หม่อมเป็ดสวรรค์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หม่อมเป็ดสวรรค์  
ผู้ประพันธ์คุณสุวรรณ
ประเทศไทย
ภาษาไทย
ประเภทกลอนเพลงยาว
สำนักพิมพ์ศิวพร (พ.ศ. 2507)
เสริมวิทย์บรรณาคาร (พ.ศ. 2515)

หม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นกลอนเพลงยาว แต่งโดยคุณสุวรรณ หญิงนางในและเป็นราชินิกุลในตำหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเธอมีชื่อเสียงเจนจัดด้านการแต่งกลอน จนผู้คนสามารถจดจำและท่องบทกลอนที่เธอแต่งได้[1]: 3  คาดว่าเพลงยาวนี้น่าจะแต่งขึ้นช่วง พ.ศ. 2384–2385[2] หรือ พ.ศ. 2384–2386 โดยแต่งต่อเนื่องกับ เพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งแต่งโดยคุณสุวรรณเช่นกัน[3]: 118  บางแห่งให้ข้อมูลว่า ไม่ปรากฏนามผู้แต่งเพลงยาวหม่อมเป็ดสวรรค์[2] และหากเป็นผลงานของคุณสุวรรณจริง ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในงานไม่กี่ชิ้นที่ได้รับการเปิดเผยสู่สาธารณชน[4]

เรื่องราวของ หม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นเรื่องราวของนางในผู้รับราชการอยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง อันเป็นสังคมปิดที่รายล้อมไปด้วยสาวสรรกำนัลใน มีตัวละครหลักอยู่สองตัว คือ หม่อมสุด หรือสมญาว่า "คุณโม่ง" และหม่อมขำ มีสมญาว่า "หม่อมเป็ด" ทั้งสองเป็นอดีตบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ หลังเจ้าวังหน้าเสวยทิวงคตไปแล้ว ทั้งสองถูกโอนเข้ามาเป็นข้าอยู่ในตำหนักพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ทั้งสองจึงคบหากัน หรือที่สมัยนั้นเรียกความสัมพันธ์อย่างนี้ว่า "เล่นเพื่อน" เนื้อหาในเพลงยาวมุ่งเฉพาะเรื่องชวนหัวของหม่อมสุดและหม่อมขำ ซึ่งสมญาของทั้งสองก็นำมาจากบุคลิกและพฤติกรรมที่ดูน่าขบขันเป็นสำคัญ[5][6]: 57  เนื้อหาของเรื่องจัดอยู่ในแนวเสียดสีสังคม และสะท้อนภาพสังคม[2]

อย่างไรก็ตาม เนื้อหาของ หม่อมเป็ดสวรรค์ ไม่มีท่าทีต่อต้านการรักร่วมเพศของสตรีในพระบรมมหาราชวังแต่อย่างใด[7] อีกทั้งยังได้สอดแทรกลักษณะของสังคมไทยในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ เช่น บรรยายความเป็นอยู่และความรู้สึกนึกคิดของสตรีชาววัง[8]: 23  อีกทั้งยังปรากฏอาหาร วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม และเครื่องมือเครื่องใช้ในยุคนั้นได้อย่างละเอียดชัดเจน[3]: 117 

หม่อมเป็ดสวรรค์ มีสำนักหอสมุดแห่งชาติเป็นผู้ทรงลิขสิทธิ์ และสำนักพิมพ์จะต้องขออนุญาตจากกรมศิลปากรก่อนนำไปตีพิมพ์ ทั้งนี้เคยมีการตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร เมื่อ พ.ศ. 2507 และสำนักพิมพ์เสริมวิทย์บรรณาคาร เมื่อ พ.ศ. 2515

ที่มาของเรื่อง[แก้]

ภาพหญิงชาววังสองคนกำลังสนทนากัน

หม่อมเป็ดสวรรค์ เป็นเรื่องราวที่เรียงร้อยมาจากเรื่องจริง และตัวละครในเพลงยาวก็มีตัวตนจริง ผ่านตัวละครที่เป็นหญิงรักหญิง โดยผู้แต่งหยิบยกเรื่องส่วนตัวของหม่อมสุด และหม่อมขำ นางในสองคนที่รับราชการพระราชวังบวรสถานมงคล (หรือ วังหน้า) มาก่อน เดิมเป็นบาทบริจาริกาในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ภายหลังเมื่อสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทิวงคตใน พ.ศ. 2375 หม่อมสุดจึงโอนเข้าไปรับราชการในพระบรมมหาราชวัง (หรือ วังหลวง) ทำหน้าที่เป็นผู้อ่านบทกลอนก่อนบรรทมในพระตำหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเรียกกันว่า "พระตำหนักใหญ่" เจ้าของตำหนักเป็นพระราชธิดาพระองค์โปรดในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ในเวลาต่อมาหม่อมขำจึงย้ายมารับราชการในวังหลวงในพระตำหนักใหญ่เช่นเดียวกับหม่อมสุด ทั้งสองคบหากันอย่างเปิดเผย หรือที่ศัพท์สมัยนั้นเรียกว่า "เล่นเพื่อน" เป็นที่รู้กันทั่วไปในราชสำนัก และทั้งสองก็มักจะมีเรื่องวิวาทกันเป็นประจำ ด้วยเหตุนี้ คุณสุวรรณ ซึ่งเป็นจินตกวีฝีปากดีผู้มีชื่อแห่งพระตำหนักใหญ่ จึงแต่งเพลงยาวเพื่อล้อเลียนนางข้าหลวงทั้งสองคน[7][9][10]: 58  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงกล่าวถึงคุณสุวรรณเอาไว้ ความว่า[6]: 63 

"คุณสุวรรณเป็นจินตกวีผู้รู้รสกวีดีคนหนึ่ง แต่งบทกลอนดี ทั้งในเวลาสำเริงสุขและเวลาที่ทุกข์ร้อน อื่นจากเพลงยาว 2 เรื่องนี้แล้ว [คือ เพลงยาวหม่อมเป็ดสวรรค์ และ เพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ] ยังได้แต่งบทละคอนอุณรุทร้อยเรื่องและบทละคอนเรื่องพระมะเหลเถไถไว้อีก เป็นกวีหญิงที่มีชื่อเสียงสืบมากระทั่งทุกวันนี้"

จุดประสงค์ในการแต่งเพลงยาว หม่อมเป็ดสวรรค์ คือแต่งให้ชาววังด้วยกันอ่านเล่นเป็นสนุกสนาน ส่วนหม่อมสุดและหม่อมขำจะสนุกกับเพลงยาวนี้ด้วยหรือไม่ ยังไม่เป็นที่ทราบ แต่เรื่องราวของทั้งสองยังปรากฏต่อใน เพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ซึ่งเป็นผลงานของผู้แต่งคนเดียวกัน คือคุณสุวรรณ[11]: 44  ขณะที่เว็บไซต์ของ นามานุกรมวรรณคดีไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ให้ข้อมูลว่า เพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง[2]

อย่างไรก็ตามการกระทำของหม่อมสุดและหม่อมขำ ถือเป็นการผิดกฎมนเทียรบาล มาตรา 124 วรรคสอง ระบุว่า "อนึ่งสนม กำนัลคบผู้หญิงหนึ่งกันทำดุจชายเปนชู้เมียกัน ให้ลงโทษด้วยลวดหนัง ๕๐ ที ศักฅอประจานรอบพระราชวัง ทีหนึ่งให้เอาเปนชาวสดึง ทีหนึ่งให้แก่พระเจ้าลูกเธอหลานเธอ"[7][10]: 67  แม้จะผิดครรลองของราชสำนัก แต่กรณีของทั้งสองได้รับการผ่อนปรน เพราะถือว่ามิใช่ความผิดร้ายแรง อีกทั้งกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพเองก็มิทรงถือโทษกับพฤติกรรม "เล่นเพื่อน" ของทั้งสอง ทรงชุบเลี้ยงอย่างดีเป็นที่โปรดปราน และมีพระเมตตากับทั้งสองมาโดยตลอด[5][7] ครั้งหนึ่งหม่อมสุดและหม่อมขำเคยทะเลาะกันจนลูกกรงไม้สักที่เฉลียงในพระตำหนักใหญ่หัก ทว่าหลังทั้งสองให้การสารภาพผิด กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพก็มิทรงเอาความ แล้วให้ทหารในมาซ่อมแซมเฉลียงใหม่[9]

เนื้อเรื่อง[แก้]

ช่วงต้น[แก้]

ตอนต้นของเรื่องเริ่มจากการอธิบายความเป็นมาของหม่อมสุดและหม่อมขำ ซึ่งเป็นตัวละครหลัก โดยให้ข้อมูลเพียงว่าทั้งสองเคยรับราชการเป็นบาทบริจาริกาหรือนางห้ามในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ จนกระทั่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสวยทิวงคต ทั้งสองจึงตกพุ่มหม้าย และเริ่มสานสัมพันธ์แบบหญิงรักหญิง หรือที่เรียกว่า "เล่นเพื่อน" ดังปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 73 [6]: 7 

เจ้านายฝ่ายในประทับอยู่บนพระวอ มีนางข้าหลวง บ่าว และทหารในตามเสด็จ
ภาพหญิงนางใน
๏ จะกล่าวถึงหม่อมสุดนุชนาฏ เป็นข้าบาทพระราชวังบวรสถาน
เป็นหม่อมห้ามขึ้นระวางนางอยู่งาน ครั้นเสด็จเข้าพระนิพพานล่วงลับไป
คิดถึงพระเดชพระคุณให้มุ่นหมก แสนเศร้าเปล่าอกตกเป็นหม้าย
ได้แต่เห็นหน้าหม่อมขำคอยช้ำใจ รักใคร่แนบข้างไม่ห่างทรวง

ต่อมาหม่อมสุดได้โอนย้ายไปรับราชการอยู่ในพระบรมมหาราชวัง หรือที่เรียกว่า "พระวังหลวง" ในพระตำหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ที่เรียกกันว่า "พระตำหนักใหญ่" ภายหลังหม่อมสุดได้ชักชวนให้หม่อมขำมาทำงานอยู่ในพระวังหลวงด้วยกัน ที่สุดหม่อมขำได้ถวายตัวต่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้หม่อมขำไปรับราชการอยู่ที่พระตำหนักใหญ่ด้วยกันกับหม่อมสุด[1]: 75 [6]: 8  ชีวิตใหม่ในพระตำหนักใหญ่ของหม่อมสุดและหม่อมขำนั้นไปได้สวย เพราะกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพโปรดปรานทั้งคู่ โดยระบุในกลอนว่า "ในเสด็จใช้นางอย่างผู้ดี" และกล่าวอีกว่าหม่อมขำได้แต่งตัวสวยเหมือนสาวน้อยอยู่ตลอด กระนั้นหม่อมขำนั้นเสียฟันไปแล้วหลายซี่ จึงต้องใส่ฟันปลอมที่ทำจากกะลามะพร้าว ปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 76 [6]: 8 

ฝ่าพระบาทจึ่งพระราชทานนาม ยกจากห้ามขึ้นเป็นจอมเรียกหม่อมเป็ด
ริมฝีปากสู้เอากระเหม่าเช็ด ในเสด็จใช้นางอย่างผู้ดี
หมั่นผัดพักตร์ผิวผ่องละอองหน้า แต่ทันตาอันตรายไปหลายซี่
ประจงจัดตัดกะลาที่หนาดี ใส่เข้าที่แทนฟันทุกอันไป
ที่ไม่รู้ดูเหมือนกับสาวน้อย กระชดกระช้อยเจรจาอัฌชาสัย
คุณสุดสุดสวาทจะขาดใจ แต่เวียนไปเวียนมาทุกราตรี

ข้างหม่อมสุดเองก็เป็นคนรู้หนังสือดี มีฝีปากดี มีไหวพริบในเชิงกาพย์กลอน ผู้แต่งได้กล่าวชมเชยหม่อมสุดว่าเก่งกว่านักเลงกลอนที่เป็นชายบางคน ไว้ว่า "ถึงนายแฟงนายคงครูสู้ไม่ได้"[1]: 77 [6]: 9  กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงให้หม่อมสุดอ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ก่อนบรรทมเป็นประจำทุกคืน แต่หม่อมสุดนั้นชอบเล่นเพื่อนกับหม่อมขำ มีคืนหนึ่งหม่อมสุดอ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สำคัญว่าเจ้านายบรรทมแล้ว ก็ดับเทียนเอาผ้าคลุมกอดจูบกับหม่อมขำชุลมุนวุ่นวายอยู่ที่ปลายพระบาท ขณะนั้นกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพยังไม่บรรทม และทอดพระเนตรเห็นพฤติการณ์ของทั้งคู่ พระองค์จึงประทานชื่อแก่หม่อมสุดว่า "คุณโม่ง" เพราะนำผ้ามาคลุมโปงเล่นเพื่อน ส่วนหม่อมขำเองก็ชอบเดินส่ายกิริยาเหมือนเป็ด จึงพระราชทานนามว่า "หม่อมเป็ด" ดังปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 78–79 [6]: 9 

ครั้นพระองค์ทรงพลิกพระกายกลับ หมายว่าพระบรรทมหลับสนิทนิ่ง
ก็สมจิตคิดไว้ใจประวิง ก็คลานชิงกันขยับดับเทียนชัย
เข้าชุลมุนวุ่นวายอยู่ปลายพระบาท ก็คิดคาดเอาว่าคนหาเห็นไม่
จึ่งกระทำเอาแต่อำเภอใจ ด้วยแสงไฟมืดมิดไม่มีโพลง
กระซุบกระซิบซุ่มกายอยู่ปลายพระบาท อุตลุดอุดจาดทำอาจโถง
เอาเพลาะหอมกรอมหุ้มกันคลุมโปง จึ่งเรียกว่าคุณโม่งแต่นั้นมา
ข้างหม่อมเป็ดเสด็จท่านโปรดปราน ได้ประทานเปลี่ยนนามตามยศถา
เพราะเดินเหินโยกย้ายส่ายกิริยา จึ่งชื่อว่าหม่อมเป็ดเสด็จประทาน

ช่วงกลาง[แก้]

พระบรมมหาราชวัง และท่าราชวรดิฐ

ครั้งหนึ่งหม่อมขำชวนข้าของเสด็จในกรมลงแพว่ายน้ำที่พระตำหนักแพ (ปัจจุบันคือท่าราชวรดิฐ) แล้วเรียกเรือขายขนมจีนเพื่อซื้ออาหารรับประทานเล่น หม่อมขำซื้อของมากินหลายอย่าง ในท้องกลอนระบุไว้ว่า "ทั้งห่อหมกนกคั่วใบบัวอ่อน ทอดมันจันลอนไว้หนักหนา" สักพักหนึ่งหม่อมขำก็ปวดท้อง แต่มิกล้าบอกใครเพราะกระดากอาย อีกสักพักหนึ่งท้องไส้ก็ปั่นป่วนจนหม่อมขำอดทนไม่ไหว ก็รีบวิ่งไปสรีร์สำราญ แต่ปรากฏว่าไปไม่ทัน หม่อมขำทำอุจจาระเล็ดราดไปตามทาง หลังจากนั้นหม่อมขำจึงซื้อขนมเป็นกำนัลให้ตาเฒ่าที่เฝ้าตำหนักใช้ให้ไปทำความสะอาดแทนให้สิ้นกลิ่น แล้วห้ามตาเฒ่านำเรื่องนี้ไปแพร่งพรายแก่ผู้ใด[1]: 80 [6]: 10  ต่อมาหม่อมขำนั่งเล่นไพ่กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ และข้าของเสด็จในกรมอีกหลายคน หลังเล่นไปแล้วหลายกระดาน หม่อมขำก็ปวดท้องหนักจนทนไม่ไหว จึงรีบถวายบังคมออกไปสรีร์สำราญ เมื่อปลดทุกข์เรียบร้อยดีแล้ว หม่อมขำเกิดหิวขึ้นมา ก็ลอบนำผลทุเรียนและเม็ดบัวมารับประทาน แต่เคี้ยวไม่เข้าเพราะใช้ฟันปลอม และเหลือฟันแท้ไว้ขบอาหารน้อยซี่ หม่อมขำจึงนำเนื้อทุเรียนและเม็ดบัวไปตำในตะบันให้แหลก ด้วยสำคัญว่าไม่มีใครเห็น แต่ปรากฏว่าลุงทองจีนเห็นพฤติการณ์ทั้งหมด ก็ถามหม่อมขำว่า "อะไรในตะบัน" หม่อมขำตอบว่า "ตะบันหมากกินดอกจ๊ะลุงจ๋า" ลุงทองจีนก็ว่า "อันคนแก่ตะบันหมากมากด้วยกัน แต่ซึ่งตะบันทุเรียนหามีไม่ ผลบัวก็ตะบันขันสุดใจ น่าจะใคร่ศึกษาเป็นอาจารย์"[1]: 82–83 [6]: 11 

หม่อมขำมีปัญหากับฟันปลอมเป็นประจำ ครั้งหนึ่งหม่อมขำกำลังเจรจากับหลวงนายศักดิ์อย่างออกรส จนทำฟันปลอมของตนกระเด็นตกลงหน้าหลวงนายศักดิ์เพราะไหมที่ผูกไว้กับฟันนั้นเปื่อย หลวงนายศักดิ์ก็ทักถามทันที หม่อมขำก็อ้างว่าหมากกระเด็นออกจากปากเพราะบ่าวตะบันไม่ใคร่แหลก แล้วแก้เกี้ยวด้วยการหันไปเอ็ดบ่าวของตัว แล้วรีบผูกฟันปลอมเข้ากับปากให้เรียบร้อย[1]: 84 [6]: 11–12  วันหนึ่งหม่อมขำเข้าออเซาะหม่อมสุดว่าอยากได้ของเปรี้ยวหวานไว้กิน หม่อมสุดก็ว่ามีของกินในห้องของตน หม่อมขำจึงรีบเข้าไปหาของกินในห้องของหม่อมสุด ก็พบกับก้อนเกลือสินเธาว์ก้อนใหญ่ไว้ทำยา แต่หม่อมขำเข้าใจว่าเป็นขัณฑสกร เมื่อรับประทานเข้าไปมีรสเค็มก็พาลโกรธหม่อมสุด แม้หม่อมสุดจะปลอบเท่าไร หม่อมขำก็ยิ่งโกรธแสร้งสำออย หยิกตีตะกายหม่อมสุด ประกาศตัดขาดจากกัน ด่าทอประชดประชัน และทวงสิ่งของของกันและกันจนเรื่องราววุ่นวายใหญ่โต แต่พอตกดึกทั้งสองก็คืนดีกัน[1]: 85–89 [6]: 12–14 

เมื่อคราวจางวางหมอได้เข้ามาถวายการรักษากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ โดยมีหม่อมขำคอยถวายรายงานพระอาการของเสด็จในกรม เมื่อจางวางหมอถวายการรักษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว หม่อมขำก็เพ็ดทูลอาการของตัวว่าปวดศีรษะและมึนศีรษะมาช้านาน จางวางหมอตัดสินพระทัยเป่ายานัตถุ์ให้หม่อมขำ แต่ด้วยฤทธิ์ของยานัตถุ์ทำให้หม่อมขำจามออกมาอย่างแรง จนฟันปลอมของตนกระเด็นตกลงต่อหน้าพระพักตร์จางวางหมอ จางวางหมอก็ทรงพระสรวล แล้วชมว่ายานัตถุ์ของพระองค์นี้ดีนัก หม่อมขำรีบแกล้งไถลตัวออกจากที่ด้วยกระดากอายยิ่งนัก[1]: 89–90 [6]: 14 

น้ำตาไหลไอจามศีรษะฟัด จนฟันพลัดตกเปาะจำเพาะพักตร์
กรมหลวงทรงทอดพระเนตรมา เห็นกะลาทำฟันให้ขันหนัก
แล้วก็ทรงพระสรวลสำรวลคัก หม่อมอายนักก้มหน้าไม่พาที
เสด็จตรัสว่ายานัตถุ์ดีขยัน แต่ฟันคนเจียวยังหลุดออกจากที่
นี่หรือโรคจะไม่คลายหายดี บัดเดี๋ยวนี้ก็จะหายไปคล้ายฟัน
หม่อมเป็ดอายเสด็จไม่อยู่ได้ แกล้งไถลเลื่อนหลีกไปจากนั่น

ต่อมาเป็นเนื้อหาที่ผู้แต่ง คือคุณสุวรรณ อุทธรณ์ว่าตนเองมิใช่คนที่นำเรื่องลับของหม่อมขำไปแพร่งพรายเพียงผู้เดียว โดยได้กล่าวซัดทอดคุณชีเหม ลุงทองจีน หลวงนายศักดิ์ นายผึ้ง ตาแจ้ง ส่วนคุณสุวรรณนั้นอ้างว่าตนได้ยินได้ฟังมาจากคนที่ตำบลถนนอาจารย์เล่าลือเรื่องเก่าเรื่องแก่ของหม่อมขำ และกล่าวอีกว่ามีตาแจ้งกับนายมีเข้าไปขับเสภาล้อเลียนหม่อมขำในพระตำหนักใหญ่ เมื่อหม่อมขำได้ฟังก็รู้สึกละอายใจลุกออกจากที่ แล้วไปนั่งอยู่ที่เก๋งเสวยพลางบ่นว่า เบื่อตาแจ้งนายมีมาเห่าหอนดั่งหมาเดือนสิบสอง พอถึงเวลาอาหารค่ำ อีเปียได้เข้าไปชักชวนหม่อมขำเข้าไปร่วมวงรับประทานอาหารด้วยกัน แต่หม่อมเป็ดกล่าวกับอีเปียว่า "พี่เสียใจ ไม่ไปกินแล้วของคาวหวาน" จนลุงทองจีนตามหม่อมขำไปรับประทานอาหารด้วยกัน หม่อมขำเกรงใจลุงทองจีนแล้วกล่าวว่าจะตามเข้าไป จากนั้นหม่อมขำรู้สึกปวดท้องหนักก็รีบเข้าไปอุจจาระที่สรีร์สำราญ เมื่อขับถ่ายเสร็จก็พบหม่อมสุดเดินมาพอดี หม่อมสุดชวนไปรับประทานข้าวมันด้วยกัน หลังรับประทานอาหารเสร็จ ยายปาน ลูกบุญธรรมของหม่อมขำก็ออกปากชมตาแจ้งว่าขับเสภาได้ดี ทั้งขับได้ไพเราะ และตลกมากเสียด้วย ฝ่ายหม่อมขำได้ยินดังนั้นก็โกรธ พลางกระทืบเท้าแล้วพูดว่า "ออปานลูกมึงจะถูกไม้เรียวรึ คนอะไรไม่มีอัธยา อย่ามานั่งอยู่ที่กูดูไม่ได้"[1]: 97–98 [6]: 14–18  ตกดึกคืนนั้นหม่อมขำเรียกให้แพทย์วาโยมานวดให้ แต่หม่อมสุดบอกว่าจะนวดให้แทน ระหว่างนั้นหม่อมขำก็กล่าวว่าตนเจ็บใจที่คุณชีเหมเอาเรื่องไม่ดีของตนไปไขแก่ผู้อื่นในพระตำหนักจนตนรู้สึกอับอาย หม่อมสุดปลอบประโลมว่าตนเข้าใจหม่อมขำ หม่อมสุดกล่าวอีกว่า หากใครไม่ดีต่อเราให้ตัดออกไป ส่วนใครที่ว่าร้ายก็ไม่ต้องไปโต้ตอบให้นิ่งเสีย จากนั้นทั้งสองก็ผล็อยหลับไป[1]: 98–99 [6]: 18 

ช่วงท้าย[แก้]

ภาพสตรีกำลังใส่บาตร

หม่อมสุดเข้ามานอนที่ห้องของหม่อมขำหลายคืนแล้ว และตัวหม่อมขำเองก็ยังไม่กล้าออกไปสู้หน้าใครข้างนอก เพราะยังชอกช้ำกับเสภาของตาแจ้งนายมีอยู่ ทั้งยังพาลโกรธข้าคนอื่นในตำหนักอยู่หนักหนา ในเวลาต่อมาก็มีการขับเสภาในพระตำหนักอีกครั้ง ตาแจ้งนายมีก็ขับเกริ่นเรื่องราวของหม่อมขำอีก หม่อมขำกับหม่อมสุดที่หนีไปนั่งอยู่ที่เฉลียงได้ยินดังนั้นก็โกรธอีก หม่อมขำกล่าวว่า "เกลียดตาแจ้งบ้า เฝ้าขับเรื่องเราร่ำไปได้ ไม่รู้แล้วรู้รอดสอดพิไร เฝ้าค่อนขอดแคะไค้เจ็บใจจริง" พอเสภาจบตอนพลบค่ำ คนก็เดินมาที่หน้าเฉลียง หม่อมขำอับอายจึงจะลุกวิ่งออกไปไกล ๆ หม่อมสุดก็รั้งตัวไว้บอกว่าให้นั่งนิ่ง ๆ ไม่เป็นอะไรหรอก เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่หม่อมสุดกลับไปบอกอีกว่า ไม่ให้หม่อมขำไปโกรธตาแจ้งเลย เพราะหม่อมสุดก็ชอบตาแจ้งเหมือนกัน เมื่อหม่อมขำได้ยินดังนั้นก็โกรธหม่อมสุดเป็นฟืนเป็นไฟ แล้วทะเลาะกันกับหม่อมสุด ลุงทองจีนขึ้นมาห้ามปรามทั้งคู่ แต่ทั้งหม่อมสุดและหม่อมขำก็วิ่งหนีซ่อนตัวด้วยความอับอาย วิ่งวนเวียนไปมาจนไม้เฉลียงหักตกลงไปทั้งคู่ หม่อมสุดล้มทับหม่อมขำจนน้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด จากนั้นทั้งสองแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วคืนนั้นทั้งสองก็นอนกอดกันอย่างเป็นสุข[1]: 100–103 [6]: 19–20  รุ่งขึ้นกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพทรงตรัสหาหม่อมเป็ดสวรรค์ว่าเหตุใดไม้ตรงเฉลียงจึงหักเช่นนั้น หม่อมขำอ้างว่าเมื่อคืนคนฟังเสภาเยอะมาก เฉลียงเลยรับน้ำหนักไม่ไหวจึงหักลง กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพสดับคำแก้ตัวของหม่อมเป็ดดังนั้น ก็ทรงตวาดด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า ทรงทราบความจริงทั้งหมดอยู่แล้ว ใยหม่อมเป็ดยังคิดโกหกเช่นนี้อีก หม่อมขำเองเกรงราชทัณฑ์ จึงก้มลงกราบออกรับสารภาพต่อกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ แล้วกล่าวอีกว่าหาตาแจ้งมาขับเสภาต่อว่าตนเองอีก จะไม่โกรธขึ้งดังนี้อีก ดังปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 103–105 [6]: 20 

พระทรงฟังกริ้วกราดตวาดดัง ชะเจ้าช่างเบือนบิดคิดแก้ไข
จะแกล้งมาพูดบิดคิดเลี้ยวลด เขารู้พยศเจ้าทุกอย่างมาพรางกัน
หม่อมเป็ดได้ฟังรับสั่งกริ้ว ทำหน้าจิ๋วร้อนจิตคิดพรั่น
ใจระเริ่มรัวกลัวราชทัณฑ์ อภิวันท์สารภาพกราบกราน
ได้พลั้งพลาดขอพระราชทานโทษ ขอพระองค์ทรงโปรดกระหม่อมฉาน
ไปเบื้องหน้าตาแจ้งถนนอาจารย์ จะขับเสภาว่าขานไม่เคืองใจ

หลังหม่อมขำสารภาพไปตามสัตย์ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพก็ทรงยกโทษให้หม่อมขำ แล้วมีรับสั่งให้ทหารในมาซ่อมแซมเฉลียงขึ้นใหม่[1]: 105 [6]: 20 

อยู่มาวันหนึ่ง หม่อมขำใคร่จะกินข้าวเหนียวสังขยา จึงใช้ให้ยายปานลงเรือใบไปซื้อสังขยาถึงเมืองละคร โดยเตรียมกาละมังโคมใบใหญ่เป็นภาชนะใส่อาหาร หลวงนายศักดิ์เห็นแล้วก็ตกใจว่าเหตุใดภาชนะใส่อาหารถึงใหญ่เพียงนั้น เมื่อยายปานกลับมาถึงห้อง หม่อมขำก็ลุกไปหยิบกาละมังแล้วขึ้นนั่งกินบนเตียง ปรากฏว่าพอหย่อนก้นลงได้เตียงไม้สักก็หักลง ในเวลาเดียวกันนั้นหม่อมขำก็ผายลมออกมาเสียงดัง ดังปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 105–106 [6]: 21 

ฝ่ายหม่อมนิ่งนอนคอยคอยหา เห็นปานมาผุดลุกขึ้นจากหมอน
กำลังอยากสังขยาให้อาวรณ์ ถึงเตียงหย่อนก้นกักเตียงหักพลัน
พื้นพังดังสวบเสียงกรวบกราบ เสียงก้องกาบกาบเหมือนเป็ดขัน
กับหม่อมระบายผายลมประสมกัน เหมือนเป็ดสวรรค์ที่ฉันเลี้ยงไว้วัดระฆัง

หลังจากนั้นหลวงนายศักดิ์ได้ยินเรื่องราวดังกล่าวมา เมื่อพบตัวหม่อมขำก็หัวเราะเยาะให้ ว่าหม่อมขำกินสังขยาจนเตียงหักไป หม่อมขำก็คิดเกรงว่าเรื่องจะเลยไปถึง ลุงทองจีน นายผึ้ง ตาแจ้ง และหลวงนายอีกนายหนึ่งเป็นแน่ ค่ำคืนวันนั้นที่พระตำหนักใหญ่ทำขนมจีนน้ำยา ลุงทองจีนปรามหม่อมขำเพราะหม่อมขำกินขนมจีนทีไรจะท้องไส้ปั่นป่วนทุกที แต่หม่อมขำอยากกินขนมจีนน้ำยามาก จึงอ้างกับลุงทองจีนว่ามียาแก้อยู่บนห้อง ครั้นในเวลาสี่ทุ่มหม่อมขำก็เอาขนมจีนมาคลุกเคล้ารับประทาน แต่เมื่อกินได้เพียงเจ็ดคำก็อาการกำเริบ ก็เรียกใช้ยายปานไปเอายามาตำแล้วจึงหายดีแล้วหลับไป[1]: 108–110 [6]: 22–24  ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมา หม่อมขำก็ชวนยายปานไปอาบน้ำด้วยกัน แต่เมื่อยายปานกำลังยกขันตักน้ำ ก็ล้มหน้าคะมำจนปากแตกหน้าซีดแล้วกรีดร้องออกมา ฝ่ายหม่อมขำเห็นเช่นนั้นก็ตกใจมาก จนตัวเองหน้ามืดล้มคว่ำลงบนอุจจาระของม้า หม่อมสุดเห็นเช่นนั้นก็ตกใจมาก รีบวิ่งมาพยาบาลทั้งสองคน เมื่อหม่อมขำได้สติสมประดี ก็นึกสงสารยายปาน เพราะไม่มียายปานใครจะขวนขวายหาหยูกยาหรือสังขยาเมืองละครมาให้ ครั้นมื่อตนเองว่างจากงานก็จะรีบขึ้นมาดูอาการยายปานอยู่เสมอ[1]: 111–113 [6]: 23–24 

อยู่มาวันหนึ่ง หม่อมสุดคิดทำข้าวเหนียวเหลืองหน้ากุ้ง แต่ไม่พบกับหม่อมขำจึงฝากของกินไว้กับลุงทองจีน ลุงทองจีนก็ทำงานทั้งวันจึงมิได้นำของกินไปให้หม่อมขำ ครั้นตกเย็นเสร็จจากงานก็ให้บ่าวยกไปให้ที่ห้องหม่อมขำ ซึ่งข้าวเหนียวเหลืองหน้ากุ้งก็บูดเน่าเหม็นโอ่เสียแล้ว แต่ด้วยความรัก แม้จะบูดอย่างไรหม่อมสุดก็ทำให้ตนด้วยความรัก หม่อมขำจึงรับประทานข้าวเหนียวบูดนั้นเอง ดังปรากฏในกลอน ความว่า[1]: 113–115 [6]: 24–25 

ก็ยกชามหยิบชิมยิ้มแผยะ ถึงบูดแฉะชั่วดีของพี่ให้
เพราะความรักชักให้อร่อยไป จนหมดชามปากไปล่ใช่พอการ
ตำราว่ารับประทานด้วยการรัก น้ำต้มฟักก็ซดเป็นรสหวาน
นี่ข้าวเหนียวบูดเหม็นไม่เป็นการ ยังรับประทานหมดได้ไม่พอพุง

ทว่าหลังจากรับประทานข้าวเหนียวบูดไปแล้ว หม่อมขำก็มีอาการปวดท้อง จึงจ้างให้ออพูมาช่วยนวดคลึงให้ทั้งคืนจวบจนอุษาสาง ฝ่ายออพูทนไม่ไหวก็หนีออกไปข้างนอกไม่กลับเข้ามาอีก ฝ่ายหม่อมสุดจึงโกรธเคืองต่อว่าออพู และจะหักเงินค่าตัวของออพู แต่หม่อมขำรู้ตัวว่าใช้งานออพูหนักเกินไป จึงปลอบประโลมหม่อมสุดให้ใจเย็นลง[1]: 115–116 [6]: 25 

ในตอนจบ หม่อมขำฝันว่าชาวเมืองละครนำผลทุเรียนมาฝากหลายยวง และฝันอีกว่ามียายมาหยิบเอาฟันปลอมสามพวงของจีนยูมาให้หม่อมขำ พวงหนึ่งทำจากไม้มะเกลือ พวงสองทำจากกะลามะพร้าว และพวงที่สามทำจากไม้ทองหลาง เมื่อตื่นจากฝัน หม่อมเป็ดขำก็ว่าตนเองจะได้โชคลาภใหญ่เป็นแม่นมั่น[1]: 116–118 [6]: 25–26 

สิ่งที่ปรากฏในเรื่อง[แก้]

ตัวละคร[แก้]

ตัวละครหลัก[แก้]

ตุ๊กตาจีนรูปหญิงไทยที่วัดเทพธิดาราม เผยให้เห็นลักษณะการแต่งกายของหญิงชาววังช่วงรัชกาลที่ 3
"จางวางหมอ"
  • หม่อมสุด หรือ คุณโม่ง เดิมเป็นนางห้ามในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานมงคลเสวยทิวงคตแล้ว จึงย้ายมารับราชการในพระบรมมหาราชวัง ที่พระตำหนักของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[6]: 57  หม่อมสุดเป็นผู้รู้หนังสือ รู้จักเขียนกาพย์เขียนกลอน กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงให้หม่อมสุดอ่านบทกลอนถวายเมื่อบรรทมเป็นประจำ หากมีกลอนตอนใดตกหล่นก็ใช้ไหวพริบแต่งแต้มกลอนนั้นจนสมบูรณ์[11]: 47  หม่อมสุดมีบุคลิกเหมือนผู้ชาย สังเกตได้ว่าเป็นผู้มีฝีปากดี พูดเล่นเฮฮาไม่เกรงใจใคร[11]: 47  เธอคบหาทำหน้าที่เป็นเพื่อนชายอยู่กับหม่อมขำ มีคืนหนึ่งหม่อมสุดอ่านหนังสือพระราชนิพนธ์ถวายกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ สำคัญว่าเจ้านายบรรทมแล้ว ก็ดับเทียนเอาผ้าคลุมกอดจูบกับหม่อมขำชุลมุนวุ่นวายอยู่ที่ปลายพระบาท ขณะนั้นกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพยังไม่บรรทม และทอดพระเนตรเห็นพฤติการณ์ของทั้งคู่ พระองค์จึงประทานชื่อแก่หม่อมสุดว่า "คุณโม่ง" เพราะนำผ้ามาคลุมโปงเล่นเพื่อน ตามท้องกลอนก็เรียกหม่อมสุดว่า "คุณโม่ง" อยู่เสมอ[1]: 60 [6]: 57 
  • หม่อมขำ หรือ หม่อมเป็ด เดิมเป็นนางห้ามในสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เช่นเดียวกับหม่อมสุด ภายหลังได้โอนย้ายมารับราชการในพระบรมมหาราชวัง ที่พระตำหนักของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพตามหม่อมสุด[6]: 57  หม่อมขำมีบุคลิกเป็นหญิงกระชดกระช้อยเหมือนสาวน้อย รักสวยรักงาม แต่เสียฟันไปแล้วหลายซี่ ต้องบรรจงตัดกะลามะพร้าวมาทำเป็นฟันปลอมผูกไหมเข้ากับฟันแท้[11]: 47  และมักจะมีปัญหาฟันปลอมหลุดร่วงออกจากปากให้เป็นที่อับอายแก่เจ้าของอยู่เสมอ[11]: 53, 55  ด้วยความที่หม่อมเป็นคนรักสวยรักงาม เวลาเดินจึงไว้กิริยาจะมีจังหวะเยื้องย่างไปมาเหมือนอย่างเป็ด กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพจึงประทานชื่อให้ว่า "หม่อมเป็ด" ชาววังคนอื่นจึงพากันเรียก "หม่อมเป็ดสวรรค์" "หม่อมเป็ดขำ" หรือ "หม่อมขำเป็ด" ส่วนใน เพลงยาวเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ จะเรียกว่า "คุณขำ"[1]: 61 [6]: 57–58  ตามท้องกลอน หม่อมขำน่าจะมีลักษณะอวบอ้วน เพราะชื่นชอบการรับประทาน และการนั่งเตียงจนหัก[1]: 105–106 [6]: 21  เอนก นาวิกมูล เสนอว่า ช่วงชีวิตหม่อมขำที่ปรากฏใน หม่อมเป็ดสวรรค์ เธอน่าจะมีอายุราว 40–50 ปี โดยประมาณ[11]: 47  หม่อมขำเลี้ยงเด็กหญิงในพระตำหนักใหญ่คนหนึ่งชื่อ ยายปาน เสมือนลูกของตัว[6]: 60 

ตัวละครรอง[แก้]

  • เสด็จในกรม หรือ เสด็จ คือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ มีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้าวิลาส เป็นพระราชธิดาในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นเจ้าของพระตำหนักใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของศิลปินและกวีทั้งหลาย เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมิทรงมีพระราชนิยมส่งเสริมศิลปินในราชสำนัก กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี ไม่ถือพระองค์ ทรงอุปถัมภ์ค้ำชูศิลปินและกวีไว้หลายคน[9] เข้าใจว่าเรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ แต่งขึ้นเมื่อยามที่กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพยังทรงพระสำราญ แม้จะมีพระโรคมาเบียดเบียนบ้าง และผู้แต่งแต่งเรื่องด้วยอารมณ์สนุก[6]: 62 
  • ท้าวนก เป็นข้าราชการฝ่ายในของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เข้าใจว่าภายหลังได้ย้ายเข้าไปรับราชการอยู่ที่พระบรมมหาราชวังเช่นเดียวกับหม่อมสุดและหม่อมขำ[1]: 62 [6]: 58 
  • จางวางหมอ หมายถึง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงวงศาธิราชสนิท ต้นราชสกุลสนิทวงศ์ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รับราชการเป็นแพทย์ ถวายพระโอสถแก่เจ้านาย[1]: 62 [6]: 58  และเคยเข้าไปถวายการรักษากรมหมื่นอัปสรสุดาเทพที่พระตำหนักใหญ่ ในตอนนั้นเองหม่อมขำเข้าไปกราบทูลว่าปวดศีรษะ กรมหลวงวงศาธิราชสนิทจึงเป่ายานัตถุ์ให้ ปรากฏว่าฤทธิ์ของยานัตถุ์ทำให้หม่อมขำจามออกมาอย่างแรง จนฟันปลอมกระเด็นตกลงหน้าพระพักตร์กรมหลวงวงศาธิราชสนิท พระองค์จึงพระสรวลด้วยความขำขัน แล้วตรัสว่า "ยานัตถุ์ฉันดีจริง ๆ ขนาดคนฟันยังหลุด แล้วโรคข้างในจะไม่หายได้ยังไง คอยสักประเดี๋ยวเถอะ โรคปวดหัวของเธอก็จะหายไปเหมือนฟันเลยทีเดียว"[11]: 55 
  • หลวงนายศักดิ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า หมายถึง หลวงนายศักดิ์ (ครุฑ) ต่อมาได้ขึ้นเป็น เจ้าพระยายมราช (ครุฑ) ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว[1]: 63 [6]: 58  หม่อมขำเคยทำฟันปลอมร่วงลงต่อหน้าหลวงนายศักดิ์ เมื่อหลวงนายศักดิ์ถามว่าอะไรร่วง หม่อมขำก็บ่ายเบี่ยง อ้างว่าเป็นดอกหมากกระเด็นออกจากปาก พลางหันไปด่าบ่าวว่าตำดอกหมากไม่แหลก[11]: 53 
  • คุณรับสั่ง เป็นสตรีชั้นสูงและรับราชการเป็นนางสนองพระโอษฐ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายว่า หมายถึง เจ้าคุณหญิงต่าย หรืออีกชื่อว่า เจ้าคุณปราสาท[1]: 63 [6]: 59  เป็นธิดาของเจ้าพระยาอรรคมหาเสนา (บุนนาค) กับเจ้าคุณพระราชพันธุ์นวล
  • ตาแจ้งวัดระฆัง หรือ ตาแจ้งถนนอาจารย์ คือ ครูแจ้ง เป็นจินตกวีผู้มีปฏิภาณคนหนึ่ง มีโวหารโลดโผนหยาบคาย[12] กระนั้นยังได้รับคำชื่นชมว่าเป็นผู้ฉลาดในบทกลอน ทั้งกระบวนกลอนแต่งและกระบวนกลอนสดจนเป็นที่ร่ำลือ ตาแจ้งขับเสภาคู่กันกับนายมีที่พระตำหนักใหญ่ ทั้งสองมักขับเสภายกความในของหม่อมขำมาไขในที่แจ้ง จนหม่อมขำเอือมระอา[1]: 64 [6]: 59  อย่างไรก็ตาม ครูแจ้งได้แต่งเสภาในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน เอาไว้หลายตอน ทำให้มีชื่อเสียงมาก[12]
  • นายมี ต่อมาคือ หมื่นพรหมสมพัตสร (มี) เป็นอีกหนึ่งจินตกวีผู้มีชื่อเสียง เขาเป็นผู้แต่ง นิราศพระแท่นดงรัง นิราศเดือน และ นิราศสุพรรณ เขาเข้าไปขับเสภาที่ตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ โดยจะขับเสภาคู่กับครูแจ้ง ก็มักจะหยิบยกเอาเรื่องราวของหม่อมขำมาไขในที่แจ้ง ตอดกันคนละที จนหม่อมขำเอือมระอา[1]: 64 [6]: 59 
  • แพทย์วาโย มีราชทินนามว่า ขุนวาโย เป็นหมอนวด[1]: 65 [6]: 60 
  • คุณชีเหม หรือ คุณเหม เป็นหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ฝักใฝ่อยู่กับกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[1]: 65 [6]: 60  ท่านชอบนำเรื่องของหม่อมขำไปเล่าแก่ผู้อื่นนอกพระตำหนัก[1]: 93–94 [6]: 15–16 
  • จีนยู เป็นช่างทำฟันที่มีชื่อเสียงมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หม่อมขำชอบใช้ฟันปลอมของจีนยู[1]: 65 [6]: 60 
  • ลูกปาน หรือ ยายปาน เด็กหญิงในพระตำหนักใหญ่ หม่อมขำเลี้ยงเป็นลูก[6]: 21, 60 
  • ลุงทองจีน ชายสูงวัย เป็นข้าในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ผู้เห็นว่าหม่อมขำเอาทุเรียนและเม็ดบัวใส่ตะบันหมากให้ละเอียด เพราะหม่อมขำเหลือฟันแท้ไว้ขบอาหารน้อยซี่ จึงแก้เกี้ยวลุงทองจีนว่าตะบันดอกหมากกิน ลุงทองจีนจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า "น่าจะใคร่ศึกษาเป็นอาจารย์"[1]: 91 [6]: 11  ลุงทองจีนเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มักนำเรื่องของหม่อมขำไปเล่าแก่คนนอกตำหนัก[1]: 93–94 [6]: 15–16 
  • ยายมา พระพี่เลี้ยงในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[1]: 118 [6]: 26 
  • นายผึ้ง ข้าในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[1]: 94 [6]: 16  และเป็นเพื่อนบ้านของคุณสุวรรณ[1]: 83 [6]: 15  มีบุคลิกพิเศษคือมีตาโปน ซึ่งหม่อมขำเรียกว่า "นายผึ้งตาพอง"[1]: 108 [6]: 22  เขามักเอาเรื่องหม่อมขำไปเล่าให้คนนอกพระตำหนักฟัง[1]: 93–94 [6]: 15–16 
  • หนูลิ้นจี่ ข้าในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[1]: 89 [6]: 18 
  • อีเปีย ข้าในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ[1]: 96 [6]: 17 
  • ออพู เป็นบ่าวในพระตำหนักกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ ปรากฎเป็นคนนวดให้หม่อมขำในมุ้ง ซึ่งขณะนั้นกำลังปวดท้องเพราะกินข้าวเหนียวบูด แต่หม่อมขำให้ออพูนวดต่อเนื่องยาวนานจนรุ่งสาง ออพูทนไม่ไหวจึงหนีออกไป หลังจากนั้นหม่อมสุดได้ต่อว่าและริบเงินค่าตัวของออพูไว้ แต่หม่อมขำรู้ตัวว่าใช้งานออพูหนักเกินไป จึงพูดปลอบให้หม่อมสุดใจเย็นลง[1]: 115–116 [6]: 25 

สถานที่[แก้]

"พระวังหลวง" ในอดีต

อาหาร[แก้]

  • ห่อหมก เป็นหนึ่งในอาหารที่หม่อมขำซื้อจากเรือขนมจีนที่ท่าราชวรดิฐ กินมากจนปวดท้อง เข้าสรีร์สำราญไม่ทัน[1]: 80 [6]: 10 
  • นกคั่ว เป็นหนึ่งในอาหารที่หม่อมขำซื้อจากเรือขนมจีนที่ท่าราชวรดิฐ กินมากจนปวดท้อง เข้าสรีร์สำราญไม่ทัน[1]: 80 [6]: 10 
  • ใบบัวอ่อน เป็นผักที่ใช้แนมนกคั่ว[3]: 120 
  • ทอดมัน เป็นหนึ่งในอาหารที่หม่อมขำซื้อจากเรือขนมจีนที่ท่าราชวรดิฐ กินมากจนปวดท้อง เข้าสรีร์สำราญไม่ทัน[1]: 80 [6]: 10 
  • จันลอน ปัจจุบันเรียกว่า แจงลอน หรือจังลอน คือเนื้อปลาโขลกกับรากผักชี กระเทียม ปั้นเป็นก้อนเสียบไม้ปิ้งไฟ[3]: 120  เป็นหนึ่งในอาหารที่หม่อมขำซื้อจากเรือขนมจีนที่ท่าราชวรดิฐ กินมากจนปวดท้อง เข้าสรีร์สำราญไม่ทัน[1]: 80 [6]: 10 
  • หมากพลู เป็นเป็นของรับประทานเล่นของคนในยุคนั้น[3]: 120  ทำให้ฟันดำสวยงาม
  • ทุเรียน เป็นผลไม้โปรดของหม่อมขำ โดยเฉพาะทุเรียนจากเมืองละคร หม่อมขำใส่ฟันปลอมที่ทำจากกะลาทำให้ขบเคี้ยวได้ยาก จึงนำไปตำในตะบันก่อนนำไปรับประทาน[1]: 91 [6]: 11 
  • ผลบัว คือ เม็ดบัวฉาบหรือเม็ดบัวผัดเข้ากับน้ำตาลโตนด ตัดด้วยรสเค็มอีกเล็กน้อย เป็นของรับประทานเล่น[3]: 120  หม่อมขำใส่ฟันปลอมที่ทำจากกะลาทำให้ขบเคี้ยวได้ยาก จึงนำไปตำในตะบันก่อนนำไปรับประทาน[1]: 91 [6]: 11 
  • ปลากริม คือแป้งปั้นไปต้มกับน้ำ ก่อนนำไปเคี่ยวกับน้ำตาลปึก มีรสออกหวาน สีน้ำตาล นิยมรับประทานคู่กันกับขนมไข่เต่า เมื่อมาประสมรวมกันเรียกว่าขนมแชงม้า[15][16]
  • ลังเล็ด คือ นางเล็ด ทำจากข้าวเหนียวตากแห้งก่อนนำไปทอด แล้วราดด้วยน้ำอ้อย[3]: 121 
  • ขนมจีนน้ำยา เป็นอาหารที่หม่อมขำไม่ถูกโรค แต่ก็อยากกิน[1]: 108–110 [6]: 22–24 
  • ขนมทอง ในท้องกลอนไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเป็นขนมทองชนิดไหน อาจเป็นทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ทองม้วน ทองพับ หรือทองฟู (คือขนมตาล)[3]: 121 
  • ข้าวเหนียวสังขยา เป็นอาหารที่หม่อมขำอยากรับประทานมาก ใช้ให้ยายปานนำกาละมังโคมไปซื้อถึงเมืองละคร หม่อมขำกินจนเตียงไม้สักหักลงมาพลางผายลมเสียงดังลั่น[1]: 105–106 [6]: 21 
  • ข้าวเหนียวเหลืองหน้ากุ้ง คือข้าวเหนียวมูนแต่งสีและกลิ่นด้วยขมิ้น ส่วนหน้ากุ้งทำมาจากกุ้งสับผัดกับมะพร้าวคั่ว ปรุงรสด้วยน้ำตาล พริกไทย เกลือ ผักชี[3]: 122  เป็นอาหารที่หม่อมสุดตั้งใจทำให้กับหม่อมขำ แต่ทว่าบูดเน่าไปเสียก่อน กระนั้นหม่อมขำก็รับประทานเสียจนเกลี้ยง[1]: 113–115 [6]: 24–25 

อ้างอิง[แก้]

  1. 1.00 1.01 1.02 1.03 1.04 1.05 1.06 1.07 1.08 1.09 1.10 1.11 1.12 1.13 1.14 1.15 1.16 1.17 1.18 1.19 1.20 1.21 1.22 1.23 1.24 1.25 1.26 1.27 1.28 1.29 1.30 1.31 1.32 1.33 1.34 1.35 1.36 1.37 1.38 1.39 1.40 1.41 1.42 1.43 1.44 1.45 1.46 1.47 1.48 1.49 1.50 1.51 1.52 1.53 1.54 1.55 1.56 1.57 1.58 1.59 1.60 1.61 กรมศิลปากร. บทละคร เรื่อง พระมเหลเถไถ บทละคร เรื่อง อุณรุทร้อยเรื่อง กลอนเพลงยาว เรื่อง หม่อมเป็ดสวรรค์ กลอนเพลงยาว เรื่อง พระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ และ บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได. กรุงเทพฯ : เสริมวิทย์บรรณาคาร, 2516. 240 หน้า.
  2. 2.0 2.1 2.2 2.3 ยุพร แสงทักษิณ. "เพลงยาวหม่อมเป็ดสวรรค์". นามานุกรมวรรณคดีไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. สืบค้นเมื่อ 30 เมษายน 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  3. 3.00 3.01 3.02 3.03 3.04 3.05 3.06 3.07 3.08 3.09 มัชฌิมา วีรศิลป์. ภาพสะท้อนทางวัฒนธรรม จากวรรณกรรมเพลงยาว เรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์ และเรื่องพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ. [ม.ป.ท.] : วารสารศิลปกรรมบูรพา 20:(2), 2560.
  4. ชูดาว (19 เมษายน 2566). ""พระเอ็ดยง" วรรณกรรมคำผวนที่ "ชกต่ำกว่าเข็มขัด" ชนิดอ่านไประแวงไป". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  5. 5.0 5.1 ""เล่นเพื่อน" หรือ "เลสเบี้ยน" ว่าด้วยเรื่องเล่าสาวชาววัง". ศิลปวัฒนธรรม. 30 มกราคม 2565. สืบค้นเมื่อ 26 เมษายน 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  6. 6.00 6.01 6.02 6.03 6.04 6.05 6.06 6.07 6.08 6.09 6.10 6.11 6.12 6.13 6.14 6.15 6.16 6.17 6.18 6.19 6.20 6.21 6.22 6.23 6.24 6.25 6.26 6.27 6.28 6.29 6.30 6.31 6.32 6.33 6.34 6.35 6.36 6.37 6.38 6.39 6.40 6.41 6.42 6.43 6.44 6.45 6.46 6.47 6.48 6.49 6.50 6.51 6.52 6.53 6.54 6.55 6.56 6.57 6.58 6.59 6.60 6.61 6.62 6.63 6.64 6.65 6.66 6.67 กรมศิลปากร. กลอนเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์และพระอาการประชวรของกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ. กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิวพร, 2507. 69 หน้า.
  7. 7.0 7.1 7.2 7.3 พล อิฏฐารมณ์ (20 กุมภาพันธ์ 2567). "บันทึกรัก "หม่อมเป็ดสวรรค์" สัมพันธ์ของคนเพศเดียวกันในราชสำนัก หญิง-หญิง "เล่นเพื่อน"". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  8. ยุพิน ธชาศรี. วิเคราะห์วรรณกรรมของคุณสุวรรณ. [ม.ป.ท.] : วิทยาลัยวิชาการศึกษา, 2517.
  9. 9.0 9.1 9.2 9.3 ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย (3 ธันวาคม 2567). "กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ เทพธิดาแห่งราชสํานัก ทำไมกล้าอุปการะสุนทรภู่ แม้ร.3ไม่โปรด". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 25 เมษายน 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  10. 10.0 10.1 เพศแห่งสยาม. กรุงเทพฯ : สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ สังกัดสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์กรมหาชน), 2562. 200 หน้า. ISBN 978-616-8162-05-7
  11. 11.0 11.1 11.2 11.3 11.4 11.5 11.6 11.7 11.8 เอนก นาวิกมูล. หญิงชาวสยาม. กรุงเทพฯ : แสงดาว, 2547. 264 หน้า. ISBN 974-9590-83-X
  12. 12.0 12.1 สุจิตต์ วงษ์เทศ (2545). "ครูแจ้งวัดระฆัง สร้างสำนวนขุนช้างขุนแผน แสนสยอง ตีดาบ(ฟ้าฟื้น) ซื้อม้า(สีหมอก) ผ่าท้อง(นางบัวคลี่) หากุมาร(ทอง) ปรับปรุงจากหนังสือขุนช้างขุนแผนแสนสนุก". สมาคมนักกลอนแห่งประเทศไทย. สืบค้นเมื่อ 26 เมษายน 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  13. 13.0 13.1 ณัฐปภัสร์ นิยะเวมานนท์. การกัลปนาพระตำหนักจากพระบรมมหาราชวัง ในมิติการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม. [ม.ป.ท.] : คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2564.
  14. มนฤทัย ไชยวิเศษ. ประวัติศาสตร์สังคมว่าด้วยส้วมและเครื่องสุขภัณฑ์ในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, 2566. ISBN 9789740218586
  15. อภิลักษณ์ เกษมผลกูล, ผศ. ดร. (28 สิงหาคม 2566). "ปริศนา "ปลากริมไข่เต่า" ขนมชาววัง ที่คนในวังไม่เคยกิน?". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ 1 พฤษภาคม 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)
  16. "ตำนานขนมไทยโบราณ "ขนมแชงมา" คือ"ขนมหม้อแกง" หรือ"ขนมปลากริมไข่เต่า"กันแน่?". Matichon Academy. สืบค้นเมื่อ 2 พฤษภาคม 2567. {{cite web}}: ตรวจสอบค่าวันที่ใน: |accessdate= (help)

แหล่งข้อมูลอื่น[แก้]