ผลต่างระหว่างรุ่นของ "กฎของโลปีตาล"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Film2860 (คุย | ส่วนร่วม)
เพิ่มรูปทั่วไปกับตัวอย่าง
Film2860 (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัด 29: บรรทัด 29:
ในกรณีที่สองนั้น สมมุติฐานให้ <math>f</math> [[อนุกรมลู่ออก|ลู่ออก]]ไปอนันต์จะไม่ได้ถูกใช้ในบทพิสูจน์ (ดูหมายเหตุตรงท้ายหัวเรื่อง''บทพิสูจน์'') ดั้งนั้นโดยปกติเงื่อนไขของกฎจะกล่าวไว้ตามข้างบน เงื่อนไขที่เพียงพอที่สองที่จะทำให้กระบวนการของกฎนี้ถูกต้องสามารถกล่าวได้อย่างสั้น ๆ ว่า <math display="inline">\lim_{x \to c} |g(x)| = \infty </math>
ในกรณีที่สองนั้น สมมุติฐานให้ <math>f</math> [[อนุกรมลู่ออก|ลู่ออก]]ไปอนันต์จะไม่ได้ถูกใช้ในบทพิสูจน์ (ดูหมายเหตุตรงท้ายหัวเรื่อง''บทพิสูจน์'') ดั้งนั้นโดยปกติเงื่อนไขของกฎจะกล่าวไว้ตามข้างบน เงื่อนไขที่เพียงพอที่สองที่จะทำให้กระบวนการของกฎนี้ถูกต้องสามารถกล่าวได้อย่างสั้น ๆ ว่า <math display="inline">\lim_{x \to c} |g(x)| = \infty </math>


สมมุติฐานที่ว่า <math>g'(x) \ne 0</math> จะพบเห็นได้บ่อยตามงานเขียน แต่บางผู้เขียนละสมมุติฐานนี้โดยการเขียนสมมติฐานอื่น
สมมุติฐานที่ว่า <math>g'(x) \ne 0</math> จะพบเห็นได้บ่อยตามงานเขียน แต่บางผู้เขียนละสมมุติฐานนี้โดยการเขียนสมมติฐานอื่น วิธีหนึ่ง<ref>{{harv|Chatterjee|2005|loc=p. 291}}</ref>คือการนิยามลิมิตของฟังก์ชันนั้นโดยเพิ่มข้อกำหนดทีฟังก์ชันที่ใช้หาลิมิตนั้นต้องถูกนิยามทุกที่บนช่วงที่เกี่ยวข้อง <math>I</math> อาจยกเว้นที่ <math>c</math> อีกวิธี<ref>{{harv|Krantz|2004|loc=p.79}}</ref>คือให้ทั้ง <math>f</math> และ <math>g</math> จำเป็นที่จะต้องหาอนุพันธ์ได้ทุกที่บนช่วงที่มี <math>c</math> อยู่


== ตัวอย่าง ==
== ตัวอย่าง ==
บรรทัด 127: บรรทัด 127:
== อ้างอิง ==
== อ้างอิง ==
<references />
<references />

=== แหล่งข้อมูล ===

* {{citation|last=Chatterjee|first=Dipak|title=Real Analysis|year=2005|publisher=PHI Learning Pvt. Ltd|isbn=81-203-2678-4}}
* {{citation|last=Krantz|first=Steven G.|title=A handbook of real variables. With applications to differential equations and Fourier analysis|pages=xiv+201|year=2004|place=Boston, MA|publisher=Birkhäuser Boston Inc.|doi=10.1007/978-0-8176-8128-9|isbn=0-8176-4329-X|mr=2015447}}

[[หมวดหมู่:แคลคูลัส]]
[[หมวดหมู่:แคลคูลัส]]
{{โครงคณิตศาสตร์}}
{{โครงคณิตศาสตร์}}

รุ่นแก้ไขเมื่อ 23:47, 10 มีนาคม 2567

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ของกฎของโลปีตาล เมื่อ และ ของฟังก์ชัน จะไม่นิยาม ณ ตำแหน่ง x = 0 แต่สามารถทำให้ฟังก์ชันนั้นต่อเนี่องใน โดยนิยามให้ .

ในแคลคูลัส กฎของโลปีตาล (อังกฤษ: L'Hôpital's rule) หรือ กฎของแบร์นูลลี (อังกฤษ: ฺBernoulli's rule) เป็นทฤษฎีบทคณิตศาสตร์ที่ว่าด้วยการหาค่าลิมิตที่อยู่ในรูปแบบยังไม่กำหนด (อังกฤษ: indeterminate forms) ด้วยการใช้อนุพันธ์กฎนี้มักนำมาใช้ในการเปลี่ยนรูปแบบยังไม่กำหนด เป็นรูปแบบกำหนด เพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณลิมิตโดยการแทนค่าเข้าไปตรง ๆ กฎนี้ถูกตั้งชื่อตามนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกีโยม เดอ โลปีตาล ถึงแม้กฎนี้มักถูกพิจารณาว่าถูกเขียนโดยเดอ โลปีตาล แต่ทฤษฎีบทนี้แบร์นูลลีเป็นคนเสนอให้กับเขา

กฏของโลปีตาล — ฟังก์ชัน และ ที่หาอนุพันธ์ได้บนช่วงเปิด ยกเว้นเมื่อที่จุด อยู่ใน

ถ้า หรือ และ สำหรับทุก ใน ที่ และ หาค่าได้

แล้ว

ประวัติ

กีโยม เดอ โลปีตาลเผยแพร่กฎนี้ในปีพ.ศ.2239 (ค.ศ.1696) ในหนังสือชื่อ Analyse des Infiniment Petits pour l'Intelligence des Lignes Courbes เป็นหนังสือเล่มแรกที่เขียนเกี่ยวกับแคลคูลัสเชิงอนุพันธ์[1] ถึงอย่างไรก็ตาม เชื่อกันว่ากฎนี้ถูกค้นพบโดยนักคณิตศาสตร์ชาวสวิสชื่อโยฮันน์ แบร์นูลลี[2]

รูปทั่วไป

รูปทั่วไปของกฎของโลปีตาลครอบคลุมหลากหลายกรณี ให้ และ เป็นจำนวนจริงส่วนขยาย (ต.ย. จำนวนจริง อนันต์บวก อนันต์ลบ) ให้ เป็นช่วงเปิดที่มี อยู่ (สำหรับลิมิตสองข้าง) หรือช่วงเปิดที่มี เป็นจุดปลาย (สำหรับลิมิตข้างเดียว หรือลิมิตที่อนันต์ ถ้า เป็นอนันต์) สมมติให้ฟังก์ชันค่าจริง และ หาอนุพันธ์ได้บน อาจยกเว้นที่ และ บน อาจยกเว้นที่ ด้วย ยังสมมติให้ ดังนั้นกฎนี้สามารถใช้ได้ในสถานการณ์เมื่ออัตราส่วนของอนุพันธ์มี่ค่าจำกัดหรือไม่จำกัด แต่ใข้ไม่ได้ในสถานการณ์อัตราส่วนแปรปรวนตลอดที่ มีค่าเข้าไกล้

ถ้า

หรือ

อย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว

ถึงแม้ว่าเราจะเขียนในรูป ตลอด ลิมิตนั้นอาจเป็นลิมิตข้างเดียว ( หรือ ) เมื่อ เป็นจุดปลายจำกัดของ

ในกรณีที่สองนั้น สมมุติฐานให้ ลู่ออกไปอนันต์จะไม่ได้ถูกใช้ในบทพิสูจน์ (ดูหมายเหตุตรงท้ายหัวเรื่องบทพิสูจน์) ดั้งนั้นโดยปกติเงื่อนไขของกฎจะกล่าวไว้ตามข้างบน เงื่อนไขที่เพียงพอที่สองที่จะทำให้กระบวนการของกฎนี้ถูกต้องสามารถกล่าวได้อย่างสั้น ๆ ว่า

สมมุติฐานที่ว่า จะพบเห็นได้บ่อยตามงานเขียน แต่บางผู้เขียนละสมมุติฐานนี้โดยการเขียนสมมติฐานอื่น วิธีหนึ่ง[3]คือการนิยามลิมิตของฟังก์ชันนั้นโดยเพิ่มข้อกำหนดทีฟังก์ชันที่ใช้หาลิมิตนั้นต้องถูกนิยามทุกที่บนช่วงที่เกี่ยวข้อง อาจยกเว้นที่ อีกวิธี[4]คือให้ทั้ง และ จำเป็นที่จะต้องหาอนุพันธ์ได้ทุกที่บนช่วงที่มี อยู่

ตัวอย่าง

  • ตัวอย่างพื้นฐานที่มีฟังก์ชันเลขชี้กำลัง ในรูปแบบยังไม่กำหนด ที่
  • ตัวอย่างที่ซับซ้อนขึ้นที่เป็น การใช้กฎของโลปีตาลเพียงครั้งเดียวผลลัพท์ยังคงเป็นรูปแบบยังไม่กำหนดอยู่ ในที่นี้ ลิมิตอาจหาค่าได้โดยการใชกฎของโลปีตาลสามครั้ง

  • ตัวอย่างที่เป็น
    ใช้กฎของโลปีตาลซ้ำไปเรื่อย ๆ จนกว่าเลขชี้กำลังจะเป็นศูนย์ (ถ้า เป็นจำนวนเต็ม) หรือติดลบ (ถ้า เป็นเศษส่วน) ถีงจะารุปได้ว่าลิมิตมีค่าเป็นศูนย์
  • ตัวอย่างที่เป็นรูปแบบยังไม่กำหนด (ดูข้างล่าง) ซึ่งเขียนใหม่ได้ในรูป

รูปแบบยังไม่กำหนดอื่น ๆ

รูปแบบยังไม่กำหนดอื่น ๆ เช่น และ สามารถหาค่าโดยใช้กฎของโลปีตาลได้ เช่นการหาลิมิตทีมี โดยการเปลี่ยนสองฟังก์ชันที่ลบกันเป็นการหาร

กฎของโลปีตาลถูกใช้ในขั้นตอนจาก (1) ไป (2) และอีกครั้งในขั้นตอน (3) ไป (4)

กฎของโลปีตาลใช้ได้กับรูปแบบยังไม่กำหนดที่มีเลขยกกำลังโดยใช้ลอการิทึมช่วย"ตบเลขยกกำลังลงมา" ตัวอย่างเช่น

ย้ายลิมิตเข้าไปในฟังก์ชันเลขชี้กำลังได้เพราะฟังก์ชันเลขชี้กำลังเป็นฟังก์ชันต่อเนื่อง และการที่เลขชี้กำลัง "อยู่ข้างล่าง" ลิมิต อยู่ในรูปแบบยังไม่กำหนด แต่จากที่ได้แสดงในตัวอย่างข้างบนมา กฎของโลปีตาลยังสามารถบอกได้ว่า

ดังนั้น

ตารางต่อไปนี้คือรายการรูปแบบยังไม่กำหนดที่พบบ่อย กับการแปลงโดยใช้กฎโลปีตาล

รูปแบบยังไม่กำหนด เงื่อนไข การแปลงเป็น
0/0
/

อ้างอิง

  1. O'Connor, John J.; Robertson, Edmund F. "De L'Hopital biography". The MacTutor History of Mathematics archive. Scotland: School of Mathematics and Statistics, University of St Andrews. สืบค้นเมื่อ 21 December 2008.{{cite web}}: CS1 maint: url-status (ลิงก์)
  2. Boyer, Carl B.; Merzbach, Uta C. (2011-01-25). A History of Mathematics (ภาษาอังกฤษ) (3rd illustrated ed.). John Wiley & Sons. p. 321. ISBN 978-0-470-63056-3.
  3. (Chatterjee 2005, p. 291)
  4. (Krantz 2004, p.79)

แหล่งข้อมูล