การเซ็นเซอร์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก การตรวจพิจารณา)
รูปหล่อพลาสเตอร์ดาวิดที่พิพิธภัณฑ์วิกตอเรียแอนด์อัลเบิร์ต มีใบมะเดื่อพลาสเตอร์ที่ถอดได้ ตำนานอ้างว่าใบมะเดื่อนั้นทำขึ้นหลังสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงตกพระทัยหลังทอดพระเนตรรูปปั้นเปลือยครั้งแรก และถูกแขวนก่อนที่เชื้อพระวงศ์จะมาด้วยตะขอสองอัน[1]

เสรีภาพ
แนวความคิดสำคัญ

อิสรภาพ (เชิงบวก · เชิงลบ)
สิทธิ และ สิทธิมนุษยชน
เจตจำนงเสรี · ความรับผิดชอบทางศีลธรรม

จำแนกตามประเภท

พลเมือง · วิชาการ
การเมือง · เศรษฐกิจ
ความคิด · ศาสนา

จำแนกตามรูปแบบ

แสดงออก · ชุมนุม
สมาคม · เคลื่อนไหว · สื่อ

ประเด็นทางสังคม

การปิดกั้นเสรีภาพ (ในไทย)
การเซ็นเซอร์ · การบีบบังคับ · ความโปร่งใสของสื่อ

การเซ็นเซอร์ (อังกฤษ: censorship) เป็นการทำลายคำพูด สื่อสารมวลชน หรือข้อมูลอื่น ๆ ซึ่งทำด้วยหลักการที่ว่าสิ่งนั้นน่ารังเกียจ, อันตราย, อ่อนไหว หรือ "ไม่เหมาะสม"[2][3][4] การเซ็นเซอร์มักดำเนินการโดยรัฐบาล,[5] สถาบันเอกชน และอำนาจอื่น ๆ

รัฐบาล[5] และองค์กรเอกชนอาจมีส่วนในการเซ็นเซอร์ ในขณะที่กลุ่มและสถาบันอื่น ๆ อาจเสนอและยืนคำร้องเพื่อการเซ็นเซอร์[6] เมื่อปัจเจกบุคคลเช่นนักแต่งหรือผู้สร้างอื่น ๆ มีส่วนร่วมในการเซ็นเซอร์ผลงานตนเอง สิ่งนี้จึงมีชื่อเรียกว่า การเซ็นเซอร์ตนเอง การเซ็นเซอร์โดยทั่วไปมักเกิดขึ้นกับสื่อหลายแบบ เช่นคำพูด, หนังสือ, ดนตรี, ภาพยนตร์ และศิลปะอื่น ๆ, หนังสือพิมพ์, วิทยุ, โทรทัศน์ และอินเทอร์เน็ต ด้วยข้ออ้างหลายประการ เช่นความมั่นคงแห่งชาติ, เพื่อควบคุมสื่อลามกอนาจาร, สื่อลามกเด็ก และประทุษวาจา, เพื่อป้องกันเด็กหรือกลุ่มเสี่ยงอื่น ๆ, เพื่อสนับสนุนและกีดกันมุมมองทางการเมืองหรือศาสนา และเพื่อหยุดยั้งการหมิ่นประมาทและการใส่ร้าย

การเซ็นเซอร์โดยตรงอาจถูกหรือไม่ถูกกฎหมาย ขึ้นอยู่กัยประเภท สถานที่ และเนื้อหา หลายประเทศมีกฎหมายป้องกันการเซ็นเซอร์ที่แข็งแกร่ง แต่ไม่มีอันไหนที่ป้องกันได้ทุกอย่าง และกฎนี้มักใช้เป็นข้ออ้างในการสร้างความสมดุลว่าสิ่งใดควรและไม่ควรถูกเซ็นเซอร์ และที่สำคัญ ยังไม่มีกฎหมายต่อต้านการเซ็นเซอร์ตนเอง

ประวัติ[แก้]

กองทัพจีนทำลายรูปปั้นเทพีประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน พ.ศ. 2532 และยังคงเซ็นเซอร์ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้[7] รูปปั้นนี้มีชื่อว่าVictims of Communism Memorial สร้างขึ้นใหม่โดยโทมัส มาร์ชในวอชิงตันดีซี
การเผาหนังสือในประเทศชิลีหลังรัฐประหารใน พ.ศ. 2516 ที่แต่งตั้งรัฐบาลปิโนเชต์

ใน 399 ปีก่อนคริสต์ศักราช โสกราตีส นักปรัชญากรีก ขณะท้าทายความพยายามของรัฐกรีกที่จะเซ็นเซอร์คำสอนเชิงปรัชญาของเขา ถูกกล่าวหาด้วยข้อหาเพิ่มเติมที่เชื่อมถึงความชั่วร้ายของหนุ่มสาวชาวเอเธนส์ และถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษเฮมล็อก

รายละเอียดคำพิพากษาลงโทษของโสกราตีสมีดังนี้ ใน 399 ปีก่อนคริสต์ศักราช โสกราตีสถูกนำไปไต่สวน[8] และพบว่ามีความผิดฐานทำลายจิตใจของหนุ่มสาวชาวเอเธนส์และความอกตัญญู (asebeia[9] "ไม่เชื่อในพระเจ้าประจำรัฐ")[10] และถูกตัดสินประหารชีวิตผ่านการดื่มเฮมล็อก[11][12][13][14]

มีการกล่าวว่าเพลโต ลูกศิษย์ของโสกราตีส สนับสนุนการเซ็นเซอร์ในเรียงความเกี่ยวกับอุตมรัฐ ซึ่งต่อต้านการมีอยู่ของประชาธิปไตย ในทางตรงกันข้าม ยูริพิดีส (480–406 ปีก่อนคริสต์ศักราช) นักประพันธ์บทละครชาวกรีก ป้องกันเสรีภาพที่แท้จริงของมนุษย์ที่เป็นอิสระ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการพูดอย่างเสรี ใน ค.ศ. 1766 สวีเดนเป็นประเทศแรกที่ยกเลิกการเซ็นเซอร์ตามกฎหมาย[15]

เหตุผล[แก้]

เหตุผลของการเซ็นเซอร์นั้นต่างกันออกไปตามลักษณะข้อมูลที่จะได้รับการเซ็นเซอร์

  • การเซ็นเซอร์ทางศีลธรรม: การขจัดไปให้พ้นซึ่งวัตถุอันขัดต่อศีลธรรมอันดีหรืออันเป็นปัญหาอื่น ๆ ทางศีลธรรม เช่น สื่อลามกอนาจารมักได้รับการเซ็นเซอร์อยู่เนือง ๆ ในโลกนี้[16][17]
  • การเซ็นเซอร์ทางการยุทธ์: การรักษาข่าวกรองและกลวิธีทางการยุทธ์ให้เป็นความลับและห่างไกลจากศัตรู เพื่อต่อต้านการจารกรรมอันเป็นกระบวนการหนึ่งสำหรับรวบรวมข้อมูลทางการยุทธ์ และบ่อยครั้งที่ฝ่ายยุทธนาการพยายามจะระงับข้อมูลที่ไม่เหมาะสมทางการเมือง แม้ข้อมูลเช่นว่าจะไม่มีคุณค่าที่แท้จริงในเชิงข่าวกรองก็ตาม
  • การเซ็นเซอร์ทางการเมือง: การที่รัฐบาลปกปิดข้อมูลข่าวสารบางประกับกับสาธารณชน เพื่อควบคุมพลเมืองและเสรีภาพในการแสดงออก มิให้นำไปสู่การก่อจลาจลหรือการชุมนุมประท้วงที่ผิดกฎหมาย
  • การเซ็นเซอร์ทางศาสนา: การขจัดออกซึ่งวัตถุใด ๆ อันไม่พึงประสงค์ต่อลัทธิความเชื่อหนึ่ง ๆ รวมถึงการใช้อิทธิพลของศาสนาหนึ่งครอบงำอีกศาสนาหนึ่งให้ด้อยลง และบางทีศาสนาหนึ่งอาจไม่ร่วมวงศ์ไพบูลย์กับอีกศาสนาเมื่อเห็นว่าลัทธิความเชื่อของทั้งสองขัดกัน
  • การเซ็นเซอร์ทางองค์กร: การแทรกแซงของบรรณาธิการในองค์การสื่อสารใด ๆ เพื่อไม่ระงับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางลบเกี่ยวกับองค์กรหรือภาคีของตน[18][19]หรือแทรกแซงเพื่อไม่ให้ข้อมูลไปถึงการเปิดเผยต่อสาธารณชน[20]

ประเภท[แก้]

การเมือง[แก้]

การเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดมีให้เห็นตั้งแต่กลุ่มคนในสมัยประเทศคอมมิวนิสต์ รัฐมนตรีต่างๆ เป็นผู้ควบคุมเหล่านักเขียน ผลผลิตทางวัฒนธรรมเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ความต้องการของรัฐ ในสมัยนั้นพรรคการเมืองเป็นผู้ตรวจเช็คและควบคุมก่อนที่จะเผยแพร่ ในสมัยของโจเซฟ สตาลิน (Stalinist period) แม้กระทั่งการพยากรณ์อากาศยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าหากรัฐบาลต้องการบอกว่าพระอาทิตย์จะไม่ส่องสว่างในวันที่ 1 พฤษภาคม ภายใต้การปกครองของ ประธานาธิบดีนีกอลาเอ ชาวูเชสกูแห่งโรมาเนีย การรายงานสภาพอากาศก็ถูกควบคุมอุณหภูมิจะได้ไม่ดูว่าขึ้นลงหรือเปลี่ยนแปลงมากจนถึงจุดที่ต้องออกคำสั่งหยุดงาน ในสหภาพโซเวียตเราไม่สามารถพบนักข่าวอิสระได้จนกระทั่งมิฮาอิล กอร์บาชอฟได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งสหภาพโซเวียต การรายงานข่าวทุกชิ้นจะต้องถูกควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์หรือองค์การที่เกี่ยวข้อง ปราฟดาคือหนังสือพิมพ์มีที่เอกสิทธิ์ผูกขาดและมีบทบาทมากในสหภาพโซเวียต หนังสือพิมพ์ต่างชาตินั้นมีให้เห็นแต่จะต้องเป็นฝ่ายเดียวกับพรรคคอมมิวนิสต์เท่านั้น

การครอบครองและการใช้เครื่องทำสำเนาล้วนถูกควบคุมเพื่อยับยั้งการผลิตและการเผยแพร่ของหนังสือต้องห้ามในโซเวียต (samizdat) หนังสือและนิตยสารที่ตีพิมพ์เองจะผิดกฎหมาย การครอบครองแม้กระทั่งหนังสือเพียงเล่มเดียวของ อันเดร ซินยาฟสกี ถือเป็นอาชญากรรมอันร้ายแรงและอาจมีการตรวจค้นจากหน่วยตำรวจลับแห่งสหภาพโซเวียตหรือเคจีบี ผลงานอื่นๆ ที่ไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลต่างถูกตีพิมพ์ในต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งยังใช้กฎหมายทางการเมืองแบบคอมมิวนิสต์ว่าจ้างตำรวจอินเทอร์เน็ตกว่าสามหมื่นคน เพื่อตรวจสอบการใช้อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์เสิร์ชเอนจินที่เป็นที่นิยม เช่น กูเกิล และ ยาฮู! และในประเทศอิรักภายใต้การปกครองของซัดดัม ฮุสเซน มีการเซ็นเซอร์ข่าวสารเช่นเดียวกับในประเทศโรมาเนียภายใต้ประธานาธิบดีนีกอลาเอ ชาวูเชสกูแต่มีความรุนแรงทางการเมืองมากกว่า ส่วนสื่อในประเทศคิวบาดำเนินการภายใต้การตรวจการของพรรคคอมมิวนิสต์ หน่วยงานการกำหนดทิศทางของการปฏิวัติ (Department of Revolutionary Orientation) ซึ่งทำหน้าที่พัฒนาและประสานงานกลยุทธ์ในการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ ซึ่งการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ความลับของรัฐและการเบี่ยงเบนความสนใจ[แก้]

ในช่วงภาวะสงครามมีการเซ็นเซอร์อย่างเปิดเผย ทั้งนี้เพื่อป้องกันการปล่อยข้อมูลบางอย่างที่อาจะป็นประโยชน์แก่ศัตรู โดยทั่วไปเป็นการเก็บข้อมูลเรื่องเวลาและสถานที่ หรือถ่วงเวลาการปล่อยข้อมูลจนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีประโยชน์ต่อกองทัพฝ่ายตรงข้าม เช่น จุดประสงค์การปฏิบัติการ ในทางศีลธรรมอาจะเห็นไปในทางต่างกัน ผู้ที่สนับสนุนการกระทำนี้เห็นว่าการปล่อยข้อมูลด้านยุทธวธีก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมากมายต่อความตายของผู้คนและมีโอกาสเสี่ยงต่อการแพ้สงครามของทั้งหมด ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จดหมายซึ่งเขียนโดยทหารอังกฤษจะถูกส่งผ่านกระบวนกองตรวจพิจารณา ซึ่งประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่คอยอ่านจดหมายและใช้ปากกามาร์คเกอร์สีดำขีดข้อความที่ไม่เหมาะสมทิ้งก่อนจะส่งจดหมายออกไป ซึ่งมีวลีหนึ่งที่เป็นที่นิยมในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง “หลุดปาก เรือจม” (Loose lips sink ships) เป็นการกระตุ้นให้แต่ละคนมีความระมัดระวังเมื่อต้องพูดเกี่ยวกับข้อมูลอันเปราะบางทางการเมือง ตัวอย่างของนโยบายเก็บกวาดของสหภาพโซเวียตภายใต้การนำของโจเซฟ สตาลิน ซึ่งมีปรากฏไว้บนภาพถ่ายและเผยแพร่เป็นการประณามการประหารชีวิตของนโยบายของสตาลิน แม้ภาพถ่ายเก่า ๆ จะถูกเก็บไว้แล้วแต่ภาพเหล่านั้นยังอยู่ในความทรงจำของสาธารณะ และเป็นสัญลักษณ์ของระบบสตาลินและระบอบการปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ ซึ่งการเซ็นเซอร์ส่วนใหญ่มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องผู้มีอำนาจหรือบุคคลบางคนหรือการสนใจของสื่อมวลชนต่อเหยื่อการลักพาตัวเด็กถือเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้

สื่อเพื่อการศึกษา[แก้]

เนื้อหาสาระของหนังสือเรียนในโรงเรียนส่วนมากเป็นการอภิปรายและต่อต้านเพราะกลุ่มเป้าหมายนั้นคือเยาวชน การปกปิดความผิดหรือการเคลือบสีขาว (white washing) เป็นหนึ่งในวิธีการเลือกสรรหรือทำลายหลักฐานที่ต้องการหรือไม่ต้องการปกปิด รายงานของทหารในประวัติศาสตร์นั้นมีข้อโต้แย้งมาก เช่นในกรณีการทิ้งระเบิดเดรสเดนในสงครามโลกครั้งที่สอง หรือการสังหารหมู่นานกิง ซึ่งสามารถพบในหนังสือเรียนของญี่ปุ่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชาวอเมริกัน และการชุมนุมประท้วงที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน ในบริบทของโรงเรียนมัธยมศึกษา วิธีการที่ความจริงและประวัติศาสตร์ถูกนำเสนอนั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตีความและความคิดร่วมสมัย ความเห็นหรือการเข้าสังคม การคัดสรรข้อมูลนั้นเลือกจากการตีความว่าสิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน การตีความว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมนั้นเป็นสิ่งที่ต้องโต้เถียงกันและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

ดนตรีและวัฒนธรรมสมัยนิยม[แก้]

การเซ็นเซอร์ดนตรีนั้นมีรูปแบบต่างกันออกไปตามแต่ละประเทศ, ศาสนา, ระบบการศึกษา, ครอบครัวและกฎหมาย ซึ่งในกรณีส่วนใหญ่จะละเมิดสนธิสัญญาสิทธิมนุษยชนนานาชาติ นอกจากการเซ็นเซอร์สื่อลามก ภาษา และความรุนแรง ภาพยนตร์บางเรื่องถูกตรวจพิจารณาเพราะมีเนื้อหาในเชิงเปลี่ยนแปลงทัศนคติและความถูกต้องทางการเมือง เพื่อหลีกเลี่ยงการขัดต่อจริยธรรมของคนส่วนใหญ่ในสังคมหรือหลีกเลี่ยงการต่อต้านคุณค่าในเชิงศิลปะและประวัติศาสตร์ ตัวอย่างหนึ่งเช่นภาพยนตร์การ์ตูนชุด Censored Eleven ซึ่งแม้ว่าเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นแต่ถูกตรวจพิจารณาเพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง

ให้ความเห็นชอบในการทำซ้ำ ในภาพ หรือในงานเขียน[แก้]

การให้ความเห็นชอบในการแก้ไขบทความคือสิทธิในการอ่านและแก้ไขบทความก่อนการส่งตีพิมพ์ซึ่งส่วนมากมักเป็นบทสัมภาษณ์ หลายสำนักพิมพ์ปฏิเสธที่จะให้สิทธิ์ในการแก้ไขบทความแต่ปัจจุบันได้กลายเป็นข้อปฏิบัติธรรมดาเมื่อบุคคลมีชื่อเสียงเกิดความกังวลใจอย่างมาก การให้ความเห็นชอบในการแก้ไขรูปภาพคือสิทธิ์ที่จะให้บุคคลนั้นๆ เลือกรูปภาพที่จะถูกนำไปตีพิมพ์หรือไม่ควรถูกตีพิมพ์ด้วยตนเอง โรเบิร์ต เรดฟอร์ด เป็นผู้หนึ่งที่เรียกร้องถึงสิทธิ์ในการเลือกรูปภาพ นักหนังสือพิมพ์ของฮอลลีวูด แพท คิงส์ลี เป็นที่รู้จักการดีว่าเป็นผู้ต่อต้านนักเขียนที่เขียนข่าวแย่ๆ ต่อลูกค้าของเธอจากการสัมภาษณ์

แผนที่[แก้]

การเซ็นเซอร์แผนที่ถูกใช้ทั่วไปในเยอรมนีตะวันออกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ติดกับชายแดนของเยอรมนีตะวันตก เพื่อให้การหลบหนีออกนอกประเทศเป็นไปได้ยากขึ้น การเซ็นเซอร์แผนที่นั้นยังถูกนำไปประยุกต์ใช้โดยกูเกิลแมปเมื่อพื้นที่นั้นๆ ตั้งใจถูกทิ้งไว้ล้าสมัย

เซ็นเซอร์ภายหลัง[แก้]

การเซ็นเซอร์ภายหลัง คือ การเซ็นเซอร์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการมีอยู่และมูลเหตุทางกฎหมายของการเซ็นเซอร์ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้เป็นขั้นเป็นตอน

เซ็นเซอร์ที่สร้างสรรค์[แก้]

เป็นการเซ็นเซอร์โดยการเขียนข้อความใหม่ แล้วส่งข้อความลับเหล่านี้ไปให้นักเขียนร่วมอีกหนึ่งคน รูปแบบนี้ใช้ในบทประพันธ์เรื่องไนน์ทีนเอทตี้โฟร์ ของ จอร์จ ออร์เวล

อ้างอิง[แก้]

  1. "David's Fig Leaf". Victoria and Albert Museum. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-06-03. สืบค้นเมื่อ 29 May 2007.
  2. "censorship noun". merriam-webster.com. สืบค้นเมื่อ 30 January 2019.
  3. "cen·sor·ship". ahdictionary.com. The American Heritage Dictionary. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 31 January 2019. สืบค้นเมื่อ 30 January 2019.
  4. "Definition of censorship in English". oxforddictionaries.com. Oxford Living Dictionaries. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2019-04-16. สืบค้นเมื่อ 30 January 2019.
  5. 5.0 5.1 "censorship, n.", OED Online, Oxford University Press, June 2018, สืบค้นเมื่อ 8 August 2018
  6. https://www.aclu.org/other/what-censorship "What Is Censorship", ACLU
  7. Sui-Lee Wee; Ben Blanchard (June 4, 2012). "China blocks Tiananmen talk on crackdown anniversary". Reuters. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2015-09-24. สืบค้นเมื่อ 2013-05-08.
  8. M.F. Burnyeat (1997), The Impiety of Socrates Mathesis publications; Ancient Philosophy 17 Accessed November 23, 2017
  9. Debra Nails, A Companion to Greek and Roman Political Thought Chapter 21 – The Trial and Death of Socrates John Wiley & Sons, 2012 ISBN 1-118-55668-2 Accessed November 23, 2017
  10. Plato. Apology, 24–27.
  11. Warren, J (2001). "Socratic suicide". J Hell Stud. 121: 91–106. doi:10.2307/631830. JSTOR 631830. PMID 19681231. S2CID 24221544.
  12. Linder, Doug (2002). "The Trial of Socrates". University of Missouri–Kansas City School of Law. Retrieved September 12, 2013.
  13. "Socrates (Greek philosopher)". Encyclopædia Britannica. Retrieved September 12, 2013.
  14. R. G. Frey (January 1978).
  15. "The Long History of Censorship" เก็บถาวร 2014-06-27 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Mette Newth, Beacon for Freedom of Expression (Norway), 2010
  16. "Child Pornography: Model Legislation & Global Review" (PDF) (5 ed.). International Centre for Missing & Exploited Children. 2008. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2012-11-20. สืบค้นเมื่อ 2012-08-25. {{cite journal}}: Cite journal ต้องการ |journal= (help)
  17. "World Congress against CSEC". Csecworldcongress.org. 2002-07-27. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 16, 2012. สืบค้นเมื่อ 2011-10-21.
  18. Timothy Jay (2000). Why We Curse: A Neuro-psycho-social Theory of Speech. John Benjamins Publishing Company. pp. 208–209. ISBN 978-1-55619-758-1.
  19. David Goldberg; Stefaan G. Verhulst; Tony Prosser (1998). Regulating the Changing Media: A Comparative Study. Oxford University Press. p. 207. ISBN 978-0-19-826781-2.
  20. McCullagh, Declan (2003-06-30). "Microsoft's new push in Washington". CNET. สืบค้นเมื่อ 2011-10-21.

ผลงานที่อ้างอิง[แก้]

  • Crampton, R.J. (1997), Eastern Europe in the Twentieth Century and After, Routledge, ISBN 978-0-415-16422-1
  • Major, Patrick; Mitter, Rana (2004), "East is East and West is West?", ใน Major, Patrick (บ.ก.), Across the Blocs: Exploring Comparative Cold War Cultural and Social History, Taylor & Francis, Inc., ISBN 978-0-7146-8464-2

อ่านเพิ่ม[แก้]