ข้ามไปเนื้อหา

อิลลูมินาตี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อาดัม ไวส์เฮาฟท์ ผู้ก่อตั้งสมาคมรู้แจ้ง

อิลลูมินาตี (อังกฤษ: Illuminati; /əˌlmɪˈnɑːti/; ละติน: illuminatus,"อิลลูมินาตุส",รู้แจ้ง) เป็นชื่อที่ตั้งให้แก่กลุ่มคณะบุคคลหลายกลุ่มทั้งที่มีอยู่จริงและเป็นเรื่องแต่ง ซึ่งหากกล่าวถึงที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์จะหมายถึง อิลลูมินาตีแห่งบาวาเรีย สมาคมลับในยุคเรืองปัญญา หรือเรียกกันว่า สมาคมรู้แจ้ง (เยอรมัน: Illuminatenorden)

สมาคมรู้แจ้งเป็นสมาคมลับในยุคเรืองปัญญา ก่อตั้งเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1776 ที่เมืองอิงก็อลชตัท แคว้นบาวาเรีย ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนี โดยนักปรัชญาและนักกฎหมายศาสนจักร อาดัม ไวส์เฮาฟท์ (Adam Weishaupt) พร้อมกับนักเรียนอีกสี่คน ไวส์เฮาฟท์ก่อตั้งสมาคมนี้ขึ้นภายหลังผิดหวังกับองค์กรอื่น ๆ อย่างฟรีเมสัน ที่ไม่ค่อยเปิดรับความคิดเขาเท่าไหร่ ไวส์เฮาฟท์จึงก่อตั้งสมาคมของตนเองขึ้นมาโดยมีโครงสร้างและระดับเฉกเช่นเดียวกับฟรีเมสัน แต่ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความเชื่อของเขาเอง[1] มีจุดมุ่งหมายต่อต้านความงมงาย (superstition), ต่อต้านลัทธิหมิ่นประมาท (obscurantism), ต่อต้านอิทธิพลของศาสนาในชีวิตผู้คน รวมถึงต่อต้านการใช้อำนาจรัฐในทางผิด

เมื่อแรกก่อตั้ง ไวส์เฮาฟท์ใช้ชื่อองค์กรว่า สหภาพสัมบูรณ์ (Bund der Perfektibilisten) และตัดสินใจใช้นกฮูกแห่งอะธีนาเป็นสัญลักษณ์องค์กร อย่างไรก็ตาม ไวส์เฮาฟท์มองว่าชื่อนี้ฟังดูแปลก[2] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1778 จึงเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็น สมาคมรู้แจ้ง (Illuminatenorden)

ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาร์ลส เทโอดอร์ ผู้ครองแคว้นบาวาเรีย ประกาศให้สมาคมรู้แจ้ง องค์กรฟรีเมสัน ตลอดจนองค์กรลับอื่น ๆ นั้นเป็นองค์กรเถื่อน[3] คำประกาศเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนโดยคริสต์จักรคาทอลิก นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1798 ฝ่ายหัวเก่าและนักวิจารณ์ฝ่ายคริสต์จักรยังเขียนหนังสือให้ร้ายว่าองค์กรเหล่านี้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสและยังเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ เพื่อทำการเปลี่ยนแปลงในประเทศอื่น ๆ ต่อไป หนังสือเหล่านี้ได้รับความนิยมไปถึงสหรัฐและทั่วนิวอิงแลนด์

นักการเมืองผู้มีสติปัญญาและหัวก้าวหน้าจำนวนมากอ้างว่าพวกเขาเป็นสมาชิกองค์กรเหล่านี้ อย่างที่เจ้าชายแฟร์ดีนันท์แห่งเบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล หรือนักการทูตซาฟิแอร์ ฟอน ซวัค เคยอ้างว่าตัวเองเป็นผู้นำเบอร์สองของสมาคมนี้[4] สมาคมนี้ดึงดูดปรมาจารย์เลื่องชื่อมากมายอาทิ โยฮัน ว็อล์ฟกัง ฟ็อน เกอเทอ และโยฮัน ก็อทฟรีท แฮร์เดอร์ ตลอดจนดยุกผู้ครองนครโกทาและไวมาร์[5]

ผลที่ตามมา "อิลลูมินาตี" กลายเป็นคำที่ถูกนำไปอ้างโดยองค์กรมากมาย ทั้งที่อ้างว่าตนมีความเกี่ยวข้องกับสมาคมรู้แจ้งหรือองค์กรลับอย่างเดียวกัน แน่นอนว่าคำอ้างเหล่านี้ไม่มีข้อพิสูจน์ หลายครั้งมีทฤษฎีสมคบคิดว่าองค์กรเหล่านี้วางแผนในการเข้าครอบงำกิจการโลก คอยชักใยและสร้างสถานการณ์เพื่อต่อต้านรัฐบาลและบรรษัทต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองและอิทธิพลโดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการจัดระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ซึ่งเป็นทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับอิลลูมินาตีที่แพร่หลายที่สุด มีการนำอิลลูมินาตีไปใช้ในงานวรรณกรรม, ภาพยนตร์, การ์ตูน, วิดีโอเกม อยู่มากมาย ภาพยนตร์เกี่ยวกับอิลลูมินาตีที่โด่งดังที่สุดคือ เทวากับซาตาน ของแดน บราวน์

ประวัติความเป็นมา

[แก้]

ต้นกำเนิด

[แก้]
นกฮูกแห่งอะธีนาถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในหนังสือของสมาคมรู้แจ้ง

อาดัม ไวส์เฮาฟท์ (ค.ศ. 1748–1830) ได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ด้านกฎหมายศาสนจักรและปรัชญานิยมที่มหาวิทยาลัยอิงโกลชตัท (Ingolstadt University) ในปี ค.ศ. 1773 เขาเป็นศาสตราจารย์เพียงคนเดียวที่ไม่ใช่บาทหลวงในสถาบันที่ดำเนินการโดยคณะเยซุอิต ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปาเคลมองต์ที่ 14 ได้ยุบเลิกในปี ค.ศ. 1773 อย่างไรก็ตาม คณะเยซุอิตแห่งอิงโกลชตัทยังคงควบคุมเงินทุนและอำนาจบางส่วนในมหาวิทยาลัย พวกเขายังคงมองว่าเป็นของตน และพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะขัดขวางและทำลายชื่อเสียงของเจ้าหน้าที่ที่ไม่ใช่บาทหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเนื้อหาหลักสูตรมีสิ่งที่พวกเขาถือว่าเป็นเสรีนิยมหรือโปรเตสแตนต์ ไวส์เฮาฟท์ จึงกลายเป็นศัตรูกับศาสนจักรอย่างลึกซึ้ง เขาตัดสินใจเผยแพร่แนวคิดเกี่ยวกับความรู้แจ้ง (Aufklärung) ผ่านสมาคมลับบางประเภท โดยสมาชิกเป็นบุคคลที่มีความคิดเดียวกัน[1]

เมื่อพบว่าสมาคมฟรีเมสันมีราคาแพงและไม่เปิดกว้างต่อความคิดของเขา อาดัม ไวส์เฮาฟท์ จึงตัดสินใจก่อตั้งสมาคมลับของเขาเอง  สมาคมนี้จะมีระบบลำดับชั้นหรือระดับคล้ายฟรีเมสัน แต่มีวาระที่เขาตั้งไว้เอง[1] ชื่อเดิมของคำสั่งใหม่คือ ชื่อแรกของสมาคมใหม่นี้คือ สหภาพสัมบูรณ์ (Bund der Perfektibilisten) หรือ ผู้แสวงหาความสมบูรณ์แบบ แต่ต่อมาเขาเปลี่ยนชื่อใหม่เพราะฟังดูแปลก[6] ในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1776 ไวส์เฮาฟท์และนักศึกษาอีกสี่คนก่อตั้ง เพอร์เฟ็กติบลิสต์ (Perfectibilisten) โดยใช้ นกฮูกแห่งอะธีนา เป็นสัญลักษณ์[7][8] สมาชิกทุกคนต้องใช้ชื่อปลอมภายในสมาคม ไวส์เฮาฟท์ใช้ชื่อว่า สปาร์ตากุส (Spartacus)[9] นักศึกษากฎหมาย มาสเซนเฮาเซน เปลี่ยนเป็น อาแจ็กซ์, เบาฮอฟ เปลี่ยนเป็น อกาโธน, เมิร์ซ เปลี่ยนเป็น ทิเบริอุส และซูเตอร์ เปลี่ยนเป็น เอราสมุสโรเทโรดามุส ต่อมาไวส์เฮาฟท์ไล่ซูเตอร์ออกจากสมาคมเนื่องจากความเกียจคร้าน[10][11] ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1778 สมาคมเพอร์เฟ็กติบลิสต์ เปลี่ยนชื่อเป็น สมาคมรู้แจ้ง (Illuminatenorden) หรือ คำสั่งแห่งการรู้แจ้ง (Order of Illuminati) หลังจากที่ไวส์เฮาฟท์ได้พิจารณาชื่อ คำสั่งผึ้ง (Bee order) อย่างจริงจัง[12]

มาสเซนเฮาเซน พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญที่สุดคนหนึ่งในการขยายอิทธิพลของสมาคมอิลลูมินาตี ในขณะที่ศึกษาอยู่ที่มิวนิก ไม่นานหลังจากก่อตั้งสมาคม มาสเซนเฮาเซนได้ชักชวน ซาฟิแอร์ ฟ็อน ซวัค (Xaver von Zwackh) อดีตลูกศิษย์ของไวส์เฮาฟท์ เข้าร่วมเป็นสมาชิกตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของอาชีพการงานสำคัญของฟ็อน ซวัค (ขณะนั้นเขาดำรงตำแหน่งผู้ดูแลสลากกินแบ่งแห่งชาติบาวาเรีย) อย่างไรก็ตามความกระตือรือร้นของมาสเซนเฮาเซนกลายเป็นภาระในสายตาของไวส์เฮาฟท์  เนื่องจากเขามักพยายามรับสมัครสมาชิกที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้  ชีวิตส่วนตัวของมาสเซนเฮาเซนที่เต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง  ยังทำให้เขามีเวลาให้กับสมาคมน้อยลง เมื่อไวส์เฮาฟท์มอบหมายการควบคุมกลุ่มมิวนิกให้แก่ฟอน ซวัค  ก็ปรากฏชัดว่ามาสเซนเฮาเซนได้ยักยอกเงินค่าสมาชิกและสกัดกั้นการติดต่อระหว่างไวส์เฮาฟท์กับฟอน ซวัค ในปี ค.ศ. 1778 มาสเซนเฮาเซนสำเร็จการศึกษาและไปรับตำแหน่งนอกบาวาเรีย  เขาไม่สนใจกิจกรรมของสมาคมอีกต่อไป ในเวลานี้  สมาคมอิลลูมินาตีมีสมาชิกเพียง 12 คนเท่านั้น  ตามทะเบียนสมาชิก[10]

หลังจากมาสเซนเฮาเซนออกไป ฟอน ซวัค เริ่มต้นภารกิจในการรับสมัครสมาชิกใหม่  โดยมุ่งเน้นไปที่บุคคลที่โตเต็มวัย  มีบทบาทสำคัญ  และมีความสามารถ บุคคลที่ไวส์เฮาฟท์ชื่นชมมากที่สุด คือ เฮอร์เทล เพื่อนสมัยเด็กและศาสนิกชนประจำโบสถ์แม่พระมิวนิก ปลายฤดูร้อนปี ค.ศ. 1778 สมาคมมีสมาชิก 27 คน (ยังรวมมาสเซนเฮาเซน) แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ มิวนิก (เอเธนส์), อิงโกลชตัท (เอลูซิส), ราเฟนแบร์ก (สปาร์ตา), เฟรย์ซิงเกน (ธีบส์) และ ไฮชชตัดท์ (เออร์ซูรัม)[10]

สมาคมในช่วงแรกมีระบบลำดับชั้น 3 ชั้น ได้แก่ ผู้มาเยือน (Novices), มินเนอร์วา (Minervals) และ มินเนอร์วาผู้รู้แจ้ง (Illuminated Minervals) ซึ่งเฉพาะสมาชิกชั้นมินเนอร์วาเท่านั้น ที่เข้าร่วมพิธีกรรมที่ซับซ้อน ในพิธีกรรมนี้ผู้สมัครจะได้รับ สัญลักษณ์ลับและรหัสผ่าน ไวส์เฮาฟท์ใช้ระบบการสอดแนมซึ่งกันและกัน เพื่อติดตามกิจกรรมและพฤติกรรมของสมาชิกทุกคน  สมาชิกที่เขาชื่นชอบจะได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ สภาปกครอง หรือเรียกกันว่า แอรีโอพากัส (Areopagus) ผู้มาเยือนบางคนได้รับอนุญาตให้ชักชวนสมาชิกใหม่ กลายเป็น ผู้ชักชวน (Insinuants) สมาคมแสวงหาชาวคริสต์ที่มีคุณสมบัติที่ดี และตัดสิทธิ์ ชาวยิว, ผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ, นักบวช, และสมาชิกของสมาคมลับอื่น ๆ ทั้งนี้ผู้สมัครที่ได้รับการโปรดปรานมักเป็นคนร่ำรวย เชื่อฟัง ใฝ่รู้ และมีอายุระหว่าง 18-30 ปี[13][14]

การเปลี่ยนผ่าน

[แก้]

แม้ว่าไวส์เฮาฟท์จะพยายามห้ามสมาชิกบางคนของเขาไม่ให้เข้าร่วมฟรีเมสัน  แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเข้าร่วมองค์กรที่เก่าแก่กว่านี้ด้วยตัวเอง  เพื่อหาข้อมูลมาแนวทางให้กับพิธีกรรมของสมาคม เขาได้รับการยอมรับเข้าสู่ ล็อดจ์ "ความรอบคอบ" ของลัทธิการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด (Rite of Strict Observance) ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1777 การเลื่อนขั้นสู่ระดับที่สามของฟรีเมสัน (เรียกกันว่า บลูล็อดจ์ หรือ ล็อดจ์สีน้ำเงิน)[a] ไม่ได้สอนอะไรเขาเลย เกี่ยวกับระดับที่สูงขึ้นที่เขาต้องการจะนำมาใช้ประโยชน์ แต่ในปีถัดมา บาทหลวงชื่อ อับเบ มาร็อตติ (Abbé Marotti) ได้บอกกับซวัค (Zwack) ว่า ความลับเหล่านั้นซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นความรู้ที่สูงกว่าของฟรีเมสัน ซวัคโน้มน้าวไวส์เฮาฟท์ ว่าพวกเขาควรเป็นพันธมิตรกับฟรีเมสัน  และขออนุญาตจัดตั้งล็อดจ์ของตนเอง  ในช่วงเวลานี้ (ธันวาคม ค.ศ. 1778)  การเพิ่มระดับจากระดับหนึ่งเป็นระดับสามในฟรีเมสัน กลายเป็นเรื่องรอง  ไวส์เฮาฟท์มุ่งเน้นไปที่การสืบหาความรู้ระดับสูงของฟรีเมสัน  เพื่อนำมาผสมผสานกับพิธีกรรมของสมาคม[15]

พวกเขาได้รับอนุมัติการจัดตั้งล็อดจ์ใหม่  จาก แกรนด์ล็อดจ์ออฟปรัสเซีย (Grand Lodge of Prussia) ที่เรียกว่า รอยัลยอร์คฟอร์เฟรนด์ชิป (Royal York for Friendship) โดยไม่ยากเย็น พวกเขาตั้งชื่อล็อดจ์ใหม่นี้ว่า ทีโอดอร์ออฟกู๊ดเคาน์ซิล (Theodore of the Good Council) เพื่อเป็นการสรรเสริญ ชาร์ลส์ ทีโอดอร์ (Charles Theodore) ผู้เป็นเจ้านครบาลแห่งแคว้นบาวาเรีย (Elector of Bavaria) และก่อตั้ง ล็อดจ์ทีโอดอร์ (Lodge Theodore) ในมิวนิก เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 1779 และสมาชิกอิลลูมินาตีก็เข้าร่วมอย่างรวดเร็ว บุคคลแรกที่ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าล็อดจ์ ชื่อราเดิล (Radl) ถูกโน้มน้าวให้กลับบ้านเกิดที่บาเดิน (Baden) และในเดือนกรกฎาคม ตามคำสั่งของไวส์เฮาฟท์ เขาก็ยังคงดำเนินการบริหารล็อดจ์ต่อไป[15]

ขั้นตอนต่อไปคือการแยกตัวเป็นอิสระจากกองล็อดจ์ใหญ่เดิม ไวส์เฮาฟท์และซวัคสร้างความสัมพันธ์ในฐานะฟรีเมสัน กับ ยูเนียนล็อดจ์ (Union Lodge) ในแฟรงก์เฟิร์ต ซึ่งขึ้นตรงต่อ พรีเมียร์แกรนด์ล็อดจ์ออฟอิงแลนด์ (Premier Grand Lodge of England) ด้วยวิธีนี้ ล็อดจ์ทีโอดอร์ จึงได้รับการรับรอง และสามารถประกาศแยกตัวเป็นอิสระได้ ในฐานะของ ล็อดจ์แม่ (Mother Lodge) แห่งใหม่ ล็อดจ์ทีโอดอร์ สามารถจัดตั้งสาขาของตนเองได้ และการรับสมัครสมาชิกใหม่ในกลุ่มฟรีเมสัน ที่แฟรงก์เฟิร์ต ยังทำให้ได้ตัว อดอล์ฟ ไฟรแฮร์ คนิ๊เก (Adolph Freiherr Knigge) เข้าร่วมอีกด้วย[15]

การปฏิรูป

[แก้]

อดอล์ฟ ไฟรแฮร์ คนิ๊เก

[แก้]
อดอล์ฟ ไฟรแฮร์ คนิ๊เก ผู้สรรหาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับอิลลูมินาตี

อดอล์ฟ ไฟรแฮร์ คนิ๊เก (Adolph Freiherr Knigge) ถูกชักชวนเข้าร่วมในช่วงปลายปี ค.ศ. 1780 ที่การประชุมของลัทธิการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด (Rite of Strict Observance) โดย คอสตันโซ มาร์เคเซ ดิ คอสตานโซ (Costanzo Marchese di Costanzo) นายทหารราบในกองทัพบาวาเรีย (Bavarian army) และสมาชิกฟรีเมสัน ณ เวลานั้น คนิ๊เก ซึ่งอยู่ในวัยยี่สิบต้น ๆ ได้รับการยศสูงสุดในลัทธิ และมีแผนที่ยิ่งใหญ่ในการปฏิรูปฟรีเมสันอัน

แต่ด้วยความผิดหวังที่แผนการของเขาไม่ได้รับการสนับสนุน คนิ๊เก รู้สึกสนใจทันทีเมื่อคอสตันโซ บอกเขาว่า ลัทธิที่เขาพยายามสร้างขึ้นนั้นมีอยู่แล้ว คนิ๊เกและเพื่อนอีก 3 คน แสดงความสนใจอย่างมากที่จะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับลัทธิ์นี้ และคอสตันโซ ก็แสดงเอกสารที่เกี่ยวข้องกับยศมินเนอร์วา (Minerval grade) ให้พวกเขาดู เอกสารสอนสำหรับยศนี้เป็นวรรณกรรม "เสรีนิยม" ซึ่งถูกห้ามในแคว้นบาวาเรีย แต่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในรัฐเยอรมันโปรเตสแตนต์ เพื่อนทั้งสามคนของคนิ๊เก รู้สึกท้อแท้และไม่ยุ่งเกี่ยวกับคอสตันโซ อีกต่อไป แต่ความพยายามอย่างต่อเนื่องของคนิ๊เกได้รับผลตอบแทนในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1780 ด้วยจดหมายจากไวส์เฮาฟท์ (Weishaupt)

สายสัมพันธ์ของคนิ๊เก ทั้งภายในและภายนอกฟรีเมสัน ทำให้เขากลายเป็นสมาชิกใหม่ที่เหมาะสม ในขณะเดียวกัน คนิ๊เก รู้สึกพึงพอใจที่ได้รับความสนใจ และหลงใหลในเป้าหมายที่ประกาศไว้ของลัทธิ ซึ่งคือ การศึกษาและปกป้องมนุษยชาติจากการปกครองแบบเผด็จการ ไวส์เฮาฟท์ ตอบรับและสัญญาว่าจะสนับสนุนความสนใจของคนิ๊เกในวิชาเล่นแร่แปรธาตุ (alchemy) และ ศาสตร์ชั้นสูง (higher sciences) คนิ๊เก ตอบกลับไวส์เฮาฟท์ โดยร่างแผนการปฏิรูปฟรีเมสันของเขา ในขณะที่ลัทธิการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับจุดกำเนิดของลัทธิตนเอง[16]

คนิ๊เก ยอมรับเงื่อนไข แต่ขอเลือกพื้นที่ในการรับสมัครเอง คำอธิบายเกี่ยวกับองค์กรฟรีเมสันรูปแบบใหม่ของคนิ๊เก ดึงดูดใจสมาชิกฟรีเมสันคนอื่น ๆ จำนวนมาก พวกเขาเหล่านั้นจึงเข้าร่วมในระดับมินเนอร์วา (Minerval) ของกลุ่มอิลลูมินาตี ในช่วงเวลานี้ คนิ๊เก ดูเหมือนจะเชื่อเรื่อง ท่านผู้ทรงเกียรติสูงสุด (Most Serene Superiors) ซึ่งอ้างโดยไวส์เฮาฟท์ แต่เพราะไม่สามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับระดับที่สูงขึ้นขององค์กรได้ จึงเกิดเป็นความอับอายให้แก่ตัวคนิ๊เกเองมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แทนที่จะช่วยเหลือ ไวส์เฮาฟท์ กลับมอบหมายงานเพิ่มเติม โดยมอบเอกสารต่าง ๆ ให้แก่ คนิ๊เก เพื่อให้นำไปผลิตเป็นจุลสารในการเปิดโปงกิจกรรมที่ถูกสั่งห้ามของคณะเยซุอิต (Jesuits) ซึ่งเนื้อหาเหล่านั้นอ้างว่า คณะเยซุอิต ยังคงเฟื่องฟูและรับสมัครสมาชิกต่อไป โดยเฉพาะในแคว้นบาวาเรีย ในขณะเดียวกัน สมาชิกใหม่ที่ คนิ๊เก รับสมัคร ก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับระดับที่สูงขึ้นขององค์กร แต่ คนิ๊เก ไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจได้ สถานการณ์เช่นนี้ส่งผลกระทบต่อตำแหน่งของเขา ในที่สุด คนิ๊เก จึงเขียนจดหมายไปยังไวส์เฮาฟท์ เพื่อแจ้งปัญหาดังกล่าว ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1781 ด้วยความกังวลว่าจะสูญเสีย คนิ๊เก และสมาชิกฟรีเมสันที่เขารับสมัคร ไวส์เฮาฟท์ จึงสารภาพในที่สุดว่า ท่านผู้ทรงเกียรติสูงสุดและความเก่าแก่โบราณขององค์กรนั้น ล้วนเป็นเรื่องแต่งขึ้น และระดับที่สูงขึ้นขององค์กรก็ยังไม่ได้ถูกเขียนขึ้น[16]

แม้ คนิ๊เก คาดหวังว่าจะได้เรียนรู้ความลับอันยิ่งใหญ่ของฟรีเมสันในระดับที่สูงขึ้นของอิลลูมินาตี แต่เขากลับค่อนข้างใจเย็นอย่างน่าประหลาดต่อการสารภาพของไวส์เฮาฟท์ ไวส์เฮาฟท์สัญญากับคนิ๊เกว่าจะให้อิสระในการสร้างระดับที่สูงขึ้นกับเขา และสัญญาว่าจะส่งบันทึกของเขาเองให้คนิ๊เกด้วย ในขณะเดียวกัน คนิ๊เก ยินดีกับโอกาสที่จะใช้กลุ่มนี้เป็นเครื่องมือเผยแพร่แนวคิดของตัวเอง เขาอ้างว่า แนวทางใหม่ของเขาจะทำให้กลุ่มอิลลูมินาตี น่าดึงดูดใจสมาชิกใหม่ในแคว้นผู้ครองนคร (princedoms) โปรเตสแตนต์ของเยอรมันมากขึ้น ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1781 แอรีโอพากัส (Areopagus; สภาปกครอง) ของกลุ่มอิลลูมินาตี จัดสรรเงิน 50 ฟลอริน (Florin) ให้แก่คนิ๊เก เพื่อเดินทางไปยังแคว้นบาวาเรีย เขาเดินทางผ่านชวาเบีย (Swabia) และฟรังโกเนีย (Franconia) และได้พบปะกับสมาชิกอิลลูมินาตีคนอื่น ๆ ระหว่างทาง ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น[16]

ปัญหาภายใน

[แก้]

ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1780 สาขาไอชสเตดท์ (Eichstaedt) ได้ก่อตั้งเขตปกครองตนเอง สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดรอยร้าวระหว่าง ไวส์เฮาฟท์ กับ แอรีโอพากัส (Areopagus) ซึ่งมองว่าไวส์เฮาฟท์เป็นคนดื้อรั้น มีความเผด็จการ และขาดความสม่ำเสมอ ในช่วงเวลานี้ คนิ๊เก เข้ามารับบทบาทเป็นคนกลางประนีประนอมความขัดแย้งได้อย่างเหมาะสม[17]

ในระหว่างการหารือกับแอรีโอพากัส และไวส์เฮาฟท์ คนิ๊เกชี้ให้เห็นปัญหาสองประการ ประการแรก เนื่องจากไวส์เฮาฟท์ เน้นการรับสมัครนักศึกษามหาวิทยาลัย ส่งผลให้ตำแหน่งระดับสูงในองค์กรมักถูกแทนที่ด้วยชายหนุ่มที่มีประสบการณ์จริงน้อย ประการที่สอง ลัทธิต่อต้านเยซุอิต (anti-Jesuit) ที่เป็นรากฐานขององค์กรในตอนแรก ได้กลายเป็นแนวคิดต่อต้านศาสนา (anti-religious) ทั่ว ๆ ไป ซึ่งคนิ๊เกรู้ว่าจะเป็นอุปสรรคในการดึงดูดฟรีเมสันระดับสูงที่องค์กรต้องการในขณะนั้น คนิ๊เกรู้สึกอย่างยิ่งถึงอิทธิพลอันเข้มงวดของนิกายคาทอลิกแบบอนุรักษ์นิยมในแคว้นบาวาเรีย และเข้าใจความรู้สึกต่อต้านศาสนาที่เกิดขึ้นในกลุ่มอิลลูมินาตีฝ่ายเสรีนิยม แต่เขายังมองเห็นด้วยว่าความรู้สึกเหล่านี้จะก่อให้เกิดภาพลักษณ์ที่แย่ในรัฐโปรเตสแตนต์ ซึ่งเป็นการขัดขวางการแพร่หลายขององค์กรไปยังภูมิภาคที่กว้างขึ้นของเยอรมนี ทั้งแอรีโอพากัสและไวส์เฮาฟท์ รู้สึกไร้อำนาจที่จะทำอะไรนอกจากให้คนิ๊เกมีอิสระในการดำเนินการ คนิ๊เกมีเส้นสายทั้งภายนอกและภายในฟรีเมสัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ และเขายังมีความสามารถในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมที่จะสร้างโครงสร้างลำดับชั้น (gradal structure) ที่พวกเขาคาดหวังไว้ เนื่องจากโครงสร้างเดิมหยุดอยู่ที่ระดับ อิลลูมินาตี มิเนอร์ (Illuminatus Minor) โดยมีเพียงระดับมินเนอร์วา (Minerval) อยู่เบื้องล่าง และมีเพียงเค้าโครงคร่าว ๆ ของระดับที่สูงกว่าเท่านั้น ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวคือ ความจำเป็นที่จะต้องหารือเกี่ยวกับความลับภายในของระดับที่สูงที่สุด และความจำเป็นในการส่งมอบระดับใหม่ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อขออนุมัติ[17]

ในขณะเดียวกัน แผนการเผยแพร่อิลลูมินาตีให้เป็นสาขาที่ถูกต้องตามกฎหมายของฟรีเมสัน ก็หยุดชะงัก แม้ว่า ล็อดจ์ทีโอดอร์ (Lodge Theodore)[a] จะอยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้วก็ตาม แต่กลุ่ม "อีเลคท์ มาสเตอร์" (Elect Masters) ที่สังกัดอยู่ มีสมาชิกเพียงคนเดียวจากองค์กร และยังคงมีอำนาจเหนือกว่าล็อดจ์ช่างฝีมือ (craft lodge) ที่อิลลูมินาตีควบคุมอยู่ การโน้มน้าวให้กลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ ยอมจำนนต่อสภาสูง เป็นเรื่องยาก และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการที่ล็อดจ์ทีโอดอร์ จะกลายเป็นล็อดจ์แม่แห่งแรกของฟรีเมสันในรูปแบบของอิลลูมินาตี สนธิสัญญาพันธมิตรได้ลงนามระหว่างองค์กรกับกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ และภายในปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1781 ล็อดจ์ลูกได้ถูกก่อตั้งขึ้น 4 แห่ง แต่การเป็นอิสระยังไม่ใช่เป้าหมายของกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์[17]

คอสตันโซ เขียนจดหมายไปยังรอยัล ยอร์ค เพื่อชี้แจงความไม่สมเหตุสมผลระหว่างค่าธรรมเนียมที่ส่งไปยังแกรนด์ล็อดจ์[a]แห่งใหม่ของพวกเขา กับบริการที่ได้รับตอบแทน รอยัล ยอร์ค ไม่ต้องการสูญเสียรายได้ จึงเสนอที่จะมอบความลับ "ขั้นสูง" ของฟรีเมสันให้กับตัวแทนที่พี่น้องในมิวนิกจะส่งไปยังเบอร์ลิน ดังนั้น คอสตันโซ จึงออกเดินทางไปปรัสเซียในวันที่ 4 เมษายน ค.ศ. 1780 พร้อมกับคำสั่งให้เจรจาลดค่าธรรมเนียมของล็อดจ์ทีโอดอร์ ในระหว่างนั้น ระหว่างทางเกิดเหตุการณ์โต้เถียงกับชายชาวฝรั่งเศส เกี่ยวกับผู้หญิงที่ร่วมโดยสารรถม้า ชายชาวฝรั่งเศสส่งข้อความไปเบอร์ลินก่อนที่พวกเขาจะถึงเมือง กล่าวหาว่าคอสตันโซเป็นสายลับ เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุกด้วยความช่วยเหลือของแกรนด์มาสเตอร์แห่งรอยัล ยอร์คเท่านั้น แต่สุดท้ายก็ถูกขับออกจากปรัสเซีย โดยไม่ประสบผลสำเร็จใด ๆ [17]

ระบบใหม่

[แก้]

แผนการเริ่มต้นของคนิ๊เกที่จะขอรับรัฐธรรมนูญจากลอนดอน สภาสูงตระหนักว่า บทบาทของพวกเขาจะถูกมองออกโดยกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ จนกว่าพวกเขาจะสามารถยึดครองล็อดจ์ฟรีเมสันอื่น ๆ ที่กลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ ไม่สามารถควบคุมได้ ในขณะนี้ พวกเขาพอใจที่จะเขียนตำราทั้งสามระดับสำหรับล็อดจ์ที่พวกเขาดำเนินการอยู่[17]

เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1782 คนิ๊เก สรุประบบระดับชั้นใหม่ขององค์กร ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชั้น:

  • ชั้นที่ 1 – ชั้นเตรียม ประกอบด้วย ระดับโนวิเชียต (Noviciate), ระดับมินเนอร์วา (Minerval) และ ระดับอิลลูมินาตี มิเนอร์ (Illuminatus minor)
  • ชั้นที่ 2 – ระดับฟรีเมสัน แบ่งเป็น ระดับช่างฝีมือ (craft lodge) 3 ระดับ ได้แก่ ระดับอัป prentice (ผู้ฝึกหัด), ระดับคอมพาเนียน (เพื่อนร่วมงาน), และระดับมาสเตอร์ (ปรมาจารย์) แยกจาก ระดับสก็อตติช (Scottish) ที่สูงกว่า ได้แก่ ระดับสก็อตติช โนวิส (Scottish Novice) และ ระดับสก็อตติช ไนท์ (Scottish Knight)
  • ชั้นที่ 3 – ชั้นความลับ ความลับเบื้องต้น ประกอบด้วย ระดับพรีสต์ (Priest - นักบวช) และ ระดับพรินซ์ (Prince - เจ้าชาย) ตามด้วยความลับอันยิ่งใหญ่ในระดับเมจ (Mage - นักเวทย์) และระดับคิง (King - กษัตริย์) ไม่น่าเป็นไปได้ที่ บทพิธีกรรมสำหรับความลับอันยิ่งใหญ่จะเคยถูกเขียนขึ้น[17][18]

ความพยายามในการขยายตัว

[แก้]

การรับสมัครสมาชิกของคนิ๊เก จากกลุ่มฟรีเมสันในเยอรมนี ไม่ใช่การสุ่มอย่างแน่นอน เขาเล็งเป้าหมายไปที่ระดับปรมาจารย์ (masters) และผู้พิทักษ์ (wardens) ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่บริหารล็อดจ์ และมักจะสามารถชักชวนสมาชิกทั้งหมดของล็อดจ์นั้นเข้าร่วมอิลลูมินาตีได้ ตัวอย่างเช่น ที่เมืองอาเคิน (Aachen) บารอน เดอ วิทท์ (Baron de Witte) ปรมาจารย์ของล็อดจ์คอนสแตนซี (Constancy lodge) ทำให้สมาชิกทุกคนเข้าร่วมองค์กร ด้วยวิธีการนี้ องค์กรจึงขยายตัวอย่างรวดเร็วในเยอรมนีตอนกลางและใต้ และยังสามารถปักหลักในออสเตรียได้ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ. 1782 จำนวนสมาชิกจากกลุ่มนักศึกษากำมือคนในช่วงก่อตั้ง ได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 300 คน โดยมีเพียง 20 คนเท่านั้นที่เป็นนักศึกษาหน้าใหม่[19]

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในล็อดจ์ทีโอดอร์ กรุงมิวนิก ในช่วงครึ่งปีแรกของ ค.ศ. 1782 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในองค์กรที่ดูแลล็อดจ์ทีโอดอร์ เดือนกุมภาพันธ์ ไวส์เฮาฟท์ เสนอที่จะแบ่งแยก ล็อดจ์ โดยที่กลุ่มอิลลูมินาตีจะไปตามทางของตนเอง ส่วนกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ สามารถรับสมาชิกดั้งเดิมที่เหลืออยู่เข้ากับล็อดจ์ทีโอดอร์ ต่อไป อย่างไรก็ตาม กลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ ยอมจำนนอย่างไม่คาดฝัน ทำให้กลุ่มอิลลูมินาตีสามารถควบคุมทั้งล็อดจ์และกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ในเดือนมิถุนายน ทั้งล็อดจ์และกลุ่มอีเลคท์ มาสเตอร์ ต่างส่งจดหมายตัดความสัมพันธ์กับรอยัล ยอร์ค โดยอ้างถึงความซื่อสัตย์ของพวกเขาเองในการชำระค่าธรรมเนียมสำหรับการรับรอง รวมถึงความล้มเหลวของรอยัล ยอร์ค ในการให้คำแนะนำใด ๆ เกี่ยวกับระดับที่สูงขึ้น นอกจากนี้ พวกเขายังกล่าวถึงกรณีที่รอยัล ยอร์ค ละเลยคอสตันโซ ไม่ปกป้องเขาจากข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จ หรือป้องกันการถูกขับออกจากปรัสเซีย อีกทั้งรอยัล ยอร์ค ไม่ได้พยายามมอบความลับที่สัญญาไว้ให้กับคอสตันโซ สมาชิกฟรีเมสันในมิวนิก เริ่มสงสัยว่า พี่น้องของพวกเขาในเบอร์ลิน พึ่งพาระบบระดับสูงลึกลับของฝรั่งเศส ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการหลีกเลี่ยง ขณะนี้ ล็อดจ์ทีโอดอร์ เป็นอิสระแล้ว[19]

สถานะของ พิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต เจ้าชายคาร์ลแห่งเซอเดร์มันลันด์ (Prince Carl of Södermanland; ต่อมาเป็น พระเจ้าคาร์ลที่ 13 แห่งสวีเดน) ผู้เป็นผู้นำโดยตำแหน่ง ถูกสงสัยว่าพยายามผนวกรวมพิธีกรรมนี้เข้ากับ พิธีกรรมสวีเดน ซึ่งเขาควบคุมอยู่แล้ว เหล่าสมาชิกในล็อดจ์ชาวเยอรมันมองหาผู้นำคนใหม่ไปที่ ดยุคแฟร์ดีนันท์ ฟ็อน เบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล (Duke Ferdinand of Brunswick-Wolfenbüttel) ความสงสัยกลายเป็นความดูถูกอย่างเปิดเผย เมื่อปรากฏว่าเจ้าชายคาร์ลยกย่องทายาทราชบัลลังก์สจวร์ต (Stuart heir) ผู้สืบทอดราชวงศ์อังกฤษ ว่าเป็น แกรนด์มาสเตอร์ที่แท้จริง และสมาชิกในล็อดจ์แห่งพิธีกรรมการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แทบจะเพิกเฉยต่อ แกรนด์มาสเตอร์ของพวกเขา ความตึงเครียดนี้ นำไปสู่การประชุมที่วิลเฮล์มสบัด (Convent of Wilhelmsbad)[19]

การประชุมที่วิลเฮล์มสบัด

[แก้]
ปราสาทที่ 'ทรุดโทรม' สร้างโดย เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์-คาสเซล ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะวิลเฮล์มสบัด ซึ่งเป็นสถานที่จัดการประชุมครั้งสุดท้ายของพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การประชุมครั้งสุดท้ายของพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ซึ่งเดิมกำหนดจัดในวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1781 ถูกเลื่อนออกไป ในที่สุดก็เปิดการประชุมในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ. 1782 ที่เมืองวิลเฮล์มสบัด ซึ่งเป็นเมืองน้ำพุร้อน ริมนอกเมืองฮานาว (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมืองฮานาว) แม้จะอ้างว่าเป็นการประชุมเพื่อหารืออนาคตขององค์กร แต่เหล่าผู้แทนทั้ง 35 คน ต่างทราบดีว่า พิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ในรูปแบบปัจจุบัน กำลังจะล่มสลาย การประชุมที่วิลเฮล์มสบัด จึงกลายเป็นการแย่งชิงอำนาจ ระหว่างฝ่าย นักลึกลับชาวเยอรมัน นำโดย ดยุคแฟร์ดีนันท์ ฟ็อน เบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล เจ้าภาพการประชุม เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์-คาสเซล และฝ่าย มาร์ตินิสต์ นำโดย ฌอง-บาติสต์ วิลเลอร์โมซ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มระดับชั้นสายลึกลับ มีเพียง โยฮัน โยอาคิม คริสตอฟ โบเด ผู้หวาดกลัวลัทธิของมาร์ตินิสต์ แต่ข้อเสนอแนะทางเลือกของเขายังไม่ชัดเจน และ ฟรันซ์ ดีทริช ฟอน ดิตเฟิร์ธ ผู้พิพากษาจากเวทซ์ลาร์ และเป็นหัวหน้าของล็อดจ์โยเซฟแห่งหมวกสามใบ ที่นั่น ซึ่งเป็นสมาชิกขององค์กรอิลลูมินาตีอยู่แล้ว ดิตเฟิร์ธ รณรงค์อย่างเปิดเผย ให้กลับไปสู่ระดับชั้นพื้นฐาน 3 ระดับของฟรีเมสัน ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการประชุมครั้งนี้ ฝ่ายนักลึกลับเตรียมแผนการที่ชัดเจนไว้แล้ว เพื่อแทนที่ระดับชั้นที่สูงขึ้น[19]

การขาดทางเลือกที่ชัดเจน ต่อลัทธิ การเข้าฌาน แนวแบ่งสองสาย ทำให้กลุ่มอิลลูมินาตี สามารถเสนอตัวเป็นทางเลือกที่น่าเชื่อถือ ดิตเฟิร์ธ ได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจาก คนิ๊เก (Knigge) ซึ่งตอนนี้มีอำนาจเต็มในการดำเนินการแทนองค์กร กลายเป็นโฆษกให้กับกลุ่มอิลลูมินาตี แผนการเดิมของคนิ๊เก ที่จะเสนอการรวมตัวกันระหว่างสององค์กร ถูก ไวสเฮาพท์ (Weishaupt) ปฏิเสธ เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ในการรวมตัวกับองค์กรที่กำลังเสื่อมสูญ แผนการใหม่ของเขาคือ การรับสมาชิกฟรีเมสันที่ต่อต้าน ระดับชั้นสูงแบบ "เทมพลาร์" ของพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด[19]

ในระหว่างการประชุม ดิตเฟิร์ธ ขัดขวางความพยายามของวิลเลอร์โมซ (Willermoz) และเฮสส์ (Hesse) ในการนำเสนอระดับชั้น การเข้าฌาน ของพวกเขาเอง โดยยืนกรานว่ารายละเอียดทั้งหมดของระดับชั้นเหล่านั้นจะต้องเปิดเผยต่อผู้แทน ความหงุดหวังของนัก การเข้าฌาน ชาวเยอรมัน นำไปสู่การชักชวน เคานต์ คอลโลวรัต (Count Kollowrat) เข้าร่วมกลุ่มอิลลูมินาตี เพื่อหวังจะผนวกเข้าเป็นสมาชิกในภายหลัง เป้าหมายของดิตเฟิร์ธเองคือ การแทนที่ระดับชั้น การเข้าฌาน ทั้งหมดด้วย ระดับชั้นที่สี่ เพียงระดับเดียว โดยไม่มีการอ้างถึงการเปิดเผยความลับเพิ่มเติมของฟรีเมสัน เมื่อไม่ได้รับการสนับสนุนแผนการของเขา ดิตเฟิร์ธ จึงออกจากการประชุมก่อนกำหนด เขียนจดหมายไปยัง อารีโอพากอส (Areopagus) ว่าเขาไม่คาดหวังสิ่งที่ดีอะไรจากการประชุมครั้งนี้[19]

การประชุมที่วิลเฮล์มสบัด พยายามที่จะทำให้ทุกฝ่ายพอใจ แต่ประสบความสำเร็จเพียงเล็กน้อย แม้จะปฏิเสธต้นกำเนิดของอัศวินเทมพลาร์ในพิธีกรรม แต่ยังคงรักษาตำแหน่ง เครื่องแต่งกาย และโครงสร้างการบริหารจัดการแบบอัศวินเทมพลาร์ไว้ เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์และดยุคแฟร์ดีนันท์แห่งบรันสวิก ยังคงดำรงตำแหน่งผู้นำขององค์กร แต่ในทางปฏิบัติ ล็อดจ์ต่าง ๆ แทบจะเป็นอิสระ ชาวเยอรมันยังได้นำชื่อของล็อดจ์ฝรั่งเศสของวิลเลอร์โมซ (Chevaliers bienfaisants de la Cité sainte) ซึ่งมีความหมายว่า "อัศวินผู้ใจบุญแห่งนครศักดิ์สิทธิ์" มาใช้ และมีการนำลัทธิการเข้าฌาน สายมาร์ตินิสต์บางส่วนมาผนวกเข้ากับระดับชั้นที่ 1 ถึง 3 ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นระดับชั้นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของฟรีเมสัน สิ่งสำคัญคือ ล็อดจ์แต่ละแห่งขององค์กรได้รับอนุญาตให้สร้างมิตรภาพกับล็อดจ์ของระบบอื่น ๆ "ระดับสกอตแลนด์" ใหม่ที่นำเสนอพร้อมกับพิธีกรรมไลออน (Lyon) ของวิลเลอร์โมซนั้น ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่ละจังหวัดและหัวเมืองมีอิสระที่จะตัดสินใจว่าจะดำเนินการอะไรหลังจากระดับช่างฝีมือ (Craft Degrees) ทั้งสาม หรือจะไม่มีการดำเนินการใด ๆ เลย สุดท้าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าประชุมได้บรรลุผลบางอย่าง ที่ประชุมได้ออกกฎระเบียบอย่างละเอียดเกี่ยวกับมารยาท ตำแหน่ง และการกำหนดหมายเลขใหม่สำหรับจังหวัดต่าง ๆ[19]

ผลลัพธ์หลังการประชุมวิลเฮล์มสบัด

[แก้]

สิ่งที่การประชุมวิลเฮล์มสบัดบรรลุจริง ๆ คือ การล่มสลายของพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด พิธีกรรมนี้ได้ปฏิเสธตำนานต้นกำเนิดของตนเอง พร้อมกับระดับชั้นสูงที่ผูกมัดสมาชิกที่มีอิทธิพลสูงสุด การยกเลิกการควบคุมอย่างเข้มงวดที่เคยทำให้คณะสงฆ์รวมกันเป็นหนึ่งเดียว ยังทำให้ชาวเยอรมันจำนวนมากที่ไม่ไว้ใจลัทธิมาตินิสต์รู้สึกไม่พอใจ โบเด (Bode) ผู้รังเกียจลัทธิมาตินิสต์ ได้เข้าร่วมการเจรจาต่อรองกับคนิ๊เก (Knigge) ทันที และเข้าร่วมกลุ่มอิลลูมินาตีในที่สุดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1783 เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์เข้าร่วมในเดือนถัดมา[19]

ความพยายามแรกของคนิ๊เก (Knigge) ในการสร้างพันธมิตรกับล็อดจ์ใหญ่ของเยอรมันที่ยังคงอยู่ ล้มเหลว แต่ไวสเฮาพท์ (Weishaupt) ยังคงมุ่งมั่นต่อไป เขาเสนอระบบสหพันธรัฐแบบใหม่ โดยที่ล็อดจ์ทั้งหมดในเยอรมันจะปฏิบัติตามระบบเดียวกันที่ตกลงกันไว้ในระดับขั้นพื้นฐานทั้งสามของฟรีเมสัน และสามารถเลือกปฏิบัติตามระบบระดับขั้นสูงเพิ่มเติมใดก็ได้ตามต้องการ โดยขึ้นอยู่กับแต่ละล็อดจ์ ระบบนี้จะเป็นการรวมตัวกันของล็อดจ์ใหญ่ สมาชิกจะมีอิสระในการเยี่ยมชมล็อดจ์ "สีน้ำเงิน" ใด ๆ ในเขตอำนาจใดก็ได้ หัวหน้าล็อดจ์ทุกคนจะต้องได้รับการเลือกตั้ง และไม่มีการจ่ายค่าธรรมเนียมใด ๆ ให้กับองค์กรกลาง กลุ่มล็อดจ์ต่าง ๆ จะอยู่ภายใต้การควบคุมของ "คณะกรรมการสกอตแลนด์" (Scottish Directorate) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการมอบหมายของแต่ละล็อดจ์ ทำหน้าที่ตรวจสอบการเงิน ยุติข้อพิพาท และอนุมัติการจัดตั้งล็อดจ์ใหม่ คณะกรรมการชุดนี้จะได้รับเลือกจาก "คณะกรรมการประจำจังหวัด" ซึ่งจะทำหน้าที่เลือกตั้ง "ผู้ตรวจการ" และผู้ตรวจการจะทำหน้าที่เลือกตั้ง "ผู้อำนวยการระดับชาติ" ระบบนี้มุ่งหวังที่จะแก้ไขความไม่สมดุลที่เกิดขึ้นในระบบฟรีเมสันเยอรมัน ปัจจุบันอุดมการณ์ความเท่าเทียมของฟรีเมสันยังคงดำรงอยู่เฉพาะในระดับขั้นพื้นฐานทั้งสาม ("ระดับสัญลักษณ์") ระบบระดับขั้นสูงที่หลากหลายนั้นถูกควบคุมโดยชนชั้นนำ ผู้มีกำลังทรัพย์เพียงพอที่จะศึกษาวิชาการเล่นแร่แปรธาตุ (alchemy) และ รหัสยลัทธิ (mysticism) สำหรับไวสเฮาพท์ (Weishaupt) และคนิ๊เก (Knigge) ระบบสหพันธรัฐที่เสนอนี้เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่ลัทธิอิลลูมินาตีไปทั่วฟรีเมสันเยอรมัน พวกเขาตั้งใจที่จะใช้สหพันธรัฐใหม่นี้ ซึ่งเน้นที่ระดับพื้นฐาน เพื่อยกเลิกความภักดี (allegiance) ทั้งหมดต่อพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยเปิดทางให้ระบบผสมผสาน (eclectic system) ของกลุ่มอิลลูมินาตีเข้ามาแทนที่[19]

ประกาศก่อตั้งสหพันธรัฐฟรีเมสันฉบับใหม่ วิพากษ์ระบบฟรีเมสันเยอรมัน โดยระบุว่า บุคคลที่ไม่เหมาะสม แต่มีฐานะร่ำรวย มักได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกเพียงเพราะความมั่งคั่ง การทุจริตในสังคม ส่งผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของล็อดจ์ต่าง ๆ กลุ่มอิลลูมินาตี ซึ่งก่อนหน้านี้สนับสนุนการยกเลิกกฎระเบียบของระดับขั้นสูงในล็อดจ์เยอรมัน ได้ประกาศระบบระดับขั้นของตนเอง โดยอ้างว่าได้รับมาจาก "เบื้องบนผู้ไม่ประสงค์ออกนาม" ล็อดจ์ทีโอดอร์ ซึ่งเพิ่งแยกตัวเป็นอิสระจากรอยัลยอร์ค สถาปนาตนเองเป็นล็อดจ์ใหญ่ประจำจังหวัด คนิ๊เก เขียนจดหมายกล่าวหาล็อดจ์รอยัลยอร์คว่าเสื่อมโทรม โดยอ้างว่า ระบบฟรีเมสันของพวกเขาถูกเยซุอิตแทรกซึม พิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ถูกโจมตีว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ของราชวงศ์สจ๊วต ปราศจากคุณธรรมใด ๆ พิธีกรรมซินเนนดอร์ฟ ของล็อดจ์ใหญ่แห่งแผ่นดินใหญ่ของฟรีเมสันเยอรมัน ก็ถูกตั้งข้อสงสัย เนื่องจากผู้ประพันธ์พิธีกรรมนี้ มีความสัมพันธ์กับชาวสวีเดน การโจมตีตรงไปตรงมานี้ ส่งผลตรงกันข้ามกับที่ไวสเฮาพท์ หัวหน้ากลุ่มอิลลูมินาตี ตั้งใจไว้ ผู้คนจำนวนมากไม่พอใจกับเนื้อหาเหล่านี้ ล็อดจ์ใหญ่แห่งตะวันออกอันยิ่งใหญ่แห่งวอร์ซอว์ ซึ่งควบคุมฟรีเมสันในโปแลนด์และลิทัวเนีย ยินดีที่จะเข้าร่วมสหพันธรัฐ แต่เฉพาะในระดับขั้นพื้นฐานทั้งสามเท่านั้น การยืนยันในเอกราชของพวกเขา ทำให้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากพิธีกรรมแห่งการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด และขณะนี้ ก็จะทำให้พวกเขาอยู่ห่างไกลจากกลุ่มอิลลูมินาตีด้วยเช่นกัน ซึ่งแผนการผนวกฟรีเมสันเข้ากับกลุ่มอิลลูมินาตี ขึ้นอยู่กับระบบระดับขั้นสูงของพวกเขาเอง ปลายเดือนมกราคม ค.ศ. 1783 กลุ่มอิลลูมินาตีมีสมาชิกฟรีเมสัน 7 ล็อดจ์[19]

การรณรงค์ที่ซุ่มซ่าม (clumsy) ของกลุ่มอิลลูมินาตี ส่งผลให้สหพันธรัฐมีสมาชิกน้อย ประกอบกับล็อดจ์ทีโอดอร์เพิ่งก่อตั้งใหม่ ยังไม่มีชื่อเสียงและการยอมรับเทียบเท่ากับล็อดจ์เก่าแก่ ฟรีเมสันส่วนใหญ่ที่สนใจเข้าร่วมสหพันธรัฐ มองเห็นกลุ่มอิลลูมินาตีเป็นพันธมิตรต่อต้านพวก ลัทธิรหัสยลัทธิ (mysticism) และ ลัทธิมาตินิสต์ (Martinism) แต่ก็ให้ความสำคัญกับอิสรภาพของตนเองมากเกินกว่าที่จะเข้าไปอยู่ในองค์กรที่มีข้อจำกัดอีกแห่งหนึ่ง แม้แต่ ดิตเฟิร์ต (Ditfurth) ผู้แทนตามคำกล่าวอ้างของกลุ่มอิลลูมินาตีในการประชุมวิลเฮล์มสบัด ก็ยังดำเนินวาระของตนเองภายในการประชุมนั้น[19]

ล็อดจ์แฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt) ที่ไม่ได้นับถือลัทธิรหัสยลัทธิ (mysticism) ได้จัดตั้ง "พันธมิตรสายกลาง (Eclectic Alliance)" ขึ้น โดยมีโครงสร้างและเป้าหมายที่แทบจะแยกไม่ออกจากสหพันธรัฐของกลุ่มอิลลูมินาตี แทนที่จะมองเห็นเป็นภัยคุกคาม หลังจากการหารือกันบ้าง ล็อดจ์ของกลุ่มอิลลูมินาตีก็เข้าร่วมพันธมิตรใหม่นี้ ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี 3 คนได้เข้าร่วมคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายให้เขียนกฎหมายฟรีเมสันฉบับใหม่ นอกเหนือจากการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างล็อดจ์ทั้งสามของตนเองแล้ว กลุ่มอิลลูมินาตีดูเหมือนจะไม่ได้รับประโยชน์อะไรเพิ่มเติมจากการเคลื่อนไหวนี้ ดิตเฟิร์ต (Ditfurth) หลังจากพบองค์กรฟรีเมสันที่สอดคล้องกับความทะเยอทะยานของเขาที่มีต่อฟรีเมสัน ก็แทบไม่ได้สนใจกลุ่มอิลลูมินาตีอีก หลังจากที่เขายึดมั่นต่อพันธมิตรสายกลาง ความจริงแล้ว การก่อตั้งพันธมิตรสายกลางนี้ ได้บ่อนทำลายแผนการอันแยบยลทั้งหมดของกลุ่มอิลลูมินาตีในการเผยแพร่หลักคำสอนของตนเองผ่านระบบฟรีเมสัน[19]

จุดสูงสุดของกลุ่มอิลลูมินาตี

[แก้]

แม้ความหวังในการรับสมาชิกจำนวนมากผ่านระบบฟรีเมสันจะล้มเหลว แต่กลุ่มอิลลูมินาตียังคงประสบความสำเร็จในการรับสมาชิกทีละคนอย่างต่อเนื่อง ในแคว้นบาวาเรีย การขึ้นครองราชย์ของคาร์ล ทีโอดอร์ (Charles Theodore) เบื้องต้นนำไปสู่การผ่อนคลายทัศนคติและกฎหมาย แต่เหล่า เคลอจีและข้าราชบริพาร โน้มน้าวพระมหากษัตริย์ผู้มีจิตใจอ่อนแอให้ยกเลิกการปฏิรูป ส่งผลให้แคว้นบาวาเรียกลับมายึดมั่นในแนวคิดอนุรักษ์นิยม ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจต่อสถาบันกษัตริย์และศาสนจักรโดยทั่วไปในกลุ่มชนชั้นปัญญาชน ซึ่งกลายเป็นแหล่งรับสมัครสมาชิกที่สมบูรณ์แบบสำหรับกลุ่มอิลลูมินาตี ฟรีเมสันหลายคนจากล็อดจ์ปรูเดนส์ (Prudence) ซึ่งไม่พอใจกับพิธีกรรมแบบลัทธิมาตินิสต์ของเหล่าอัศวินผู้ใจบุญ (Chevaliers Bienfaisants) ได้เข้าร่วมล็อดจ์ทีโอดอร์ โดยพวกเขาตั้งมั่นอยู่ในคฤหาสน์ที่มีสวนสวย ซึ่งภายในมีห้องสมุดบรรจุวรรณกรรมแนวเสรีนิยม[20]

แม้บางกลุ่มจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่กลุ่มอิลลูมินาตียังคงขยายตัวไปทั่วเยอรมนี โดยกลุ่มที่เมืองไมนทซ์ (Mainz) มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จาก 31 คนเป็น 61 คน ปฏิกิริยาต่อนโยบายคาทอลิกของรัฐ ส่งผลให้กลุ่มอิลลูมินาตีได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในออสเตรีย นอกจากนี้ ยังสามารถปักหลักในเมืองวอร์ซอ (Warsaw) เพรสเบิร์ก (Pressburg; ปัจจุบันคือ บราติสลาวา) ทีโรล (Tyrol) มิลาน (Milan) และสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) ได้อีกด้วย[20]

จำนวนสมาชิกที่ตรวจสอบได้ ปลายปี ค.ศ. 1784 อยู่ที่ประมาณ 650 คน ในขณะที่ไวสเฮาพท์ (Weishaupt) และเฮอร์เทล (Hertel) เคยอ้างว่ามีสมาชิกถึง 2,500 คน ตัวเลขที่สูงกว่า น่าจะมาจากการรวมสมาชิกของล็อดจ์ฟรีเมสัน ซึ่งกลุ่มอิลลูมินาตีอ้างว่าสามารถควบคุมได้ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่ยังไม่ทราบชื่อสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีทั้งหมด ดังนั้น จำนวนสมาชิกที่แท้จริง น่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,300 คน[21] ความสำคัญของกลุ่มอิลลูมินาตี นั้นอยู่ที่ การสามารถดึงดูดบุคคลชั้นนำ เข้ามาเป็นสมาชิกได้สำเร็จ กลุ่มบุคคลเหล่านี้รวมไปถึง ชนชั้นปัญญาชน นักบวช นักวิชาการ แพทย์ และทนายความ รวมไปถึง บุคคลทรงอิทธิพล ที่ให้การสนับสนุนทางการเงินในภายหลัง บุคคลสำคัญที่เข้าร่วมกลุ่มอิลลูมินาตี มีตั้งแต่ คาร์ล เอากุสต์ แกรนด์ดยุกแห่งซัคเซิน-ไวมาร์-ไอเซอนาค, เออร์เนสต์ที่ 2 ดยุกแห่งซัคเซิน-โกธา-อัลเทนเบิร์ก พร้อมด้วยน้องชายและรัชทายาท ออกัสตัส, คาร์ล เทโอดอร์ ฟ็อน ดาลแบร์ค ผู้ว่าราชการเมืองแอร์ฟวร์ท, ดยุกแฟร์ดีนันท์ ฟ็อน เบราน์ชไวค์-ว็อลเฟินบึทเทิล (กล่าวถึงแล้วข้างต้น), ผู้ช่วยหลักด้านกิจการของฟรีเมสัน โยฮัน ฟรีดริช ฟ็อน ชวาร์ตซ์ และ เคานต์ เมตเทอร์นิช จากเมืองโคเบล็นทซ์ ในกรุงเวียนนา บุคคลสำคัญหลายท่านได้เข้าร่วมกลุ่มอิลลูมินาตี ได้แก่ เคานต์บริกิโด ผู้ว่าราชการแคว้นกาลิเซีย, เคานต์ ลีโอโปลด์ โคลอวรัต อัครเสนาบดีแห่งโบฮีเมีย พร้อมด้วย บารอน เครสเซล รองอัครเสนาบดี, เคานต์ ปาลฟ์ฟี ฟอน แอร์เดอด อัครเสนาบดีแห่งฮังการี, เคานต์ แบนฟฟี ผู้ว่าราชการและหัวหน้าใหญ่ลัทธิเมสันิกประจำแคว้นทรานซิลเวเนีย, เคานต์ สตาเดียล ทูตประจำกรุงลอนดอน, บารอน ฟอน สวีเทน รัฐมนตรีว่าการศึกษาธิการ[20]

แม้ว่ากลุ่มอิลลูมินาตีจะประสบความสำเร็จในการดึงดูดบุคคลชั้นนำเข้ามามากมาย แต่ก็มีบุคคลสำคัญบางท่านที่ปฏิเสธจะเข้าร่วม อย่างเช่น โยฮัน คาสปาร์ ลาวาเทอร์ กวีและนักเทววิทยาชาวสวิส เขาไม่เชื่อว่าเป้าหมายทางมนุษยธรรมและเหตุผลนิยมของกลุ่มจะบรรลุผลได้ด้วยวิธีลับ ๆ เขายังเชื่ออีกว่าแรงจูงใจในการหาสมาชิกของกลุ่มจะกลืนกินอุดมการณ์ที่ก่อตั้งไว้ในที่สุด คริสตอฟ ฟรีดริช นิโคไล นักเขียนและนักขายหนังสือชาวเบอร์ลิน เขาผิดหวังหลังจากเข้าร่วมกลุ่ม เขาพบว่าเป้าหมายของกลุ่มนั้นเลื่อนลอยและคิดว่าการใช้วิธีการของนิกายเยซุอิตเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นอันตราย เขายังคงอยู่ในกลุ่ม แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสรรหาสมาชิก[20]

ความขัดแย้งกับกลุ่มโรสิครูเซียน

[แก้]

ไวส์เฮาฟท์ (Weishaupt) ผู้ก่อตั้งกลุ่มอิลลูมินาตี พยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความลับของกลุ่มไว้จาก กลุ่มโรสิครูเซียน ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในกลุ่มฟรีเมสันเยอรมันอยู่ก่อนแล้ว แม้ว่ากลุ่มโรสิครูเซียนจะเป็น โปรเตสแตนต์ ชัดเจน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านศาสนา สนับสนุนสถาบันกษัตริย์ และมีมุมมองที่ขัดแย้งกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มอิลลูมินาตีอย่างมาก ซึ่งต้องการรัฐที่ปกครองโดยนักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์โดยยึดหลักเหตุผล นอกจากนี้ กลุ่มโรสิครูเซียนยังนิยมพิธีกรรมลึกลับที่เน้นเรื่องพลังเหนือธรรมชาติอีกด้วย เมื่อการดำรงอยู่ของกลุ่มอิลลูมินาตีเป็นที่รู้จักมากขึ้น ความขัดแย้งจึงเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ คนิ๊เก (Knigge) และผู้ช่วยคนอื่น ๆ พยายามชักชวนสมาชิกที่มีชื่อเสียงซึ่งเป็นสมาชิกกลุ่มโรสิครูเซียนหรือผู้ที่เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มโรสิครูเซียนเข้าร่วม เคานต์ โคลอวรัต (Kolowrat) เป็นสมาชิกชั้นสูงของกลุ่มโรสิครูเซียนอยู่แล้ว และ เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์-คาสเซิล (Prince Charles of Hesse-Kassel) ผู้มีแนวโน้มทางลึกลับ ก็มีความเห็นในแง่ลบต่อระบบชั้นสูงที่เน้นเหตุผลของกลุ่มอิลลูมินาตี[20]

ภายใต้การนำของ โยฮัน คริสตอฟ ฟ็อน เวิลล์เนอร์ (Johann Christoph von Wöllner) กลุ่มโรสิครูเซียนปรัสเซีย เริ่มโจมตีกลุ่มอิลลูมินาตีอย่างต่อเนื่อง [แหล่งข้อมูลต้องการ] เวิลล์เนอร์ มีห้องพิเศษที่ออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อใช้ในการโน้มน้าวผู้อุปถัมภ์ที่อาจจะให้การสนับสนุน ให้เชื่อในประสิทธิภาพของ "เวทมนตร์" แบบโรสิครูเซียน นอกจากนี้ กลุ่มของเขายังสามารถยึดครอง "ธรีโกลบ" (Three Globes) และลัทธิเมสันที่เกี่ยวข้องได้อย่างเบ็ดเสร็จ ผ่านช่องทางโฆษณาชวนเชื่อนี้ กลุ่มอิลลูมินาตีถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก ลัทธิอเทวนิยม (atheism) และมีแนวโน้มก่อการปฏิวัติ

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1783 พระเจ้าฟรีดริชมหาราช (Frederick the Great) แจ้งให้ เจ้าชายชาร์ลส์แห่งเฮสส์ (Charles of Hesse) ทราบว่า ลัทธิเมสันในเบอร์ลินมีเอกสารที่เป็นของกลุ่มมินเนอร์วาหรือกลุ่มอิลลูมินาตี ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสยดสยอง พระองค์ทรงถามว่าเจ้าชายเคยได้ยินเกี่ยวกับกลุ่มนี้หรือไม่ ตอนนี้ ชาวเมสันทั้งหมดในเบอร์ลินได้รับการเตือนเกี่ยวกับกลุ่มอิลลูมินาตี ซึ่งถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกโซซิเนียน (Socinianism) และใช้ผลงานเขียนแนวเสรีนิยมของวอลแตร์ (Voltaire) และผู้อื่น ควบคู่ไปกับแนวคิดการยอมรับความแตกต่างของลัทธิเมสัน เพื่อบ่อนทำลายศาสนาทั้งหมด ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1783 วารสารธรีโกลบ บรรยายกลุ่มอิลลูมินาตีว่าเป็นลัทธิเมสันลับที่ต้องการบ่อนทำลายศาสนาคริสต์ และเปลี่ยนลัทธิเมสันให้กลายเป็นระบบการเมือง คำแถลงการณ์โจมตีครั้งสุดท้ายของพวกเขาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1784 ปฏิเสธที่จะรับรองสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีใด ๆ ให้เป็นสมาชิกของลัทธิเมสัน[20]

ในออสเตรีย กลุ่มอิลลูมินาตี ถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ผลิตและเผยแพร่ แถลงการณ์ต่อต้านศาสนา ที่เพิ่งปรากฏขึ้นใหม่ กลุ่มโรสิครูเซียนได้ทำการ สอดแนม โยเซฟ ฟอน ซอนเนนเฟลส์ (Joseph von Sonnenfels) และผู้ต้องสงสัยว่าเป็นสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีคนอื่น ๆ นอกจากนี้ การรณรงค์โจมตีกล่าวโทษพวกเขาภายในกลุ่มฟรีเมสัน ยังส่งผลให้การสรรหาสมาชิกใหม่ของกลุ่มอิลลูมินาตีใน ทีโรล (Tyrol) ต้องหยุดชะงักลงโดยสิ้นเชิง[20]

กลุ่มอิลลูมินาตีของบาวาเรีย ซึ่งการดำรงอยู่ของกลุ่มเป็นที่รู้จักของกลุ่มโรสิครูเซียนอยู่แล้วจากสายลับ ยังถูกทรยศซ้ำอีกโดย เฟอร์ดินานด์ มาเรีย บาเดอร์ (Ferdinand Maria Baader) สมาชิกระดับสูงของกลุ่มอิลลูมินาตี ผู้หันไปเข้าร่วมกลุ่มโรสิครูเซียน หลังจากเข้าร่วมกลุ่มโรสิครูเซียนได้ไม่นาน เรื่องที่บาเดอร์เคยเป็นสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี ก็ถูกเปิดเผยต่อผู้บังคับบัญชาของเขา และเขาได้รับแจ้งว่าไม่สามารถเป็นสมาชิกของทั้งสององค์กรได้ ในจดหมายลาออก บาเดอร์อ้างว่ากลุ่มโรสิครูเซียนไม่มีความรู้ลับ และมองข้ามผู้ที่ได้รับการรู้แจ้งอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาชี้แจงไปยัง ล็อดจ์ทีโอดอร์ (Lodge Theodore) ว่าเป็นลัทธิเมสันในสังกัดของกลุ่มอิลลูมินาตี[20]

ความขัดแย้งภายใน

[แก้]

เมื่อกลุ่มอิลลูมินาตีหันมารับเอาระบบของลัทธิเมสัน และขยายอิทธิพลออกนอกแคว้นบาวาเรีย สภาเอรีโอพาไจตส์ (Areopagites) ซึ่งเป็นสภาบริหารสูงสุด ก็ถูกแทนที่ด้วย สภาผู้แทนจากภูมิภาค (Council of Provincials) ที่มีประสิทธิภาพน้อยลง อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาเอรีโอพาไจตส์เดิม ยังคงมีอิทธิพลอย่างมากภายในกลุ่ม และพวกเขาก็เริ่มกลับมาโต้แย้งกับ ไวส์เฮาฟท์ อีกครั้ง หลังจาก คนิ๊เก ลาออกจากมิวนิก ไวส์เฮาฟท์ ตอบโต้ด้วยการใส่ร้ายศัตรูที่เขามองเห็น ผ่านการเขียนจดหมายลับไปยังผู้ที่เขาคิดว่าเป็นมิตร[20]

ปัญหาที่ร้ายแรงกว่านั้นคือ ความขัดแย้งระหว่าง ไวส์เฮาฟท์ ผู้ก่อตั้งกลุ่มอิลลูมินาตี กับ คนิ๊เก ผู้ช่วยคนสำคัญ เดิมที ไวส์เฮาฟท์ มอบหมายให้คนิ๊เก เป็นผู้เขียนพิธีกรรม ซึ่งส่งผลให้คนิ๊เกมีอำนาจมาก แต่ต่อมา ไวส์เฮาฟท์ ต้องการที่จะกลับไปควบคุมอำนาจดังกล่าวคืน คนิ๊เก รู้สึกว่า บทบาทของเขาไม่ได้รับการยอมรับอย่างเพียงพอ เขาพัฒนาองค์กรจากกลุ่มต่อต้านศาสนาขนาดเล็ก กลายเป็นองค์กรขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ความต่อต้านศาสนาอย่างแข็งกร้าวของไวส์เฮาฟท์ ยังขัดแย้งกับแนวคิดลึกลับของคนิ๊เก อีกทั้ง การรับสมัครสมาชิกกลุ่มฟรีเมสันที่มีแนวโน้มทางลึกลับ ก็สร้างความระหองใจให้กับ ไวส์เฮาฟท์ และสมาชิกอาวุโสคนอื่น ๆ เช่น ดิตเฟิร์ต (Ditfurth) ความขัดแย้งทวีความรุนแรง ในประเด็นเกี่ยวกับ ระดับชั้นนักบวช (Priest) สมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีส่วนใหญ่เห็นพ้องกันว่า พิธีกรรมของระดับชั้นนี้ฟุ่มเฟือย ไร้เหตุผล และเครื่องแต่งกายก็ดูไร้สาระและสิ้นเปลือง สมาชิกบางคนปฏิเสธที่จะใช้พิธีกรรม ในขณะที่บางคนแก้ไขมันเอง ไวส์เฮาฟท์ เรียกร้องให้คนิ๊เกเขียนพิธีกรรมใหม่ คนิ๊เกโต้กลับว่า พิธีกรรมนี้ได้รับการเผยแพร่ไปแล้ว โดยมีการรับรองจากไวส์เฮาฟท์เอง ว่าเป็นพิธีกรรมโบราณ แต่คำแก้ตัวของคนิ๊เก ไม่เป็นผล ไวส์เฮาฟท์ กล่าวหาคนิ๊เกต่อสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีคนอื่น ๆ ว่า พิธีกรรมระดับนักบวชนั้นผิดเพี้ยนเพราะคนิ๊เกเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น ด้วยความไม่พอใจ คนิ๊เกขู่ว่าจะบอกทุกคนว่า เขาแต่งพิธีกรรมของกลุ่มอิลลูมินาตีขึ้นเองมากแค่ไหน ความพยายามของคนิ๊เกที่จะจัดการประชุมสภาเอรีโอพาไจตส์ (Areopagites) ไร้ผล เนื่องจากสมาชิกส่วนใหญ่ไว้วางใจเขาน้อยกว่าไวส์เฮาฟท์เสียอีก ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1784 คนิ๊เก ลาออกจากกลุ่มตามข้อตกลง ซึ่งเขาคืนเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และไวส์เฮาฟท์เผยแพร่การถอนคำกล่าวโทษทั้งหมดที่มีต่อเขา[20] การบังคับให้คนิ๊เกออก ทำให้กลุ่มอิลลูมินาตีสูญเสียสมาชิกผู้เชี่ยวชาญด้านทฤษฎี ผู้สรรหาสมาชิกใหม่ และผู้แก้ตัวคนสำคัญ[18]

เสื่อมสูญ

[แก้]

ความเสื่อมถอยครั้งสุดท้ายของกลุ่มอิลลูมินาตี เกิดจากความไม่รอบคอบของกลุ่ม มินเนอร์วา (Minervals) ในแคว้นบาวาเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองมิวนิก แม้ว่าสมาชิกระดับสูงจะพยายามควบคุมพฤติกรรมเหล่านี้ แต่การโอ้อวดอำนาจทางการเมือง และการวิจารณ์สถาบันกษัตริย์อย่างอันตราย ทำให้การดำรงอยู่ของ "กลุ่มลับ" นี้กลายเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป รวมไปถึงชื่อของสมาชิกสำคัญหลายคนด้วย

การมีสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตีอยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจ ก่อให้เกิดความไม่สบายใจในหมู่ประชาชน เนื่องจากมีสมาชิกกลุ่มนี้แทรกซึมอยู่ในหน่วยงานราชการและองค์กรปกครองหลายแห่ง แม้จะมีจำนวนน้อย แต่ก็มีข่าวลือว่า ผลของคดีความขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ของผู้ฟ้องร้องกับกลุ่มอิลลูมินาตี

กลุ่มอิลลูมินาตีถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ผลิตและเผยแพร่สื่อสิ่งพิมพ์ต่อต้านศาสนาหลายชิ้นที่ปรากฏในแคว้นบาวาเรีย คำวิจารณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากความแค้นและความริษยา แต่ก็ชัดเจนว่า เจ้าหน้าราชการศาลหลายคนที่เป็นสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี ให้การสนับสนุนพวกเดียวกันเองอย่างไม่เป็นธรรม

ในแคว้นบาวาเรีย การขับเคลื่อนของสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี 2 คนในสภาการศาสนา ส่งผลให้หนึ่งในนั้นได้รับเลือกเป็นเหรัญญิก นอกจากนี้ การต่อต้านคณะเยซุอิตของพวกเขายังส่งผลให้คณะนี้ ซึ่งถูกสั่งห้าม สูญเสียตำแหน่งสำคัญทางวิชาการและศาสนา ในเมืองอิงโกลชตัดต์ (Ingolstadt) หัวหน้าภาควิชาที่เป็นคณะเยสุอิต ถูกแทนที่ด้วยสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี[22]

ด้วยความหวาดกลัว ชาร์ลส เทโอดอร์ (Charles Theodore) และรัฐบาลของเขา ได้สั่งห้าม สมาคมลับ ทั้งหมด รวมถึงกลุ่มอิลลูมินาตีด้วย[23] คำสั่งของรัฐบาลลงวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1785 "ดูเหมือนจะเป็น หมัดเด็ด ที่ทำให้กลุ่มอิลลูมินาตีในแคว้นบาวาเรียสิ้นชื่อ" ไวส์เฮาฟท์ หนีออกนอกประเทศ เอกสารและจดหมายภายในองค์กร ซึ่งถูกยึดได้ในปี ค.ศ. 1786 และ 1787 ต่อมาถูกเผยแพร่โดยรัฐบาลในปี ค.ศ. 1787[24]

บาร์รูเอลและโรบินสัน

[แก้]

ระหว่างปี ค.ศ. 1797 ถึง 1798 หนังสือสองเล่มคือ ความทรงจำ ว่าด้วยประวัติศาสตร์ของลัทธิแจกเคอไบทิซึม (Memoirs Illustrating the History of Jacobinism) โดย ออกุสแต็ง บาร์รูเอล (Augustin Barruel) และ หลักฐานแห่งการสมคบคิด (Proofs of a Conspiracy) โดย จอห์น โรบินสัน (John Robison) ได้เผยแพร่ทฤษฎีที่ว่ากลุ่มอิลลูมินาตียังคงอยู่รอดและเป็นองค์กรก่อการร้ายระหว่างประเทศ พวกเขายังอ้างว่ากลุ่มนี้อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสด้วย หนังสือทั้งสองเล่มได้รับความนิยมอย่างมาก มีการพิมพ์ซ้ำและตีความใหม่โดยผู้อื่นมากมาย[25] ตัวอย่างเด่นชัดคือหนังสือ หลักฐานแห่งความจริงอยู่ และแนวโน้มอันตรายของลัทธิส่องสว่าง (Proofs of the Real Existence, and Dangerous Tendency, Of Illuminism) โดยศาสนาจารย์เซธ เพย์สัน (Reverend Seth Payson) ที่เผยแพร่ในปี ค.ศ. 1802[26] อย่างไรก็ตาม มีเสียงตอบโต้บางส่วนที่วิพากษ์ทฤษฎีนี้ ตัวอย่างเช่น หนังสือ อิทธิพลที่ผู้คนมอบให้กับนักปรัชญา ฟรีเมสัน และกลุ่มอิลลูมินาตี ต่อการปฏิวัติฝรั่งเศส (On the Influence Attributed to Philosophers, Free-Masons, and to the Illuminati on the Revolution of France) โดย ฌ็อง-โจเซฟ มูนิเอ (Jean-Joseph Mounier)[27][28]

ผลงานของโรบินสันและบาร์รูเอล เดินทางไปถึงสหรัฐอเมริกาและแพร่หลายไปทั่ว นิวอิงแลนด์ ศาสนาจารย์ เจดิดายาห์ มอร์ส (Jedidiah Morse) บาทหลวงนิกายลัทธิคองกรีเกชันนัลลิสม์ (Congregational) ผู้เคร่งศาสนาและนักภูมิศาสตร์ เป็นหนึ่งในผู้เทศนาต่อต้านกลุ่มอิลลูมินาตี อันที่จริง บทเทศนาในวันถือศีลอด (Fast Day sermon) ของมอร์ส เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1798 ถือเป็นหนึ่งในบันทึกแรก ๆ เกี่ยวกับกลุ่มอิลลูมินาตีที่ถูกพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา มอร์สได้รับแจ้ง เกี่ยวกับการตีพิมพ์หนังสือ หลักฐานแห่งการสมคบคิด (Proofs of a Conspiracy) ของโรบินสันในยุโรป ผ่านทางจดหมายจากศาสนาจารย์ จอห์น เออร์สคิน (John Erskine) แห่งเอดินบะระ และเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในช่วงเวลาไม่นาน หลังจากสำเนาหนังสือที่ตีพิมพ์ในยุโรป เดินทางมาถึงอเมริกาโดยเรือในเดือนมีนาคมของปีนั้นเอง นักเขียนต่อต้านกลุ่มอิลลูมินาตีคนอื่น ๆ เช่น ทิโมธี ดไวท์ (Timothy Dwight) ก็ออกมาประณามกลุ่มผู้สมคบคิดในจินตนาการนี้ในเวลาต่อมา[29]

หลังจากบทเทศนาที่ถูกพิมพ์ บทความในหนังสือพิมพ์ก็ตามมา และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมทางการเมืองระหว่างพรรค ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี ค.ศ. 1800[30] ความตื่นกลัวที่เกิดขึ้นนี้ยังส่งผลต่อการพัฒนาของวรรณกรรมสยองขวัญ (gothic literature) ในสหรัฐอเมริกาด้วย นวนิยายอย่างน้อยสองเรื่องในยุคนั้น อ้างอิงถึงความหวาดกลัวนี้ ได้แก่ ออร์มอนด์; หรือ พยานลับ (Ormond; or, The Secret Witness) (1799) และ จูเลีย กับ บารอนแห่งกลุ่มส่องสว่าง (Julia, and the Illuminated Baron) (1800)[31] นอกจากนี้ นักวิชาการบางคนยังเชื่อมโยงความหวาดกลัวต่อการสมคบคิดของกลุ่มอิลลูมินาตี เข้ากับความกังวลเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐานจากแถบแคริบเบียน และการก่อกบฏของทาส[29] ความกังวลนี้เริ่มลดลง ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 19 แม้ว่ามันจะกลับมาปรากฏอีกครั้งเป็นระยะ ๆ ในช่วงของขบวนการต่อต้านฟรีเมสัน (Anti-Masonic movement) ในยุค 1820 และ 1830[1]

กลุ่มอิลลูมินาตี ยุคใหม่

[แก้]

หลายองค์กรภราดาร่วมสาบานต์ (fraternal orders) ในยุคปัจจุบัน อ้างว่าสืบทอดสายสัมพันธ์มาจากกลุ่มอิลลูมินาตีดั้งเดิมของบาวาเรีย โดยเปิดเผยการใช้ชื่อ "อิลลูมินาตี" อย่างชัดเจน บางกลุ่มใช้ชื่อที่ดัดแปลงมาจากชื่อเดิม เช่น "The Illuminati Order" เป็นชื่อองค์กรของพวกเขา[32] ขณะที่บางกลุ่ม เช่น Ordo Templi Orientis มีตำแหน่ง "เอป็อปต์ (Epopt)" หรือ "สมเด็จพระสันตะปาปาผู้สมบูรณ์แห่งอิลลูมินาตี (Perfect Pontiff of the Illuminati)" เป็นลำดับชั้นหนึ่งภายในโครงสร้างขององค์กร อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่ยืนยันความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มยุคใหม่เหล่านี้กับกลุ่มอิลลูมินาตีในประวัติศาสตร์ พวกเขาไม่ได้สะสมอำนาจทางการเมืองหรืออิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ และส่วนใหญ่ไม่ได้พยายามปกปิดตัวตน แต่กลับโปรโมทความเชื่อมโยงที่ไร้หลักฐานกับกลุ่มอิลลูมินาตีของบาวาเรีย เพื่อเป็นวิธีดึงดูดสมาชิกใหม่เข้าสู่กลุ่ม[23]

มรดกของกลุ่ม

[แก้]
ดวงตาสัพพัญญู (Eye of Providence) ที่ปรากฏอยู่บนธนบัตรดอลลาร์สหรัฐฯ ใบละ 1 ดอลลาร์  กลายเป็นแหล่งที่มาของทฤษฎีสมคบคิดอันแพร่หลาย  บางคนเชื่อ ว่ามันเป็น สัญลักษณ์ ที่เชื่อมโยง บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ เข้ากับกลุ่มอิลลูมินาตี[33]: 47–49 

กลุ่มอิลลูมินาตี ไม่สามารถอยู่รอด จากการถูกปราบปรามในแคว้นบาวาเรีย การกระทำผิดและแผนการสมคบคิดเพิ่มเติมของพวกเขา ตามที่ปรากฏในงานเขียนของบาร์รูเอลและโรบินสัน จึงต้องพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่ผู้เขียนแต่งขึ้น[1] ถึงกระนั้น กลุ่มอิลลูมินาตียังคง ถูกหยิบยกมาเป็นส่วนหนึ่งของทฤษฎีสมคบคิด มากมายในยุคใหม่ โดยอาศัยพื้นฐานความเชื่อที่ว่าพวกเขายังคงดำรงอยู่ แม้ประวัติศาสตร์ชี้ว่ากลุ่มอิลลูมินาตีถูกยุบ ไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 18

นักทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theorists) และนักเขียนบางคน เช่น มาร์ค ไดซ์ (Mark Dice) ยังคงยืนยันว่ากลุ่มนี้ยังคงดำรงอยู่มาจนถึงทุกวันนี้[34]

ทฤษฎีสมคบคิด มากมายเสนอว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกถูกควบคุมและชักใยโดย สมาคมลับ (secret society) ที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มอิลลูมินาตี[35] นักทฤษฎีสมคบคิดกล่าวอ้างว่า บุคคลสำคัญหลายคนเป็นหรือเคยเป็นสมาชิกกลุ่มอิลลูมินาตี โดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ มักตกเป็นเป้าหมายของการกล่าวอ้างเหล่านี้บ่อยครั้ง[36][37] นักทฤษฎีบางคนยังเชื่อว่า เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์หลายอย่าง ตั้งแต่การปฏิวัติฝรั่งเศส ยุทธการวอเตอร์ลู การลอบสังหารประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ไปจนถึงแผนการลับของคอมมิวนิสต์ที่จะเร่งสร้าง ระเบียบโลกใหม่ (New World Order) ด้วยการแทรกซึมเข้าไปในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฮอลีวู้ด ล้วนเป็นฝีมือการวางแผนของกลุ่มอิลลูมินาตี


โน้ต

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 ล็อดจ์ ยังไม่มีคำจำกัดความตรงตัวในภาษาไทย ปกติจะแปลว่า โรงแรม (ซึ่งมีคำภาษาอังกฤษ 'hotel' รองรับอยู่แล้ว) โรงแรมพำนักรับรอง กระท่อม บ้านเล็ก ๆ หรือแม้แต่คำว่า พำนัก ที่เป็นคำกริยาก็ไม่สื่อความหมายความเป็น สมาคม มากนัก แต่ในบริบทนี้หมายถึง สมาคม หรือ กลุ่มองค์กรลับ นอกจากนี้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและอ่านผิดเป็นภาษาไทยว่า "ลอด" จึงเติม "ไม้ไต่คู้" (- ็) ตามหลักการวิกิพีเดีย:คู่มือการเขียน/การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 Vernon Stauffer, New England and the Bavarian Illuminati, Columbia University Press, 1918, Chapter 3 The European Illuminati, Grand Lodge of British Columbia and Yukon, accessed 14 November 2015
  2. Weishaupt, Adam (1790). Pythagoras oder Betrachtungen über die geheime Welt- und Regierungskunst. Frankfurt and Leipzig. p. 670.
  3. René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, pp. 453, 468–469, 507–508, 614–615
  4. Introvigne, Massimo (2005). "Angels & Demons from the Book to the Movie FAQ – Do the Illuminati Really Exist?". Center for Studies on New Religions. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 28 มกราคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2011.
  5. Schüttler, Hermann (1991). Die Mitglieder des Illuminatenordens, 1776–1787/93. Munich: Ars Una. pp. 48–49, 62–63, 71, 82. ISBN 978-3-89391-018-2.
  6. Weishaupt, Adam (1790). Pythagoras oder Betrachtungen über die geheime Welt- und Regierungskunst. Frankfurt and Leipzig: Frankfurt; Leipzig. p. 670.
  7. René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 1, Chapter 1, pp. 15–29
  8. Manfred Agethen, Geheimbund und Utopie. Illuminaten, Freimaurer und deutsche Spätaufklärung, Oldenbourg, Munich, 1987, p. 150.
  9. The following dynamic FactGrid query give a picture of the selection of "Ordensnamen" borrowed usually from history Timeline of names used by Illuminati
  10. 10.0 10.1 10.2 René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 1, Chapter 2, pp. 30–45
  11. Terry Melanson, Perfectibilists: The 18th Century Bavarian Order of the Illuminati, Trine Day, 2009, pp. 361, 364, 428
  12. Ed Josef Wäges and Reinhard Markner, tr Jeva Singh-Anand, The Secret School of Wisdom, Lewis Masonic 2015, pp. 15–16
  13. Ellic Howe, Illuminati, Man, Myth and Magic (partwork), Purnell, 1970, vol 4, pp. 1402–04
  14. René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 1, Chapter 3, pp. 45–72.
  15. 15.0 15.1 15.2 René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 3 Chapter 1, pp. 193–201
  16. 16.0 16.1 16.2 René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 3 Chapter 2, pp. 202–26
  17. 17.0 17.1 17.2 17.3 17.4 17.5 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่ถูกต้อง ไม่มีการกำหนดข้อความสำหรับอ้างอิงชื่อ RLF3.3
  18. 18.0 18.1 K. M. Hataley, In Search of the Illuminati, Journal of the Western Mystery Tradition, No. 23, Vol. 3. Autumnal Equinox 2012
  19. 19.00 19.01 19.02 19.03 19.04 19.05 19.06 19.07 19.08 19.09 19.10 19.11 René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 4 Chapter 1, pp. 343–88
  20. 20.00 20.01 20.02 20.03 20.04 20.05 20.06 20.07 20.08 20.09 René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 4 Chapter 2, pp. 389–429
  21. ดูรายการFactGrid แบบไดนามิกสำหรับการอ้างอิงแต่ละรายการและการระบุแหล่งที่มาในแต่ละกรณี [1]
  22. René le Forestier, Les Illuminés de Bavière et la franc-maçonnerie allemande, Paris, 1914, Book 4 Chapter 3, pp. 430–96
  23. 23.0 23.1 McKeown, Trevor W. (16 กุมภาพันธ์ 2009). "A Bavarian Illuminati Primer". Grand Lodge of British Columbia and Yukon A.F. & A.M. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 1 มกราคม 2011. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2011.
  24. Roberts, J.M. (1974). The Mythology of Secret Societies. NY: Charles Scribner's Sons. pp. 128–29. ISBN 978-0-684-12904-4.
  25. Simpson, David (1993). Romanticism, Nationalism, and the Revolt Against Theory. University of Chicago Press. p. 88. ISBN 978-0-226-75945-6..
  26. Payson, Seth (1802). Proofs of the Real Existence, and Dangerous Tendency, Of Illuminism. Charlestown: Samuel Etheridge. สืบค้นเมื่อ 27 January 2011.
  27. Tise, Larry (1998). The American Counterrevolution: A Retreat from Liberty, 1783–1800. Stackpole Books. pp. 351–53. ISBN 978-0-8117-0100-6.
  28. Jefferson, Thomas (17 November 1802). "'There has been a book written lately by DuMousnier ...'" (PDF). จดหมายถึงNicolas Gouin Dufief. สืบค้นเมื่อ 26 October 2013.
  29. 29.0 29.1 Fraser, Gordon (November 2018). "Conspiracy, Pornography, Democracy: The Recurrent Aesthetics of the American Illuminati". Journal of American Studies. 54 (2): 273–294. doi:10.1017/S0021875818001408. S2CID 150279924 – โดยทาง Cambridge Core.
  30. Stauffer, Vernon (1918). "New England and the Bavarian Illuminati." PhD diss., Columbia Univ., pp. 282–283, 304–305, 307, 317, 321, 345–360. Retrieved July 14, 2019
  31. Wood, Sally Sayward Barrell Keating (1800). Julia, and the illuminated baron: a novel: founded on recent facts, which have transpired in the course of the late revolution of moral principles in France (ภาษาอังกฤษ). Portsmouth, New-Hampshire: Printed at the United States' Oracle Press, by Charles Peirce, (proprietor of the work.). OCLC 55824226.
  32. Weishaupt, Adam. The Illuminati Series. Hyperreality Books, 2011. 6 vols.
  33. Issitt, Micah; Main, Carlyn (2014). Hidden Religion: The Greatest Mysteries and Symbols of the World's Religious Beliefs. ABC-CLIO. ISBN 978-1-61069-478-0.
  34. Sykes, Leslie (17 พฤษภาคม 2009). "Angels & Demons Causing Serious Controversy". KFSN-TV/ABC News. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 4 มิถุนายน 2011. สืบค้นเมื่อ 27 มกราคม 2011.
  35. Barkun, Michael (2003). A Culture of Conspiracy: Apocalyptic Visions in Contemporary America. Comparative Studies in Religion and Society. Berkeley: University of California Press. ISBN 978-0-520-23805-3.
  36. Howard, Robert (28 กันยายน 2001). "United States Presidents and The Illuminati / Masonic Power Structure". Hard Truth/Wake Up America. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 13 มกราคม 2011. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2011.
  37. "The Barack Obama Illuminati Connection". The Best of Rush Limbaugh Featured Sites. 1 สิงหาคม 2009. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2011. สืบค้นเมื่อ 28 มกราคม 2011.

Works cited

[แก้]

อ่านเพิ่ม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]