ข้ามไปเนื้อหา

แกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
แกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย

Lietuvos Didžioji Kunigaikštystė (ลิทัวเนีย)
ประมาณ ค.ศ. 1236 – ค.ศ. 1795[a]
เพลงชาติ: "โปกูรอดซิกา"
"มารดาพระเป็นเจ้า"
(ตั้งแต่ ค.ศ. 1529)
อาณาเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ณ เวลารุ่งเรืองที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 15
อาณาเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ณ เวลารุ่งเรืองที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 15
สถานะ
เมืองหลวง
ภาษาทั่วไปลิทัวเนีย รูทีเนีย โปแลนด์ ละติน เยอรมัน ยิดดิช ตาตาร์ คาราริม (ดูเพิ่มที่ส่วน § ภาษา)
ศาสนา
การปกครอง
แกรนด์ดยุก 
 ค.ศ. 1236–1263 (พระองค์แรก)[c]
มินกัวดาร์
 ค.ศ. 1764–1795 (พระองค์สุดท้าย)
สตาญิสวัฟที่ 2
อัครมหาเสนาบดี 
 ค.ศ. 1441–1444 (คนแรก)
ซูดิโวจุส วาลิแมนทาอิติส
 ค.ศ. 1793–1795 (คนสุดท้าย)
โยอาชิม แชแรปโตวิช
สภานิติบัญญัติไซมาส
 สภาองคมนตรี
สภาขุนนาง
ประวัติศาสตร์ 
 เริ่มรวบรวมเป็นปึกแผ่น
คริสค์ทศวรรษที่ 1180
ค.ศ. 1251–1263
14 สิงหาคม ค.ศ. 1385
1 กรกฎาคม ค.ศ. 1569
24 ตุลาคม ค.ศ. 1795
พื้นที่
ค.ศ. 1260[4]200,000 ตารางกิโลเมตร (77,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 1430[4]930,000 ตารางกิโลเมตร (360,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 1572[4]320,000 ตารางกิโลเมตร (120,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 1791[4]250,000 ตารางกิโลเมตร (97,000 ตารางไมล์)
ค.ศ. 1793[4]132,000 ตารางกิโลเมตร (51,000 ตารางไมล์)
ประชากร
 ค.ศ. 1260[4]
400,000 คน
 ค.ศ. 1430[4]
2,500,000 คน
 ค.ศ. 1572[4]
1,700,000 คน
 ค.ศ. 1791[4]
2,500,000 คน
 ค.ศ. 1793[4]
1,800,000 คน
สกุลเงินลิกาซิส (คริสต์ศตวรรษที่ 13 – 15)
ซวอตือ กรอช และดินาร์ (ค.ศ. 1569 – 1795)[5]
ก่อนหน้า
ถัดไป
ราชอาณาจักรลิทัวเนีย
ราชอาณาจักรปรัสเซีย
จักรวรรดิรัสเซีย
น็อยกาลิเซีย
  1. รัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1791 ได้วางแผนสถาปนารัฐเดี่ยวรวมศูนย์ซึ่งจะมีผลให้แกรนด์ดัชชีถูกยุบ ทว่าบทเสริมของรัฐธรรรมนูญฉบับดังกล่าว เรียกว่าคำยืนยันความกลมเกลียวแห่งทั้งสองชาติ คืนสถานะเดิมให้ลิทัวเนียในวันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1791[1]
  2. รูปลักษณ์โดยสันนิษฐานของธงพระอิสริยยศ (ธงทหาร) โดยมีต้นแบบมาจากตราแผ่นดินในคริสต์ศตวรรษที่ 16[2][3]
  3. ใช้พระราชอิสริยยศว่าพระมหากษัตริย์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1251

แกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย (ลิทัวเนีย: Lietuvos Didžioji Kunigaikštystė) เป็นอดีตรัฐเอกราชที่เคยดำรงอยู่ในทวีปยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13[6] โดยเป็นรัฐสืบทอดจากราชอาณาจักรลิทัวเนีย ไปจนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18[7] เมื่อพื้นที่ของแกรนด์ดัชชีถูกแบ่งใน ค.ศ. 1795 ระหว่างการแบ่งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย รัฐนี้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยชนลิทัวเนีย อันเป็นกลุ่มชนที่มีความเชื่อแบบพหุเทวนิยมที่ก่อเกิดจากการรวมตัวกันของเผ่าชนบอลติกจากบริเวณอักซุสตราเจีย เมื่อล่วงเข้า ค.ศ. 1440 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียได้กลายมาเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป โดยปกครองพื้นที่ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลบอลติกทางทิศเหนือจรดทะเลดำทางทิศใต้[8][9][10]

ลิทัวเนียได้ขยับขยายดินแดนจนเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของอดีตจักรวรรดิรุสเคียฟและรัฐเพื่อนบ้านอื่น ๆ รวมไปถึงบริเวณที่ปัจจุบันคือ ประเทศเบลารุสและประเทศลิทัวเนีย พื้นที่ส่วนมากของประเทศยูเครน รวมไปถึงบางส่วนของประเทศโปแลนด์ มอลโดวา รัสเซีย และลัตเวีย ในช่วงเวลาที่อาณาจักรแผ่ไพศาลที่สุดเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 15 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียถือว่าเป็นรัฐที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในยุโรป ณ เวลานั้น[11] ตัวแกรนด์ดัชชีมีลักษณะเป็นรัฐพหุชาติพันธุ์และพหุความเชื่อ โดยมีความหลากหลายทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม และศาสนา

การรวบรวมแผ่นดินลิทัวเนียเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 เมื่อพระเจ้ามินกัวดาร์ ผู้ปกครองพระองค์แรกของแกรนด์ดัชชีทรงเข้ารีตในนิกายโรมันคาทอลิกและได้รับการราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ใน ค.ศ. 1253 ทว่าครั้นพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ใน ค.ศ. 1263 ผู้ปกครองพระองค์ต่อมา ๆ ก็มิได้สานต่อพระบรมราโชบายของพระองค์ และกลับไปนับถือศาสนาพื้นเมืองตามเดิม ส่งผลให้ลิทัวเนียถูกลดสถานะลงจากราชอาณาจักรเป็นแกรนด์ดัชชีอีกครั้ง ทำให้ลิทัวเนียตกเป็นเป้าของสงครามครูเสดที่นำโดยคณะอัศวินทิวทอนิกและภาคีลิโวเนีย แต่สามารถรอดพันมาได้ การขยายดินแดนอย่างต่อเนื่องของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียเริ่มขึ้นในปลายรัชสมัยของแกรนด์ดยุกกีดีมีนาส[12] และดำเนินต่อไปในช่วงการปกครองร่วมกันของแกรนด์ดยุกอัลกีร์ดัสและเคร์ตูติส พระโอรสของพระองค์[13] การลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติสหภาพเครโว เมื่อ ค.ศ. 1386 โดยแกรนด์ดยุกยอกายลา พระโอรสในอัลกีร์ดัส ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สองประการในประวัติศาสตร์ของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ได้แก่ การเข้ารับคริสต์ศาสนา ถือเป็นการปิดฉากอาณาจักรของคนนอกศาสนาแห่งสุดท้ายในทวีปยุโรป[14] และการสถาปนาเครือรัฐร่วมราชวงศ์ระหว่างแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียกับราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรโปแลนด์[15] เหตุการณ์นี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สมาชิกพระราชวงศ์ฝ่ายหน้าของราชวงศ์กีดีมีนาสได้ปกครองดินแดนอื่น ๆ นอกไปจากลิทัวเนียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง 15 ด้วย อาทิ โปแลนด์ ฮังการี โครเอเชีย โบฮีเมีย และมอลเดเวีย[16][17]

รัชกาลของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช พระโอรสของเคร์ตูติส เป็นช่วงเวลาแห่งการขยายดินแดนครั้งใหญ่ที่สุดของแกรนด์ดัชชี ทำให้ลิทัวเนียกลายเป็นหนึ่งในรัฐที่มีขนาดพื้นที่กว้างขวางที่สุดในทวีปยุโรป ชัยชนะเหนืออัศวินทิวทอนิกในยุทธการที่กรุนวอลด์ เมื่อ ค.ศ. 1410[18] รัชสมัยของพระองค์ยังเป็นจุดเริ่มต้นการเรืองอำนาจของขุนนางลิทัวเนีย หลังพระองค์สิ้นพระชนม์ ความสัมพันธ์ระหว่างลิทัวเนียและโปแลนด์ก็ย่ำแย่ลงอย่างมาก[19] บรรดาขุนนางลิทัวเนีย รวมไปถึงตระกูลใหญ่อย่างตระกูลราดวิโลซ พยายามนำลิทัวเนียออกจากการเป็นรัฐร่วมประมุขกับโปแลนด์[20] แต่ความพ่ายแพ้ของลิทัวเนียในสงครามกับแกรนด์ดัชชีมอสโก บีบให้ทั้งสองรัฐยังคงสถานะสหภาพต่อไป

ที่สุดแล้วพระราชบัญญัติสหภาพลูบลินซึ่งตราขึ้นใน ค.ศ. 1569 ก็ได้นำไปสู่การสถาปนารัฐใหม่ คือ เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ในรัฐใหม่ที่ปกครองในระบบสหพันธรัฐนี้ แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียยังคงรักษาไว้ซึ่งโครงสร้างทางการเมืองของตนเอง และมีกระทรวง กฎหมาย กองคลัง และกองทัพแยกต่างหากจากของโปแลนด์[21] ระบบสหพันธรัฐถูกยกเลิกลงหลังรัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1791 มีผลใช้บังคับ โดยตัวบทของรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมุ่งสร้างรัฐเดี่ยวนามว่า "เครือจักรภพโปแลนด์" (Rzeczpospolitą Polską) ซึ่งจะอยู่ภายใต้การปกครองพระมหากษัตริย์แห่งเครือจักรภพและมีรัฐสภากลางเพียงแห่งเดียว อันจะทำให้ลิทัวเนียไม่มีสิทธิในการปกครองตนเองเลย (ต่างจากเดิมที่พระราชอิสริยยศทั้งสองแยกจากกัน แต่มีผู้ถือครองพระองค์เดียวกัน และโปแลนด์กับลิทัวเนียยังคงมีหน่วยงานราชการแยกต่างหาก) หลังจากนั้นไม่นานก็ได้มีการตราบทเสริมของรัฐธรรมนูญ เรียกว่า คำยืนยันความกลมเกลียวแห่งทั้งสองชาติ ขึ้น ซึ่งฟื้นฟูสถานะความเป็นสหพันธรัฐ แต่ยังคงไว้ซึ่งโครงสร้างรวมศูนย์บางอย่าง อาทิ การคลัง กองทัพ และรัฐบาลกลาง ทว่าเครือจักรภพโปแลนด์ที่พึ่งปฎิรูปใหม่นี้กลับถูกรัสเซียเข้ารุกรานใน ค.ศ. 1792 และต้องตัดแบ่งดินแดนบางส่วนของตนไปให้แก่รัฐเพื่อนบ้าน เครือจักรภพซึ่งถูกตัดแบ่งนี้เหลือเมืองเอกเพียงสามเมือง ได้แก่ กรากุฟ วิลนีอัส และวอร์ซอ โดยที่ยังคงรักษาเอกราชไว้ได้แต่เพียงในนามเท่านั้น หลังเหตุการณ์การลุกฮือกอชชุชกอ ดินแดนที่เหลืออยู่ทั้งหมดของโปแลนด์และลิทัวเนียได้ถูกแบ่งระหว่างจักรวรรดิรัสเซีย ราชอาณาจักรปรัสเซีย และออสเตรียใน ค.ศ. 1795

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]
การกล่าวถึงชื่อ "ลิทัวเนีย" เป็นครั้งแรกในงานเขียน ค.ศ. 1009
ชื่อของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียบนปกหนังสือจากปี 1653 (dides Kunigiſtes Lietuwos; ดิเดสคูนีกิชเตสลิเอตูวอส)

ชื่อ "ลิทัวเนีย" (Litua; ลิทัว) ปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1009 ในหนังสือรายปีควินลินเบิร์ก ทฤษฎีทางศัพทมูลวิทยาที่ได้รับการเสนอขึ้นมาก่อนหน้านี้เชื่อมโยงที่มาของชื่อเข้ากับแม่น้ำสายเล็ก ๆ สายหนึ่งใกล้กับบริเวณเมืองเคอร์เนฟ ซึ่งเป็นพื้นที่แกนหลักของรัฐลิทัวเนียยุคแรกและอาจจะเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอาณาจักรที่ต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย ทฤษฎีอธิบายที่มาของชื่อนี้ได้รับการยอมรับกันอย่างแพร่หลาย ชื่อดั้งเดิมของแม่น้ำสายนี้คือแม่น้ำลิทเอวา[22] อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อเวลาผ่านไป คำว่า "เอวา" (-ava) ที่เป็นคำปัจจัย (Suffix) ในชื่อแม่น้ำนี้ ได้เพี้ยนเป็น "อัววา" (-uva) เพราะคำปัจจัยทั้งสองมีรากศัพท์เดียวกัน แม่น้ำสายดังกล่าวไหลผ่านพื้นที่ที่ราบต่ำซึ่งทำให้มีน้ำลันตลิ่งอยู่เสมอ คำว่า "ลิท" (Liet) ในชื่อ "ลิทัวเนีย" จึงอาจจะกร่อนมาจากคำว่า "ลิเอติส" (Lietis; แปลว่าลัน หรือ หก) ซึ่งมีรากมาจากคำว่า เลียะ (leyǝ-) ในภาษาภาษาอินโด-ยูโรเปียนดั้งเดิม[23] แต่แม่น้ำนี้มีขนาดเล็กมาก ทำให้มีบางส่วน[ใคร?]เห็นว่าสิ่งที่มีขนาดเล็กและเฉพาะถิ่นเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นที่มาของชื่อดินแดนได้ ในอีกมุมหนึ่ง การตั้งชื่อดินแดนตามลักษณะภูมิประเทศก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และเกิดขึ้นมาโดยตลอดประวัติศาสตร์ของโลก[24] ทฤษฎีทางศัพทมูลวิทยาที่ใหม่กว่าทฤษฎีแรกและพอจะมีผู้เชื่อถืออยู่บ้าง ซึ่งเสนอขึ้นโดยอาร์ทูราส ดูโบนิส[25] กล่าวว่าศัพทมูลของชื่อ "ลิทัวเนีย" (ลิทัวเนีย: Lietuva; "ลิเอตูวา") มีความเกี่ยวข้องกับคำว่า "เลชัย" (Leičiai; รูปพหูพจน์ของคำว่า "เลติส" [Leitis] หมายถึงกลุ่มนักรบลักษณะคล้ายอัศวินในแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียยุคต้น) คำว่า แกรนด์ดัชชี ถูกใช้เป็นคำบรรยายลำดับชั้นของรัฐลิทัวเนียมาโดยตลอดตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมา[26]

การเรียกขานพระอิสริยศของเจ้าผู้ปกครอง (ฮอซโพดา)[27] และชื่อของรัฐแปรผันไปตามขนาดดินแดนที่เพิ่มขึ้น หลังราชอาณาจักรรูทีเนีย[I] เสื่อมอำนาจลง และดินแดนถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย แกรนด์ดยุกกีดีมีนาสจึงเริ่มใช้พระอิสริยยศว่า "พระมหากษัตริย์แห่งชาวลิทัวเนียและรูทีเนียทั้งหลาย"[28][29][30] ในขณะที่ชื่อของรัฐถูกขนานนามว่าแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียและรูทีเนีย[31][32] เมื่อซามิกัลเลียถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร พระอิสริยศก็เปลี่ยนเป็น "พระมหากษัตริย์แห่งชาวลิทัวเนียและรูทีเนีย เจ้าผู้ครองและดยุกแห่งซามิกัลเลีย"[33][34] ประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนีย ฉบับ ค.ศ. 1529 บรรยายพระราชอิสริยยศของพระเจ้าซีกิสมุนด์ที่ 1 ผู้อาวุโสไว้ว่า "พระมหากษัตริย์โปแลนด์ แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย รูทีเนีย ปรัสเซีย ซาโมกิเทีย มาโซเวีย และ[ดินแดน]อื่น ๆ"[35]

ตัวแกรนด์ดัชชียังถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า "สาธารณรัฐลิทัวเนีย" (ละติน: Respublica Lituana) มาตั้งแต่ช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นอย่างน้อยแล้วก่อนจะมีการตราพระราชบัญญัติสหภาพลูบลินขึ้นใน ค.ศ. 1569[36]

ประวัติศาสตร์

[แก้]

การสถาปนาอาณาจักร

[แก้]
อาณาเขตของชนลิทัวเนียตะวันออกเก่าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11–12
กลุ่มชาวบอลต์ในคริสต์ศตวรรษที่ 12
ลิทัวเนียในแผนที่แมพพามุนดิของปีเอโตร วิสกอนเต ค.ศ. 1321 คำบรรยายใต้ภาพเขียนว่า เลตวีนีปากานี – ชนต่างศาสนาลิทัวเนีย
การบรรยายถึงเคอร์เนฟว่าเป็น "ที่ประทับและราชธานีแห่งแรกของเหล่าแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย" (ละติน: Kiernow primum M. Duci Lith. domicilium) ในแผนที่ราดจีวิลว์[37]

การกล่าวถึงชื่อ "ลิทัวเนีย" เป็นครั้งแรกสามารถพบได้ใน หนังสือรายปีควินลินเบิร์ก ซึ่งบันทึกเรื่องราวการเผยแพร่ศาสนาของบิชอปบรืโนแห่งเควียร์ฟวร์ทแก่ชาวโยทวิงเกียน[38] ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 12 บันทึกเหตุการณ์ของชาวสลาฟได้กล่าวถึงลิทัวเนียว่าเป็นดินแดนหนึ่งที่ชนรุสเข้าโจมตี ในช่วงแรก ชนลิทัวเนียจำต้องจ่ายเครื่องปัณณาการให้แก่ราชรัฐโปลอตสค์ แต่ต่อมาก็มีกำลังกล้าแข็งขึ้นจนสามารถออกปลันในระดับเล็ก ๆ ภายในดินแดนอื่น ๆ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งระหว่าง ค.ศ. 1180 และ 1183 นี้เอง สถานการณ์ได้เริ่มผันแปรไป และชาวลิทัวเนียสามารถจัดตั้งกองกำลังที่มีความแกร่งพอที่จะสามารถทำการเข้าปล้นบรรดาราชรัฐของชาวสลาฟ อย่างโปลอตสค์ ปัสคอฟ และยังเป็นภัยคุกคามต่อนอฟโกรอดด้วย[39] การเกิดขึ้นอย่างฉับพลันของการโจมตีเหล่านี้นับเป็นตัวบ่งบอกถึงความเป็นปืกแผ่นของแผ่นดินลิทัวเนียในแถบอักซุสตราเจีย[6] ชาวลิทัวเนียถือเป็นพวกเดียวในบรรดาเผ่าชนบอลติกที่สามารถสร้างสำนึกความเป็นรัฐขึ้นมาได้ก่อนสมัยใหม่[40]

สงครามครูเสดลิทัวเนียเริ่มขึ้นหลังจากคณะอัศวินทิวทอนิกและภาคีลิโวเนีย สองคณะนักรบครูเสดถูกก่อตั้งขึ้นในกรุงรีกาและดินแดนปรัสเซียใน ค.ศ. 1202 และ 1226 ตามลำดับ คณะทางทหารในศาสนาคริสต์เหล่านี้ถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญยิ่งต่อเผ่าชนบอลติกผู้นับถือความเชื่อท้องถื่น และเป็นตัวเร่งที่นำไปสู่การสถาปนารัฐลิทัวเนีย สนธิสัญญาสงบศึกกับรูทีเนียใน ค.ศ. 1219 ถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความร่วมมือกันระหว่างชาวลิทัวเนียและชาวซาโมกิเทีย สนธิสัญญาฉบับนี้ระบุรายพระนามของดยุกลิทัวเนีย 21 พระองค์ รวมถึงดยุกชั้นอาวุโสจำนวนห้าพระองค์จากบริเวณอักซุสตราเจีย ได้แก่ ชิวินบูดัส เดาโยตัส วิลิไคลา เดาสปรุงกัส และพระเจ้ามินกัวดาร์ และยังบันทึกพระนามของดยุกหลายพระองค์จากแถบซาโมกิเทีย แม้ทั้งสองฝ่ายจะเคยรบพุ่งกันมาก่อน แต่บัดนี้ชาวลิทัวเนียและชาวซาโมกิเทียก็มีศัตรูร่วมกันแล้ว[41] เป็นไปได้ว่าดยุกชิวินบูดัสทรงมีพระราชอำนาจที่สุดในบรรดาดยุกทั้งหลาย[39] และดยุกหลายพระองค์มีความเกี่ยวข้องเป็นพระญาติกัน[42] การคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมและการจัดลำดับชั้นกันระหว่างเจ้าผู้ปกครองผู้ลงพระนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ส่อให้เห็นถึงการก่อกำเนิดของรัฐ[43]

ยกสถานะสู่ราชอาณาจักร

[แก้]

พระเจ้ามินกัวดาร์ ซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เดิมเป็นดยุก[II] แห่งลิทัวเนียใต้[44] ทรงเป็นหนึ่งในห้าดยุกชั้นอาวุโสที่ปรากฏพระนามในสนธิสัญญากับรูทีเนีย บันทึกเหตุการณ์ลิโวเนีย ฉบับรับสัมผัส รายงานว่าเมื่องล่วงเข้าช่วงกลางครืสต์ทศวรรษที่ 1230 พระเจ้ามินกัวดาร์ก็ทรงก้าวขึ้นมาเป็นผู้ทรงพระราชอำนาจที่สุดในแดนลิทัวเนีย[45] ต่อมาใน ค.ศ. 1236 กองกำลังชาวซาโมกิเทียที่นำโดยดยุกวีคินตัส สามารถเอาชนะฝ่ายภาคีลิโวเนียได้ในยุทธการที่เซาเล[46] บีบให้ภาคีต้องลดสถานะตนเองลงเป็นเพียงแขนงหนึ่งของคณะอัศวินทิวทอนิกที่ตั้งอยู่ที่ปรัสเซีย ทำให้ซาโมกิเทีย ดินแดนที่คั่นกลางระหว่างปรัสเซียและลิโวเนีย ตกเป็นเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของคณะทั้งสอง ยุทธการที่เซาเลยังเป็นปัจจัยที่ทำให้สงครามระหว่างลิทัวเนียกับคณะอัศวินสงบไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งลิทัวเนียใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ดังกล่าวด้วยการจัดทัพเข้าโจมตีดินแดนของชาวรูทีเนียและชิงผนวกเมืองฆโรดนาและนาวาฮรูแด็ก[45]

ใน ค.ศ. 1248 เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นระหว่างพระเจ้ามินกัวดาร์กับดยุกเทาต์วิลัสและเกดวิดัส ผู้ทรงมีศักดิ์เป็นพระภาติยะ (หลานอา) ของพระองค์ คณะพันธมิตรอันเป็นปรปกษ์กับพระเจ้ามินกัวดาร์ประกอบด้วยดยุกวีคินตัส ภาคีลิโวเนีย เจ้าชายดานือลอแห่งกาลิเซียและวาซิลเยนโกแห่งวอยยาเนีย พระเจ้ามินกัวดาร์ทรงชิงความได้เปรียบในความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยการยื่นข้อเสนอให้ภาคีลิโวเนียเข้าเป็นพันธมิตรกับพระองค์ แลกกับการที่พระองค์จะเข้ารีตในคริสต์ศาสนาและยกดินแดนบางส่วนในทางตะวันตกให้เป็นการตอบแทน โดยมีข้อแม้ว่าทางภาคีต้องให้การสนับสนุนทางทหารแก่พระองค์ในสงครามกับพระภาติยะและช่วยเลื่อนฐานันดรศักดิ์ของพระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ทรงเข้ารับศีลล้างบาปใน ค.ศ. 1251 ขณะเดียวกันสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4 ก็ทรงออกสารตราประกาศสถาปนาราชอาณาจักรลิทัวเนีย หลังสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง พระเจ้ามินกัวดาร์จึงได้ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ลิทัวเนีย ในวันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1253 เป็นอันเริ่มต้นช่วงเวลาที่ค่อนข้างสงบสุขที่กินเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ แต่ต่อมาพระองค์ก็ทรงละจากคริสต์ศาสนากลับไปนับถือความเชื่อเดิมอีกครั้ง ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะขยายพระราชอำนาจไปสู่นครปินสก์ และเมืองโปลอตสค์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้ารายใหญ่ในลุ่มแม่น้ำเดากาวา[45] พวกอัศวินทิวทอนิกใช้ช่วงเวลานี้ในการเสริมสร้างจุดยุทธศาสตร์ของตนในซาโมกิเทียและลิโวเนีย แต่เมื่อคณะประสบความพ่ายแพ้ในยุทธการที่สคูโอดัสใน ค.ศ. 1259 และยุทธการที่ดูร์เบใน ค.ศ. 1260[47] ก็ทำให้ชาวซามิกัลเลียและชาวปรัสเซียเก่าที่ถูกคณะเข้าพิชิตลุกขึ้นก่อกบฏ[48]

ด้วยการสนับสนุนจากดยุกทรีนีโอตา ผู้มีศักดิ์เป็นพระภาคิไนย (หลานที่เกิดจากพี่สาวหรือน้องสาว) พระเจ้ามินกัวดาร์จึงตัดสินพระราชหฤทัยรบพุ่งกับคณะอัศวินทิวทันอีกครั้ง และนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้พระองค์กลับไปนับถือความเชื่อดั้งเดิมด้วย พระองค์ทรงตั้งพระราชปณิธานที่จะรวบรวมเผ่าชนบอลติกทั้งหลายเข้ามาอยู่ใต้การปกครองของลิทัวเนีย เมื่อการทัพไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควร ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ามินกัวดาร์กับพระภาคิไนยก็ย่ำแย่ลง ทรีนีโอตาจึงร่วมมือกับเจ้าชายตัวมันตาร์แห่งปัสคอฟในการลอบปลงพระชนม์พระมาตุลา (ลุงหรือน้าฝ่ายแม่) และเจ้าชายรูคัส (Ruklys) และรูไพคิส (Rupeikis) ผู้ทรงมีศักดิ์เป็นพระภาดา (ลูกพี่ลูกน้องชาย) ของพระองค์และพระราชโอรสของพระเจ้ามินกัวดาร์ใน ค.ศ. 1263[49] ทำให้อาณาจักรเกิดการรบพุ่งกันเองภายในเป็นเวลาหลายปี[50]

การผงาดของราชวงศ์กีดีมีนาส

[แก้]
ตราเสากีดีมีนาส
หอกีดีมีนาสและซากปรักอื่น ๆ ที่หลงเหลือของปราสาทบนในกรุงวิลนีอัส

ในช่วงเวลาเพียงแค่หกปี (ค.ศ. 1263–1269) บัลลังก์แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียก็มีการผลัดราชสมบัติไปแล้วถึงสามครั้งด้วยกัน ได้แก่ แกรนด์ดยุกทรีนีโอตา วาวีลคาร์ และท้ายที่สุดก็ตกแก่เจ้าชายซวาร์นแห่งกาลิเซีย แม้จะเกิดความวุ่นวายเช่นนี้ อาณาจักรลิทัวเนียก็มิได้แตกกระจัดกระจายไป เมื่อแกรนด์ดยุกไทรเดนิสขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 1269 พระองค์ทรงดำเนินพระบรมราโชบายเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่การปกครองของลิทัวเนียในดินแดนชอร์นารุส ทรงจัดทัพรบกับภาคีลิโวเนียจนได้ชัยในยุทธการที่คารูเซและไอซ์เคราเคิลใน ค.ศ. 1270 และ 1279 ตามลำดับ อีกทั้งยังทรงช่วยเหลือชาวโยทวิงเกียน (หรืออีกชื่อหนึ่งว่าชาวซูโดเวียน [Sudovians]) ในการป้องกันดินแดนจากคณะอัศวินทิวทอนิก[51] เพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือทางทหารดังกล่าว ดยุกเนไมซิสแห่งซามิกัลเลียจึงประกาศยอมรับแกรนด์ดยุกไทรเดนิสเป็นเจ้าเหนือหัวของตน[52] เมื่อแกรนด์ดยุกไทรเดนิสสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1282 ความไม่แน่นอนของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ทำให้ไม่ทราบแน่ชัดว่าผู้ใดได้สืบราชสมบัติต่อจากพระองค์ ไปจนถึง ค.ศ. 1295 ซึ่งเป็นปีที่แกรนด์ดยุกวีเตนิสเสด็จขึ้นครองราชย์ เมืองหลวงของอาณาจักรตั้งอยู่ที่เมืองเคอร์เนฟ จนถึง ค.ศ. 1316 หรืออย่างช้าสุดคือ ค.ศ. 1321 เคอร์เนฟเป็นสถานที่ประทับหลักของแกรนด์ดยุกไทรเดนิสและวีเตนิส และเป็นเมืองเจริญรุ่งเรืองพอควร[53][54][55]

ระหว่างนี้ คณะอัศวินทิวทันก็ได้เข้าพิชิตชาวปรัสเซียและสามารถปราบการกบฏครั้งใหญ่ได้ใน ค.ศ. 1274 และเข้าพิชิตชนบอลติกที่เหลือ ได้แก่ ชาวนาดรูเวียนและชาวสเคลเวียนในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1274 ถึง 1277 ชาวโยทวิงเกียนใน ค.ศ. 1283 ในขณะที่ฝั่งภาคีลิโวเนียก็ได้เข้าพิชิตชาวซามิกัลเลีย ชนพันธมิตรบอลติกกลุ่มสุดท้ายของลิทัวเนียใน ค.ศ. 1291[56] ทำให้อัศวินทั้งสองคณะสามารถมุ่งความสนใจมายังลิทัวเนียได้อย่างเต็มที่ เพราะ "บริเวณกันชน" อันประกอบขึ้นจากชนบอลติกอื่น ๆ ได้สลายไปแล้ว และทิ้งให้แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียต้องเผชิญหน้ากับภาคีทั้งสองเพียงลำพัง[57]

ราชวงศ์กีดีมีนาสปกครองลิทัวเนียเป็นเวลากว่าหนึ่งศตวรรษ โดยมีแกรนด์ดยุกวีเตนิสเป็นผู้ปกครองพระองค์แรก[58] ในรัชกาลของพระองค์ ตัวแกรนด์ดัชชีตกอยู่ในภาวะสงครามกับภาคีอัศวิน ราชอาณาจักรโปแลนด์ และรูทีเนียอยู่ตลอด พระองค์ทรงเข้าไปข้องเกี่ยวกับปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ของโปแลนด์ ด้วยการสนับสนุนบอเลสวัฟที่ 2 ดยุกแห่งมาโซเวีย ผู้อภิเษกสมรสกับดัชเชสเกาดิมันดา พระธิดาของแกรนด์ดยุกไทรเดนิส ในส่วนของรูทีเนีย พระองค์ทรงสามารถยึดดินแดนที่เสียไปหลังการลอบปลงพระชมน์พระเจ้ามินกัวดาร์กลับมาได้ และยังทรงเข้าพิชิตปินสก์ [lt] และตูเรา ด้านการรบกับอัศวินทิวทันนั้น แกรนด์ดยุกวีเตนิสทรงเข้าเป็นพันธมิตรกับชาวเมืองรีกา การได้รีกามาเป็นพันธมิตรช่วยให้ลิทัวเนียชิงความได้เปรียบในเส้นทางการค้า และมีฐานปฎิบัติการสำหรับการทัพครั้งถัดถัดไป เมื่อถึงราวปี 1307 โปลอตสค์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการค้าแห่งสำคัญก็ถูกผนวกเข้ามาโดยการใช้แสนยานุภาพทางทหาร[59] แกรนด์ดยุกวีเตนิสยังทรงริเริ่มสร้างเครือข่ายปราสาทตามแนวแม่น้ำเนมูนัส[60] ต่อมา แนวปราการนี้ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นแนวป้องกันหลักของลิทัวเนียจากการโจมตีของคณะอัศวินทิวทัน[60]

การขยายดินแดน

[แก้]
อาณาเขตของรัฐลิทัวเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 15

การขยายดินแดนของลิทัวเนียก้าวถึงจุดสูงสุดในรัชสมัยของแกรนด์ดยุกกีดีมีนาส ผู้ถูกเรียกในแหล่งข้อมูลร่วมสมัยภาษาเยอรมันบางแหล่งว่าทรงเป็น "พระมหากษัตริย์แห่งอักซุสตราเจีย" (Rex de Owsteiten)[61] พระองค์ทรงสร้างรัฐบาลกลางที่เข้มแข็งและทรงเป็นผู้ก่อตั้งจักรวรรดิที่ต่อมาจะแผ่จากทะเลดำไปจนจรดทะเลบอลติก[62][63] เมื่อถึง ค.ศ. 1320 บรรดาราชรัฐในภูมิภาครุสตะวันตกก็ตกเป็นเมืองขึ้นหรือถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของลิทัวเนีย พระองค์ทรงยึดกรุงเคียฟได้ในปีต่อมา ทำให้เจ้าชายสตานิสลาฟแห่งเคียฟ เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์รูรีกูพระองค์สุดท้ายที่ทรงได้ปกครองเคียฟต้องเสด็จลี้ภัย แกรนด์ดยุกกีดีมีนาสยังทรงเป็นผู้ที่มีพระดำรัสสั่งให้ย้ายเมืองหลวงของแกรนด์ดัชชีให้ไปอยู่ที่วิลนีอัส[64] ใน ค.ศ. 1323 โดยอาจจะเป็นการย้ายมาจากเมืองตราไกเก่า ซึ่งเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่ ค.ศ. 1316 หรือ 1321[65][54][66] ลิทัวยังคงขยายดินแดนต่อไปอีกในรัชกาลของแกรนด์ดยุกอัลกีร์ดัสและเคร์ตูติส ซึ่งเป็นพระอนุชาและผู้ปกครองร่วมกับพระองค์[67][68] ความยิ่งใหญ่ของแกรนด์ดยุกกีดีมีนาสถูกสะท้อนออกมาในพิธีอภิเษกของแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียที่จัด ณ อาสนวิหารวิลนิอัส และกระทำสืบมาจนถึง ค.ศ. 1569 ซึ่งแกรนด์ดยุกพระองค์ใหม่จะทรงฉลองพระมาลาแห่งกีดีมีนาสโดยมีบิชอปแห่งวิลนีอัสเป็นผู้สวมให้เหนือพระเศียร[69]

ปราสาทลูบาร์ต (ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน) สร้างโดยลิอูบาร์ทุส แกรนด์พรินซ์แห่งวอยยาเนีย พระโอรสของแกรนด์ดยุกกีดีมีนาสในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 ปราสาทนี้เป็นสถานที่จัดการประชุมใหญ่แห่งลุตสก์ เมื่อ ค.ศ. 1429
แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียภายใต้การปกครองของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช (ค.ศ. 1392–1430)

ลิทัวเนียมีศักยภาพพอที่จะพิชิตดินแดนทางใต้และตะวันออกของอดีตจักรวรรดิรุสเคียฟได้ ในขณะที่รัฐเพื่อนบ้านอื่น ๆ ต่างถูกเข้าปล้นหรือพิชิตโดยกองทัพมองโกล ขบวนทัพของฝ่ายมองโกลมาหยุดรุกคืบบริเวณที่เป็นพรมแดนของประเทศเบลารุสในปัจจุบัน ทำให้ดินแดนแก่นกลางของแกรนด์ดัชชีไม่ได้รับความเสียหายจากการสงคราม ด้วยความที่การปกครองของมองโกลในดินแดนที่พิชิตมาได้ยังไม่มั่นคง นี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ลิทัวเนียทวีการขยายดินแดนเพิ่มขึ้น ๆ บรรดาราชรัฐของชนรุสนั้นมิเคยถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโกลเดนฮอร์ดโดยตรง หากแต่ทั้งสองมีสถานะเป็นเมืองขึ้น (ที่ค่อนข้างมีอิสระในระดับหนึ่ง) กับเจ้าเหนือหัวเสียมากกว่า ลิทัวเนียผนวกพื้นที่บางส่วนโดยผ่านทางการทูต โดยยื่นข้อเสนอให้รัฐเหล่านี้เป็นเมืองขึ้นของตน แลกกับการไม่ต้องตกอยู่การปกครองของพวกมองโกลหรือแกรนด์พรินซ์แห่งมอสโก ตัวอย่างหนึ่ง คือ นครนอฟโกรอด ซึ่งมักจะตกอยู่ใต้อิทธิพลและในบางครั้งก็อยู่ในภาวะต้องพึ่งพาลิทัวเนีย[70] การที่ลิทัวเนียสามารถเข้าควบคุมนอฟโกรอดได้มีสาเหตุจากความแตกแยกภายในของตัวนครรัฐ ซึ่งพยายามจะหลีกหนีการตกอยู่ใต้อำนาจของมอสโก ความสัมพันธ์ของทั้งสองรัฐมีลักษณะที่เปราะบาง และความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในนครรัฐก็อาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้การควบคุมของลิทัวเนียเหนือตัวเมืองสะดุดลงหลายครั้ง ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย ๆ กับนอฟโกรอดและนครของชาวสลาฟตะวันออกแห่งอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง]

แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียสามารถยืนหยัดต้านทานการรุกรานของมองโกล และท้ายสุดก็รักษาดินแดนที่พึ่งเข้าครองเอาไว้ได้ ใน ค.ศ. 1333 และ 1339 ลิทัวเนียได้เอาชนะทัพมองโกลขนาดใหญ่ที่พยายามจะชิงนครสโมเลนสค์ซึ่งเป็นนครที่อยู่ในเขตอิทธิพลของลิทัวเนีย เมื่อถึงราว ค.ศ. 1355 ราชรัฐมอลเดเวียก็ได้ถูกสถาปนาขึ้น และอาณาจักรโกลเดนฮอร์ดก็มิได้พยายามจะนำพิ้นที่เหล่านั้นกลับมาแต่อย่างใด ต่อมาใน ค.ศ. 1362 กองทัพลิทัวเนียก็สามารถเอาชนะพวกโกลเดนฮอร์ดได้ในยุทธการแม่น้ำสีคราม[71]

ใน ค.ศ. 1380 บรรดาเจ้าลิทัวเนียส่วนหนึ่งที่ลี้ภัยอยู่ในต่างแดนได้เข้าเป็นพันธมิตรกับรัสเซีย กองทัพของทั้งสองชาติสามารถเอาชนะพวกโกลเดนฮอร์ดได้ในยุทธการที่คูลิโคโว แม้ศึกนี้จะไม่ได้ทำให้การปกครองของมองโกลสิ้นสุดไป แต่ก็ช่วยทำให้อิทธิพลของพวกเขาในภูมิภาคนี้เสื่อมลง ต่อมาใน ค.ศ. 1387 มอลเดเวียได้เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นเมืองขึ้นของโปแลนด์ และถ้าหากกล่าวอย่างกว้างก็เป็นเมืองขึ้นของลิทัวเนียด้วย ณ จุดนี้ ลิทัวเนียได้ไล่พิชิตดินแดนของโกลเดนฮอร์ดได้จนถึงแถบแม่น้ำนีเปอร์ ในคราวสงครามครูเสดกับฝ่ายโกลเดนฮอร์ด เมื่อ ค.ศ. 1398 ลิทัวเนีย (ซึ่งเป็นพันธมิตรกับอดีตข่านทุคทามึช) ได้เข้ารุกรานทางเหนือของไครเมียและได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด ทว่าความพยายามของลิทัวเนียในการนำข่านทุคทามึชคืนสู่ราชบัลลังก์โกลเดนฮอร์ดกลับล้มเหลวเมื่อลิทัวเนียพ่ายแพ้ในยุทธการที่แม่น้ำวอร์สคาใน ค.ศ. 1399 ทำให้แกรนด์ดัชชีเสียพื้นที่ทุ่งหญ้าสเตปป์ไป[72]

ก้าวขึ้นเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปภายใต้ราชวงศ์กีดีมีนาสและยากีแยววอ

[แก้]
อาณาเขตของโปแลนด์และลิทัวเนียในช่วง ค.ศ. 1386–1434
ปราสาทเกาะตราไก สร้างโดยแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช เป็นหนึ่งในสถานที่ประทับของแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย[73]

ลิทัวเนียหันมาเข้ารับศริสต์ศาสนาใน ค.ศ. 1387 โดยมีแกรนด์ดยุกยอกายลาเป็นผู้ริเริ่ม ทรงพระนิพนธ์แปลบทสวดของศาสนาคริสต์เป็นภาษาลิทัวเนียด้วยตัวพระองค์เอง[74][75] ส่วนวีเทาตัส พระภาดา (ลูกพี่ลูกน้องชาย) ของพระองค์ก็ทรงก่อตั้งโบสถ์คาทอลิกหลายแห่ง ทั้งยังทรงเป็นผู้จัดสรรที่ดินในลิทัวเนียถวายเป็นเขตแพริชอีกเป็นจำนวนมาก ภายใต้การปกครองของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช (ค.ศ. 1392–1430)[18] ลิทัวเนียก็ได้ก้าวเข้าสู่จุดรุ่งเรืองที่สุด กลายเป็นอาณาจักรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปยุโรป พระองค์ถือเป็นผู้ปกครองของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียที่โด่งดังที่สุดพระองค์หนึ่ง ทรงดำรงพระอิสริยยศแกรนด์ดยุก ตั้งแต่ ค.ศ. 1401 จวบจนสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. 1430 โดยก่อนหน้านั้นทรงมีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าชายแห่งฆโรดนา (ค.ศ. 1370–1382) และต่อมาเป็นเจ้าชายแห่งลุตสก์ (ค.ศ. 1387–1389) วีเทาตัสทรงเป็นพระโอรสในเคร์ตูติส ผู้ทรงมีศักดิ์เป็นพระปิตุลา (อา) ของแกรนด์ดยุกยอกายลา หรือที่ต่อมาทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่ว่าพระเจ้าววาดึสวัฟที่ 2 หลังได้ขึ้นครองราชบัลลังก์โปแลนด์ใน ค.ศ. 1386 นอกจากนี้แกรนด์ดยุกวีเทาตัสยังทรงมีศักดิ์เป็นพระอัยกา (ตา) ในแกรนด์พรินซ์วาซิลีที่ 2 แห่งมอสโกด้วย[76]

ใน ค.ศ. 1410 พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพฝ่ายลิทัวเนีย ณ ยุทธการที่กรุนวอลด์ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอย่างเด็ดขาดของกองกำลังผสมโปแลนด์-ลิทัวเนียต่อคณะอัศวินทิวทอนิก เป็นอันปิดฉากสงครามครูเสดลิทัวเนียที่ดำเนินมากว่าสองร้อยปี และถือเป็นหนึ่งในสงครามที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปยุโรป แกรนด์ดยุกวีเทาตัสทรงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจของอาณาจักรและทรงกระทำการปฎิรูปหลายประการ ภายใต้การปกครองของพระองค์ ลิทัวเนียค่อย ๆ แปรสภาพมาเป็นรัฐรวมศูนย์อย่างช้า ๆ ทรงตั้งข้าหลวงที่ภักดีต่อพระองค์ไปปกครองเขตต่าง ๆ แทนการให้เชื้อพระวงศ์ไปกินเมืองอย่างแต่ก่อน โดยข้าหลวงมักจะมาจากชนชั้นเจ้าที่ดินผู้ร่ำรวยที่ต่อมาจะพัฒนาไปเป็นชนชั้นขุนนางของแกรนด์ดัชชี ในรัชสมัยของพระองค์ ตระกูลราดวิโลซและโกชเตาไตได้เริ่มก้าวขึ้นมามีอิทธิพล[77][78]

จิตรกรรมยุทธการที่กรุนวอลด์ (ค.ศ. 1878) ของยัน มาเตย์โก แสดงภาพการศึกใน ค.ศ. 1410 โดยมีอูลริช ฟ็อน ยุงกิงเงนและแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราชปรากฏอยู่กลางภาพ
ภาพถ่ายมุมสูงของวังแกรนด์ดยุกลิทัวเนีย ตัววังหลังปัจจุบันมีลักษณะสถาปัตยกรรมสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาซึ่งเป็นผลมาจากการก่อสร้างในรัชสมัยพระเจ้าซิกมุนด์ที่ 1 ผู้อาวุโสและพระเจ้าซิกมุนด์ที่ 2 เอากุสตุส พระราชโอรส

ล่วงมาถึงรัชกาลของพระเจ้าววาดึสวัฟที่ 3 แห่งโปแลนด์ ใน ค.ศ. 1440 พระองค์ทรงส่งเจ้าชายกาชีมีแยช ผู้เป็นพระราชอนุชาให้ไปว่าราชการแทนพระองค์ ทว่าเมื่อพระองค์เสด็จถึงกรุงวิลนีอัสในวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 1440 ฝ่ายลิทัวเนียก็แสดงความจำนงต้องการเป็นอิสระด้วยการเลือกพระองค์ขึ้นเป็นแกรนด์ดยุก เจ้าชายกาชีมีแยชจึงทรงประกาศพระองค์เป็น "เจ้านายอิสระ" (pan – dominus) การกระทำนี้ผิดเงื่อนไขของข้อตกลงสหภาพกรอดนอ ค.ศ. 1432 และทำให้สหราชอาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนียสลายตัวลงชั่วครู่ ต่อมาในภายหลังเจ้าชายกาชีมีแยชทรงได้สืบราชบัลลังก์โปแลนด์ต่อจากพระเชษฐาใน ค.ศ. 1147[79][80] เมื่อถึงคราวพระเจ้ากาชีมีแยชที่ 4 สวรรคตใน ค.ศ. 1492 สหราชอาณาจักรก็สลายตัวลงในช่วงสั้น ๆ และอาณาจักรถูกแบ่งอีกครั้ง เจ้าชายยัน โอลบริกซ์ พระราชโอรสที่มีพระชันษามากกว่าได้ครองราชบัลลังก์โปแลนด์ ส่วนเจ้าชายอาแล็กซันแดร์ที่มีพระชันษาน้อยกว่าได้ครองลิทัวเนีย ทั้งสองรัฐแยกขาดจากกันระหว่าง ค.ศ. 1492–1501[81] ก่อนจะกลับมารวมกันอีกเมื่อเจ้าชายอาแล็กซันแดร์ได้สืบราชสันตติวงศ์โปแลนด์ต่อจากพระเชษฐาใน ค.ศ. 1501 หลังจากนั้นทั้งสองรัฐก็ไม่แยกกันอีกจนกระทั้งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียล่มสลายใน ค.ศ. 1795

การขยายอิทธิพลอย่างต่อเนื่องของแกรนด์ดัชชีมอสโก ทำให้มอสโกก้าวขึ้นมาอยู่ในขั้นที่สามารถเทียบเคียงลิทัวเนียได้ หลังจากการผนวกสาธารณรัฐนอฟโกรอดใน ค.ศ. 1478 มอสโกก็กลายเป็นรัฐที่ทรงอำนาจที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงเหนือ ในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1492 ถึง 1508 แกรนด์พรินซ์อีวานที่ 3 ยังทรงเสริมสร้างมอสโกให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก ทรงได้ชัยในยุทธการที่แม่น้ำเว็ดโรชา ทำให้พระองค์สามารถยึดดินแดนแต่เก่าก่อนของอดีตจักรวรรดิรุสเคียฟ อาทิ เชียร์นีกอฟและเบรียนสค์มาได้[82]

ในวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1514 กองทัพพันธมิตรโปแลนด์–ลิทัวเนียภายใต้การบัญชาของเฮ็ตมัน คอนสตันตี ออสโทรกสกี ได้มาเผชิญหน้ากับกองทัพมอสโกภายใต้การบัญชาของเจ้าชายมีฮาอิล กอลลิตซิน และอีวาน เซลยานิน ผู้ดำรงตำแหน่งสมุหพระอัศวราช ในยุทธการที่ออร์ชา ศึกนี้เป็นหนึ่งในยุทธการของสงครามรัสเซีย–ลิทัวเนียซึ่งเป็นสงครามต่อเนื่องอันกินเวลายาวนานที่มีการรบพุ่งสลับกับช่วงเวลาสงบเป็นเวลาหลายครั้ง โดยมีเป้าหมายยุทธศาสตร์ของผู้ปกครองรัสเซีย คือการรวบรวมดินแดนทั้งหมดของจักรวรรดิรุสเคียฟมาอยู่ภายใต้การปกครองเป็นสาเหตุหลัก ตามข้อเขียนใน เรรุม มอสโควิติการุม คอมเมนตารีอี ของซีคมุนท์ ฟ็อน เฮอร์เบอร์ชไตน์ ราชทูตของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ประจำมอสโก อันเป็นหลักฐานชั้นต้นเกี่ยวกับการยุทธ์ครั้งนี้ ระบุว่า กองทัพผสมโปแลนด์–ลิทัวเนียที่มีจำนวนน้อยกว่า (ไม่เกินสามหมื่นคน) สามารถเอาชนะกองทัพมอสโกที่มีไพร่พลจำนวนแปดหมื่นนายได้ ซ้ำยังสามารถเข้ายึดค่ายและจับแม่ทัพฝั่งตรงข้ามเป็นเชลยได้อีกด้วย โดยฝ่ายมอสโกเสียไพร่พลไปถึงสามหมื่นนาย ขณะที่ความสูญเสียของฝั่งโปแลนด์–ลิทัวเนียอยู่ที่ห้าร้อยคนเท่านั้น กระนั้น แม้ยุทธการนี้จะถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งของลิทัวเนีย ท้ายที่สุดแล้วมอสโกก็เป็นฝ่ายชนะในสงครามครั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญาสันติภาพ ค.ศ. 1522 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียจึงจำต้องยกดินแดนจำนวนมากให้แก่มอสโก[83]

เครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย

[แก้]
อาณาเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย (สีชมพูเข้ม) ภายในเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ราว ค.ศ. 1635
ดวงตรามหาลัญจกรแห่งลิทัวเนีย (ในภาพเป็นดวงตราที่ทำขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าซิกมุนด์ที่ 3 วาซาเมื่อราว ค.ศ. 1623) เงื่อนไขของสหภาพลูบลินระบุให้เอกสารทางกฎหมายใด ๆ ที่พระมหากษัตริย์จะทรงตราขึ้นต้องได้รับการประทับตราลัญจกรแห่งลิทัวเนียเสียก่อน หาไม่แล้วจะถือว่าร่างกฎหมายนั้นเป็นโมฆะในท้องที่ของลิทัวเนีย โดยดวงตราลัญจกรจะถูกเก็บรักษาไว้โดยอัครมหาเสนาบดีลิทัวเนีย (เป็นผู้ถือตรามหาลัญจกร) และรองอัครมหาเสนาบดีลิทัวเนีย [lt] (เป็นผู้ถือตราจุลลัญจกร)[84][85][86]

การสงครามกับคณะอัศวินทิวทัน การเสียดินแดนให้แก่มอสโก และภัยคุกคามต่อเนื่องอันกระทบต่อความอยู่รอดของรัฐลิทัวเนีย บีบให้แกรนด์ดัชชีต้องกระชับความสัมพันธ์กับโปแลนด์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น นำไปสู่การสถาปนาสหภาพแท้กับราชอาณาจักรโปแลนด์ในข้อตกลงสหภาพลูบลิน ค.ศ. 1569 รัฐสหภาพใหม่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่าราชอาณาจักรโปแลนด์และแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียแต่ในปัจจุบันมักจะนิยมเรียกว่าเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียเสียมากกว่า ระหว่างการดำรงอยู่ของสหภาพ ดินแดนหลายส่วนที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียได้ถูกถ่ายโอนไปยังราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรโปแลนด์ ขณะเดียวกันกระบวนการแผลงเป็นโปแลนด์ที่ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไปก็ค่อย ๆ ดึงให้ลิทัวเนียตกอยู่ในภาวะครอบงำของโปแลนด์อย่างช้า ๆ[87][88][89]

ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าซิกมุนด์ที่ 2 เอากุสตุสใน ค.ศ. 1572 จึงได้มีการเลือกตั้งพระประมุขใหม่ ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้ในสหภาพลูบลินได้เห็นพ้องกันว่าพระประมุขร่วมพระองค์ใหม่จะทรงได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระอิสริยยศ "แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย" ในทันทีที่สิ้นสมัยประชุมของสภาเซย์มเลือกตั้งและพระประมุขพระองค์ใหม่ทรงขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทำให้พระอิสริยยศนี้เสียความสำคัญทางด้านการปกครองไป แต่กระนั้นสถาบันและพระอิสริยยศ "แกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย" จะยังคงมีอยู่[90][69][91]

หนึ่งปีถัดมา เจ้าชายอ็องรีแห่งวาลัวทรงได้รับเลือกเป็นพระประมุขร่วมพระองค์แรกของโปแลนด์–ลิทัวเนีย ทว่าก็ทรงครองราชย์อยู่เป็นระยะเวลาอันสั้นและไม่เคยเสด็จเยือนลิทัวเนียเลยตลอดรัชสมัย แม้จะทรงได้รับการสถาปนาเป็นแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียก็ตาม[92]

การเลือกตั้งพระประมุขร่วมครั้งถัดมาใน ค.ศ. 1575 ซึ่งมีการประชุมเลือกสองรอบ โดยในครั้งนี้มีขุนนางลิทัวเนียไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นจำนวนน้อย ฝ่ายลิทัวเนียได้เสนอพระนามจักรพรรดิมัคซีมีลีอานที่ 2 พระองค์ได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะการเลือกตั้งในรอบแรกหลังจากบิชอปวินเซนโซ เลาโร องค์เอกอัครสมณทูตเข้ามากดดัน แต่ขุนนางฝ่ายโปแลนด์ประท้วงว่าการเลือกจักรพรรดิมัคซีมีลีอานไม่ได้รับเสียงสนับสนุนจากพวกตน ในท้ายที่สุดแล้ว อิชต์วาน บาโตรี เจ้าชายแห่งทรานซิลเวเนียทรงได้รับการประกาศให้เป็นผู้ชนะและเข้าประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1576[93] บรรดาขุนนางลิทัวเนียจึงจัดการประชุมขึ้นที่นครกรอดนอระหว่างวันที่ 8 ถึง 20 เมษายน ปีเดียวกันนั้นเอง เพื่อประท้วงผลการเลือกตั้ง ทั้งยังขู่จะแยกตัวออกจากสหภาพ และจะใช้สิทธิในการออกกฎหมายเพื่อเปิดให้มีการเลือกพระประมุขเป็นของตนเองด้วย[94] แต่พระเจ้าอิชต์วานก็สามารถรวบรวมเสียงสนับสนุนของผู้แทนฝ่ายลิทัวเนียได้สำเร็จ หลังจากพระองค์ทรงให้สัญญาว่าจะยังทรงธำรงไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพของพวกเขา[93] ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ. 1580 ณ อาสนวิหารวิลนิอัส พระเจ้าอิชต์วานก็ไดรับการทูลเกล้าฯ ถวายพระมาลาและพระขรรค์เจิมจากเมอร์เคลลิสต์ เกลดราอิติส บิชอปแห่งซาโมกิเทีย โดยพระมาลาและพระขรรค์นี้เป็นของกำนัลที่สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 ทรงประทานฝากมากับปาแวล อูชานสกี ราชทูตโปแลนด์ประจำรัฐสันตะปาปา[95] การประทานของกำนัลเช่นนี้เป็นการกระทำเชิงสัญลักษณ์ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาทรงชื่นชมกับความสำเร็จของผู้รับในการต่อสู้กับชนนอกรีต[95][96] ในลิทัวเนีย พระราชพิธีรับของกำนัลนี้ถูกใช้เป็นสัญญะแสดงถึงการยกย่องสถานะของแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนีย และเป็นช่วงเวลาที่อธิปไตยของลิทัวเนียได้ปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์[97][98] รัชกาลของพระเจ้าอิชต์วานยังเป็นที่จดจำจากความสำเร็จในการทัพลิโวเนียของพระองค์ต่อกองทัพของพระเจ้าซาร์อีวานที่ 4 ซึ่งทำให้ลิทัวเนียผนวกเมืองโปลอตสค์กลับคืนมา และยังได้กลับเข้าไปปกครองดัชชีลิโวเนียอีกครั้งหนึ่ง[99]

หน้าปกประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนีย ฉบับที่สามที่พระเจ้าซิกมุนด์ที่ 3 วาซาทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อ ค.ศ. 1588 ระบุให้โปแลนด์และลิทัวเนียมีสิทธิเท่าเทียมกันภายในโครงสร้างเครือจักรภพ[100]

ลิทัวเนียกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของเชื้อพระวงศ์สายราชวงศ์กีดีมีนาส-ยากีแยววออีกครั้งหนึ่งผ่านทางสายพระราชวงศ์ฝ่ายใน หลังพระเจ้าอิชต์วานเสด็จสวรรคตเมื่อ ค.ศ. 1586 เมื่อเจ้าชายซิกมุนด์ วาซา (พระราชโอรสในเจ้าหญิงคาทาจีนา ยากีแยววอกับพระเจ้าโยฮันที่ 3 แห่งสวีเดน) ทรงได้รับเลือกในอีกหนึ่งปีต่อมา[101] พระเจ้าซิกมุนด์ที่ 3 ทรงเป็นผู้ลงพระปรมาภิไธยในประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนีย ฉบับที่สามในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 1588 ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียมีสถานะเป็นสหพันธรัฐระหว่างสองอาณาจักร คือ โปแลนด์กับลิทัวเนีย โดยที่ทั้งสองรัฐภายในสหภาพนี้มีสิทธิเท่ากันทุกประการ และยังจัดสรรการแบ่งอำนาจกันระหว่างพระมหากษัตริย์ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และองค์กรศาลต่าง ๆ นับเป็นตัวอย่างแรกของการใช้หลักนิติธรรมในประวัติศาสตร์ยุโรป กระนั้น ชนชั้นขุนนางก็เป็นพลเมืองลิทัวเนียกลุ่มเดียวที่อยู่ภายใต้บังคับของตัวบทกฎหมายนี้)[100] ระหว่างสงครามโปแลนด์–สวีเดน (ค.ศ. 1600–1611) กองกำลังโปแลนด์และลิทัวเนียสามารถคว้าชัยได้และฟื้นคืนสถานะเดิมก่อนสงคราม โดยได้รับชัยชนะครั้งสำคัญอย่างยุทธการที่เคิร์ชโฮล์มใน ค.ศ. 1605 ขณะที่ในสงครามโปแลนด์–รัสเซีย (ค.ศ. 1605–1618) กองทัพโปแลนด์และลิทัวเนียก็สามารถตีเอาดินแดนเป็นจำนวนมาก (อาทิ ตีได้นครสโมเลนสค์ เมืองหลักของเขตวอยโวเดสโมเลนสค์คืนมาใน ค.ศ. 1611 และสามารถเข้ายึดกรุงมอสโก เมืองหลวงของรัสเซียได้อย่างเบ็ดเสร็จเป็นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1610[101] เจ้าชายววาดึสวัฟ พระราขโอรสในพระเจ้าซิกมุนด์ได้ปกครองลิทัวเนียใน ค.ศ. 1632 ทรงแสดงพระปรีชาสามารถทางการทหารในคราวสงครามสโมเลนสค์ ทำให้พระองค์เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชน แต่ชัยชนะนั้นก็แลกมาด้วยการที่พระองค์ต้องยุติการอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์รัสเซีย ตามที่ระบุในเงื่อนไขของสนธิสัญญาโพลยานอฟกาที่โปแลนด์กับรัสเซียลงนามระหว่างกันใน ค.ศ. 1634 และต่อมาก็ทรงล้มเหลวในการทวงคืนสิทธิ์ในราชบัลลังก์สวีเดน[102][101]

ต้นรัชกาลของพระเจ้ายันที่ 2 กาชีมีแยช วาซาในช่วงกลางคริสต์ศตววรษที่ 17 เครือจักรภพประสบกับความพ่ายแพ้ทางทหารอย่างหนักหน่วงหลายครั้ง จนมีการเรียกช่วงเวลานี้ว่าโปโตป[III] ดินแดนส่วนมากของลิทัวเนียถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรซาร์รัสเซีย แม้แต่เมืองหลวงของแกรนด์ดัชชีอย่างกรุงวิลนีอัสก็ถูกกองทัพต่างชาติเข้ายึดครองและปล้นทำลายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์[101] ใน ค.ศ. 1655 ลิทัวเนียจึงประกาศเองฝ่ายเดียวว่าขอแยกตัวออกจากการเป็นสหภาพกับโปแลนด์ และหันไปถือเอาพระเจ้าคาร์ลที่ 10 กุสตาฟแห่งสวีเดนเป็นแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียแทน ซ้ำยังนำตนเข้าเป็นรัฐอารักขาของจักรวรรดิสวีเดนด้วย[103] แต่อีกสองปีต่อมาลิทัวเนียก็กลับเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครือจักรภพอีกครั้งหลังจากลิทัวเนียก่อการกบฏขึ้นต่อต้านสวีเดน[104] ส่วนกรุงวิลนีอัส เมืองหลวงของลิทัวเนียถูกกู้คืนมาได้ใน ค.ศ. 1661[105]

ตลอดการดำรงอยู่ของสหภาพระหว่างโปแลนด์และลิทัวเนีย ตัวแกรนด์ดัชชียังคงถือเป็นรัฐต่างหากจากโปแลนด์และมีสิทธิหลายประการภายโครงสร้างสหพันธรัฐ (รวมถึงสิทธิในการมีกระทรวง กฎหมาย กองคลัง กองทัพ เขตการปกครอง โครงสร้างรัฐบาล ตราลัญจกร และองค์กรศาลเป็นของตนเอง) จนกระทั้งมีการตรารัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคมและคำยืนยันความกลมเกลียวแห่งทั้งสองชาติออกมาใน ค.ศ. 1791[106][107][84]

การแบ่งโปแลนด์และสมัยนโปเลียน

[แก้]

หลังการแบ่งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ดินแดนส่วนใหญ่ของแกรนด์ดัชชีได้ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย และมีบางส่วนตกเป็นของปรัสเซีย ต่อมาใน ค.ศ. 1812 ช่วงก่อนฝรั่งเศสเข้ารุกรานรัสเซียเล็กน้อย ประชากรในอาณาเขตของอดีตแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียได้ก่อกบฏต่อรัสเซีย เมื่อพระองค์เสด็จถึงกรุงวิลนีอัส จักรพรรดินโปเลียนก็ทรงประกาศสถาปนาคณะกรรมาธิการปกครองชั่วคราวแห่งแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียโดยทรงจัดให้เป็นรัฐร่วมประมุขกับดัชชีวอร์ซอ นับเป็นการฟื้นฟูสหราชอาณาจักรโปแลนด์-ลิทัวเนีย[108] แต่รัฐสหภาพใหม่นี้ก็มิทันได้ปรากฏเป็นรูปเป็นร่าง เพราะต่อมาอีกหนึ่งปีครึ่งกองทัพใหญ่ของจักรพรรดินโปเลียนก็ถูกดันออกจากแผ่นดินรัสเซียและถูกบีบให้ต้องล่าถอยไปเรื่อย ๆ สู่ทิศตะวันตก กองกำลังรัสเซียสามารถยึดกรุงวิลนีอัสกลับมาได้ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1812 เป็นอันยุติแผนการพยายามฟื้นฟูแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียขึ้นมาใหม่[108] หลังการสิ้นสุดของสงครามนโปเลียน ดินแดนส่วนมากของอดีตแกรนด์ดัชชีถูกผนวกกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียโดยตรง เว้นแต่อดีตเทศมณฑลมาริแจมโปเลและคาวาริจาที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขตวอยโวเดเอากุสโตว (ภายหลังเปลี่ยนสถานะเป็นเขตผู้ว่าการ) หน่วยการปกครองหนึ่งของราชอาณาจักรคองเกรสโปแลนด์ อันเป็นรัฐบริวารที่อยู่ภายใต้ความเป็นรัฐร่วมประมุขกับรัสเซีย[ต้องการอ้างอิง]

การแบ่งเขตการปกครอง

[แก้]
เขตการปกครองของลิทัวเนียใน ค.ศ. 1385
เขตการปกครองของลิทัวเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 17

ตารางข้างล่างนี้แสดงเขตการปกครองของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียในช่วงระหว่าง ค.ศ. 1413 ถึง 1564[109]

วอยโวเดชิพ (เขตอุปราช) ก่อตั้ง (ค.ศ.)
วิลนีอัส 1413
ตราไก 1413
เอลเดอร์ชิปแห่งซาโมกิเทีย 1413
เคียฟ 1471
โปลอตสค์ 1504
เนารการ์ดูกัส 1507
สโมเลนสค์ 1508
วีเชปสก์ 1511
ปอดลาแช 1514
เบรสท์-ลีตอฟสก์ 1566
มินสค์ 1566
มชชิสเลา 1569
โวสคีน 1564–1566
บราทสลาฟ 1564
ดัชชีลิโวเนีย 1561

ศาสนาและวัฒนธรรม

[แก้]

คริสต์ศาสนาและลัทธินอกศาสนา

[แก้]
หน้าสำเนาเหมือนแบบของสมุดแผนที่คอสมอสกราเฟียยูนิเวอร์ซาลิส (ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1544) จัดทำโดยเซบัสทีอัน มึนส์เทอร์ เขียนอธิบายเกี่ยวกับแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย
โบสถ์เซนต์จอหน์ในกรุงวิลนีอัส ตัวอย่างของรูปแบบสถาปัตยกรรมบารอกวิลนีอัส[110]
โบสถ์เซนต์แอนน์และอารามคณะเบอร์นาร์ดีนในกรุงวิลนีอัส ตัวอย่างของสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมกอทิก

หลังการเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชนและการราชาภิเษกของพระเจ้ามินกัวดาร์ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษที่ 1250 ลิทัวเนียก็ได้รับการยอมรับเป็นรัฐคริสต์จนถึง ค.ศ. 1260 เมื่อพระองค์ทรงให้การสนับสนุนการลุกฮือในครู์ลันท์และ (ตามการบันทึกของคณะอัศวินทิวทัน) ทรงละออกจากคริสต์ศาสนา บรรดาขุนนางลิทัวเนียยังคงนับถือความเชื่อพื้นเมืองของตนที่มีลักษณะพหุเทวนิยม[111] สืบต่อมามาจนถึง ค.ศ. 1387 ชาวลิทัวเนียเป็นชาติพันธ์ุมีความศรัทธาในความเชื่อของพวกตนมาก และลัทธินอกศาสนาคงจะต้องฝังรากลึกมากจึงสามารถรอดพันภายใต้แรงกดดันอย่างหนักจากคณะผู้เผยแพร่ศาสนาและอำนาจอิทธิพลของต่างชาติมาได้ ทั้งนี้ ยังคงมีรายงานพบผู้นับถือความเชื่อเดิมไปจนถึงช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 อาทิ รายงานหนึ่งของนักบวชคณะเยสุอิตที่ปฎิบัติงานในลิทัวเนียช่วงการปฏิรูปคาทอลิก กล่าวถึงการพบผู้ถวายน้ำนมแด่ฌัลติส (ผีบ้านผีเรือนตามคติลิทัวเนีย) หรือการนำอาหารไปเซ่นไหว้ที่หลุมศพของบรรพบรุษ แม้ลัทธินอกศาสนาในลิทัวเนียจะมีความมั่นคงพอควร ทำให้รอดพันแรงกดดันจากบรรดาคณะผู้เผยแพร่ศาสนาและเหล่าภาคีทางทหารมาได้เป็นเวลาหลายร้อยปี แต่ก็จางหายไปในท้ายที่สุด ส่วนประชากรและเจ้าผู้ปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือประเทศเบลารุสและประเทศยูเครนนั้น นับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์อย่างเหนียวแน่น (หลังสหภาพเบรสท์มีบางส่วนได้ร่วมเอกภาพกับนิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนจักรคาทอลิกตะวันออก) ในด้านกิจการของสงฆ์ อัครบิดรเอียนนิสที่ 13 แห่งคอนสแตนติโนเปิลทรงตั้งเขตมุขมณฑลอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ลิทัวเนียขึ้นในราว ค.ศ. 1315 หรือ 1317 เมื่อสงครามกาลิเซีย–วอยยาเนียสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1392 อันมีผลให้ดินแดนของราชอาณาจักรรูทีเนียถูกแบ่งระหว่างแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียและราชอาณาจักรโปแลนด์ ใน ค.ศ. 1355 เขตมุขนายกมหานครเฮยาซีนถูกยุบ และเขตมุขมณฑลที่เคยขึ้นต่อเขตมุขนายกมหานครนี้ถูกโอนไปยังเขตมุขนายกมหานครลิทัวเนียและวอยยาเนีย[112]

ใน ค.ศ. 1387 ลิทัวเนียได้เข้ารีตในนิกายโรมันคาทอลิก ขณะที่ประชากรส่วนใหญ่ในดินแดนรูทีเนียเดิมยังคงนับถือนิกายออร์ทอดอกซ์ ต่อมาในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ปีเดียวกันนั้น แกรนด์ดยุกยอกายลาทรงประกาศสั่งห้ามมิให้ผู้นับถือนิกายคาทอลิกกระทำการสมรสกับผู้นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์ และทรงเรียกร้องให้ผู้เป็นออร์ทอดอกซ์ที่สมรสกับชาวคาทอลิกไปก่อนหน้านี้เปลี่ยนมานับถือนิกายคาทอลิกตามคู่สมรสของตน[113] ทว่าตัวแกรนด์ดยุกยอกายลาเองก็เคยทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสมเด็จพระสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 เพราะไม่ทรงยอมปลดที่ปรึกษาที่ไม่ได้นับถือนิกายคาทอลิกออกจากตำแหน่ง[114] ล่วงมาถึงรัชกาลของพระเจ้าซิกมุนด์ที่ 2 เอากุสตุสใน ค.ศ. 1563 จึงได้มีการออกเอกสารประทานสิทธิที่ประกาศให้ชาวออร์ทอดอกซ์และคาทอลิกในลิทัวเนียมีสิทธิเท่ากัน และยกเลิกมาตรการกีดกันชาวออร์ทอดอกซ์ทั้งหมด[115] กระนั้น หลังการประชุมสหภาพเบรสท์ใน ค.ศ. 1569 ที่ชาวออร์ทอดอกซ์บางส่วนหันมายอมรับอำนาจของพระสันตะปาปาและคำสอนของนิกายคาทอลิก ภายใต้เงื่อนไขว่าจะยังประกอบพิธีตามจารีตออร์ทอดอกซ์ต่อไป ก็ปรากฏว่ายังมีความพยายามยุแยงให้ผู้นับถือนิกายออร์ทอดอกซ์แบ่งฝักแบ่งฝ่าย (Polarise) กันเองอยู่ ตัวแกรนด์ดัชชียังได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญของการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ด้วย[116]

ลัทธิคาลวินแพร่หลายเข้าสู่ลิทัวเนียในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 16 และได้รับการสนับสนุนจากตระกูลขุนนางใหญ่หลายตระกูล เช่น ตระกูลราดวิโลซ โฮตเควิช ซาแปฮา โดโรโฮสตายสกี และตระกูลอื่น ๆ อีกหลายตระกูล เมื่อถึงช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1580 ผู้แทนสภาฝ่ายลิทัวเนียส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นผู้นับถือลัทธิคาลวินหรือนิกายยูนิทาเรียนจารีตโซซิเนียนทั้งสิ้น (อาทิ ยัน คิซกา)[117]

พระเจ้าอิชต์วาน บาโตรีแห่งโปแลนด์และแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียทรงก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิลนีอัสขึ้นใน ค.ศ. 1579 นับเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปเหนือ ด้วยผลพวงจากการปฎิบัติงานของสมาชิกคณะเยสุอิตในช่วงการปฏิรูปคาทอลิก มหาวิทยาลัยนี้จึงก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งด้านวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมในภูมิภาค และเป็นศูนย์กลางด้านวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย[118] การปฎิบัติงานของคณะเยสุอิตและการหันกลับมาเข้ารีตในนิกายคาทอลิกของตระกูลขุนนางใหญ่ ทำให้เมื่อถึงช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1670 ลัทธิคาลวินก็สูญเสียอิทธิพลในหมู่ชนชั้นสูงของลิทัวเนีย กระนั้นก็ยังมีผู้นับถือนิกายนี้อยู่ในหมู่ขุนนางชั้นผู้น้อยและสามัญชน[ต้องการอ้างอิง]

ศาสนายูดาห์

[แก้]

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ชาวโปแลนด์เชื้อสายยิวจำนวนมากได้ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในลิทัวเนีย โดยทำงานเป็นตัวแทนของขุนนางผู้ถือครองที่ดินกรรมสิทธิ์ ซึ่งเป็นอาชีพไม่กี่อย่างที่อนุญาตให้ชาวยิวทำได้ ชาวยิวอัชเกนัซกลุ่มใหญ่ได้เลือกตั้งถิ่นฐานในกรุงวิลนีอัส ชาวลิทัวเนียเชื้อสายยิวมีบทบาทสำคัญในการศึกษาเทววิทยาของคัมภีร์โทราห์ บุคคลเชื้อสายยิวในลิทัวเนียที่มีชื่อเสียงก็เช่น ไอแซคแห่งตราไก ผู้ทำงานเป็นอาลักษณ์ นอกไปจากชาวยิวแล้ว ลิทัวเนียยังได้ให้ที่พำนักแก่ชนกลุ่มน้อยทางศาสนาอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก เช่น คริสต์ชนชาวโปแลนด์ที่ยึดถือหลักการอตรีเอกภาพนิยม ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในตราไกเช่นกัน[119]

ศาสนาอิสลาม

[แก้]
เหรียญกษาปณ์ของราชรัฐเคียฟ มีอายุราวรัชสมัยของเจ้าชายวลาดิมีร์ โอเกอโดวิช (ครองราชย์ ค.ศ. 1362–1394) แสดงการลอกเลียนเหรียญ แดงก์ ของอาณาจักรโกลเดนฮอร์ด ไม่ทราบสถานที่ผลิต ในภาพจะเห็นว่ามีการเขียนตัวอักษรหวัด ๆ ให้ดูคล้ายภาษาอาหรับด้วย[IV][120][121]

ศาสนาอิสลามในประเทศลิทัวเนียมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานต่างจากประเทศอื่น ๆ ในยุโรปเหนือและตะวันตก โดยสามารถสืบย้อนไปได้ไกลถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14[122] เมื่อชาวมุสลิมตาตาร์ลิปกากลุ่มเล็ก ๆ ได้อพยพเข้าสู่ดินแดนของชาวลิทัวเนีย ซึ่งโดยมากจะอพยพมาในรัชกาลของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช (ตรงกับช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15) สังคมลิทัวเนียมีความต่างจากประเทศอื่นๆ ในทวีปยุโรปในสมัยนั้น เนื่องจากลิทัวเนียมีการให้เสรีภาพทางศาสนา ชาวลิทัวเนียเชื้อสายตาตาร์เหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ตั้งชุมชนแยกอยู่ในบางพื้นที่เป็นการเฉพาะ เช่น นครตราไกและเกานัส[123] หมู่บ้านเคตูเรียสดิชิมต์โตโตริอู ถือเป็นหนึ่งในชุมชนชาวตาตาร์ที่เก่าแก่ที่สุดในลิทัวเนีย โดยมีที่มาจากชัยชนะในการทัพแถบคาบสมุทรไครเมียใน ค.ศ. 1397 ของแกรนด์ดยุกวีเทาตัส หลังทรงรบชนะแล้ว พระองค์ก็มีพระดำรัสสั่งให้เทครัวเชลยศึกชาวตาตาร์ไครเมียพวกแรกไปตั้งถิ่นฐานที่นครตราไกและท้องที่อื่น ๆ ทั่วดัชชีตราไก รวมถึงอาณาบริเวณใกล้กับแม่น้ำโวเก ทางใต้ของกรุงวิลนีอัส มัสยิดหลังแรกในหมู่บ้านนี้ถูกกล่าวถึงในเอกสารเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1558 เมื่อถึง ค.ศ. 1630 ก็ปรากฏว่ามีชาวตาตาร์อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้เป็นจำนวนสี่สิบสองครัวเรือน[124]

ภาษา

[แก้]
รัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคม หนึ่งในเอกสารราชการชิ้นแรก ๆ ที่มีการเผยแพร่ทั้งในภาษาโปแลนด์และภาษาลิทัวเนีย (ในภาพเป็นฉบับภาษาลิทัวเนีย)

กลุ่มภาษา

[แก้]
พื้นที่มีผู้พูดภาษาลิทัวเนียเป็นส่วนใหญ่ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ตามการค้นคว้าของซิกมาส ซิกเควิคุส

ผู้ที่อาศัยในดินแดนลิทัวเนียใหญ่อันประกอบไปด้วยเขตวอยโวเดวิลนีอัส ตราไกและซาโมกิเทียพูดภาษาลิทัวเนียเป็นหลัก[125] ประชากรเกือบทั้งหมดในบริเวณเหล่านี้เป็นผู้พูดภาษาลิทัวเนีย ทั้งในหมู่สามัญชนและชนชั้นสูง[126] กระนั้น แม้ภาษาลิทัวเนียจะใช้เป็นภาษาพูดอย่างแพร่หลาย แต่ก็มิได้ถูกใช้ในฐานะภาษาเขียนจนกระทั้งคริสต์ศตวรรษที่ 16[127]

ชาวรูทีเนีย ผู้เป็นบรรพบรุษของชาวเบลารุสและยูเครนในปัจจุบันอาศัยอยู่ทางตะวันออกและทางใต้ของแกรนด์ดัชชีมีภาษาของตนเองเรียกว่าภาษารูทีเนีย[125] ภาษานี้มีประวัติความเป็นในแง่การเขียนอันเก่าแก่[128] โดยมีความเกี่ยวข้องกับภาษาสลาวอนิกคริสตจักรเก่าซึ่งเป็นภาษาที่ใช้ภายในคริสตจักรออร์ทอดอกซ์ ในขณะที่เอกสารราชการจะเขียนขึ้นในภาษาที่เรียกว่าภาษารูทีเนียอาลักษณ์ ซึ่งมีลักษณะที่ใกล้เคียงแต่ไม่เหมือนภาษารูทีเนียแบบที่ใช้พูดทั่วไปเสียทีเดียว ในเวลาต่อมาภาษารูทีเนียมีการหยิบยืมศัพท์จากภาษาโปแลนด์และลิทัวเนียเป็นจำนวนมาก[129][130][131]

ชาวโปแลนด์ส่วนหนึ่ง (โดยมากมักเป็น ขุนนาง ชาวเมือง นักบวช และพ่อค้า) ได้อพยพย้ายถิ่นฐานไปยังลิทัวเนีย แม้ในช่วงแรกจะมีจำนวนไม่มากนัก[132] แต่หลังจากสหภาพลูบลินจำนวนของผู้โยกย้ายถิ่นฐานก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น[133] ภาษาโปแลนด์จึงค่อย ๆ ถูกรับไปใช้โดยประชากรท้องถิ่น[ต้องการอ้างอิง] เมื่อถึงช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภาษาโปแลนด์ก็กลายมาเป็นภาษาแม่ของบรรดาขุนนางใหญ่ (Magnate) ของลิทัวเนีย[ต้องการอ้างอิง] ในอีกร้อยปีให้หลังภาษาโปแลนด์ก็กลายเป็นภาษาของบรรดาขุนนางทุกระดับชั้น[134] ภาษาโปแลนด์ยังแพร่กระจายไปสู่ชนชั้นอื่น ๆ ในสังคม ทั้งนักบวช ชาวเมือง หรือแม้กระทั้งชาวนาชนบท[135] ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมาภาษาโปแลนด์ก็มักจะถูกเลือกใช้ในงานเขียนมากกว่าภาษาอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง] จนในที่สุดภาษาโปแลนด์ก็กลายมาเป็นภาษาสำหรับใช้เขียนเอกสารราชการของเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนียใน ค.ศ. 1697[136][137][138][139]

กลุ่มชาติพันธ์ุอื่นที่มีประชากรกระจายอยู่ทั่วแกรนด์ดัชชีอย่างมีนัยยะสำคัญ ได้แก่ ชาวยิว[136] ซึ่งส่วนมากพูดภาษายิดดิชแบบกลุ่มภาษาย่อยตะวันออกเป็นหลัก[140] ในขณะที่ชาวลิทัวเนียเชื้อสายตาตาร์พูดภาษาที่มีรากมาจากกลุ่มภาษาคิปชากที่มีการยืมคำมาจากภาษาตุรกีและภาษาอาหรับ[141] ภาษานี้เลิกพูดกันในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และถูกแทนที่โดยภาษาโปแลนด์และภาษารูทีเนียที่เขียนด้วยอักษรอาหรับ[141] สำหรับชาวคาราไลท์ที่ถูกเทครัวมาจากไครเมียใน ค.ศ. 1397 นั้นใช้ภาษาคาราริมแบบกลุ่มภาษาย่อยตะวันตก และใช้ภาษาฮีบรูในการประกอบพิธีทางศาสนา[142]

นอกจากนี้ ยังมีชาวลัตกัลเลียน ผู้อาคัยอยู่ในลิโวเนียซึ่งเป็นดินแดนที่มีความเกี่ยวข้องทางการเมืองกับลิทัวเนียมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวลัตกัลเลียนพูดภาษาลัตเวียโดยมีสำเนียงเป็นของตนเอง[143] ถัดมาคือ ชาวเยอรมันผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์เป็นหลักและมักอาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งพูดภาษาเยอรมันรูปแบบท้องถิ่นที่เรียกว่า บัลเทินดอยช์ (Baltendeutsch)[140] ชาวปรัสเซียและโยทวิงเกียนที่ถูกขับไล่มาโดยอัศวินทิวทอนิกก็ได้เข้ามาตั้งรกรากในแกรนด์ดัชชีเช่นกัน[143] เช่นเดียวกับชาวรัสเซียที่เป็นผู้เชื่อเก่าซึ่งย้ายมาตั้งถิ่นฐานในลิทัวเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 17[140]

ภาษาในทางราชการ

[แก้]
หัวกระดาษของประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนียฉบับ ค.ศ. 1588 เขียนด้วยภาษารูทีเนีย

สภาวการณ์ทางด้านกลุ่มชาติพันธุ์และภาษา กอปรกับการผสมผสานกันระหว่างวัฒนธรรมรูทีเนียและลิทัวเนียภายในแกรนด์ดัชชี ทำให้เกิดประเด็นถกเถียงที่ดำเนินมาอย่างยาวนานในหมู่นักประวัติศาสตร์ทั้งจากลิทัวเนีย เบลารุส และยูเครนว่าแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียเป็นรัฐของชาติพันธ์ุลิทัวเนียเพียงผู้เดียว หรือเป็นรัฐลูกผสมของชาวรูทีเนียและลิทัวเนีย โดยที่วัฒนธรรมของชาวรูทีเนียที่มีความก้าวหน้ากว่ามีบทบาทสำคัญ[144]

ก่อนที่ลิทัวเนียจะขยายเข้าไปยึดดินแดนของชาวรูทีเนีย ภาษาลิทัวเนียเป็นภาษาเดียวที่มีการใช้งานในชีวิตประจำวัน[145] ทว่าเมื่อการพิชิตดินแดนรูทีเนียเริ่มขึ้นในรัชกาลของพระเจ้ามินกัวดาร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 วัฒนธรรมรูทีเนียและลิทัวเนียก็ได้เริ่มผสมผสานกัน เนื่องจากในขณะนั้นภาษาลิทัวเนียไม่มีอักษรเป็นของตนเอง ภาษารูทีเนียจึงถูกนำมาใช้ในฐานะภาษาเขียนและภาษาสำหรับติดต่อราชการ[145][146] ภาษารูทีเนียอาลักษณ์ซึ่งเป็นภาษาที่มีรูปแบบคล้าย แต่ไม่เหมือนภาษาพูดที่ใช้โดยชาวรูทีเนียที่อาศัยอยู่ในลิทัวเนียเสียทีเดียว[131] ถูกนำมาใช้เป็นภาษาในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างน้อยก็ตั้งแต่รัชกาลของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราชเป็นต้นมา และอาจจะมีการใช้งานมาก่อนหน้านั้นอีก สำหรับการติดต่อกับต่างประเทศ สำนักอาลักษณ์ของลิทัวเนียจะจัดทำเอกสารในสามภาษาด้วยกัน ได้แก่ ภาษาละตินสำหรับติดต่อกับชาติตะวันตก ภาษาเยอรมันสำหรับติดต่อกับคณะอัศวินทิวทอนิก และภาษารูทีเนียอาลักษณ์สำหรับใช้ติดต่อกับบรรดาผู้ปกครองของชาวตาตาร์และชาวสลาฟตะวันออก[125][147][148]

ในพระราชหัตถเลขาถึงอัลเบอร์ทราส ทาบอราส บิชอปแห่งวิลนีอัส ลงวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 1501 แกรนด์ดยุกอาแล็กซันแดร์ ยาเกียแยววอทรงมีพระดำรัสสั่งให้นักบวชโรมันคาทอลิกในโบสถ์ 28 แห่งที่แสดงในแผนที่นี้ต้องรู้ภาษาลิทัวเนีย[149][150]

ภาษาลิทัวเนียยังคงมีการใช้งานในราชสำนักไปจนถึงช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 อีกภาษาหนึ่งที่มีการใช้งานคือภาษารูทีเนีย ต่อมา ทั้งสองภาษาได้ถูกแทนที่ด้วยภาษาโปแลนด์[151] วัฒนธรรมรูทีเนียมีอิทธิพลเด่นในราชสำนักของราชวงศ์กีดีมีนาสมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 โดยเฉพาะในบรรดาเจ้านายที่ไปกินเมืองในดินแดนของรูทีเนีย[152][153] มีความเป็นไปได้สูงมากที่แกรนด์ดยุกยอกายลาจะเป็นผู้รู้สองภาษา คือ ทรงทราบและสามารถตรัสได้ทั้งภาษารูทีเนียและลิทัวเนีย โดยในภาษาหลังนี้จะตรัสในสำเนียงซาโมกิเทีย[154][155][156] ภาษาลิทัวเนียยังคงมีการใช้งานอย่างมากในราชสำนักของแกรนด์ดยุกกาชีมีแยช ผู้ทรงศึกษาภาษานี้หลังทรงได้ขึ้นปกครองแกรนด์ดัชชีใน ค.ศ. 1444.[157] หลังพระองค์ทรงขึ้นครองราชบัลลังก์โปแลนด์ใน ค.ศ. 1447 ทำให้ราชสำนักลิทัวเนียถูกยุบลง (มีการตั้งราชสำนักแยกต่างหากอีกครั้งระหว่าง ค.ศ. 1492–1496 และ ค.ศ. 1544–1548[158] แต่ท้ายสุดก็กลับไปรวมกับโปแลนด์เสมอ) ขุนนางลิทัวเนียและรูทีเนียจำนวนมากจึงตามเสด็จพระองค์ไปยังราชสำนักโปแลนด์ในนครกรากุฟ ขุนนางเหล่านี้ค่อย ๆ เรียนรู้ภาษาโปแลนด์เมื่อเวลาผ่านไป[159] แกรนด์ดยุกกาชีมีแยชทรงเป็นแกรนด์ดยุกแห่งลิทัวเนียพระองค์สุดท้ายที่สามารถตรัสภาษาลิทัวเนียได้[160] ตั้งแต่ ค.ศ. 1500 เป็นต้นมา ชนชั้นปกครองของลิทัวเนียก็รับเอาภาษาโปแลนด์ไปใช้อย่างรวดเร็ว[158][161]

ไม่นานนัก กระบวนการเปลี่ยนผ่านจากภาษารูทีเนียสู่ภาษาโปแลนด์ก็เริ่มปรากฏขึ้น โดยพวกแรกที่ทำการเรียกร้องก็ได้แก่บรรดาขุนนางในภูมิภาคปอดลาแช ผู้รับเอากฎหมายโปแลนด์ไปใช้ตั้งแต่ช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1440 เป็นอย่างน้อย และได้ทำการเรียกร้องให้เอกสารราชการเปลี่ยนมาเขียนในภาษาโปแลนด์มาตั้งแต่นั้น เพราะพวกเขาไม่สามารถอ่านเขียนภาษารูทีเนียได้เหมือนแต่ก่อน[162] การปฏิรูปการปกครองในช่วง ค.ศ. 1564 ถึง 1566 ทำให้มีการมีการตั้งแซย์มิค (สภาท้องถิ่น) ศาลพิจารณาคดีที่ดิน และศาลอุธรณ์ประจำท้องถิ่นต่าง ๆ ตามแบบโปแลนด์ การปฏิรูปนี้มีผลทำให้ภาษาโปแลนด์ไหลทะลักเข้าสู่ลิทัวเนีย[163] ประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนีย ฉบับที่หนึ่ง ซึ่งถือเป็นการรวบรวมข้อกฎหมายของลิทัวเนียขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกนั้น เดิมตีพิมพ์เป็นภาษารูทีเนียอาลักษณ์ใน ค.ศ. 1529 และในไม่ช้าก็ถูกแปลเป็นภาษาละตินกับโปแลนด์ใน ค.ศ. 1530 และ ค.ศ. 1532 ตามลำดับ[164] แม้ ลิว ซาแปฮา ผู้ดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีแห่งลิทัวเนียจะได้ระบุไว้ในคำนำประมวลตัวบทกฎหมายลิทัวเนีย ฉบับที่สามซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1588 ว่าเอกสารราชการทั้งหมดของลิทัวเนียจะต้องจัดทำในภาษารูทีเนียเท่านั้น[165] กระนั้นก็ปรากฏว่าเมื่อฉบับแปลภาษาโปแลนด์ของประมวลตัวบทกฎหมายนี้ถูกเผยแพร่ออกไปใน ค.ศ. 1614 ก็มิได้มีการจัดพิมพ์ในภาษารูทีเนียอีกเลย[166] ภาษาโปแลนด์เริ่มถูกใช้งานในเอกสารราชการมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์สหภาพลูบลิน[138] ท้ายที่สุดใน ค.ศ. 1697 สภาเซย์ม (รัฐสภา) แห่งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย ก็ได้รับรองให้ภาษาโปแลนด์เป็นภาษาสำหรับใช้บริหารราชการแต่เพียงภาษาเดียวในลิทัวเนีย[139][128] เพื่อสร้างความเท่าเทียมทางกฎหมายกันระหว่างโปแลนด์กับลิทัวเนีย กระนั้นภาษารูทีเนียก็ยังมีการใช้งานในเอกสารราชการอยู่บ้างไปจนถึงช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 18[137]

พระราชกฤษฎีกาของพระเจ้าววาดึสวัฟที่ 4 วาซาลงวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 1639 ประกาศห้ามมิให้ข้าแผ่นดินโปแลนด์–ลิทัวเนียกระทำการล่าสัตว์ในท้องที่ดัชชีปรัสเซีย พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้รับการแปลเป็นภาษาลิทัวเนียเก่าที่สำนักอาลักษณ์ปรัสเซีย[167]

หลังการเข้ารับคริสต์ศาสนาของลิทัวเนีย ภาษาละติน ซึ่งเป็นภาษาหลักในแวดวงการประพันธ์และการศึกษาของยุโรปตะวันตกก็ได้แพร่หลายเข้าสู่ลิทัวเนียในฐานะภาษาสำหรับใช้ในงานเอกสาร ภาษาละตินถือเป็นภาษาที่สองของสำนักอาลักษณ์ลิทัวเนียในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึง 16 แม้ภาษาดังกล่าวจะพบการใช้งานในการบริหารราชการแผ่นดินน้อยกว่าเมื่อเทียบกับภาษารูทีเนียก็ตาม[168] ความสำคัญของภาษาละตินทวีเพิ่มขึ้นในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 15 อันเนื่องมาจากการแพร่หลายของตำนานราชวงศ์พาแลมอนิดซึ่งเชื่อมโยงต้นกำเนิดของชนชั้นขุนนางลิทัวเนียกับสายเลือดโรมัน และการตั้งข้อสังเกตถึงความใกล้เคียงระหว่างภาษาละตินและลิทัวเนีย จึงทำให้มีปัญญาชนบางกลุ่มในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เรียกร้องให้มีการนำภาษาละตินซึ่งเป็นภาษา "ดั้งเดิม" ของชาวลิทัวเนียมาใช้แทนภาษารูทีเนีย[169][170]

แม้จะเริ่มมีการนำอักษรละตินมาใช้เขียนภาษาลิทัวเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภาษาลิทัวเนียก็มิได้ถูกใช้เป็นภาษาสำหรับเขียนเอกสารราชการของแกรนด์ดัชชีจนกระทั้งช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18[171] ซึ่งต่างจากดัชชีปรัสเซียที่อยู่ใกล้เคียงที่มีการออกเอกสารราชการเป็นภาษาลิทัวเนีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับข้าแผ่นดินที่เป็นชาวลิทัวเนีย การจัดทำเอกสารเป็นภาษาลิทัวเนียของปรัสเซียเริ่มมีมาตั้งแต่ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16[172] สำนักอาลักษณ์ปรัสเซียยังได้ทำการแปลพระราชกฤษฎีกาของพระเจ้าววาดึสวัฟที่ 4 วาซาที่ออกใน ค.ศ. 1639 และ ค.ศ. 1641 เป็นภาษาท้องถิ่นจากต้นฉบับภาษาละตินที่จัดทำโดยสำนักอาลักษณ์หลวงโปแลนด์ พระราชกฤษฎีกาทั้งสองฉบับมีเนื้อหาเป็นการสั่งห้ามมิให้ข้าแผ่นดินโปแลนด์–ลิทัวเนียของพระองค์เดินทางไปยังปรัสเซีย ซึ่งในขณะนั้นมีสถานะเป็นดินแดนสวามิภักดิ์ (Fief) ของโปแลนด์อยู่[172] เอกสารราชการชิ้นแรกที่ออกเป็นภาษาลิทัวเนียภายในท้องที่ของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย คือ รัฐธรรมนูญ 3 พฤษภาคมซึ่งเป็นการแปลจากต้นฉบับภาษาโปแลนด์อีกทอดหนึ่ง และถูกเผยแพร่ใน ค.ศ. 1791[173] หลังจากนั้นก็มีการเผยแพร่เอกสารในภาษาลิทัวเนียเป็นจำนวนมากระหว่างการลุกฮือกอชชุชกอ[173] แม้ภาษาลิทัวเนียจะไม่ได้ถูกใช้เป็นภาษาเขียนในทางราชการ แต่ภาษาลิทัวเนียก็ถูกใช้โดยเจ้าหน้าที่การปกครองและข้าราชการในฐานะภาษาพูด โดยเฉพาะในเวลาที่ต้องการสื่อสารกับประชากรที่ไม่สามารถพูดภาษาอื่น ๆ ได้[174] ตัวอย่าง อาทิ กฎบัตรของนครวิลนีอัส ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน ค.ศ. 1551 ประกาศให้หมายเรียกของศาลและการประกาศคำตัดสินคดีความจะต้องทำในภาษาโปแลนด์ รูทีเนีย และลิทัวเนีย[175][176] นอกจากนี้ยังพบการออกกฎบัตรที่มีเนื้อหาคล้ายกันนี้ในเมืองเกานัสเมื่อ ค.ศ. 1540 ด้วย[177][178][175]

ประชากรศาสตร์

[แก้]

ใน ค.ศ. 1260 ประชากรส่วนใหญ่ (ร้อยละ 68 จากประชากรทั้งหมดโดยประมาณที่สี่แสนคน) ของดัชชีลิทัวเนียเป็นชาวลิทัวเนีย[179] เมื่อถึง ค.ศ. 1340 อัตรานี้ก็ลดลงเหลือเพียงร้อยละ 30[179][V] ซึ่งเป็นผลจากการที่ลิทัวเนียผนวกเอาดินแดนของรูทีเนีย[179][VI] เมื่อถึงช่วงเวลาที่ลิทัวเนียตีได้ดินแดนจำนวนมากของชนรุส ซึ่งเริ่มขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 ต่อไปจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 อาณาเขตของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียก็ขยายใหญ่ถึงจนมีพื้นที่ประมาณแปดแสนถึงเก้าแสนสามหมื่นตารางกิโลเมตร ในอัตรานี้ มีประชากรเพียงร้อยละ 10 ถึง 14 เท่านั้นที่เป็นชาวลิทัวเนีย[179][180]

ในวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1434 แกรนด์ดยุกซิกิสมุนด์ เคสตูตาอีตริสทรงออกเอกสารพระราชทานสิทธิให้แก่ขุนนางลิทัวเนียที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ให้มีอภิสิทธิ์เท่ากับขุนนางที่นับถือนิกายคาทอลิก การพระราชทานสิทธินี้เป็นไปเพื่อจูงใจขุนนางชาวสลาฟที่อาศัยอยู่ในทางตะวันออกของแกรนด์ดัชชีและสนับสนุนอดีตแกรนด์ดยุกซวีตรีกาอีลาให้หันมาสวามิภักดิ์ต่อพระองค์แทน[181]

มีการประมาณการว่า เมื่อคำนวนรวมประชากรทั้งหมดในอาณาเขตของโปแลนด์และลิทัวเนียใน ค.ศ. 1493 แล้วจะอยู่ที่ 7.5 ล้านคน หากแบ่งย่อยไปตามชาติพันธ์ุแล้ว จะมีประชากรชาวรูทีเนีย (คือชาวเบลารุสและชาวยูเครน) อยู่ที่ 3.75 ล้านคน ชาวโปแลนด์ที่ 3.25 ล้านคน และชาวลิทัวเนียอยู่ที่ 5 แสนคน[182] หลังเหตุการณ์สหภาพลูบลินใน ค.ศ. 1569 ดินแดนจำนวนมากของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียถูกโอนไปขึ้นต่อราชบัลลังก์แห่งราชอาณาจักรโปแลนด์

จากการวิเคราะห์ทะเบียนภาษีประจำปี 1572 ปรากฏว่าดินแดนลิทัวเนียใหญ่มีผู้อยู่อาศัยคิดเป็นแปดแสนห้าหมื่นราย ในจำนวนนี้มีหกแสนแปดหมื่นรายที่เป็นชาวลิทัวเนีย[183]

ในช่วงกลางถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียได้รับความเสียหายเชิงโครงสร้างและสูญเสียประชากรไปเป็นจำนวนมากจากการรุกรานของรัสเซียและสวีเดน[184] ซึ่งรวมถึงประชากรชาติพันธุ์ลิทัวเนียในบริเวณโดยรอบกรุงวิลนีอัส นอกไปจากความเสียหายเชิงโครงสร้างทางสังคมแล้ว สัดส่วนประชากรรูทีเนียยังลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญจากการเสียดินแดนให้แก่จักรวรรดิรัสเซีย เมื่อถึง ค.ศ. 1770 ลิทัวเนียก็มีประชากรทั้งหมดเหลือเพียง 4.84 ล้านคนในอาณาเขตที่ลดเหลือราวสามร้อยยี่สิบตารางกิโลเมตร โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวรูทีเนีย และที่เหลืออีก 1.39 ล้านคน (คิดเป็นจำนวนร้อยละ 29 จากจำนวนประชากรทั้งหมด) เป็นประชากรชาติพันธ์ุลิทัวเนีย[179] ประชากรของลิทัวเนียยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องในอีกสองทศวรรษให้หลัง อันเป็นผลมาจากการแบ่งเครือจักรภพโปแลนด์–ลิทัวเนีย[179]

สิ่งสืบเนื่อง

[แก้]
หนังสือ ปุจฉา-วิสัชนา คำสอนแบบเรียบง่าย โดยมาร์ตีนัส มาชวิดัส นับเป็นงานเขียนภาษาลิทัวเนียชิ้นแรกที่ได้รับการตีพิมพ์

ชนปรัสเซีย (เป็นกลุ่มย่อยหนึ่งของเผ่าชนบอลติก) ตกเป็นเป้าการขยายดินแดนของโปแลนด์ การขยายดินแดนดังกล่าวไม่ค่อยจะสำเร็จตามเป้าประสงค์นัก ทำให้ดยุกค็อนราทที่ 1 แห่งมาโซเวียทรงเชิญคณะอัศวินทิวทอนิกให้มาตั้งฐานปฎิบัติการใกล้กับถิ่นของชนปรัสเซีย ความขัดแย้งระหว่างชาวปรัสเซียเก่าและคณะอัศวินทิวทอนิกทำให้ชนลิทัวเนียที่อยู่ไกลออกไปมีเวลารวมตัวกันเป็นปึกแผ่น เนื่องด้วยความที่มีศัตรูที่แข็งแกร่งอยู่รายล้อมทางทิศเหนือและใต้ ทำให้รัฐลิทัวเนียที่พึ่งตั้งขึ้นนี้มุ่งให้ความสนใจทั้งในด้านการทูตและการทหารต่อการขยายดินแดนไปทางตะวันออกมากกว่า

ดินแดนที่หลงเหลือของอดีตราชอาณาจักรรูทีเนียถูกพิชิตโดยลิทัวเนียในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ในขณะที่บางดินแดนอื่น ๆ ที่อยู่ในอาณาเขตของประเทศยูเครนในปัจจุบันเข้าเป็นส่วนหนึ่งของลิทัวเนียในภายหลังในฐานะเมืองขึ้น การที่ชาวสลาฟตะวันออกในพื้นที่อดีตราชอาณาจักรรูทีเนียตกอยู่ใต้อำนาจการปกครองของสองอาณาจักรเพื่อนบ้านอย่างโปแลนด์และลิทัวเนีย ก่อให้เกิดพัฒนาการที่แตกต่างกันที่ส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ แม้ดินแดนเหล่านี้จะมีธรรมเนียมวิถีปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้างเมื่อครั้งยังอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิรุสเคียฟ การที่ลิทัวเนียผนวกพื้นที่ส่วนมากของรูทีเนียใต้และตะวันตกเป็นปัจจัยที่ทำให้ชาติพันธ์ยูเครน เบลารุส และรัสเซียแยกจากกันจนก่อเกิดอัตลักษณ์ของตนเองในที่สุด แกรนด์ดยุกสี่พระองค์ของลิทัวเนียยังได้ไปปรากฏในอนุสาวรีย์ครบรอบสหัสวรรษของรัสเซียด้วย

ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 มุมมองเชิงจินตนิยมต่อประวัติศาสตร์ของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับขบวนการฟื้นฟูชาติลิทัวเนียและขบวนการฟื้นฟูชาติเบลารุส นอกจากนี้ยังมีบทบาทสําคัญต่อแนวคิดจินตนิยมในโปแลนด์

แม้ตลอดช่วงเวลาส่วนของประวัติศาสตร์ลิทัวเนียจะมีสถานะเป็นแกรนด์ดัชชี กระนั้นลิทัวเนียก็เคยมีสถานะเป็นราชอาณาจักรเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ภายใต้การปกครองของพระเจ้ามินกัวดาร์ ผู้ได้รับการราชาภิเษกโดยพระอนุญาตของสมเด็จพระสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 4 ใน ค.ศ. 1253 แกรนด์ดยุกวีเตนิส กีดีมีนาส และวีเทาตัสมหาราชเองก็ทรงใช้พระราชอิสริยยศว่าพระมหากษัตริย์เช่นกัน แม้จะทรงไม่ได้รับการยอมรับจากพระสันตะปาปาก็ตาม ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน ค.ศ. 1918 มีความพยายามที่จะสถาปนาราชอาณาจักรขึ้นใหม่โดยมีการกราบบังคมทูลเชิญเจ้าชายวิลเฮ็ลม์ คาร์ลแห่งอูลรัชเป็นพระมหากษัตริย์ลิทัวเนีย พระองค์ทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่ว่าพระเจ้ามินกัวดาร์ที่ 2 แต่ความพ่ายแพ้ของฝ่ายมหาอำนาจกลางทำให้แผนการนี้ถูกล้มเลิกไป

ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ความทรงจำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เชิงพหุชนชาติของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียถูกรื้อฟื้นขึ้นมาโดยสมาชิกของขบวนการกรายอฟท์ซี[185][186] อาทิ ลุดวิก เอบรามโมวิกซ์ กอนสตันต์เซีย ชกิมุทด์ท มีเคา ปิอุส รือเมอร์ จัวซาพาส อัลบินาซ เฮอร์บาเซียร์อูคาส ยูแซฟ มาเคอร์วิชและสตาญิสวัฟ มาเคอร์วิช[187][188] ความรู้สึกนี้ยังได้รับการถ่ายทอดออกมาในรูปแบบบทกวีโดยเชอร์สวัฟ มิลอสซ์[188]

ทหารลิทัวเนียสมัยกลางในการจำลองประวัติศาสตร์ของยุทธการที่กรุนวอลด์ เมื่อปี 2010

รัฐบัญญัติประกาศอิสรภาพลิทัวเนียที่ลงนามโดยที่ประชุมสภาแห่งลิทัวเนียในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 มีใจความว่า "สภาแห่งลิทัวเนีย ในฐานะผู้แทนแต่เพียงหนึ่งเดียวของชาติลิทัวเนีย บนพื้นฐานแห่งสิทธิการกำหนดการปกครองด้วยตนเองของประชาชาติทั้งหลายและยึดตามมติของการประชุมวิลนีอัสระหว่างวันที่ 18–23 กันยายน ค.ศ. 1917 ขอประกาศให้มีการฟื้นฟูอิสรภาพของรัฐลิทัวเนียอันตั้งอยู่บนหลักการประชาธิปไตย โดยมีวิลนีอัสเป็นเมืองหลวง และประกาศยุติพันธะพันธะระหว่างรัฐทั้งหลายที่ได้ผูกรัฐนี้เข้าไว้กับบรรดาชาติอื่น ๆ"[189] ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญลิทัวเนียฉบับปัจจุบันที่ประกาศใช้หลังจากการลงประชามติรัฐธรรมนูญลิทัวเนีย ค.ศ. 1992 มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความต่อเนื่อง (Continuity) ของรัฐลิทัวเนียด้วย[190]

แนวคิดลิทวิน ซึ่งเป็นทฤษฎีประวัติศาสตร์เทียมที่กล่าวว่าชาวเบลารุสเป็น "ทายาทที่แท้จริง" ของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนียเริ่มปรากฏขึ้นในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1990[191] และมีผู้ให้ความเชื่อถือทฤษฎีนี้อยู่พอสมควรในประเทศเบลารุส รวมไปถึงประธานาธิบดีอาเลียกซันดร์ ลูกาแชนกา[192][193]

สโมสรกีฬาชื่อดังของลิทัวเนียอย่าง บีซี ชัลกิริส และเอฟเค ชัลกิริส รวมถึงสนามกีฬาชัลกิริสอารีนา ซึ่งเป็นสนามกีฬาในร่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศลิทัวเนีย ล้วนได้รับการตั้งชื่อตามยุทธการที่กรุนวอลด์หรือในประเทศลิทัวเรียกว่า "ยุทธการที่ชัลกิริส" (Žalgirio mūšis; ทับศัพท์: ชัลกิริโอ มูชิส) ทั้งสิ้น

ตามมาตราที่ 10 ของ กฎหมายว่าด้วยธงราชการและธงอื่น ๆ ของสาธารณรัฐลิทัวเนีย (ลิทัวเนีย: Lietuvos Respublikos valstybės vėliavos ir kitų vėliavų įstatymas) ที่ผ่านการพิจารณาและถูกประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยรัฐสภาลิทัวเนีย ได้ระบุให้ธงราชการทางประวัติศาสตร์ของลิทัวเนีย (มีลักษณะเป็นรูปอัศวินขี่ม้าบนพื้นสีแดง สามารถสืบย้อนหลักฐานการใช้งานไปได้ไกลถึงรัชกาลของแกรนด์ดยุกวีเทาตัสมหาราช)[194] จะต้องถูกชักขึ้นเหนืออาคารสำคัญของรัฐบาลเสมอ (อาทิ ทำเนียบรัฐสภา อาคารของรัฐบาลลิทัวเนียและที่ตั้งของกระทรวง ที่ทำการของสภาเทศบาลหรือศาล) และสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ (อาทิ ปราสาทเกาะตราไกและวังแกรนด์ดยุกลิทัวเนีย) นอกจากนี้ยังกำหนดให้ชักขึ้นในเมืองเคอร์เนฟ ราชธานีสมัยกลางของแกรนด์ดัชชีลิทัวเนีย และในที่ตั้งของปราสาทเซนีเยย์ ตราไกด้วย[195]

ดูเพิ่ม

[แก้]

เชิงอรรถ

[แก้]
  1. คือราชอาณาจักรกาลิเซีย–วอยยาเนีย (เดิมมีสถานะเป็นราชรัฐ) ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่า "รูทีเนีย" (Ruthenia) "รุส" (สลาฟตะวันออกเก่า: Королєвство Русь, อักษรโรมัน: Korolevstvo Rusĭ ยูเครน: Королівство Русь, อักษรโรมัน: Korolivstvo Rus) และ "รัสเซีย" (ละติน: Regnum Russiae) ขี้นอยู่กับผู้จัดทำหรือแปลแหล่งข้อมูลจะใช้ชื่อใด
  2. หากอิงจากบันทึกร่วมสมัยแล้วจะพบว่าชาวลิทัวเนียเรียกพระอิสริยยศเจ้าผู้ปกครองของพวกตนในช่วงแรกว่า คูนิกัส (Kunigas; รูปพหูพจน์ว่า "คูนิไก" [Kunigai]) คำนี้เป็นศัพท์ที่ยืมมาจากภาษาเยอรมัน – "คูนิง" (Old High German: Kuning) หรือสะกดแบบปัจจุบันว่า "เคอนิชส์" (เยอรมัน: König แปลว่ากษัตริย์ หรือ ราชา) ภายหลังคำว่า คูนิกัส ถูกแทนที่ด้วยคำว่า คูนิกัชติส (Kunigaikštis) เป็นคำสมัยใหม่ที่ใช้กล่าวถึงผู้ปกครองลิทัวเนียในสมัยกลาง ในขณะที่คำว่า คูนิกัส ในภาษาลิทัวเนียปัจจุบันนี้มีความหมายว่า "นักบวช"
  3. (โปแลนด์: Potop, แปลตรงตัว'น้ำท่วมใหญ่' ในที่นี้ใช้เป็นเชิงเปรียบเปรยว่าเป็นเภทภัยร้ายแรง)
  4. เทียบกับเหรียญกษาปณ์ของจานีเบ็ก ข่านที่ผลิตโดยโรงกษาปณ์กูลีสถาน
  5. ประมาณกันว่า เมื่อถึง ค.ศ. 1340 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียมีประชากรที่เป็นชาติพันธ์ุลิทัวเนียอยู่ที่สามแสนเจ็ดหมื่นคน จากประชากรทั้งหมด 7 แสนคนในอาณาเขตสามแสนห้าหมื่นตารางกิโมเมตร และคิดเป็นสี่หมื่นสองพันคนจากประชากร 1.4 ล้านคนเมื่อถึง ค.ศ. 1375 ต่อขนาดอาณาเขตที่ขยายเพิ่มที่เพิ่มขึ้นเป็น 7 ล้านตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีการประมาณการต่างออกไปในแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ในหนังสือ The History of the Baltic States (สำนักพิมพ์กรีนวูดพับลิชชิงกรุป ตีพิมพ์ ค.ศ. 2003) ของเควิน โอคอนเนอร์ (Kevin O'Connor) ผู้เขียนได้ประมาณการว่าเมื่อถึง ค.ศ. 1387 แกรนด์ดัชชีลิทัวเนียมีประชากรทั้งหมดอยู่ที่เก้าล้านคน ในจำนวนนี้มีเพียงหนึ่งล้านคนที่เป็นประชากรชาติพันธ์ุลิทัวเนีย
  6. ตัวเลขสถิตที่มักได้รับการยอมรับทางประวัติศาสตร์นิพันธ์ (ไม่มีการระบุแหล่งที่มา กระบวนการค้นคว้า หรือวิธีประมาณการ) ระบุไว้ดังนี้ว่าใน ค.ศ. 1260 แกรนด์ดัชชีมีประชากรชาติพันธ์ุลิทัวเนียอยู่ที่สองแสนเจ็ดหมื่นคนจากประชากรทั้งหมดสี่แสนคน (คิดเป็นร้อยละ 67.5) ภายในอาณาเขตสองล้าน ตร.กม ข้อมูลเหล่าจะระบุเรียงลำดับจากปี จำนวนประชากร ขนาดพื้นที่ และจำนวนผู้อาศัยในพื้นที่มีประชากรชาติพันธ์ุลิทัวเนียเป็นหลัก
    1. ค.ศ. 1340: 7 แสนคน, 3 แสน 5 หมื่น ตร.กม, 3 แสน 7 หมื่นคน
    2. ค.ศ. 1375: 1.4 ล้านคน, 7 แสน ตร.กม, 4 แสน 2 หมื่นคน
    3. ค.ศ. 1430: 2.5 ล้านคน, 9 แสน 3 หมื่น ตร.กม, 5 แสน 9 หมื่นคน หรือคิดเป็นร้อยละ 24
    4. ค.ศ. 1490: 3.8 ล้านคน, 8 แสน 5 หมื่น ตร.กม, 5 แสน 5 หมื่นคน หรือคิดเป็นร้อยละ 14 (หนึ่งในเจ็ดของจำนวนประชากรทั้งหมด)
    5. ค.ศ. 1568 : 2.8 ล้านคน, 5 แสน 7 หมื่น ตร.กม., 8 แสน 2 หมื่น 5 พันคน หรือคิดเป็นร้อยละ 30
    6. ค.ศ. 1572: 1.71 ล้านคน 3 แสน 2 หมื่น ตร.กม., 8 แสน 5 หมื่นคน หรือคิดเป็นร้อยละ 50
    7. ค.ศ. 1770: 4.84 ล้านคน, 3 แสน 2 หมื่น ตร.กม., 1.39 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 29
    8. ค.ศ. 1791: 2.5 ล้านคน, 250 ล้าน ตร.กม., 1.4 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 56
    9. ค.ศ. 1793: 1.8 ล้านคน, 132 ตร.กม., 1.35 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 75

อ้างอิง

[แก้]
  1. Tumelis, Juozas. "Abiejų Tautų tarpusavio įžadas". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 9 เมษายน 2021.
  2. "Lietuvos valstybės herbas". รัฐสภาลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 8 กรกฎาคม 2021.
  3. Herby Rzeczypospolitej Polskiej i Wielkiego Księstwa Litewskiego. Orły, Pogonie, województwa, książęta, kardynałowie, prymasi, hetmani, kanclerze, marszałkowie (ภาษาโปแลนด์). หอสมุดยากีแยววอ. 1875–1900. pp. 6, 30, 32, 58, 84, 130, 160, 264, 282, 300. สืบค้นเมื่อ 21 สิงหาคม 2021.
  4. 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 Vaitekūnas, Stasys. "Lietuvos Didžiosios Kunigaikštystės gyventojai". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 19 กันยายน 2021.
  5. "Money of Polish-Lithuanian Commonwealth". pinigumuziejus.lt (ภาษาอังกฤษ). วิลนีอัส: พิพิธภัณฑ์เงินตราธนาคารแห่งชาติลิทัวเนีย. 27 April 2021. สืบค้นเมื่อ 1 November 2025. However, the main currency in the Commonwealth was the zloty. Both silver and gold zloty were being minted. Basically, the Commonwealth used a threefold monetary system which was popular in Europe at that time. It consisted of the zloty, the grosz and the denar.
  6. 1 2 Baranauskas, Tomas (2000). "Lietuvos valstybės ištakos" [รัฐลิทัวเนีย] (ภาษาลิทัวเนีย). วิลนีอัส: viduramziu.istorija.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กันยายน 2016. สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2016.
  7. Sužiedėlis, Saulius (2011). Historical dictionary of Lithuania (2nd ed.). Lanham, Md.: Scarecrow Press. p. 119. ISBN 978-0-8108-4914-3.
  8. Rowell 1994, pp. 289–290.
  9. Ch. Allmand, The New Cambridge Medieval History. Cambridge, 1998, p. 731.
  10. สารานุกรมบริแทนนิกา. Grand Duchy of Lithuania
  11. R. Bideleux. A History of Eastern Europe: Crisis and Change. เราต์ลิดจ์, 1998. p. 122
  12. Rowell 1994, p. 289.
  13. Z. Kiaupa. "Algirdas ir LDK rytų politika." Gimtoji istorija 2: Nuo 7 iki 12 klasės (Lietuvos istorijos vadovėlis). CD. (2003). Elektroninės leidybos namai: Vilnius.
  14. Kowalska-Pietrzak, Anna (2015). "History of Poland During the Middle Ages" (PDF). Core.
  15. N. Davies. Europe: A History. Oxford, 1996, p. 392.
  16. "Gediminaičiai". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2023.
  17. "Jogailaičiai". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2023.
  18. 1 2 "Lithuania and the Enlargement of the European Union". รัฐสภายุโรป. 2000-10-24. สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
  19. J. Kiaupienė. Gediminaičiai ir Jogailaičiai prie Vytauto palikimo. Gimtoji istorija 2: Nuo 7 iki 12 klasės (Lietuvos istorijos vadovėlis). CD. (2003) Elektroninės leidybos namai: Vilnius.
  20. J. Kiaupienë, "Valdžios krizës pabaiga ir Kazimieras Jogailaitis." Gimtoji istorija 2: Nuo 7 iki 12 klasės (Lietuvos istorijos vadovėlis). CD. (2003). Elektroninės leidybos namai: Vilnius.
  21. Stone 2001, p. 63.
  22. Zigmas Zinkevičius. Kelios mintys, kurios kyla skaitant Alfredo Bumblausko Senosios Lietuvos istoriją 1009–1795m. Voruta, 2005.
  23. "Indo-European etymology : Query result". starling.rinet.ru.
  24. Zinkevičius, Zigmas (30 พฤศจิกายน 1999). "Lietuvos vardo kilmė". Voruta (ภาษาลิทัวเนีย). 3 (669). ISSN 1392-0677. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 พฤษภาคม 2022.
  25. Dubonis, Artūras (1998). Lietuvos didžiojo kunigaikščio leičiai: iš Lietuvos ankstyvųjų valstybinių struktūrų praeities (Leičiai of Grand Duke of Lithuania: from the past of Lithuanian stative structures (ภาษาลิทัวเนีย). Vilnius: Lietuvos istorijos instituto leidykla.
  26. Bojtár, Endre (1999). Foreword to the Past: A Cultural History of the Baltic People. Central European University Press. p. 179. ISBN 978-963-9116-42-9.
  27. Kolodziejczyk, Dariusz (2011). The Crimean Khanate and Poland-Lithuania: International Diplomacy on the European Periphery (15th–18th Century). A Study of Peace Treaties Followed by Annotated Documents. Brill. ISBN 978-9004191907 โดยทาง Google หนังสือ.
  28. Gedimino laiškai (PDF) (ภาษาลิทัวเนีย). วิลนีอัส: สถาบันวรรณคดีและคติชนวิทยา มหาวิทยาลัยวิลนีอัส. p. 2. สืบค้นเมื่อ 30 พฤษภาคม 2021.
  29. Rosenwein, Barbara H. (2018). Reading the Middle Ages, Volume II: From c. 900 to c. 1500 (3rd ed.). สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยโทรอนโต. ISBN 978-1442636804 โดยทาง Google หนังสือ.
  30. Mickūnaitė, Giedrė (2006). Making a Great Ruler: Grand Duke Vytautas of Lithuania. Central European University Press. ISBN 978-6155211072 โดยทาง Google หนังสือ.
  31. Parker, William Henry (11 พฤศจิกายน 1969). "An Historical Geography of Russia". Aldine Publishing Company โดยทาง Google หนังสือ.
  32. Kunitz, Joshua (11 พฤศจิกายน 1947). "Russia, the Giant that Came Last". Dodd, Mead โดยทาง Google หนังสือ.
  33. Between Two Worlds: A Comparative Study of the Representations of Pagan Lithuania in the Chronicles of the Teutonic Order and Rus'
  34. Lietuvos valdovo žodis pasauliui: atveriame mūsų žemę ir valdas kiekvienam geros valios žmogui
  35. Loewe, Karl F. von (1976). Studien Zur Geschichte Osteuropas (ภาษาอังกฤษ). Brill Archive. p. 19. ISBN 978-90-04-04520-0.
  36. Kuolys, Darius (2005). "Lietuvos Respublika : idėjos ištakos". Senoji Lietuvos literatūra: 157–198. ISSN 1822-3656.
  37. Łuczyński, Jarosław (2013). "Przestrzeń Wielkiego Księstwa Litewskiego na mapie Radziwiłłowskiej Tomasza Makowskiego z 1613 roku w świetle treści kartograficznej i opisowej" (PDF). Zapiski Historyczne (ภาษาโปแลนด์). ธนาคารแห่งประเทศลิทัวเนีย. 78 (1): 87.
  38. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, p. 40.
  39. 1 2 Encyclopedia Lituanica. Boston, 1970–1978, Vol.5 p.395
  40. "Lithuania – History". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2021.
  41. Lithuania Ascending p. 50
  42. A. Bumblauskas, Senosios Lietuvos istorija, 1009–1795, วิลนีอัส, 2005, p. 33.
  43. Iršėnas, Marius; Račiūnaitė, Tojana (2015). The Lithuanian Millennium: History, Art and Culture (PDF). วิลนีอัส: สำนักพิมพ์สถาบันศิลปกรรมวิลนีอัส. p. 45. ISBN 978-609-447-097-4. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  44. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, pp. 43–127.
  45. 1 2 3 V. Spečiūnas. Lietuvos valdovai (XIII-XVIII a.): Enciklopedinis žinynas. วิลนีอัส, 2004. p. 15-78.
  46. "The Battle of Saule". VisitLithuania.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 25 มิถุนายน 2021. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  47. Batūra, Romas. Places of Fighting for Lithuania's Freedom (PDF) (ภาษาอังกฤษ). วิทยาลัยทหารนายพลโยนาส เซเมติสแห่งลิทัวเนีย. pp. 1–2. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 29 ตุลาคม 2021. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  48. Baranauskas, Tomas. "Medieval Lithuania – Chronology 1183–1283". viduramziu.istorija.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 15 มิถุนายน 2010. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  49. Senosios Lietuvos istorija p. 44-45
  50. "Lietuvos Didžioji Kunigaikštystė XIII–XVIII a." valstybingumas.lt (ภาษาลิทัวเนีย). รัฐสภาลิทัวเนีย. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2021.
  51. "Traidenis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  52. Jasas, Rimantas. "Nameisis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  53. "Kernavė Castle Hills". TrueLithuania.com (ภาษาอังกฤษ). 2 กุมภาพันธ์ 2012. สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  54. 1 2 "Trakų senamiestis". กรมมรดกวัฒนธรรมลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  55. Luchtanas, Aleksiejus. "Kernavė". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  56. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, pp. 45–72.
  57. "Balt | people". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  58. Lithuania Ascending p. 55
  59. New Cambridge p. 706
  60. 1 2 Gudavičius, Edvardas; Matulevičius, Algirdas; Varakauskas, Rokas. "Vytenis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  61. Rowell 1994, p. 50.
  62. "Gediminas | grand duke of Lithuania". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  63. Toynbee, Arnold Joseph (1948). A Study Of History (Volume II) (4 ed.). บริเตนใหญ่: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด. p. 172. สืบค้นเมื่อ 11 กรกฎาคม 2021.
  64. "Vilnius | national capital, Lithuania". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  65. "Trakai – The Old Capital of Lithuania". VisitWorldHeritage.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-06-11. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  66. Markauskienė, Julijana. "Senųjų Trakų seniūnija". Vilnijosvartai.lt (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  67. "Kęstutis | duke of Lithuania". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  68. "Algirdas | grand duke of Lithuania". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  69. 1 2 Gudavičius, Edvardas. "Gedimino kepurė". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 19 มีนาคม 2023.
  70. Hinson, E. Glenn (1995), The Church Triumphant: A History of Christianity Up to 1300, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเมอร์เซอร์, p. 438, ISBN 978-0-86554-436-9
  71. Cherkas, Borys (30 ธันวาคม 2011). Битва на Синіх Водах. Як Україна звільнилася від Золотої Орди (ภาษายูเครน). อีสโตริชนาปราฟดา. สืบค้นเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2016.
  72. "Battle of the Vorskla River". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  73. "Trakų pilys". Lietuvos vyriausiojo archyvaro tarnyba (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  74. Kloczowski, Jerzy (2000), A History of Polish Christianity, สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์, p. 55, ISBN 978-0-521-36429-4
  75. Dubonis 2016, p. 5.
  76. "Vytautas the Great | Lithuanian leader". สารานุกรมบริแทนนิกา (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  77. Jasas, Rimantas; Matulevičius, Algirdas. "Radvilos". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  78. Jurginis, Juozas. "Goštautai". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  79. "1440 06 29 Vilniaus katedroje atlikta Kazimiero Jogailaičio pakėlimo Lietuvos didžiuoju kunigaikščiu ceremonija". เดลฟิ, สถาบันประวัติศาสตร์ลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2023.
  80. Gudavičius, Edvardas. "Lietuvos feodalinės visuomenės ir jos valdymo sistemos genezė: 2 dalis" (PDF). กระทรวงมหาดไทยลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). p. 8. สืบค้นเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2023.
  81. Spečiūnas, Vytautas. "Jonas Albrechtas". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 10 พฤศจิกายน 2023.
  82. Matulevičius, Algirdas. "Vedrošos mūšis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.
  83. Zikaras, Karolis (2017). Battle of Orsha 1514 (PDF) (ภาษาอังกฤษ). วิลนีอัส: กระทรวงการป้องกันประเทศลิทัวเนีย. pp. 1–18. ISBN 978-609-412-068-8. สืบค้นเมื่อ 5 กรกฎาคม 2021.[ลิงก์เสีย]
  84. 1 2 Bumblauskas, Alfredas (2010). Lietuvos Didžioji Kunigaikštija ir jos tradicija (PDF) (ภาษาลิทัวเนีย). วิลนีอัส: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยวิลนีอัส. p. 167. ISBN 978-9955-33-632-7. สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.
  85. Gudavičius, Edvardas; Spečiūnas, Vytautas. "Kancleris". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.
  86. Gudavičius, Edvardas. "Pakancleris". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.
  87. Makuch, Andrij. "Ukraine: History: Lithuanian and Polish rule". สารานุกรมบริแทนนิกาออนไลน์ (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2016. Within the [Lithuanian] grand duchy the Ruthenian (Ukrainian and Belarusian) lands initially retained considerable autonomy. The pagan Lithuanians themselves were increasingly converting to Orthodoxy and assimilating into the Ruthenian culture. The grand duchy's administrative practices and legal system drew heavily on Slavic customs, and an official Ruthenian state language (also known as Rusyn) developed over time from the language used in Rus. Direct Polish rule in Ukraine in the 1340s and for two centuries thereafter was limited to Galicia. There, changes in such areas as administration, law, and land tenure proceeded more rapidly than in Ukrainian territories under Lithuania. However, Lithuania itself was soon drawn into the orbit of Poland following the dynastic linkage of the two states in 1385/86 and the baptism of the Lithuanians into the Latin (Roman Catholic) church.
  88. "Union of Lublin: Poland-Lithuania [1569]". สารานุกรมบริแทนนิกาออนไลน์ (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 20 กรกฎาคม 2016. Formally, Poland and Lithuania were to be distinct, equal components of the federation, [...] But Poland, which retained possession of the Lithuanian lands it had seized, had greater representation in the Diet and became the dominant partner.
  89. Stranga, Aivars. "Lithuania: History: Union with Poland". สารานุกรมบริแทนนิกาออนไลน์ (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016. While Poland and Lithuania would thereafter elect a joint sovereign and have a common parliament, the basic dual state structure was retained. Each continued to be administered separately and had its own law codes and armed forces. The joint commonwealth, however, provided an impetus for cultural Polonization of the Lithuanian nobility. By the end of the 17th century, it had virtually become indistinguishable from its Polish counterpart.
  90. Gudavičius, Edvardas. "Didysis kunigaikštis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023.
  91. Tyla, Antanas. "Elekcinis seimas". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023.
  92. "1574 06 18 Lenkijos karalius, Lietuvos dk Henrikas Valua slapta pabėgo iš Lenkijos į Prancūziją". สถาบันประวัติศาสตร์ลิทัวเนีย, เดลฟิ (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023.
  93. 1 2 Urszula Augustyniak (2008). Historia Polski, 1572–1795 (ภาษาโปแลนด์). Wydaw. Naukowe PWN. pp. 557–558. ISBN 978-83-01-15592-6.
  94. Kiaupinienė, Jūratė (2021). "Lietuvos Didžiosios Kunigaikštystės Seimas – valstybės modernizacijos grandis (1572–1587 metai)". Parlamento Studijos (ภาษาลิทัวเนีย). สถาบันประวัติศาสตร์ลิทัวเนีย. 20: 31–32. สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023.
  95. 1 2 Besala, Jerzy (1992). Stefan Batory. pp. 295–296.
  96. Petrus, Jerzy T. (1977). "Miecze poświęcane królewicza Władysława Zygmunta i króla Jana III". Biuletyn Historii Sztuki. 39: 157.
  97. "Vavelio pilies lobyne – ir Lietuvos, Valdovų rūmų istorija". เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์วังแกรนด์ดยุกลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2023.
  98. Bues, Almut (2005). "Politinė ceremonialo paskirtis elekcinėje monarchijoje: Lenkija-Lietuva XVI–XVIII a." (PDF). Lietuvos istorijos metraštis (ภาษาลิทัวเนีย). 2: 9. สืบค้นเมื่อ 6 พฤศจิกายน 2023.
  99. "Steponas Batoras". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 4 พฤศจิกายน 2023.
  100. 1 2 Andriulis, Vytautas. "Trečiasis Lietuvos Statutas". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.
  101. 1 2 3 4 Raila, Eligijus. "ATR nelaimių šimtmetis". Šaltiniai.info. สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2023.
  102. "Vladislovas Vaza". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 27 ธันวาคม 2023.
  103. "Kėdainių sutartis". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2023.
  104. "Lietuvių sukilimas prieš švedus". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2023.
  105. "1661 12 03 Vilniaus pilyje kapituliavo rusų įgula". เดลฟิ (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 8 พฤศจิกายน 2023.
  106. Eidintas, Alfonsas; Bumblauskas, Alfredas; Kulakauskas, Antanas; Tamošaitis, Mindaugas; Kondratas, Skirma; Kondratas, Ramūnas (2013). The history of Lithuania (PDF) (2nd ed.). วิลนีอัส: Eugrimas. p. 101. ISBN 978-609-437-163-9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2019-08-07. สืบค้นเมื่อ 20 พฤษภาคม 2021.
  107. Jasas, Rimantas. "Liublino unija". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2023.
  108. 1 2 Marek Sobczyński. Procesy integracyjne i dezintegracyjne na ziemiach litewskich w toku dziejów (PDF) (ภาษาโปแลนด์). คณะภูมิศาสตร์ ภาควิชาภูมิศาสตร์การเมือง มหาวิทยาลัยวุช. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 4 มีนาคม 2016. สืบค้นเมื่อ 22 กุมภาพันธ์ 2016.
  109. "Lietuvos Didžiosios Kunigaikštystės administracinis teritorinis suskirstymas". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 9 มิถุนายน 2020.
  110. "Vilniaus baroko mokykla". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2023.
  111. Vardys, Vytas Stanley. "Christianity in Lithuania". Lituanus.org (ภาษาอังกฤษ). วารสารลิเทานัส. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 29 กรกฎาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2021.
  112. Lencyk, Wasyl (2013). "Halych metropoly". สารานุกรมยูเครน (ภาษาอังกฤษ). โทรอนโต: สถาบันยูเครนศึกษาแห่งแคนาดา. สืบค้นเมื่อ 7 พฤษภาคม 2025.
  113. Gudavičius, Edvardas; Jučas, Mečislovas; Matulevičius, Algirdas. "Jogaila". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 19 พฤษภาคม 2021.
  114. von Pastor, Ludwig (1899). The History of the Popes, from the Close of the Middle Ages (ภาษาอังกฤษ). Vol. 6. p. 146. สืบค้นเมื่อ 18 กรกฎาคม 2016. ...he wrote to the Grand Duke of Lithuania, admonishing him to do everything in his power to persuade his consort to 'abjure the Russian religion, and accept the Christian Faith.'
  115. "1563 06 07 "Vilniaus privilegija" sulygino Lietuvos DK stačiatikių ir katalikų teises". เดลฟิ (ภาษาลิทัวเนีย). สถาบันประวัติศาสตร์ลิทัวเนีย. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2021.
  116. Wisner, Henryk (1975). "The Reformation and National Culture: Lithuania" (PDF). Odrodzenie I Reformacja W Polsce (ภาษาอังกฤษ). 20: 69–79.
  117. Slavenas, Maria Gražina. "The Reformation in the Grand Duchy of Lithuania". Lituanus.org (ภาษาอังกฤษ). มหาวิทยาลัยรัฐนิวยอร์ก. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 5 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 14 พฤษภาคม 2021.
  118. "เอกสารแนะนำมหาวิทยาลัยวิลนิอัส ค.ศ. 2004" (PDF). vu.lt (ภาษาอังกฤษ). มหาวิทยาลัยวิลนิอัส. สืบค้นเมื่อ 10 เมษายน 2007.
  119. Davies, Norman (2012) [2011]. Vergeten koninkrijken (ภาษาดัตช์). De Bezige Bij Antwerpen. p. 305. ISBN 9789460421723.
  120. Khromov, Kostiantyn; Khromova, Iryna (2019). "COINAGE GENESIS IN THE CONTEXT OF THE POLITICAL AUTONOMY ON THE LITHUANIAN-HORDE BORDER LANDS the second half of the 14th – the first half of the 15th century" (PDF). Ukraina Lithuanica: студії з історії Великого князівства Литовського (ภาษาอังกฤษ): 13–14. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 29 มีนาคม 2023.
  121. Suchodolski, Stanisław; Bogucki, Mateusz (2007). Money Circulation in Antiquity, the Middle Ages and Modern Times: Time, Range, Intensity : International Symposium of the 50th Anniversary of Wiadomości Numizmatyczne : Warsaw, 13–14 October 2006 (ภาษาอังกฤษ). Avalon. p. 199. ISBN 978-83-89499-43-1. The first coins, anonymous (Type I), roughly imitate Tatar coins of Jani beg struck in Gulistán in the years 1351–1353 (Kozubovs'kyi 1994). Kozubovs'kyi regarded them as the oldest coins of Volodymyr from the sixties to the early eighties but Khromov, while facing some recent finds ( or a find ) from the Sumy province, is of the opinion that they were struck earlier, between 1354–63 under the rule of the Ruirikid Prince Fiodor of Kiev, and that they were struck somewhere to the east of the capital town, in the Sumy region ( Khromov 2004, 2006 ).
  122. Górak-Sosnowska, Katarzyna. (2011). Muslims in Poland and Eastern Europe : widening the European discourse on Islam. University of Warsaw. Faculty of Oriental Studies. pp. 207–208. ISBN 978-8390322957. OCLC 804006764.
  123. Shirin Akiner (2009). Religious Language of a Belarusian Tatar Kitab: A Cultural Monument of Islam in Europe : with a Latin-script Transliteration of the British Library Tatar Belarusian Kitab (OR 13020) on CD-ROM (ภาษาอังกฤษ). Otto Harrassowitz Verlag. pp. 51–. ISBN 978-3-447-03027-4.
  124. Hussain, Tharik (2016-01-01). "The amazing survival of the Baltic Muslims". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). สืบค้นเมื่อ 2021-10-26.
  125. 1 2 3 Stone 2001, p. 4.
  126. Dubonis 2002.
  127. Frost 2015, p. 18.
  128. 1 2 O'Connor, Kevin (2006), Culture and Customs of the Baltic States, Greenwood Publishing Group, p. 115, ISBN 978-0-313-33125-1, สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016
  129. Bednarczuk 2013, p. 22.
  130. Gudavičius 2006, p. 646.
  131. 1 2 Wiemer 2003, pp. 110–111.
  132. Potašenko, Grigorijus (2008). Multinational Lithuania: History of Ethnic Minorities. Šviesa. pp. 23–25. ISBN 978-5430052508.
  133. Leśniewska-Napierała, Katarzyna (2015). Geograficzno-polityczne uwarunkowania sytuacji mniejszości polskiej na Litwie i Łotwie po 1990 r. (ภาษาโปแลนด์). มหาวิทยาลัยวุช. pp. 37–38. ISBN 978-83-7969-952-0.
  134. Trimonienė 2006, p. 554.
  135. Rachuba 2010, p. 34.
  136. 1 2 Burant, S. R.; Zubek, V. (1993). "Eastern Europe's Old Memories and New Realities: Resurrecting the Polish-lithuanian Union". East European Politics & Societies. 7 (2): 370–393. doi:10.1177/0888325493007002007. ISSN 0888-3254. S2CID 146783347.
  137. 1 2 Zinkevičius, Zigmas (1995). "Lietuvos Didžiosios kunigaikštystės kanceliarinės slavų kalbos termino nusakymo problema" (ภาษาลิทัวเนีย). Vilnius: viduramziu.istorija.net. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 10 กรกฎาคม 2009. สืบค้นเมื่อ 19 กรกฎาคม 2016.
  138. 1 2 Stone 2001, p. 46.
  139. 1 2 Wiemer 2003, pp. 109–114.
  140. 1 2 3 Bednarczuk 2013, p. 21.
  141. 1 2 Bednarczuk 2013, p. 28.
  142. Bednarczuk 2013, p. 29.
  143. 1 2 Bednarczuk 2013, p. 20.
  144. Frost 2015, p. 24.
  145. 1 2 Walczak 2019, p. 233.
  146. Frost 2015, pp. 24, 308.
  147. Kamuntavičius, Rustis (2006). Lietuvos valstybės ir visuomenės raida (ภาษาลิทัวเนีย). เกานัส: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยวีเทาตัสแม็กนุส. p. 21. ISBN 9955-572-34-5.
  148. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, p. 152.
  149. Fijał, Jan; Semkowicz, Władysław (1948-01-01). "Kodeks dyplomatyczny katedry i diecezji Wilenskiej. Tomu 1. Zeszyt 3 (1501–1507, uzupełn. 1394–1500) (W Krakowie 1948)". Codex Diplomaticus Ecclesiae Cathedralis Necnon Dioceseos Vilnensis. Voluminis I. Fasciculus 3 (1501–1507, Addenda 1394–1500).: 616–617.
  150. Baranauskas, Tomas (2009-01-01). "Lietuvos Didžioji Kunigaikštystė ir lietuvių tauta". Lietuvių tauta (ภาษาลิทัวเนีย). 11: Tirpstančios lietuvių žemės: 82.
  151. Dziarnovič 2013, p. 48.
  152. Frost 2015, p. 160.
  153. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, p. 109.
  154. Baronas, Darius (2013). Žemaičių krikštas: tyrimai ir refleksija (PDF) (ภาษาลิทัวเนีย). วิลนีอัส: บัณฑิตยสภาคาทอลิกลิทัวเนีย. pp. 33–34. ISBN 978-9986-592-71-6. สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2021.
  155. Frost 2015, pp. 159–160.
  156. Statkuvienė, Regina. "Jogailaičiai. Kodėl ne Gediminaičiai?". 15min.lt (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 17 กรกฎาคม 2021.
  157. Dubonis 2016, p. 6.
  158. 1 2 Frost 2015, p. 319.
  159. Frost 2015, pp. 320–321.
  160. Frost 2015, p. 320.
  161. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, p. 195.
  162. Frost 2015, p. 482.
  163. Dubonis 2002, p. 477.
  164. Frost 2015, p. 418.
  165. Dubonis 2002, p. 476.
  166. Wisner 2008, p. 267.
  167. Dubonis 2002, p. 56.
  168. Dziarnovič 2013, p. 63.
  169. Dubonis 2016, pp. 15–16.
  170. Kiaupa, Kiaupienė & Kuncevičius 2000, p. 194.
  171. Dziarnovič 2013, pp. 56–62.
  172. 1 2 Dziarnovič 2013, p. 56.
  173. 1 2 Dziarnovič 2013, p. 62.
  174. Dziarnovič 2013, p. 64.
  175. 1 2 Dziarnovič 2013, p. 55.
  176. Dubonis 2002, p. 478.
  177. Butėnas, Domas (1997). Lietuvos Didžiosios Kunigaikštystės valstybinių ir visuomeninių institucijų istorijos bruožai XIII–XVIII a. วิลนีอัส: สำนักพิมพ์สถาบันประวัติศาสตร์ลิทัวเนีย. pp. 145–146.
  178. Dubonis 2002, p. 475.
  179. 1 2 3 4 5 6 Letukienė, Nijolė; Gineika, Jonas (2003). Istorija. Politologija. Kurso santrauka istorijos egzaminui (ภาษาลิทัวเนีย). วิลนีอัส: Alma littera. p. 182.
  180. Wiemer 2003, pp. 109, 125.
  181. "Žygimanto Kęstutaičio privilegija". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 16 เมษายน 2021.
  182. Pogonowski, Iwo (1989), Poland: A Historical Atlas, Dorset, p. 92, ISBN 978-0-88029-394-5- Based on 1493 population map{{citation}}: CS1 maint: postscript (ลิงก์)
  183. "Lietuvos Didžiosios Kunigaikštystės gyventojai". สารานุกรมสากลลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย).
  184. Kotilaine, J. T. (2005), Russia's Foreign Trade and Economic Expansion in the Seventeenth Century: Windows on the World (ภาษาอังกฤษ), Brill, p. 45, ISBN 90-04-13896-X, สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016
  185. Gil, Andrzej. "Rusini w Rzeczypospolitej Wielu Narodów i ich obecność w tradycji Wielkiego Księstwa Litewskiego – problem historyczny czy czynnik tworzący współczesność?" (PDF) (ภาษาโปแลนด์). Instytut Europy Środkowo-Wschodniej (สถาบันยุโรปกลางและยูโรปตะวันออก). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 1 ตุลาคม 2020. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016.
  186. Pawełko-Czajka, Barbara (2014). "The Memory of Multicultural Tradition of the Grand Duchy of Lithuania in the Thought of Vilnius Krajowcy" (PDF) (ภาษาอังกฤษ). International Congress of Belarusian Studies. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016.
  187. Gałędek, Michał (มกราคม 2003). "Wielkie Księstwo Litewskie w myśli politycznej Stanisława Cata-Mackiewicza". Ostatni Obywatele Wielkiego Księstwa Litewskiego [Last Citizens of Grand Duchy of Lithuania], Eds. T. Bujnicki, K. Stępnik, Lublin: University of Mariae Curie Skłodowska Press (ภาษาโปแลนด์). academia.edu. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 6 เมษายน 2023. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016.
  188. 1 2 Diena, Kauno; Vaida Milkova (5 พฤษภาคม 2011). "Miłosz's Anniversary in the Context of Dumb Politics". มหาวิทยาลัยวีเทาตัสแม็กนุส. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2023-04-06. สืบค้นเมื่อ 12 สิงหาคม 2016.
  189. "Vasario 16-osios Aktas". ศาลรัฐธรรมนูญลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย).
  190. "Lietuvos Respublikos Konstitucija". รัฐสภาลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย).
  191. Bakaitė, Jurga (27 ธันวาคม 2019). "LRT FAKTAI. Ar lietuviams reikia bijoti baltarusių nacionalinio atgimimo?". Lrt.lt (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 4 กรกฎาคม 2021.
  192. "Lukašenka pareiškė, kad baltarusiai buvo LDK stuburas". สถานีวิทยุและโทรทัศน์แห่งชาติลิทัวเนีย (ภาษาลิทัวเนีย).
  193. Gurevičius, Ainis. "Karininkas: jie kels ginklą prieš Lietuvą nuoširdžiai tikėdami, kad Vilnius priklauso jiems". Alfa.lt (ภาษาลิทัวเนีย). สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2023.
  194. "The Historical Lithuanian State Flag". เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีลิทัวเนีย (ดาเลีย กรีบาวสเคท) (ภาษาอังกฤษ). 5 มกราคม 2015. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 7 เมษายน 2022. สืบค้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2021.
  195. "I-1497 Lietuvos Respublikos valstybės vėliavos ir kitų vėliavų įstatymas". e-seimas.lrs.lt (ภาษาลิทัวเนีย). รัฐสภาลิทัวเนีย. สืบค้นเมื่อ 13 พฤษภาคม 2021.

บรรณานุกรม

[แก้]

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]