ผลต่างระหว่างรุ่นของ "จุลศักราช"
บรรทัด 245: | บรรทัด 245: | ||
|} |
|} |
||
ในอดีต การเรียกชื่อศกตามท้ายเลขปีจุลศักราชของไทยและกัมพูชานั้นจะต้องใช้คู่กับชื่อปีนักษัตรเสมอ ส่วนล้านนาและล้านช้างก็เรียกชื่อปีด้วยแม่มื้อและลูกมื้อในทำนองเดียวกัน ต่างกันที่ระบบของไทย |
ในอดีต การเรียกชื่อศกตามท้ายเลขปีจุลศักราชของไทยและกัมพูชานั้นจะต้องใช้คู่กับชื่อปีนักษัตรเสมอ ส่วนล้านนาและล้านช้างก็เรียกชื่อปีด้วยแม่มื้อและลูกมื้อในทำนองเดียวกัน ต่างกันที่ระบบของไทยและกัมพูชาจะเอาชื่อปีนักษัตรขึ้นก่อนเลขศก ส่วนระบบของล้านนาล้านช้างจะเอาแม่มื้อ (เลขศก) ขึ้นก่อนลูกมื้อ (ปีนักษัตร) เช่น ปี ค.ศ. 2019 ตามปฏิทินไทยและกัมพูชาตรงกับ '''"ปีกุนเอกศก จุลศักราช 1381"''' เทียบกับระบบแม่มื้อลูกมื้อของล้านนา/ล้านช้าง ตรงกับ '''"ปีกาไค้ จุลศักราช 1381"''' เป็นต้น ระบบดังกล่าวนี้ยังคงมีการใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นในประเทศกัมพูชา ที่แม้จะยังคงการบอกเลขท้ายจุลศักราชไว้ แต่เมื่อบอกเลขปีศักราช กลับเลือกใช้พุทธศักราชแทน เช่น "ปีกุนเอกศก จุลศักราช 1381" ในปฏิทินกัมพูชาจะใช้ว่า '''"ปีกุนเอกศก พุทธศักราช 2563"''' เป็นต้น (ระบบการนับพุทธศักราชของกัมพูชาเร็วกว่าที่ไทยใช้อยู่ 1 ปี) |
||
<!-- |
<!-- |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 22:36, 16 กันยายน 2562
บทความนี้ไม่มีการอ้างอิงจากแหล่งที่มาใด |
จุลศักราช (จ.ศ.; บาลี: Culāsakaraj; พม่า: ကောဇာသက္ကရာဇ်; เขมร: ចុល្លសករាជ) เป็นศักราชที่เริ่มเมื่อ พ.ศ. 1181 (ค.ศ. 638) นับรอบปีตั้งแต่ 16 เมษายน ถึง 15 เมษายน เดิมเข้าใจกันว่าเป็นศักราชของพม่า ปรากฏอยู่ตามตำราโหราศาสตร์ แต่ทว่าปีที่ตั้งจุลศักราชนั้นเป็นเวลาก่อนปีที่พระเจ้าอโนรธามังช่อจะประสูติ สันนิษฐานว่าน่าจะตั้งขึ้นในปีที่กษัตริย์ปยูขึ้นครองราชย์ และใช้สืบต่อมาจนถึงอาณาจักรพุกาม[1] เมื่อสมัยอาณาจักรอโยธยารับศักราชนี้ไปใช้ เลยเกิดความเชื่อกันว่าเป็นศักราชของชาวพม่า จุลศักราชถูกนำมาใช้แพร่หลายทั้งในอาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัยสมัยหลัง และอาณาจักรอยุธยา ในสมัยของพระเจ้าปราสาททอง ทรงตัดปีจุลศักราช และใช้ปีศักราชจุฬามณีแทน เป็นผลทำให้ปีนักษัตรคลาดเคลื่อนไปสามปี ต่อมาจึงได้เปลี่ยนกลับไปใช้ปีจุลศักราชตามเดิม และตกทอดมาถึงปัจจุบัน การคำนวณปี พ.ศ. จาก จ.ศ. ปฏิทินไทยให้ใช้ปี จ.ศ. บวก 1181 ก็จะได้ปี พ.ศ. (เว้นแต่ในช่วงต้นปีตามปฏิทินสุริยคติที่ยังไม่เถลิงศกจุลศักราชใหม่)
ในเอกสารโบราณของไทยจำนวนไม่น้อย นิยมอ้างเวลา โดยใช้จุลศักราช โดยใช้ควบคู่กับปีนักษัตร หรือ ระบุเฉพาะเลขตัวท้ายของจุลศักราช และปีนักษัตร ทำให้สามารถระบุปี ได้ในช่วงกว้างถึงรอบละ 60 ปี (มาจาก ครน. ของรอบ 10 ปีจากเลขท้ายของจุลศักราช และรอบ 12 ปีของปีนักกษัตร)
รากศัพท์
คำว่าจุลศักราชเป็นคำในภาษาไทยที่ยืมมาจากภาษาบาลี-สันสกฤต ประกอบด้วยคำว่า "จุล" ในภาษาบาลี แปลว่า เล็ก, น้อย และคำว่า "ศก" และ "ราช" ในภาษาสันสกฤต อันมีความหมายโดยพยัญชนะว่า "ราชาแห่งอาณาจักรศกะ" (ในที่นี้หมายถึงอาณาจักรที่เรียกชื่อว่า Scythians ในภาษาอังกฤษ) คำว่าศักราชได้เปลี่ยนมาใช้ในความหมายว่า "ปี" หรือ "ยุค" ในบรรดาประเทศต่างๆ ที่ยอมรับวัฒนธรรมอินเดียในภูมิภาคอินโดจีน ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย[2]
ในประเทศไทยนั้น มีการใช้จุลศักราชเป็นคู่ตรงข้ามกับ "ศาลิวาหนะศักราช" (แปลว่า ศักราชของพระเจ้าศาลิวาหนะแห่งอาณาจักรศกะ) ซึ่งเป็นที่รู้จักทั่วไปในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในชื่อ มหาศักราช (พม่า: မဟာ သက္ကရာဇ်, [məhà θɛʔkəɹɪʔ]) อันมีความหมายว่า "ศักราชใหญ่"
ความแตกต่าง
การกำหนดชื่อเรียกเฉพาะ
การลำดับเลขเดือน
ชื่อเดือนภาษาสันสกฤต | ชื่อเดือนภาษาบาลี | เขมร, ล้านช้าง, สุโขทัย | เชียงตุง, สิบสองปันนา | เชียงใหม่ |
---|---|---|---|---|
ไจตฺรมาส | จิตฺตมาส | 5 | 6 | 7 |
ไวศาขมาส | วิสาขมาส | 6 | 7 | 8 |
เชฺยษฺฐมาส | เชฏฺฐมาส | 7 | 8 | 9 |
อาษาฒมาส | อาสาฬฺหมาส | 8 | 9 | 10 |
ศฺราวณมาส | สาวนมาส | 9 | 10 | 11 |
ภาทฺรปทมาส, โปฺรษฐปทมาส |
ภทฺทปทมาส, โปฏฺฐปมาส |
10 | 11 | 12 |
อาศฺวินมาส, อศฺวยุชมาส |
อสฺสยุชมาส | 11 | 12 | 1 |
การฺตฺติกมาส | กตฺติกมาส | 12 | 1 | 2 |
มารฺคศีรฺษมาส | มิคสิรมาส | 1 | 2 | 3 |
เปาษมาส | ปุสฺสมาส | 2 | 3 | 4 |
มาฆมาส, ปูสมาส |
มาฆมาส, ผุสฺสมาส |
3 | 4 | 5 |
ผาลฺคุนมาส | ผคฺคุณมาส | 4 | 5 | 6 |
หมายเหตุ: ระบบลำดับเลขเดือนของสุโขทัยและล้านช้าง รวมถึงระบบลำดับเลขเดือนของพม่าที่เลิกใช้ไปแล้ว มีการลำดับเลขเดือนตรงกัน[3]
ชื่อปีนักษัตร
ระบบของไทยและกัมพูชาจะมีการกำหนดชื่อปีในทุกรอบ 12 ปี ด้วยชื่อสัตว์ต่างๆ[4] ในประเทศพม่าก็มีการกำหนดชื่อปีลักษณะดังกล่าวเช่นกัน[5] แต่ได้สาบสูญไปตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1638 (ตามปฏิทินไทยคือ พ.ศ. 2080 ย่างเข้า พ.ศ. 2181) พระเจ้าตาลูนแห่งกรุงอังวะ ได้ทรงปฏิเสธที่จะใช้ปฏิทินจุลศักราชที่พระเจ้าปราสาททองแห่งกรุงศรีอยุธยาได้ทรงกำหนดขึ้นใช้ใหม่ ซึ่งมีการกำหนดชื่อปีนักษัตรในแต่ละปี เนื่องจากการกำหนดชื่อปีนักษัตรด้วยชื่อสัตว์ดังกล่าวไม่ได้มีการใช้ในระบบปฏิทินพม่าแล้ว[6]
ในอาณาจักรล้านนาและล้านช้างก็ปรากฏว่ามีการกำหนดชื่อปีนักษัตรทั้ง 12 ปี เช่นกัน เรียกว่า ลูกมื้อ [7] แต่มีการเรียกชื่อแตกต่างจากภาษาไทย (ซึ่งมีชื่อปีตรงกับภาษาเขมรมากกว่า) และกำหนดชนิดสัตว์ประจำปีต่างกันเล็กน้อย[6]
ปีที่ | สัตว์ประจำปี | ชื่อภาษาไทย | ชื่อภาษาเขมร | ลูกมื้อ (ล้านนา/ล้านช้าง) |
---|---|---|---|---|
1 | หนู | ชวด | ជូត (ชวด) | ไจ้ |
2 | วัว | ฉลู | ឆ្លូវ (ฉลูว) | เป้า |
3 | เสือ | ขาล | ខាល (ขาล) | ยี |
4 | กระต่าย | เถาะ | ថោះ (เถาะ) | เหม้า |
5 | นาค/มังกร | มะโรง | រោង (โรง) | สี |
6 | งูเล็ก | มะเส็ง | ម្សាញ់ (มสัญ) | ไส้ |
7 | ม้า | มะเมีย | មមី (มมี) | สะง้า |
8 | แพะ | มะแม | មមែ (มแม) | เม็ด |
9 | ลิง | วอก | វក (วอก) | สัน |
10 | ไก่ | ระกา | រកា (รกา) | เร้า |
11 | สุนัข | จอ | ច (จอ) | เส็ด |
12 | หมู (ไทย/เขมร) ช้าง (ล้านนา/ล้านช้าง) |
กุน | កុរ (กุร) | ไค้ |
การเรียกศกตามเลขท้ายปี
ในระบบปฏิทินแบบจุลศักราชของไทย กัมพูชา จะมีการเรียกชื่อศกตามเลขท้ายปีจุลศักราชโดยใช้ชื่อเรียกอย่างเดียวกัน ส่วนในล้านนาและล้านช้างก็มีระบบที่คล้ายคลึงกัน คือระบบ "แม่มื้อ" ใช้กำหนดเรียกชื่อศกในทุกรอบ 10 ปี ดังนี้
เลขศักราชที่ลงท้าย | ภาษาไทย | ภาษาเขมร | แม่มื้อ (ล้านนา/ล้านช้าง) |
---|---|---|---|
1 | เอกศก | ឯកស័ក | ปีกาบ |
2 | โทศก | ទោស័ក | ปีดับ |
3 | ตรีศก | ត្រីស័ក | ปีรวาย |
4 | จัตวาศก | ចត្វាស័ក | ปีเมิง |
5 | เบญจศก | បញ្ចស័ក | ปีเปิก |
6 | ฉศก (/ฉอ-ศก/) | ឆស័ក | ปีกัด |
7 | สัปตศก | សប្តស័ក | ปีกด |
8 | อัฐศก | អដ្ឋស័ក | ปีรวง |
9 | นพศก | នព្វស័ក | ปีเต่า |
0 | สัมฤทธิศก | សំរឹទ្ធិស័ក | ปีกา |
ในอดีต การเรียกชื่อศกตามท้ายเลขปีจุลศักราชของไทยและกัมพูชานั้นจะต้องใช้คู่กับชื่อปีนักษัตรเสมอ ส่วนล้านนาและล้านช้างก็เรียกชื่อปีด้วยแม่มื้อและลูกมื้อในทำนองเดียวกัน ต่างกันที่ระบบของไทยและกัมพูชาจะเอาชื่อปีนักษัตรขึ้นก่อนเลขศก ส่วนระบบของล้านนาล้านช้างจะเอาแม่มื้อ (เลขศก) ขึ้นก่อนลูกมื้อ (ปีนักษัตร) เช่น ปี ค.ศ. 2019 ตามปฏิทินไทยและกัมพูชาตรงกับ "ปีกุนเอกศก จุลศักราช 1381" เทียบกับระบบแม่มื้อลูกมื้อของล้านนา/ล้านช้าง ตรงกับ "ปีกาไค้ จุลศักราช 1381" เป็นต้น ระบบดังกล่าวนี้ยังคงมีการใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน ยกเว้นในประเทศกัมพูชา ที่แม้จะยังคงการบอกเลขท้ายจุลศักราชไว้ แต่เมื่อบอกเลขปีศักราช กลับเลือกใช้พุทธศักราชแทน เช่น "ปีกุนเอกศก จุลศักราช 1381" ในปฏิทินกัมพูชาจะใช้ว่า "ปีกุนเอกศก พุทธศักราช 2563" เป็นต้น (ระบบการนับพุทธศักราชของกัมพูชาเร็วกว่าที่ไทยใช้อยู่ 1 ปี)
เชิงอรรถ
- ↑ Aung-Thwin 2005: 35
- ↑ Busyakul 2004: 473.
- ↑ Eade 1995: 28–29
- ↑ Eade 1995: 22
- ↑ Luce 1970: 330
- ↑ 6.0 6.1 Rong 1986: 70 อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ
<ref>
ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "rs-70" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน - ↑ http://www.lanna108.com/article/47/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9B%E0%B8%B5%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2
หนังสืออ้างอิง
- Aung-Thwin, Michael (2005). The mists of Rāmañña: The Legend that was Lower Burma (illustrated ed.). Honolulu: University of Hawai'i Press. ISBN 9780824828868.
- Busyakul, Visudh (2004). "Calendar and Era in use in Thailand" (PDF). Journal of the Royal Institute of Thailand (ภาษาThai). Bangkok: Royal Institute of Thailand. 29 (2, April–June): 468–78. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (pdf)เมื่อ 2014-01-16. สืบค้นเมื่อ 2015-02-05.
{{cite journal}}
: ไม่รู้จักพารามิเตอร์|deadurl=
ถูกละเว้น แนะนำ (|url-status=
) (help)CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - Eade, J.C. (1989). Southeast Asian Ephemeris: Solar and Planetary Positions, A.D. 638–2000. Ithaca: Cornell University. ISBN 0-87727-704-4.
- Eade, J.C. (1995). The Calendrical Systems of Mainland South-East Asia (illustrated ed.). Brill. ISBN 9789004104372.
- Irwin, Sir Alfred Macdonald Bulteel (1909). The Burmese and Arakanese calendars. Rangoon: Hanthawaddy Printing Works.
- Luce, G.H. (1970). Old Burma: Early Pagan. Vol. 2. Locust Valley, NY: Artibus Asiae and New York University.
- Ohashi, Yukio (2001). Alan K. L. Chan; Gregory K. Clancey; Hui-Chieh Loy (บ.ก.). Historical Perspectives on East Asian Science, Technology, and Medicine (illustrated ed.). World Scientifi. ISBN 9789971692599.
- Oriental Institute; East India Association (1900). The Imperial and Asiatic Quarterly Review and Oriental and Colonial Record. London and Working, England: Oriental Institute.
- Smith, Ronald Bishop (1966). Siam; Or, the History of the Thais: From 1569 A.D. to 1824 A.D. Vol. 2. Decatur Press.
- Rong, Syamananda (1986). A History of Thailand (5 ed.). Chulalongkorn University.
- ยุทธพร นาคสุข, ศักราชและความเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องมหาศักราชและจุลศักราชในพื้นเมืองเชียงใหม่[ระบุข้อมูลทางบรรณานุกรมไม่ครบ]
- วันวาร กาลเวลา แลนานาศักราช, กรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ, พ.ศ. 2546, หน้า 67-69