ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ลุยส์ ซัวเรซ"
The kop GT (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัด 43: | บรรทัด 43: | ||
ที่เมือง[[ซัลโต]] [[ประเทศอุรุกวัย]] เป็น[[นักฟุตบอล]]ชาว[[อุรุกวัย]] ปัจจุบันเล่นให้กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]] ตำแหน่ง[[กองหน้า]] |
ที่เมือง[[ซัลโต]] [[ประเทศอุรุกวัย]] เป็น[[นักฟุตบอล]]ชาว[[อุรุกวัย]] ปัจจุบันเล่นให้กับ[[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]] ตำแหน่ง[[กองหน้า]] |
||
ซัวเรซ เกิด ณ เมือง[[ซัลโต]] ประเทศ[[อุรุกวัย]] ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง [[มอนเตวิเดโอ]] ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็น[[นักฟุตบอลอาชีพ]]กับสโมสร[[นาซีอองนัล]] ของเมือง[[มอนเตวิเดโอ]] สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ [[สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน]] [[ประเทศเนเธอร์แลนด์]] ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง [[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของ[[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีก[[เนเธอร์แลนด์]] ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้[[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ [[โยฮัน ครัฟฟ์]], [[มาร์โก แวน บาสเทน]] และ[[เดนนิส เบิร์กแคมป์]] แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี [[ออสมาน แบคคาล]] และถูกแบน 7 นัด<ref>http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/europe/9225097.stm เว็บไซต์ BBC</ref> ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม [[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]]จาก[[ประเทศอังกฤษ]]ได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ |
ซัวเรซ เกิด ณ เมือง[[ซัลโต]] ประเทศ[[อุรุกวัย]] ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง [[มอนเตวิเดโอ]] ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็น[[นักฟุตบอลอาชีพ]]กับสโมสร[[นาซีอองนัล]] ของเมือง[[มอนเตวิเดโอ]] สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ [[สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน]] [[ประเทศเนเธอร์แลนด์]] ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง [[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของ[[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีก[[เนเธอร์แลนด์]] ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้[[เอเอฟซีอาแจ็กซ์|สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม]] ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ [[โยฮัน ครัฟฟ์]], [[มาร์โก แวน บาสเทน]] และ[[เดนนิส เบิร์กแคมป์]] แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี [[ออสมาน แบคคาล]] และถูกแบน 7 นัด<ref>http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/europe/9225097.stm เว็บไซต์ BBC</ref> ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม [[สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล]]จาก[[ประเทศอังกฤษ]]ได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 8 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล<ref>http://soccernet.espn.go.com/news/story/_/id/969372/kenny-dalglish:-luis-suarez-set-to-star-for-liverpool?cc=4716 เว็บไซต์ ESPN</ref> |
||
ในส่วนของการรับใช้[[ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย|อุรุกวัย]] ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง [[บอลโลก ยู20]] ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ [[ฟุตบอลทีมชาติโคลัมเบีย|ทีมชาติโคลัมเบีย]] และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ใน[[ฟุตบอลโลก]] ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า<ref>http://www.guardian.co.uk/football/2010/jul/03/world-cup-2010-hand-god-suarez ลุยส์ ซัวเรซ ให้สัมภาษณ์สื่อ</ref> จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบ[[ฟุตบอลทีมชาติกานา|ทีมชาติกานา]] ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและ[[ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย|ทีมชาติอุรุกวัย]]ได้แชมป์ [[โคปาอเมริกา]] ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู |
ในส่วนของการรับใช้[[ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย|อุรุกวัย]] ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง [[บอลโลก ยู20]] ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ [[ฟุตบอลทีมชาติโคลัมเบีย|ทีมชาติโคลัมเบีย]] และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ใน[[ฟุตบอลโลก]] ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า<ref>http://www.guardian.co.uk/football/2010/jul/03/world-cup-2010-hand-god-suarez ลุยส์ ซัวเรซ ให้สัมภาษณ์สื่อ</ref> จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบ[[ฟุตบอลทีมชาติกานา|ทีมชาติกานา]] ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและ[[ฟุตบอลทีมชาติอุรุกวัย|ทีมชาติอุรุกวัย]]ได้แชมป์ [[โคปาอเมริกา]] ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:33, 16 พฤศจิกายน 2555
ข้อมูลส่วนตัว | |||
---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ | ||
วันเกิด | 24 มกราคม ค.ศ. 1987 | ||
สถานที่เกิด | ซัลโต, ประเทศอุรุกวัย | ||
ส่วนสูง | 1.79 m (5 ft 10 in) | ||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||
ข้อมูลสโมสร | |||
สโมสรปัจจุบัน | ลิเวอร์พูล | ||
หมายเลข | 7 | ||
สโมสรเยาวชน | |||
2003-2005 | นาซีอองนัล | ||
สโมสรอาชีพ* | |||
ปี | สโมสร | ลงเล่น† | (ประตู)† |
2005-2006 | นาซีอองนัล | 34 | (12) |
2006-2007 | โกรนิงเงิน | 37 | (15) |
2007-2011 | อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม | 160 | (111) |
2011-ปัจจุบัน | ลิเวอร์พูล | 52 | (21) |
ทีมชาติ‡ | |||
2007 | อุรุกวัย ยู20 | 4 | (2) |
2007– | อุรุกวัย | 54 | (28) |
† ลงเล่น (ประตู). |
หลุยส์ อัลเบร์โต ซัวเรซ ดีอัซ (สเปน: Luis Alberto Suárez Díaz) เกิดเมื่อวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1987 ที่เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย เป็นนักฟุตบอลชาวอุรุกวัย ปัจจุบันเล่นให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ตำแหน่งกองหน้า
ซัวเรซ เกิด ณ เมืองซัลโต ประเทศอุรุกวัย ไม่นานนักครอบครัวได้ย้ายมาตั้งรกรากที่เมือง มอนเตวิเดโอ ที่นี่เองที่เด็กชายเติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของมารดาเพียงลำพัง ร่วมกับพี่น้อง 6 คน ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 ซัวเรซได้เซ็นต์สัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรนาซีอองนัล ของเมืองมอนเตวิเดโอ สโมสรที่ซัวเรสเล่นมาตั้งแต่ระดับเยาวชน เมื่ออายุถึง 19 ปี เขาจึงย้ายสโมสรเป็นครั้งแรกไปสู่ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี 2006 และย้ายทีมอีกครั้งในปี 2007 ไปยังสโมสรชื่อดัง สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ในฤดูกาล 2008-09 ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของสโมสร และทำประตูเป็นดาวซัลโวของสโมสร ถึงแม้ว่าจะถูกทำโทษเนื่องจากมีปัญหากับเพื่อนร่วมทีม และได้รับถึง 7 ใบเหลืองในฤดูกาลเดียว ในฤดูกาลนี้ เขายังได้เป็นกัปตันของสโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ยิง 35 ประตู จาก 33 เกม ในลีก ได้รับรางวัลผู้เล่นแห่งปีของลีกเนเธอร์แลนด์ ยิงรวมทุกถ้วย 49 ประตู ในฤดูกาล 2010-11 เขายิงให้สโมสรอาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม ครบ 100 ลูก ทำผลงานเทียบชั้นตำนานของสโมสร อาทิ โยฮัน ครัฟฟ์, มาร์โก แวน บาสเทน และเดนนิส เบิร์กแคมป์ แต่ในฤดูกาลนี้มีเหตุการณ์อื้อฉาวคือ ซัวเรซไปกัดที่ไหล่ของนักเตะพีเอสวี ออสมาน แบคคาล และถูกแบน 7 นัด[1] ระหว่างที่ถูกแบนในเดือนมกราคม สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลจากประเทศอังกฤษได้ซื้อตัวเขาในมูลค่า 26.5 ล้านยูโร นับแต่การมาของซัวเรซ ลิเวอร์พูลขยับจากอันดับที่ 12 ของตาราง ณ กลางเดือนมกราคม 2011 ไปจบที่อันดับ 8 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลโดยเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล[2]
ในส่วนของการรับใช้อุรุกวัย ซัวเรสได้เป็นสมาชิกของทีมชุดยู 20 เข้าร่วมแข่ง บอลโลก ยู20 ประจำปี 2007 ในปี 2007 นี้เองซัวเรซได้ลงเล่นทีมชาติชุดใหญ่นัดแรกเจอกับ ทีมชาติโคลัมเบีย และทำประตูได้ แต่ก็โดนไล่ออกจากสนามเนื่องจากรับ 2 ใบเหลือง ในฟุตบอลโลก ปี 2010 ซัวเรซมีบทบาทสำคัญในทีมชุดนี้ที่ได้อันดับที่ 4 โดยทำประตูได้ 3 ลูกตลอดการแข่งขัน เขาเรียกตัวเองว่า หัตถ์พระเจ้า[3] จากการแข่งขันรายการนี้ในนัดพบทีมชาติกานา ที่ใช้มือป้องกันประตูช่วยให้ทีมอุรุกวัยผ่านเข้ารอบต่อไป ในปี 2011 ซัวเรสและทีมชาติอุรุกวัยได้แชมป์ โคปาอเมริกา ในการแข่งขันนี้ซัวเรสได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และยิงไปถึง 4 ประตู
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2010 ภรรยาของเขาให้กำเนิดลูกสาวคนแรกที่เมืองบาร์เซโลนา ตั้งชื่อเธอว่าเดลฟินา[4]
สโมสรอาชีพ
นาซีอองนัล
ซัวเรซเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลกับทีมในบ้านเกิด ทีมนาซีอองนัล ทีมที่เขาเล่นในระดับเยาวชนมาตั้งแต่อายุ 14[5] คืนหนึ่งเขาถูกจับได้ว่าดื่มเหล้าในงานปาร์ตี้ ผู้ฝึกสอนในขณะนั้นปรามเขาว่า เขาจะไม่ได้เล่นฟุตบอลอีกถ้ายังไม่จริงจังกับการเล่นฟุตบอล[5] [6] ในเดือนพฤษภาคม 2005 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี เขาได้ลงเล่นให้สโมสรอย่างเป็นทางการโดยพบกับทีม จูเนียร์ เดอ บารานควิลลา ในการแข่งขันลิเบอร์ตาดอเรส คัพ[5] เขาทำประตูแรกได้ในเดือน กันยายน 2005[7] และช่วย นาซีอองนัล เป็นแชมป์ อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06 โดยทำได้ 10 ประตู ใน 27 เกม [8]
โกรนิงเงิน
ซัวเรซถูกจับตาจากกลุ่มแมวมองของ สโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน ในตอนที่พวกเขาเดินทางไปประเทศอุรุกวัย เพื่อดูฟอร์มนักเตะอีกคนหนึ่ง ในเกมส์นั้นซัวเรสสร้างสรรค์เกม ยิงจุดโทษ และทำประตูที่สวยงาม[9] หลังเกมนั้น กลุ่มแมวมองสนใจที่จะเซ็นต์สัญญาซื้อ ซัวเรซ [9]หลังจบฤดูกาลนั้นสโมสรฟุตบอลโกรนิงเงิน เซ็นสัญญาซื้อเขาในราคา 800,000 ยูโร[5] ซัวเรซอยากที่จะย้ายไปเล่นที่ยุโรปเพราะว่าแฟนของเขาและภรรยาในปัจจุบัน โซเฟีย บาลบิ ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองบาร์เซโลนาก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้เขาต้องรักษาความสัมพันธ์จากการต้องห่างกันเอาไว้ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้อยู่ใกล้แฟนสาวมากขึ้น[10]
เอเอฟซีอาแจ็กซ์
ในช่วงปี ค.ศ. 2007 ซัวเรซได้เซ็นสัญญากับ เอเอฟซีอาแจ็กซ์เอาไว้ 4 ปี โดยเขาได้ลงเล่นเป็นตัวจริงในลีกและบอลถ้วยเกือบทุกนัด และยังได้ถูกเลือกให้เป็นผู้สวมปลอกแขนกัปตันทีมเอเอฟซีอาแจ็กซ์ อีกด้วย ซัวเรซนำทีมอาแจ็กซ์ คว้าแชมป์แชมป์เอเรดิวีซี่ ของลีกสูงสุดในประเทศ เนเธอร์แลนด์ในช่วงฤดูกาล 2010-2011 และ แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ ในช่วงฤดูกาล 2009-2010 ก่อนที่จะย้ายไปสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลของ พรีเมียร์ลีก ที่ประเทศอังกฤษ ในปลายฤดูกาล 2010-2011
ลิเวอร์พูล
บทความนี้อาจต้องการตรวจสอบต้นฉบับ ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้ |
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ลิเวอร์พูล ได้ซื้อกองหน้ามา 2 คนคือ แอนดี แคร์โรล และ หลุยส์ ซัวเรซ เข้ามาในถิ่นแอนฟิลด์ และได้เซ็นสัญญาให้กับ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ถึงปี 2016 โดยซัวเรซได้มีโอกาสลงเล่นตัวจริงค่อนข้างมากถึงแม้จะอยู่ในช่วงปลายฤดูกาล 2010-11 แล้วก็ตาม เคนนี ดัลกลิช ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลได้เห็นความสามารถและความพิเศษของเขาคนนี้ ดัลกลิชเลยให้เขาสวมเสื้อเบอร์ 7 โดยได้ตั้งเป้าไว้ว่าจะให้ซัวเรซเป็นตำนานของลิเวอร์พูบต่อจากเขาต่อไป เกมแรกที่ซัวเรซได้เล่นให้กับ ลิเวอร์พูล เป็นครั้งแรกและเล่นในถิ่นแอนฟิลด์คือการเจอกับ สโต๊ค ซิตี้ โดยซัวเรซทำไป 1 ประตู และทำให้ลิเวอร์พูลชนะไป 2-0 โดยถูกส่งลงมาเป็นตัวสำรองและก็ประเดิมประตูแรกของตัวเองในสีเสื้อลิเวอร์พูล ได้ทันที เรียกว่าเป็นการลดความกดดันทั้งในเรื่องค่าตัวและเบอร์เสื้ออย่างสิ้นเชิง[11] และในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 2011 ในนัดที่ ลิเวอร์พูลเปิดรังแอนฟิลด์ตอนรับการมาเยือนของคู่อริ สโมสรฟุตบอลแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ถึงแม้ในวันนั้นซัวเรซจะไม่ได้ทำประตูแต่ก็ช่วยจ่ายบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ไป 3-1 ซัวเรซได้จ่ายไป 2 ลูก โดยการทำ แฮตทริกของ เดิร์ค เคาท์ ปีกขวาทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ซึ่งในเกมนั้นยังต้องหลบซีนตำแหน่ง นักเตะยอดเยี่ยมประจำ เกมให้กับเขาเลยทีเดียว ซัวเรซทำสถิติตลอดระยะเวลา 5 เดือนแรกกับหงส์แดงด้วยการทำไป 4 ประตูจาก 13 เกม และก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของสาวกเดอะ ค็อปได้อย่างเต็มตัว รวมถึง บรรดาเพื่อนร่วมทีมที่เรียงหน้าออกมาชมไม่ขาดสาย และช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 6 เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2010-11 ซัวเรซ ก็กลายเป็นผู้เล่นที่เป็นกุญแจสำคัญของลิเวอร์พูล
ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ลิเวอร์พูล ลงเล่นนัดแรกเจอกับ ซันเดอร์แลนด์ โดย ซัวเรซ ยิงจุดโทษพลาดในช่วงต้นเกม แต่เขาก็ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 1-1 ต่อมา ในวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เอาชนะ อาร์เซนอล ถึง เอมิเรตส์สเตเดียม 2-0 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เปิดบ้านเอาชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 2-1 ต่อมา ในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 4 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง 2-0 ในวันที่ 7 สิงหาคม ค.ศ. 2012 หลุยส์ ซัวเรซ ได้ตัดสินใจต่อสัญญากับ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อย เป็นที่คาดการณ์กันว่าจะช่วยการันตีให้เขาค้าแข้งอยู่ที่แอนฟิลด์ต่อไปอย่างน้อยๆ 3 ปี โดยรับค่าเหนื่อยเทียบเท่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ที่ 120,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์
ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2012–13 วันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับแชมป์เก่า แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ซัวเรซ ได้ยิงฟรีคิกให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-1 ก่อนจะจบด้วยผลเสมอกัน 2-2 ต่อมา ซัวเรซ ก็ทำประตูที่ 2 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่เสมอกับ ซันเดอร์แลนด์ 1-1 ต่อมา ในวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล เปิดรังแอนฟิลด์เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ก่อนเริ่มการแข่งขัน ซัวเรซ ได้ยอมจับมือกับ ปาทริส เอวรา หลังจากที่ ซัวเรซ ไม่ยอมจับมือกับ เอวรา เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่ครั้งนี้ถือว่าผ่านไปได้ด้วยดี โดย เจอร์ราร์ด ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำไปก่อน 1-0 แต่สุดท้ายก็แพ้ไป 1-2 ต่อมา ในวันที่ 29 กันยายน ค.ศ. 2012 ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ที่ 2 ของเขาให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่บุกเอาชนะ นอริชซิตี ถึง แคร์โรว์โรด 5-2 โดย ซัวเรซ ได้ทำแฮตทริก ใส่ นอริชซิตี ที่สนามแคร์โรว์โรด เป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากที่ทำได้ในช่วงปลายฤดูกาลที่แล้ว และเป็นชัยชนะนัดแรกของ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก อีกด้วย[12] ต่อมา ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2012 ลิเวอร์พูล ทำศึก เมอร์ซี่ย์ไซด์ ดาร์บี้ บุกไปเยือนเจอกับ เอฟเวอร์ตัน คู่ปรับร่วมเมือง โดย ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 2-0 ก่อนจะถูก เอฟเวอร์ตัน ยิงตีเสมอเป็น 2-2 และในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซัวเรซ ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลออกนำ 3-2 แต่ผู้ตัดสินกลับยกธงล้ำหน้า โดยที่ ซัวเรซ ไม่ได้อยูในตำแหน่งล้ำหน้า ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 2-2
สถิติ
สโมสร
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | ฟุตบอลถ้วย | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่นๆ | รวม | ||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ลงเล่น | ประตู | ช่วยทำประตู | ||
นาซีอองนัล[8][13][b] | 2005–06 | 27 | 10 | — | — | — | 3 | 0 | — | 4 | 2 | — | 34 | 12 | — | ||||
รวม | 27 | 10 | — | — | — | 3 | 0 | — | 4 | 2 | — | 34 | 12 | — | |||||
โกรนิงเงิน[b] | 2006–07 | 29 | 10 | 6 | 2 | 1 | 0 | — | 2 | 1 | 0 | 4 | 3 | 0 | 37 | 15 | 6 | ||
รวม | 29 | 10 | 6 | 2 | 1 | 0 | — | 2 | 1 | 0 | 4 | 3 | 0 | 37 | 15 | 6 | |||
เอเอฟซีอาแจ็กซ์ [b] | 2007–08 | 33 | 17 | 4 | 3 | 2 | 0 | — | 4 | 1 | 0 | 4 | 2 | 0 | 44 | 22 | 4 | ||
2008–09 | 31 | 22 | 14 | 2 | 1 | 0 | — | 10 | 5 | 2 | 0 | 0 | 0 | 43 | 28 | 16 | |||
2009–10 | 33 | 35 | 14 | 6 | 8 | 0 | — | 9 | 6 | 2 | 0 | 0 | 0 | 48 | 49 | 14 | |||
2010–11 | 13 | 7 | 0 | 1 | 1 | 0 | — | 9 | 4 | 3 | 1 | 0 | 0 | 24 | 12 | 3 | |||
รวม | 110 | 81 | 32 | 12 | 12 | 0 | — | 32 | 16 | 7 | 5 | 2 | 0 | 159 | 111 | 37 | |||
ลิเวอร์พูล[b] | 2010–11 | 13 | 4 | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 13 | 4 | 3 |
2011–12 | 31 | 11 | 6 | 3 | 3 | 1 | 4 | 3 | 3 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 0 | 39 | 17 | 10 | |
2012–13 | 11 | 8 | 2 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 0 | 4 | 2 | 2 | 0 | 0 | 0 | 16 | 11 | 4 | |
รวม | 55 | 23 | 11 | 3 | 3 | 1 | 5 | 4 | 3 | 4 | 2 | 2 | 0 | 0 | 0 | 68 | 32 | 17 | |
รวมทั้งหมด | 221 | 124 | 49 | 17 | 16 | 1 | 5 | 4 | 3 | 41 | 19 | 9 | 13 | 7 | 0 | 297 | 170 | 60 |
ประตูในนามทีมชาติ
Goal | วันที่ | สนาม | คู่แข่งขัน | ประตู | ผล | การแข่งขัน |
---|---|---|---|---|---|---|
1. | 13 ตุลาคม 2007 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | โบลิเวีย | 1–0 | 5–0 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
2. | 18 พฤศจิกายน 2007 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | ชิลี | 1–0 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
3. | 6 กุมภาพันธ์ 2008 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | โคลอมเบีย | 2–2 | 2–2 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
4. | 25 พฤษภาคม 2008 | Ruhrstadion, Bochum, Germany | ตุรกี | 1–0 | 3–2 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
5. | 25 พฤษภาคม 2008 | Ruhrstadion, Bochum, Germany | ตุรกี | 2–2 | 3–2 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
6. | 28 พฤษภาคม 2008 | Ullevaal Stadion, Oslo, Norway | นอร์เวย์ | 1–1 | 2–2 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
7. | 10 มิถุนายน 2009 | Polideportivo Cachamay, Puerto Ordaz, Venezuela | เวเนซุเอลา | 1–1 | 2–2 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
8. | 9 กันยายน 2009 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | โคลอมเบีย | 1–0 | 3–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
9. | 10 ตุลาคม 2009 | Estadio Olímpico Atahualpa, Quito, Ecuador | เอกวาดอร์ | 1–1 | 2–1 | ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก |
10. | 3 มีนาคม 2010 | AFG Arena, St. Gallen, Switzerland | สวิตเซอร์แลนด์ | 2–1 | 3–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
11. | 22 มิถุนายน 2010 | Royal Bafokeng Stadium, Rustenburg, South Africa | เม็กซิโก | 1–0 | 1–0 | ฟุตบอลโลก 2010 |
12. | 26 มิถุนายน 2010 | Nelson Mandela Bay Stadium, Port Elizabeth, South Africa | เกาหลีใต้ | 1–0 | 2–1 | ฟุตบอลโลก 2010 |
13. | 26 มิถุนายน 2010 | Nelson Mandela Bay Stadium, Port Elizabeth, South Africa | เกาหลีใต้ | 2–1 | 2–1 | ฟุตบอลโลก 2010 |
14. | 8 ตุลาคม 2010 | Gelora Bung Karno Stadium, Jakarta, Indonesia | อินโดนีเซีย | 2–1 | 7–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
15. | 8 ตุลาคม 2010 | Gelora Bung Karno Stadium, Jakarta, Indonesia | อินโดนีเซีย | 3–1 | 7–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
16. | 8 ตุลาคม 2010 | Gelora Bung Karno Stadium, Jakarta, Indonesia | อินโดนีเซีย | 5–1 | 7–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
17. | 8 มิถุนายน 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | เนเธอร์แลนด์ | 1–0 | 1–1 | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร |
18. | 4 กรกฎาคม 2011 | Estadio del Bicentenario, San Juan, Argentina | เปรู | 1–1 | 1–1 | 2011 Copa América |
19. | 19 กรกฎาคม 2011 | Estadio Ciudad de La Plata, La Plata, Argentina | เปรู | 1–0 | 2–0 | 2011 Copa América |
20. | 19 กรกฎาคม 2011 | Estadio Ciudad de La Plata, La Plata, Argentina | เปรู | 2–0 | 2–0 | 2011 Copa América |
21. | 24 กรกฎาคม 2011 | Estadio Monumental, Buenos Aires, Argentina | ปารากวัย | 1–0 | 3–0 | 2011 Copa América |
22. | 7 ตุลาคม 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | โบลิเวีย | 1–0 | 4–2 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
23. | 11 พฤศจิกายน 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | ชิลี | 1–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
24. | 11 พฤศจิกายน 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | ชิลี | 2–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
25. | 11 พฤศจิกายน 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | ชิลี | 3–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
26. | 11 พฤศจิกายน 2011 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | ชิลี | 4–0 | 4–0 | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
27. | 25 พฤษภาคม 2012 | Lokomotiv Stadium, Moscow, Russia | รัสเซีย | เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร | ||
28. | 10 มิถุนายน 2012 | Estadio Centenario, Montevideo, Uruguay | เปรู | ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก |
เกียรติประวัติ
ระดับสโมสร
- แชมป์อุรุกวัยพรีเมียร์ดิวิชัน 2005-06
- แชมป์เอเรดิวีซี่ ฮอลแลนด์ 2010-11
- แชมป์เคเอ็นวีบี คัพ 2009-10
- แชมป์ลีกคัพ 2011-12
ระดับชาติ
- ฟุตบอลโลก 2010 : อันดับ 4
- โคปา อเมริกา 2011 : แชมป์
รางวัลส่วนตัว
- เอเรดิวีซี่รองเท้าทองคำ : 2009–10[15]
- เคเอ็นวีบี คัพดาวยิงสูงสุด : 2009–10
- ผู้เล่นแห่งปีของเอเรดิวีซี่ : 2009–10
- ผู้เล่นแห่งปีของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09
- ดาวยิงสูงสุดของอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม : 2008–09,[16]2009–10[17]
- โคปา อเมริกา ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำการแข่งขัน : โคปา อเมริกา 2011
- Standard Chartered Player of the Month (1): กันยายน 2012
อ้างอิง
- ↑ http://news.bbc.co.uk/sport2/hi/football/europe/9225097.stm เว็บไซต์ BBC
- ↑ http://soccernet.espn.go.com/news/story/_/id/969372/kenny-dalglish:-luis-suarez-set-to-star-for-liverpool?cc=4716 เว็บไซต์ ESPN
- ↑ http://www.guardian.co.uk/football/2010/jul/03/world-cup-2010-hand-god-suarez ลุยส์ ซัวเรซ ให้สัมภาษณ์สื่อ
- ↑ "Suarez in Barcelona vader geworden van dochter" (ภาษาDutch). Voetbal International. 2010-08-05. สืบค้นเมื่อ 2010-08-06.
{{cite web}}
: CS1 maint: unrecognized language (ลิงก์) - ↑ 5.0 5.1 5.2 5.3 http://www.liverpoolecho.co.uk/liverpool-fc/lfc-player-profiles/luis-suarez/2011/02/09/luis-suarez-s-rise-from-the-streets-of-montevideo-to-liverpool-fc-hero-part-one-100252-28138725/2/
- ↑ Ben Lyttleton (4 July 2010). "In Suarez's absence Uruguay will lean even more heavily on Forlan". Sports Illustrated. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- ↑ Luis Suarez. "Biography - My History". Media Base Sports. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 "Football: Luis Suárez". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 31 January 2011.
- ↑ 9.0 9.1 Matt Lawton (24 March 2011). "Luis Suarez - I want to be known for great goals not biting or that handball". Daily Mail. สืบค้นเมื่อ 21 August 2011.
- ↑ http://www.luissuarez.co.uk/en/biografia-en
- ↑ Mandeep Sanghera (2 February 2011). "Liverpool 2–0 Stoke". BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2 February 2011.
- ↑ "Norwich 2 - 5 Liverpool". BBC Sport. BBC. 29 September 2012. สืบค้นเมื่อ 29 September 2012.
- ↑ "Luis Suárez Statistics". Voetbal International. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
- ↑ "Luis Suárez Statistics". Transfermarkt. สืบค้นเมื่อ 13 April 2010.
- ↑ "Football - Competition: Eredivisie 2009/2010 - Rankings - Scorers". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
- ↑ "Football: club - Ajax Amsterdam 2008/2009". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
- ↑ "Football: club - Ajax Amsterdam 2009/2010". FootballDatabase.eu. สืบค้นเมื่อ 25 August 2011.
แหล่งข้อมูลอื่น
- Official website
- Profile on LiverpoolFC.tv
- Profile on LFCHistory.net
- Player Profile - Luis Suarez Premier League