ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เต้าหู้"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Nix Sunyata (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Waniosa Amedestir (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
ป้ายระบุ: เครื่องมือแก้ไขต้นฉบับปี 2560 ลิงก์แก้ความกำกวม
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{Infobox food
[[ไฟล์:Japanese_SilkyTofu_(Kinugoshi_Tofu).JPG|right|thumb|เต้าหู้ (''Kinugoshi tōfu'')]]
| name = เต้าหู้
'''เต้าหู้''' กำเนิดมากว่า 2,000 ปีในจีนแผ่นดินใหญ่ คนจีนบางกลุ่มถือว่าเต้าหู้เป็น[[อาหาร]]ที่มีคุณค่าสูงที่อยู่ในความธรรมดาสามัญ คนไทยเรียกเต้าหู้เพี้ยนมาจากภาษาจีนว่า 豆腐 อ่านว่า โต้วฝู่ คนฮกเกี้ยนเรียกว่า ต๋าวหู คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า โทฟุ (tofu) คนอังกฤษเรียก bean curd หรือบางครั้งก็เรียกทับศัพท์ว่า tofu เช่นกัน ส่วนชาวฝรั่งเศสเรียกว่า fromage de soja (ชีสถั่วเหลือง) เต้าหู้
| image = Japanese SilkyTofu (Kinugoshi Tofu).JPG
| caption = บล็อกเต้าหู้ไหมดิบจาก[[อาหารญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
| alternate_name = Tofu, Bean curd
| country = [[มณฑลอานฮุย]] [[ประเทศจีน]]
| region =
| national_cuisine = {{Flatlist|
* [[อาหารเอเชียตะวันออก]]และ[[อาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้|ตะวันออกเฉียงใต้]]
** [[อาหารจีน|จีน]]
** [[อาหารญี่ปุ่น|ญี่ปุ่น]]
** [[อาหารเกาหลี|เกาหลี]]
** [[อาหารอินโดนีเซีย|อินโดนีเซีย]]
** [[อาหารสิงคโปร์|สิงคโปร์]]
** [[อาหารไทย|ไทย]]
** [[อาหารเวียดนาม|เวียดนาม]]
}}
| creator =
| year =
| mintime =
| maxtime =
| type =
| course =
| served =
| main_ingredient = [[น้ำเต้าหู้]]
| minor_ingredient =
| variations =
| serving_size = 100 กรัม
| calories =
| protein =
| fat =
| carbohydrate =
| glycemic_index =
| similar_dish =
| other =
}}
{{Infobox Chinese
| title = ชื่อตามภูมิภาค
| pic = Tofu (Chinese characters).svg
| picupright = 0.4
| piccap = "เต้าหู้" ในอักษรจีน
| c = {{linktext|豆腐}}
| l = "bean curd/ferment"
| showflag = p
| p = dòufu
| w = tou<sup>4</sup>-fu
| bpmf = {{lang|zh-Bopo|ㄉㄡˋ&nbsp;&nbsp;&nbsp;˙ㄈㄨ}}
| gr = dow.fuu
| tp = dòufů
| mps = dòufu
| mi = {{IPAc-cmn|d|ou|4|.|f|u}}
| j = dau6fu6
| ci = {{IPA-yue|tɐ̀u.fùː|}}
| y = dauhfuh
| wuu = deu-vu
| h = theu-fú
| poj = tāu-hū
| buc = dâu-hũ
| mblmc = dae fu
| mc = dəu<sup>H</sup>-bɨo<sup>X</sup>
| oc-bs = &ast;{{IPA|[N.t]ˤo-s [b](r)oʔ}}
| oc-zz = &ast;{{IPA|doːs boʔ}}
| hangul = {{linktext|두부}}
| hanja = {{lang|ko|豆腐}}
| rr = dubu
| mr = tubu
| kanji = {{linktext|豆腐}}
| kana = {{linktext|とうふ}}
| revhep = tōfu
| kunrei = tôhu
| tgl = {{lang|tl|tahô}}, {{lang|tl|tokwa}}
| ind = {{lang|id|tahu}}
| khm = {{lang|km|តៅហ៊ូ}} tauhu
| msa = {{lang|ms|tauhu}}
| tha = {{linktext|เต้าหู้}}
| rtgs = taohu
| vie = {{lang|vi|đậu hủ}}, {{lang|vi|đậu phụ}}
| my = {{lang|my|တို့ဟူး}} ''tui. hu:''
| tam = {{lang|ta|டோஃபு}} ṭōḥpu
| bn = {{lang|bn|সোয়া পনীর, তোফু}}
| chuhan = 豆腐
}}
'''เต้าหู้''' ({{Nihongo|豆腐|tōfu|}}) เป็น[[อาหาร]]ที่ทำมาจาก[[น้ำเต้าหู้]][[Coagulation (milk)|ที่รวมตัวกัน]] แล้วกด[[ลิ่มน้ำนม]]ให้เป็นบล็อกขาวแข็งที่มีความนุ่มต่างกัน เต้าหู้ตามคุณค่าทางโภชนาการมี[[แคลอรี]]ต่ำ แต่มี[[โปรตีน]]สูง [[ธาตุเหล็ก]]สูง และอาจมี[[แคลเซียม]]หรือ[[แมกนีเซียม]]สูงตามสาร[[Flocculation|จับตัวเป็นก้อน]] (เช่น [[แคลเซียมคลอไรด์]], [[แคลเซียมซัลเฟต]], [[แมกนีเซียมซัลเฟต]])

เต้าหู้มีต้นกำเนิดที่จีนและ[[อาหารจีน|มีการบริโภคในจีน]]มาตั้งแต่[[ราชวงศ์ฮั่น]] ซึ่งรวมแล้วมากกว่า 2,000 ปี<ref name="Soya">{{cite web |url=http://www.soya.be/history-of-tofu.php |title=History of tofu |publisher=Soya.be |date=2015-11-29 |access-date=2016-10-11 |archive-date=2016-08-21 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160821055959/http://www.soya.be/history-of-tofu.php |url-status=live }}</ref> และยังเป็นองค์ประกอบดั้งเดิมของอาหารใน[[เอเชียตะวันออก]]และ[[อาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้|ตะวันออกเฉียงใต้]] เช่น [[อินโดนีเซีย]], [[ญี่ปุ่น]], [[เกาหลี]], [[สิงคโปร์]], [[ไทย]] และ [[เวียดนาม]]{{sfnb|Du Bois|2008|pp= 13–14}}<ref name=":0">{{Cite web|title=What is Tofu? What's the Best Way to Cook It?|url=https://devour.asia/what-is-tofu-whats-the-best-way-to-cook-it/|website=devour.asia|access-date=2021-04-03|language=en-US}}</ref>

== ศัพทมูลวิทยา ==
ศัพท์ภาษาอังกฤษ "tofu" มาจาก[[ภาษาญี่ปุ่น]]ว่า ''โทฟุ'' ({{lang|ja|豆腐|tōfu}}) ซึ่งยืมมาจาก[[ภาษาจีน]]ว่า {{lang|zh|豆腐}} ([[ภาษาจีนมาตรฐาน|แมนดาริน]]: ''dòufu'') แปลว่า 'เต้าหู้'<ref>''American Heritage Dictionary''.</ref><ref>{{Citation|url=http://www.tofu-magazine.net/newVersion/pages/etymology.html|title=Etymology|publisher=Tofu Magazine|access-date=2008-01-05|archive-date=2007-12-12|archive-url=https://web.archive.org/web/20071212013630/http://www.tofu-magazine.net/newVersion/pages/etymology.html|url-status=live}}</ref><ref name="dictionary tofu">{{Citation |url=http://dictionary.reference.com/browse/tofu |title=tofu |publisher=dictionary.com |access-date=2009-09-26 |archive-url=https://web.archive.org/web/20100429165908/http://dictionary.reference.com/browse/Tofu |archive-date=2010-04-29 |url-status=live }}</ref>{{sfnb|Wilkinson|2015|p=445}} บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงคำนี้ในภาษาอังกฤษคือ ''towfu'' จากจดหมายของพ่อค้าชาวอังกฤษ [[James Flint (merchant)|เจมส์ ฟลินต์]] ถึง[[เบนจามิน แฟรงกลิน]]ใน ค.ศ. 1770<ref name="Shurt-2013">{{harvp|Shurtleff|Aoyagi|2013}}</ref>{{rp|73}}


== ประวัติ ==
== ประวัติ ==
บรรทัด 18: บรรทัด 104:
โดยวัตถุดิบ ถั่วเหลืองยังมีสาร [[เลซิติน]] ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยสงเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ และฮอร์โมนจากพืช [[ไฟโตเอสโทรเจน]] ที่มีการวิจัยพบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทองคือช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม
โดยวัตถุดิบ ถั่วเหลืองยังมีสาร [[เลซิติน]] ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยสงเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ และฮอร์โมนจากพืช [[ไฟโตเอสโทรเจน]] ที่มีการวิจัยพบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทองคือช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม


== วิธีการทำ ==
== วิธีทำ ==
การทำเต้าหู้เป็นกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก ดั้งนั้นจึงมีผู้ที่ดูแลการผลิตเรียกว่า “เถ่าชิ่ว” หรือพ่อครัวเป็นผู้ที่มีความชำนาญและสมาธิอย่างสูง เริ่มด้วยการตวงถั่วเหลืองแล้วแช่ถั่วในน้ำพร้อมทั้งล้างน้ำจนกระทั่งสะอาด จากนั้นจึงนำไปบดด้วยเครื่องโม่เสร็จแล้วจึงกรองกากถั่วเหลืองออกจนได้น้ำเต้าหู้ดิบแล้วนำไปต้ม (ขั้นตอนตรงนี้จะเป็นน้ำเต้าหู้สุกพร้อมดื่ม) นำน้ำเต้าหู้ที่ได้ผ่านการต้มแล้วแยกจะนำไปผ่านขั้นตอนการทำเป็นเต้าหู้ชนิดต่างๆ ต่อไปซึ่งการทำเต้าหู้แต่ละชนิดวิธีการก็จะแตกต่างกันออกไป
การทำเต้าหู้เป็นกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก ดั้งนั้นจึงมีผู้ที่ดูแลการผลิตเรียกว่า “เถ่าชิ่ว” หรือพ่อครัวเป็นผู้ที่มีความชำนาญและสมาธิอย่างสูง เริ่มด้วยการตวงถั่วเหลืองแล้วแช่ถั่วในน้ำพร้อมทั้งล้างน้ำจนกระทั่งสะอาด จากนั้นจึงนำไปบดด้วยเครื่องโม่เสร็จแล้วจึงกรองกากถั่วเหลืองออกจนได้น้ำเต้าหู้ดิบแล้วนำไปต้ม (ขั้นตอนตรงนี้จะเป็นน้ำเต้าหู้สุกพร้อมดื่ม) นำน้ำเต้าหู้ที่ได้ผ่านการต้มแล้วแยกจะนำไปผ่านขั้นตอนการทำเป็นเต้าหู้ชนิดต่างๆ ต่อไปซึ่งการทำเต้าหู้แต่ละชนิดวิธีการก็จะแตกต่างกันออกไป


บรรทัด 63: บรรทัด 149:
* [[เต้าหู้ยี้]]
* [[เต้าหู้ยี้]]
* [[ฟองเต้าหู้]]
* [[ฟองเต้าหู้]]
{{คอมมอนส์-หมวดหมู่|Tofu}}


== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
{{Reflist|30em}}

== ข้อมูล ==
{{refbegin}}
* {{citation|last1=Anderson|first1= J. W.|last2= Johnstone|first2= B.M.|last3=Cook-Newell|first3= M.E.|journal=New England Journal of Medicine|volume=333|issue=5|title=Meta-Analysis of the Effects of Soy Protein Intake on Serum Lipids |year=1995|pages=276–282|pmid=7596371|doi=10.1056/NEJM199508033330502}}
* {{citation|editor1-last=Ang|editor1-first=Catharina Y. W.|editor2-first=KeShun|editor2-last=Liu|editor3-first=Yao-Wen|editor3-last=Huang|year=1999|url= http://www.chipsbooks.com/asianfd.htm|title= Asian Foods: Science & Technology |publisher=Technomic Publishing Co.|place= Lancaster, Pennsylvania}}
* {{cite book |last = Du Bois|first = Christine M., Chee Beng Tan and Sidney Wilfred Mintz |year = 2008 |title = The World of Soy |publisher = University of Illinois Press| location = Urbana |isbn = 978-0-252-03341-4 |url=https://books.google.com/books?id=vmGVBlF8088C}}
* {{cite journal |last1=Guo|first1=Shun-Tang|last2= Ono|first2=Tomotada|year=2005|title=The Role of Composition and Content of Protein Particles in Soymilk on Tofu Curding by Glucono-δ-lactone or Calcium Sulfate |journal=Journal of Food Science |volume= 70 |issue=4|pages=258–262|doi=10.1111/j.1365-2621.2005.tb07170.x}}.
* {{Cite book |last=Liu|first=KeShun|year=2012 |title=Soybeans: Chemistry, Technology and Utilization |url=https://books.google.com/books?id=SynoBwAAQBAJ |access-date=2021-02-18 |publisher=Springer |isbn=978-1-4615-1763-4}}
* {{cite book |last=Needham |first=Joseph |author-link=Joseph Needham |title=Science and Civilisation in China |title-link=Science and Civilisation in China |publisher=Cambridge University Press}}
* {{citation|last1=Shurtleff|first1=William|author-link=William Shurtleff|first2=Akiko|last2=Aoyagi|year=1998|title= The book of tofu: protein source of the future-- now! |publisher= Ten Speed Press |isbn=978-1-58008-013-2|url= https://books.google.com/books?id=k7yx0OYDWFEC&pg=PA93 }}.
* {{Cite book|last1=Shurtleff|first1=William|last2=Aoyagi|first2=Akiko|year=2000|title=Tofu & soymilk production: a craft and technical manual|edition=3rd|place=Lafayette, California|publisher=Soyfoods Center|isbn=978-1-928914-04-4 |url=https://books.google.com/books?id=sYUq27wYcKMC |access-date=2020-05-12 |archive-url=https://web.archive.org/web/20170324105936/https://books.google.com/books?id=sYUq27wYcKMC |archive-date=2017-03-24 |url-status=live}}
* {{cite book |last1=Shurtleff |first1=William |last2=Aoyagi |first2=Akiko |year=2004d |title=History of Soybeans and Soyfoods: 1100 B.C. to the 1980s, Volume IV, The History of Traditional Non-Fermented Soyfoods |chapter=Chapter 36: History of Tofu |publisher=Soyinfo Center |chapter-url=http://www.soyinfocenter.com/HSS/tofu1.php |access-date=2007-06-16 |archive-date=2011-06-23 |archive-url=https://web.archive.org/web/20110623120444/http://www.soyinfocenter.com/HSS/tofu1.php |url-status=live}}
* {{cite book |last1=Shurtleff |first1=William |last2=Aoyagi |first2=Akiko |year=2004e |title=History of Soybeans and Soyfoods: 1100 B.C. to the 1980s, Volume V, The History of Traditional Fermented Soyfoods |chapter=Chapter 44: History of Fermented Tofu (to Nov. 1985) |publisher=Soyinfo Center |chapter-url=http://www.soyinfocenter.com/HSS/fermented_tofu1.php |access-date=2008-01-05 |archive-url=https://web.archive.org/web/20071111234249/http://www.soyinfocenter.com/HSS/fermented_tofu1.php |archive-date=2007-11-11 |url-status=live}}
* {{citation|last1=Shurtleff|first1=William|last2=Aoyagi|first2=Akiko|year=2005|title=Dou fu zhi shu (The book of tofu)|publisher=Taibei Shi|isbn=978-986-81319-1-0}}. (In Chinese.)
* {{citation|last1=Shurtleff|first1=William|last2=Aoyagi|first2=Akiko|year=2013|title=History of Tofu and Tofu Products (965 CE to 2013)|publisher=Soyinfo Center|place=Lafayette, California|isbn=978-1-928914-55-6 |url=http://www.soyinfocenter.com/books/163}}.
*{{cite book | first=Endymion | last=Wilkinson | author-link = Endymion Wilkinson | title = Chinese History: A New Manual | edition=4th | year=2015 | location=Cambridge, Mass. | publisher=Harvard University Asia Center | isbn = 978-0-674-08846-7 }}
{{refend}}

== อ่านเพิ่ม ==
* {{citation|last=Berk|first= Zeki|year= 1992|title= Technology of production of edible flours and protein products from soybeans|series= FAO agricultural services bulletin|volume= 97|place=Rome|publisher= Food and Agriculture Organization of the United Nations|url=http://www.fao.org/docrep/t0532e/t0532e00.htm|isbn=978-92-5-103118-6}}.
* Knopper, Melissa. (Jan 2002), ''The joy of soy'', The Rotarian, Vol. 180, No. 1, p.&nbsp;16, {{ISSN|0035-838X}}
* {{citation|title=Brain aging and midlife tofu consumption|last1=White|first1=L. R.|last2= Petrovitch |first2=H.|last3=Ross|first3=G. W.|last4=Masaki|first4=K.|last5=Hardman|first5=J. |last6=Nelson |first6=J. |last7=Davis |first7=D. |last8=Markesbery |first8=W. |journal=Journal of the American College of Nutrition |date=April 1, 2000 |volume=19|issue=2|pages=242–255|doi=10.1080/07315724.2000.10718923 |pmid=10763906 |s2cid=15343026 |url=http://www.jacn.org/cgi/content/full/19/2/242 |archive-url=https://web.archive.org/web/20080723120819/http://www.jacn.org/cgi/content/full/19/2/242 |archive-date=23 July 2008}}.

== แหล่งข้อมูลอื่น ==
{{Sisterlinks |commons=Category:Tofu |wikt=tofu |b=Cookbook:Tofu |n=no |q=no |s=no |species=no |d=Q177378 |voy=no |v=no}}
* [https://books.google.com/books?id=JTr-ouCbL2AC&pg=PA801&lpg=PA801&dq=dou+fu+contains+calcium&source=bl&ots=1011pbbfxj&sig=dJECMgrGhjwcZUNO6W-Y2t3VZ_c&hl=sv#v=onepage&q&f=false ''The Oxford companion to food'' Alan Davidson, Tom Jaine]
* [https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/ondemand/video/2024116/ "The Secrets of Tofu across Japan"], a {{frac|1|2}}-hour English-language documentary from Japanese state broadcaster [[NHK World-Japan]] portraying the production, culinary use, and cultural significance of tofu
* "แกะรอยเต้าหู้จากถั่วเหลืองสู่อาหารหลากแบบ". ''นิตยสารชีวจิต'' ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2549 คอลัมน์ต้นทางสุขภาพดี.
* "แกะรอยเต้าหู้จากถั่วเหลืองสู่อาหารหลากแบบ". ''นิตยสารชีวจิต'' ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2549 คอลัมน์ต้นทางสุขภาพดี.


{{Authority control}}

[[หมวดหมู่:เต้าหู้| ]]
[[หมวดหมู่:ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง]]
[[หมวดหมู่:ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง]]
[[หมวดหมู่:เนื้อสัตว์เทียม]]
[[หมวดหมู่:อาหารโบราณ]]
[[หมวดหมู่:อาหารพุทธ]]
[[หมวดหมู่:อาหารจีน]]
[[หมวดหมู่:อาหารจีน]]
[[หมวดหมู่:อาหารญี่ปุ่น]]
[[หมวดหมู่:อาหารเกาหลี]]
[[หมวดหมู่:อาหารสิงคโปร์]]
[[หมวดหมู่:อาหารเวียดนาม]]
[[หมวดหมู่:อาหารไทย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:43, 27 กุมภาพันธ์ 2565

เต้าหู้
บล็อกเต้าหู้ไหมดิบจากญี่ปุ่น
ชื่ออื่นTofu, Bean curd
แหล่งกำเนิดมณฑลอานฮุย ประเทศจีน
ชาติที่มีอาหารประจำชาติที่เกี่ยวข้อง
ส่วนผสมหลักน้ำเต้าหู้
ชื่อตามภูมิภาค
"เต้าหู้" ในอักษรจีน
ชื่อภาษาจีน
ภาษาจีน豆腐
ฮั่นยฺหวี่พินอินdòufu
ความหมายตามตัวอักษร"bean curd/ferment"
ชื่อภาษาพม่า
ภาษาพม่าတို့ဟူး tui. hu:
ชื่อภาษาเวียดนาม
ภาษาเวียดนามđậu hủ, đậu phụ
จื๋อฮ้าน豆腐
ชื่อภาษาไทย
อักษรไทยเต้าหู้
อักษรโรมันtaohu
ชื่อภาษาเกาหลี
ฮันกึล
ฮันจา
豆腐
ชื่อภาษาญี่ปุ่น
คันจิ豆腐
คานะとうふ
การถอดเสียง
เฮ็ปเบิร์นปรับปรุงtōfu
คุนเรชิกิtôhu
ชื่อมลายู
มลายูtauhu
ชื่ออินโดนีเซีย
อินโดนีเซียtahu
ชื่อภาษาฟิลิปีโน
ตากาล็อกtahô, tokwa
ชื่อทมิฬ
ทมิฬடோஃபு ṭōḥpu
ชื่อเขมร
เขมรតៅហ៊ូ tauhu

เต้าหู้ (ญี่ปุ่น: 豆腐โรมาจิtōfu) เป็นอาหารที่ทำมาจากน้ำเต้าหู้ที่รวมตัวกัน แล้วกดลิ่มน้ำนมให้เป็นบล็อกขาวแข็งที่มีความนุ่มต่างกัน เต้าหู้ตามคุณค่าทางโภชนาการมีแคลอรีต่ำ แต่มีโปรตีนสูง ธาตุเหล็กสูง และอาจมีแคลเซียมหรือแมกนีเซียมสูงตามสารจับตัวเป็นก้อน (เช่น แคลเซียมคลอไรด์, แคลเซียมซัลเฟต, แมกนีเซียมซัลเฟต)

เต้าหู้มีต้นกำเนิดที่จีนและมีการบริโภคในจีนมาตั้งแต่ราชวงศ์ฮั่น ซึ่งรวมแล้วมากกว่า 2,000 ปี[1] และยังเป็นองค์ประกอบดั้งเดิมของอาหารในเอเชียตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ เช่น อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลี, สิงคโปร์, ไทย และ เวียดนาม[2][3]

ศัพทมูลวิทยา

ศัพท์ภาษาอังกฤษ "tofu" มาจากภาษาญี่ปุ่นว่า โทฟุ (豆腐) ซึ่งยืมมาจากภาษาจีนว่า 豆腐 (แมนดาริน: dòufu) แปลว่า 'เต้าหู้'[4][5][6][7] บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงคำนี้ในภาษาอังกฤษคือ towfu จากจดหมายของพ่อค้าชาวอังกฤษ เจมส์ ฟลินต์ ถึงเบนจามิน แฟรงกลินใน ค.ศ. 1770[8]: 73 

ประวัติ

เต้าหู้ก้อนแรกเกิดขึ้นในประเทศจีน เล่าขานกันว่า เจ้าชายหลิวอัน (พระนัดดาของจักรพรรดิหลิวปัง กษัตริย์องค์แรกของราชวงศ์ฮั่น) สั่งให้พ่อครัวบดถั่วเหลืองให้เป็นผงแล้วนำไปต้มเป็นน้ำซุปด้วยเกรงว่ารสจะจืดเกินไป จึงโปรดให้พ่อครัวเติมเกลือลงไปปรุงรส เพื่อถวายพระมารดาซึ่งประชวรหนักจนไม่มีแรงที่จะเคี้ยวอาหารได้

น้ำซุปถั่วเหลืองนั้นค่อย ๆ จับตัวข้นเป็นก้อนสีขาวนุ่ม ๆ เมื่อพระมารดาเสวยแล้วถึงกับรับสั่งว่า “อร่อย” เจ้าชายจึงให้เหล่าพ่อครัวค้นหาสาเหตุ จึงพบว่าเกลือบางชนิดมีผลทำให้ผงถั่วเหลืองผสมน้ำเกิดการเกาะตัวขึ้นเป็นเต้าหู้

ชาวญี่ปุ่นรู้จักการปลูกถั่วเหลืองมานานแล้ว เต้าหู้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นในสมัยนารา มีการบันทึกว่า เคนโตะ พระญี่ปุ่นนำเต้าหู้มาเผยแพร่หลังจากกลับมาจากการศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศจีน แต่ยังเป็นอาหารที่รับประทานกันในหมู่พระญี่ปุ่น ร้อยปีถัดมา เต้าหู้จึงได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเมนูของชนชั้นขุนนางและซามูไร ส่วนประชาชนได้ลิ้มรสในสมัยเอโดะ

แต่พวกเขาเพิ่งรู้จักวิธีดัดแปลงถั่วเหลืองนำไปปรุงเป็นเต้าหู้เมื่อพุทธศตวรรษที่ 7 โดยทางพุทธศาสนา แต่ศาสนาพุทธในสังคมญี่ปุ่นสมัยนั้นเป็นศาสนาของชนชั้นกลางและชนชั้นสูงบทบาทเต้าหู้ในอาหารญี่ปุ่นจึงจำกัดไว้กับคนเฉพาะกลุ่มซึ่งแตกต่างจากจีนที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น

วิธีการเตรียมอาหารจีนและญี่ปุ่นต่างกัน คือ คนจีนพยายามดัดแปลงเต้าหู้ในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เช่น อาจเปลี่ยนรูปทรงหรือรสชาติไป ในขณะที่คนญี่ปุ่นกลับพยายามรักษาความเรียบง่ายรวมทั้งรสชาติ รูปทรงและสีสันของเต้าหู้ให้คงไว้อย่างเดิมให้มากที่สุด พร้อมกับเสิร์ฟในจานหรือถ้วยที่สวยงามจนถือว่าเป็นศิลปะขั้นสูงแขนงหนึ่ง

ประโยชน์

เต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งให้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดถึง สองเท่าในปริมาณที่เท่ากันและมีราคาถูกอีกด้วย เต้าหู้ยังเป็นอาหารที่ย่อยง่าย ไม่มีคอเลสเตอรอล

โดยวัตถุดิบ ถั่วเหลืองยังมีสาร เลซิติน ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยสงเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ และฮอร์โมนจากพืช ไฟโตเอสโทรเจน ที่มีการวิจัยพบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทองคือช่วยชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม

วิธีทำ

การทำเต้าหู้เป็นกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก ดั้งนั้นจึงมีผู้ที่ดูแลการผลิตเรียกว่า “เถ่าชิ่ว” หรือพ่อครัวเป็นผู้ที่มีความชำนาญและสมาธิอย่างสูง เริ่มด้วยการตวงถั่วเหลืองแล้วแช่ถั่วในน้ำพร้อมทั้งล้างน้ำจนกระทั่งสะอาด จากนั้นจึงนำไปบดด้วยเครื่องโม่เสร็จแล้วจึงกรองกากถั่วเหลืองออกจนได้น้ำเต้าหู้ดิบแล้วนำไปต้ม (ขั้นตอนตรงนี้จะเป็นน้ำเต้าหู้สุกพร้อมดื่ม) นำน้ำเต้าหู้ที่ได้ผ่านการต้มแล้วแยกจะนำไปผ่านขั้นตอนการทำเป็นเต้าหู้ชนิดต่างๆ ต่อไปซึ่งการทำเต้าหู้แต่ละชนิดวิธีการก็จะแตกต่างกันออกไป

ชนิด

เต้าหู้ชนิดอ่อน

  • เต้าหู้ชนิดเหลืองนิ่ม วิธีการทำต่างจากเต้าหู้ขาวแข็งเพราะใช้แคลเซียมซัลเฟต (ผงยิปซัม หรือที่เรียกในภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "เจียะกอ(石膏)“ ในการทำให้โปรตีนในน้ำนมถั่วเหลืองตกตะกอน ซึ่งเนื้อจะเนียนและไม่แข็งเท่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อตกตะกอนแล้วนำมาใส่ผ้าขาวบางห่อในบล็อกให้เป็นก้อนแล้วนำไปต้ม ใส่ขมิ้นให้ได้สีเหลือง คุณสมบัติเด่นของเต้าหู้เหลืองนิ่มคือ เมื่อนำไปทอดแล้วจะทำให้ได้เต้าหู้ที่กรอบนอกนุ่มใน เต้าหู้ชนิดนี้เหมาะที่จะนำไปผัดกับกุยช่ายขาว ทอดจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน ทอดกินกับน้ำพริกกะปิหรือทอดจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้
  • เต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ลักษณะอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้เหลืองนิ่ม กรรมวิธีการผลิตเหมือนกับเต้าหู้เหลืองนิ่มจะต่างกันเพียงเวลาในการทำน้อยกว่า เต้าหู้ชนิดนี้นิยมนำไปทำเป็นแกงจืด เต้าหู้นึ่งหรือสเต๊กเต้าหู้
  • เต้าหู้ชนิดห่อผ้า วิธีการทำเหมือนกับเต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ต่างกันเพียงการบรรจุหีบห่อที่นำมาห่อผ้าแล้วมัดทำให้แข็งและคงรูปร่างได้ดีมากขึ้นเมื่อนำไปทำอาหาร ส่วนใหญ่จะนำไปทำเต้าหู้ทรงเครื่องหรือแกงจืด

เต้าหู้ชนิดแข็ง

  • เต้าหู้ชนิดขาวแข็ง ทำจากน้ำเต้าหู้ผสมกับดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) ที่ช่วยทำให้เกิดการตกตะกอนเมื่อตกตะกอนแล้วจึงนำไปใส่ในผ้าขาวที่ปูอยู่ในบล็อก พอสะเด็ดน้ำแล้วจึงห่อให้เป็นก้อนแล้วทำให้สะเด็ดน้ำอีกครั้งก็จะได้เป็นเต้าหู้ขาวแข็ง
  • เต้าหู้ชนิดเหลืองแข็ง วิธีการทำนำเต้าหู้ขาวแข็งไปหมักในเกลือแล้วจึงนำไปต้ม พร้อมทั้งใส่ขมิ้นให้เป็นสีเหลืองเคลือบบริเวณผิวของเต้าหู้ทำให้เนื้อเต้าหู้ชนิดนี้แข็งและมีความยืดหยุ่นกว่าชนิดขาวแข็ง ส่วนใหญ่นำไปทำผัดไทย หมี่กะทิ ผัดถั่วงอก ผัดขลุกขลิกน้ำพริกเผาหรือนำไปผสมเป็นเครื่องก๋วยเตี๋ยวหลอด
  • เต้าหู้ชนิดทอด มีส่วนประกอบคล้ายกับเต้าหู้ขาวแข็งแต่มีสัดส่วนและเทคนิคที่แตกต่างกัน เนื้อสัมผัสที่ได้จากเต้าหู้ชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อนำไปทอดแล้วจะพองตัวมากกว่าและภายในจะมีเนื้อเต้าหู้อยู่ไม่พองหรือกลวง โดยมากจะใส่ในอาหารประเภทต้ม (พะโล้ ต้มผัดจับฉ่าย แกงต่าง ๆ และลูกชิ้นแคะ)
  • เต้าหู้ชนิดซีอิ๊วดำ วิธีทำนำเต้าหู้ชนิดเหลืองแข็งไปเคี่ยวกับซีอิ๊วดำและเครื่องเทศสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมและรสชาติที่แตกต่างโดยใส่น้ำตาลทรายแดงทำให้มีรสชาติที่กลมกล่อมสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเต้าหู้ชนิดอื่น ๆ เพราะมีความชื้นน้อย ถ้าเก็บใส่ช่องฟรีซจะเก็บไว้ได้นานหลายเดือน นิยมนำไปยำกับเกี้ยมไฉ่ ผัดกับดอกกุยช่าย ใส่ในอาหารเจแทนเนื้อหมูในพะโล้เจหรือทานเป็นอาหารว่างก็ได้

เต้าหู้หลอด

เป็นเต้าหู้เนื้อนิ่มมีสองชนิดคือ ชนิดที่ทำมาจากถั่วเหลืองล้วนและชนิดที่ทำจากไข่ไก่ (เรียกว่าเต้าหู้ไข่ซึ่งไม่มีส่วนผสมของถั่วเหลืองแต่อย่างใด) นิยมนำมาใส่ในแกงจืด สุกียากี้ ทำเต้าหู้อบ เต้าหู้ตุ๋นหรือนำมาคลุกกับแป้งข้าวโพดแล้วทอด

เต้าหู้พวง

เป็นเต้าหู้หั่นเป็นชิ้นแล้วทอด ร้อยเชือกขายเป็นพวงใช้ใส่ในก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟและพะโล้

เต้าหู้โมเมน

เป็นการผลิตแบบญี่ปุ่น เต้าหู้ชนิดนี้เนื้อค่อนข้างแข็งแน่น นำไปปรุงเป็นอาหารได้เหมือนเต้าหู้ขาวแข็ง

เต้าหู้คินุ

เป็นการผลิตแบบญี่ปุ่นเช่นกัน เนื้อเหมือนเต้าหู้ขาวอ่อนสามารถนำไปประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับเต้าหู้ขาวอ่อน

วิธีเลือกซื้อเต้าหู้

  1. ทดสอบว่าเต้าหู้ยี่ห้อนั้นใส่สารกันบูดหรือไม่ โดยการนำมาวางไว้ที่อุณหภูมิห้องหนึ่งวันถ้าเสียแสดงว่าไม่ใส่สารกันบูด
  2. ต้องไม่มีเหงื่อหรือน้ำขุ่นขาวซึมออกมาจากเต้าหู้
  3. เมื่อดมดูแล้วต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นเปรี้ยว
  4. สีใกล้เคียงกันทั้งก้อนไม่คล้ำและไม่มีจุดด่างดำ

เบ็ดเตล็ด

การบรรจุหีบห่อแบบสุญญากาศจะช่วยให้เก็บเต้าหู้ได้นานขึ้น แต่ถ้าจะกินให้อร่อยเมื่อซี้อไปแล้วควรนำไปประกอบอาหารให้เร็วที่สุด สำหรับเต้าหู้ซีอิ๊วดำและเต้าหู้ทอดเท่านั้นที่ควรเก็บไว้ในช่องฟรีซ ส่วนเต้าหู้ชนิดอื่น ๆ ให้เก็บในช่องเย็นธรรมดาหรือช่องใต้ช่องฟรีซจะทำให้เก็บไว้ได้นานขึ้น

ดูเพิ่ม

อ้างอิง

  1. "History of tofu". Soya.be. 2015-11-29. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-08-21. สืบค้นเมื่อ 2016-10-11.
  2. Du Bois (2008), pp. 13–14.
  3. "What is Tofu? What's the Best Way to Cook It?". devour.asia (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ 2021-04-03.
  4. American Heritage Dictionary.
  5. Etymology, Tofu Magazine, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-12-12, สืบค้นเมื่อ 2008-01-05
  6. tofu, dictionary.com, เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-04-29, สืบค้นเมื่อ 2009-09-26
  7. Wilkinson (2015), p. 445.
  8. Shurtleff & Aoyagi (2013)

ข้อมูล

อ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น

  • The Oxford companion to food Alan Davidson, Tom Jaine
  • "The Secrets of Tofu across Japan", a 1/2-hour English-language documentary from Japanese state broadcaster NHK World-Japan portraying the production, culinary use, and cultural significance of tofu
  • "แกะรอยเต้าหู้จากถั่วเหลืองสู่อาหารหลากแบบ". นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2549 คอลัมน์ต้นทางสุขภาพดี.