4. "ตั้งเจ้าราชนิกูล แผ่นดินสมเด็จพระมหาบุรุษ (พระเพทราชา) จุลศักราช ๑๐๔๔-๑๐๕๙", ใน พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒ (๒๔๕๕). กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
  5. ยิ้ม ปัณฑยางกูร และสายไหม จบกลศึก (บก.). (2528). งานพระเมรุมาศสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: อมรินทร์การพิมพ์, 2528. 451 หน้า. ISBN 974-7921-98-7
  6. พระราชพงษาวดารกรุงเก่า-ฉบับหมอบรัดเล/๒๒
  7. 7.0 7.1 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2495). "แผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญที่ ๘ (พระเจ้าเสือ)", ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เล่ม ๒ ตอน ๑. พระนคร: โอเดียนสโตร์. 499 หน้า.
  8. 8.0 8.1 ประยูร พิศนาคะ. (2515). สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ. กรุงเทพฯ: สำนักหอสมุดกลาง 09. 472 หน้า.
  9. สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2545). จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. ISBN 978-974-4175-27-4
  10. 10.0 10.1 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2538). เรื่องเฉลิมพระยศเจ้านาย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่งและกองทัพเรือ. 348 หน้า. ISBN 978-974-8274-51-5
  11. พระราชพงษาวดารกรุงเก่า-ฉบับหมอบรัดเล/๒๖
  12. ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๘๒ เรื่อง พระราชพงศาวดารกรุงสยามจากต้นฉบับของ บริติชมิวเซียมกรุงลอนดอน. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2537. 423 หน้า. ISBN 978-974-4190-25-3
  13. เกริกฤทธิ์ เชื้อมงคล. (2562). ก่อนแผ่นดินเปลี่ยนราชบัลลังก์. กรุงเทพฯ: สยามความรู้. 240 หน้า. ISBN 978-616-4415-19-5
  14. ลานพระเมรุเผาพระศพ และสนามหน้าจักรวรรดิ ยุคกรุงศรีอยุธยา
  15. พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา. (พิมพ์ครั้งที่ 6). พระนคร: กรมศิลปากร, 2511. 884 หน้า.
  16. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2499). สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน. พระนคร: สำนักงานราชบัณฑิตยสภา.
  17. คำให้การขุนหลวงหาวัด. นนทบุรี: โครงการเลือกสรรหนังสือ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2547. 244 หน้า. ISBN 978-974-6457-67-5
  18. 18.0 18.1 กฤตภาส โรจนกุล. (2554). เอกสารการค้นคว้าประวัติศาสตร์สมัยอยุธยาเรื่อง โรจนกุล ชีวประวัติและเชื้อสายสัมพันธ์. กรุงเทพฯ: [ม.ป.ท.] (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่). อ้างใน ลิขิตปรีชา (คุ้ม), หลวง. (2378). ธรรมเนียบตระกูลสังเขปครั้งกรุงเก่า ต้นฉบับลายมือคัดของนายคุ้ม ร.ศ. ๕๓. กรุงเทพพระมหานคร, [ม.ป.ท.] (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่).
  19. "ตั้งเจ้าราชนิกูล แผ่นดินสมเด็จพระมหาบุรุษ (พระเพทราชา) จุลศักราช ๑๐๔๔-๑๐๕๙", ใน พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ภาค ๒ (๒๔๕๕). กรุงเทพฯ: ม.ป.พ.
  20. ดนัย ไชยโยธา. (2543). พัฒนาการของมนุษย์กับอารยธรรมในราชอาณาจักรไทย เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. ISBN 978-974-2777-80-7
  21. นริศรานุวัตติวงศ์, สมเด็จ ฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา และดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2534). สาส์นสมเด็จ เล่มที่ 2. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์. ISBN 978-974-0056-57-7
  22. สมมตอมรพันธุ์, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2520). จดหมายเหตุเรื่องทรงตั้งพระบรมวงศานุวงศ์กรุงรัตนโกสินทร์ เล่ม 1. กรุงเทพฯ: รุ่งคิลป์การพิมพ์. ISBN 974-417-527-3
  23. ว.ณ ประมวญมารค.. (2514). เรื่องหลายรส. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา. 433 หน้า.
  24. วิจิตรวาทการ (กิมเหลียง), พลตรี หลวง. (2513). เพ็ชรพระนารายณ์. กรุงเทพฯ: เสริมวิทย์บรรณาคาร. 536 หน้า.
  25. พระเจ้าเสือ พันท้ายนรสิงห์ (2525) เก็บถาวร 2022-09-20 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. เว็บภาพยนตร์ไทย. สืบค้นเมื่อ 17 กันยายน พ.ศ. 2565.
  26. กรมศึกษาธิการ. (2444). พระราชพงศาวดาร ฉบับกรมศึกษาธิการ ร.ศ. 120 (พ.ศ. 2444) เล่ม 2. พระนคร: กรมศึกษาธิการ กระทรวงธรรมการ.
  27. นามสกุลพระราชทาน. พระราชวังพญาไท. หมวดอักษร ร. ลำดับที่ 368.
  28. เทพ สุนทรศารทูล. (2534). มงคลนาม ตามตำราโหราศาสตร์. กรุงเทพฯ: พระนารายณ์.
  29. เชาวน์ รูปเทวินทร์. (2528). ย่ำอดีต พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชกับงานกู้อิสรภาพของชาติไทย เลมที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษัท พี.วาทิน พับลิเคชั่น จำกัด. 672 หน้า.
  30. ลิขิตปรีชา (คุ้ม), หลวง. (2378). ธรรมเนียบตระกูลสังเขปครั้งกรุงเก่า ต้นฉบับลายมือคัดของนายคุ้ม ร.ศ. ๕๓. กรุงเทพพระมหานคร, [ม.ป.ท.] (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่).
  31. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จฯ กรมพระยา. (2506). "สงครามครั้งที่ 24 คราวเสียกรุงครั้งหลัง ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐", ใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๖ . กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2506.