เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา
ซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา | |||||
---|---|---|---|---|---|
จักรพรรดินีแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการี | |||||
ดำรงพระยศ | 21 พฤศจิกายน 1916 – 11 พฤศจิกายน 1918 | ||||
ราชาภิเษก | 30 ธันวาคม 1916 | ||||
พระราชสมภพ | 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 วิลล่าบูร์บง, แคว้นตอสคานา, ราชอาณาจักรอิตาลี | ||||
สวรรคต | 14 มีนาคม ค.ศ. 1989 ไซเซอส์, รัฐเกราบึนเดิน, ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ | (96 ปี)||||
ฝังพระศพ | 1 เมษายน ค.ศ. 1989
| ||||
คู่อภิเษก | จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย (สมรส 1911; เสียชีวิต 1922) | ||||
พระราชบุตร | |||||
| |||||
ราชวงศ์ | บูร์บง-ปาร์มา | ||||
พระราชบิดา | โรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา | ||||
พระราชมารดา | อิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส | ||||
ลายพระอภิไธย |
ซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา[a] (ซีตา มารีอา เดลเล กราซี อาเดลกอนดา มิคาเอลา ราฟาเอลลา กาเบรียลลา จูเซปปินา อันโตเนีย หลุยซา แอ็กเนเซ; 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 – 14 มีนาคม ค.ศ. 1989) เป็นพระมเหสีในจักรพรรดิคาร์ล ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ดังนั้นพระองค์จึงดำรงพระอิสริยยศเป็นจักรพรรดินีแห่งออสเตรียและสมเด็จพระราชินีแห่งฮังการีพระองค์สุดท้ายเช่นเดียวกัน นอกจากนี้พระองค์ยังทรงได้รับการประกาศให้เป็นผู้รับใช้พระเป็นเจ้าโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 อีกด้วย
พระองค์เป็นพระธิดาพระองค์ที่สิบเจ็ดในโรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา และภริยาองค์ที่สอง อิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับอาร์ชดยุกคาร์ลแห่งออสเตรียใน ค.ศ. 1911 โดยใน ค.ศ. 1914 อาร์ชดยุกคาร์ลทรงได้รับการสถาปนาเป็นทายาทโดยสันนิษฐานของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ซึ่งเกิดขึ้นภายหลังเหตุการณ์ลอบปลงพระชนม์พระมาตุลาของพระองค์ อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์แห่งออสเตรีย และทรงขึ้นครองราชสมบัติใน ค.ศ. 1916 ภายหลังการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟที่ 1
ภายหลังการสิ้นสุดลงของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งใน ค.ศ. 1918 ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คถูกล้มล้างและดินแดนของจักรวรรดิได้แตกสลายกลายเป็นรัฐต่าง ๆ ได้แก่ ออสเตรีย, ฮังการี, และเชโกสโลวาเกีย เป็นต้น ในขณะที่ดินแดนส่วนอื่น ๆ ถูกผนวกรวมเข้ากับราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอต และสโลวีน, อิตาลี, โรมาเนีย, และโปแลนด์ที่พึ่งได้รับเอกราช จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาทรงเสด็จลี้ภัยไปยังสวิตเซอร์แลนด์ และภายหลังความล้มเหลวของความพยายามในการฟื้นฟูระบอบราชาธิปไตยในฮังการี ทั้งสองพระองค์จึงทรงเสด็จประทับอยู่ที่เกาะมาเดราตามคำร้องขอของฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งเป็นที่สวรรคตของจักรพรรดิคาร์ลใน ค.ศ. 1922 ภายหลังการสวรรคตของพระราชสวามี จักรพรรดินีซีตาและพระราชโอรสของพระองค์ เจ้าชายอ็อทโท ทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดองของราชวงศ์ออสเตรียที่ลี้ภัยอยู่ต่างแดน ในฐานะที่เป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัด พระองค์ทรงแบกรับภาระ ดูแลครอบครัวใหญ่หลังจากเป็นม่ายขณะมีพระชนมายุ 29 พรรษา และยังคงซื่อสัตย์ต่อความทรงจำเกี่ยวกับพระสวามีตลอดพระชนม์ชีพ
ขณะทรงพระเยาว์
[แก้]เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มาพระราชสมภพเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 ณ วิลลาปีอานอเร จังหวัดลุกกา ประเทศอิตาลี[1]: 1 โดยพระนามว่า ซีตา (Zita) ตั้งตามชื่อของนักบุญซีตาผู้โด่งดังที่ซึ่งอาศัยอยู่ในแคว้นตอสคานาสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 13[2]: 16 พระองค์เป็นพระธิดาพระองค์ที่สามและพระราชบุตรพระองค์ที่ห้าในโรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา และพระชายาพระองค์ที่สอง อิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส ผู้ซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระเจ้ามีแกลแห่งโปรตุเกสและพระมเหสีเจ้าหญิงอาเดิลไฮท์แห่งเลอเวนชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์ค พระบิดาของเจ้าหญิงซีตาทรงถูกขับออกจากราชบัลลังก์เมื่อทรงพระเยาว์ เนื่องจากความเคลื่อนไหวในการรวมชาติอิตาลีที่เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1859[1]: 1 พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของพระโอรสและธิดา 12 พระองค์ จากการอภิเษกสมรสครั้งแรกกับเจ้าหญิงมารีอา ปีอาแห่งซิซิลีทั้งสอง (หกพระองค์ทรงมีปัญหาพัฒนาการทางด้านจิตใจและสามพระองค์สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์)[1]: 1 ดยุกโรแบร์โตทรงเป็นม่ายใน ค.ศ. 1882 และอีกสองปีต่อมาทรงอภิเษกสมรสกับอิงฟังตามารีอา อันตอนียูแห่งโปรตุเกส พระมารดาในเจ้าหญิงซีตา[1]: 1 การอภิเษกสมรสครั้งที่สองนี้ได้ให้กำเนิดพระโอรสและธิดาเพิ่มอีก 12 พระองค์ โดยเจ้าหญิงซีตาเป็นพระธิดาพระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระโอรสธิดาจำนวนทั้งหมด 24 พระองค์ของดยุกโรแบร์โต พระองค์และครอบครัวเสด็จแปรพระราชฐานประทับทั้งที่วิลลาปีอานอเร (อยู่ระหว่างเมืองปิเอตราซานตาและเมืองวีอาเรจจีโอ) และปราสาทชวาร์เซาในภูมิภาคโลเวอร์ออสเตรีย[3]: 5–6 เจ้าหญิงซีตาทรงเจริญพระชนม์ในพระราชฐานทั้งสองแห่งนี้ ครอบครัวของเจ้าหญิงประทับในออสเตรียเป็นส่วนใหญ่และจะย้ายไปประทับที่เมืองปีอานอเรในช่วงฤดูหนาวและกลับมาในฤดูร้อน[1]: 2 ในการเดินทางจะต้องใช้รถไฟขบวนพิเศษที่มีจำนวนสิบหกตู้เพื่อรองรับสมาชิกในครอบครัวและสิ่งของเครื่องใช้ของทุกพระองค์ได้ทั้งหมด[3]: 7
เจ้าหญิงซีตาและพระเชษฐา พระเชษฐภคินี พระอนุชาและพระขนิษฐาได้รับการอภิบาลให้ตรัสภาษาอิตาลี ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกส และภาษาอังกฤษ[1]: 2 พระองค์ทรงเล่าว่า:
“ | พวกเราเติบโตมาแบบนานาชาติ เสด็จพ่อคิดว่าท่านเป็นฝรั่งเศสอย่างแรกเลย และใช้เวลาประทับอยู่กับพวกพี่ ๆ ที่ช็องบอร์ ซึ่งคือพระราชฐานของเสด็จพ่อริมแม่น้ำลัวร์ ข้าพเจ้าเคยถามเสด็จพ่อครั้งหนึ่งว่าพวกเราจะแนะนำตัวเองเช่นไรดี ท่านกล่าวกลับว่า 'พวกเราเป็นเจ้านายชาวฝรั่งเศสที่ปกครองดินแดนในอิตาลี' แต่ที่จริงแล้ว ในพี่น้องจำนวนยี่สิบสี่คน มีเพียงข้าพเจ้าและพี่น้องอีกสองเท่านั้นคนที่เกิดในอิตาลีจริง ๆ[i] | ” |
เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้สิบพรรษา เจ้าหญิงซีตาทรงเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในเมืองซันแบร์ค ภูมิภาคโอเบอร์ไบเอิร์น ซึ่งเน้นการศึกษาและการสอนศาสนาที่เคร่งครัด[1]: 3 พระองค์ต้องเสด็จกลับพระราชฐานอย่างกะทันหันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1907 อันเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของพระบิดา พระอัยกาจึงส่งพระองค์และเจ้าหญิงฟรันเซสกา พระเชษฐภคินีไปประทับในสำนักชีที่ไอล์ออฟไวต์จนพระองค์สำเร็จการศึกษา[2]: 19 เหล่าพระโอรสธิดาในราชวงศ์ซึ่งเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัด ทรงปฏิบัติพระกรณียกิจนานัปการแก่คนยากจน ส่วนในเมืองชวาร์เซา ครอบครัวของเจ้าหญิงซีตาได้นำผ้าที่เหลือมาทำฉลองพระองค์ พระองค์และเจ้าหญิงฟรันเซสกาทรงแจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้าและยารักษาโรคแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากในเมืองปีอานอเร[3]: 7–8 พระเชษฐภคินีสามพระองค์ทรงเป็นแม่ชี และครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยคิดที่จะดำเนินรอยตาม[2]: 20 แต่ด้วยพระพลานามัยที่ไม่ค่อยแข็งแรง พระองค์จึงทรงเข้ารับการรักษาแบบดั้งเดิมในสปาของทวีปยุโรปเป็นเวลาสองปี[3]: 15
อภิเษกสมรส
[แก้]บริเวณใกล้เคียงของปราสาทชวาร์เซาเป็นคือ วิลลาวอร์ทโฮลซ์ ที่ประทับของอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอาแห่งออสเตรีย พระมาตุจฉาของเจ้าหญิงซีตา พระองค์เป็นพระมารดาเลี้ยงของอาร์ชดยุกอ็อทโทแห่งออสเตรีย ซึ่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1906 และพระอัยยิกาเลี้ยงของอาร์ชดยุกคาร์ลแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ ซึ่งในขณะนั้นเป็นรัชทายาทลำดับที่สองแห่งราชบัลลังก์ออสเตรีย-ฮังการี พระธิดาสองพระองค์ของอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอาแห่งออสเตรียเป็นพระญาติของเจ้าหญิงซีตา และอาร์ชดยุกคาร์ล ทั้งสองพระองค์ทรงพบกันเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์และไม่ได้เจอกันอีกเป็นเวลาเกือบสิบปี เนื่องจากต่างก็ไปศึกษาเล่าเรียน ในปี ค.ศ. 1909 กองร้อยดรากูนของอาร์ชดยุกคาร์ลได้ประจำการที่เมืองบรันไดส์ บนแม่น้ำเอลเบ ซึ่งพระองค์เสด็จไปเยี่ยมพระมาตุจฉาที่เมืองฟรันเซนบาด ในช่วงนี้เองที่อาร์ชดยุกคาร์ลและเจ้าหญิงซีตาทรงสร้างความคุ้นเคยกันอีกครั้ง พระองค์ทรงอยู่ภายใต้ความกดดันเรื่องการอภิเษกสมรส (เพราะว่าอาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ พระปิตุลา ทรงอภิเษกสมรสต่างฐานันดรศักดิ์กับสามัญชนและพระโอรสธิดาหมดสิทธิสืบราชสมบัติ) และเจ้าหญิงซีตาทรงมาจากสายราชตระกูลที่เหมาะสม เจ้าหญิงทรงเล่าต่อมาในภายหลังว่า "เราสองคนดีใจมากที่พบกันอีกครั้งและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ความรู้สึกส่วนของข้าพเจ้าพัฒนาขึ้นเป็นลำดับตลอดเวลาสองปี พระองค์ดูเหมือนจะตัดสินใจได้เร็วมากกว่า และชัดเจนมากขึ้นเมื่อในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1910 ได้มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่าข้าพเจ้าได้หมั้นกับอินฟันเตไฆเม ดยุกแห่งมาดริด ซึงเป็นญาติสายห่างจากสเปน เมื่อทราบเรื่องนี้ อาร์ชดยุกคาร์ลได้รีบเสด็จมาจากกองร้อยที่ประจำการอยู่ที่เมืองบรันไดส์และพบแกรนด์ดัชเชสมารีอา เทเรซีอา พระอัยยิกา ซึ่งเป็นเสด็จป้าของข้าพเจ้าและทีปรึกษาเรื่องการอภิเษกสมรส พระองค์ตรัสถามว่าข่าวลือเป็นจริงหรือไม่และเมื่อทรงทราบว่าไม่เป็นจริง จึงตรัสตอบว่า 'งั้นหม่อมฉันควรจะช้าไม่ได้เสียแล้ว มิเช่นนั้นซีตาจะหมั้นกับคนอื่นแทน'"
อาร์ชดยุกคาร์ลเสด็จไปยังวิลล่าพีอานอเร่เพื่อสู่ขอเจ้าหญิงซีตา และราชสำนักออสเตรียได้ประกาศพิธีหมั้นเมื่อในวันที่ 13 มิถุนายน ค.ศ. 1911 และอีกหลายปีต่อมาเจ้าหญิงซีตาทรงเล่าว่าหลังจากพิธีหมั้นแล้ว พระองค์ทรงแสดงความกังวลกับอาร์ชดยุกคาร์ลเกี่ยวกับโชคชะตาของจักรวรรดิออสเตรีย รวมทั้งความท้าท้ายของพระราชวงศ์ด้วย ทั้งสองพระองค์อภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ. 1911 ณ ปราสาทชวาร์เซา ประเทศออสเตรีย โดยมีจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ ขณะนั้นพระชนมพรรษา 81 พรรษา เสด็จมาเข้าร่วมพิธีด้วยความโล่งพระทัยเมื่อเห็นรัชทายาทอภิเษกสมรสกับเจ้าสาวที่เหมาะสม และยังคงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ ถึงกับสามารถกล่าวนำดื่มอวยพรในงานเลี้ยงพระกระยาหารเช้าของวันอภิเษกสมรสได้ จากนั้นไม่นานเจ้าหญิงซีตาทรงพระครรภ์พระโอรสและอาร์ชดยุกอ็อทโท ประสูติในวันที่ 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1912 และตามมาด้วยพระราชโอรสธิดาอีกเจ็ดพระองค์ในอีกทศวรรษต่อมา
พระชายาในรัชทายาทแห่งออสเตรีย
[แก้]ในเวลานั้น อาร์ชดยุกคาร์ลมีพระชนมายุยี่สิบเศษและไม่ทรงคาดคิดว่าจะได้เป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์ โดยเฉพาะขณะที่อาร์ชดยุกฟรันทซ์ แฟร์ดีนันท์ ยังมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914 เมื่อพระองค์และเจ้าหญิงโซฟี พระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ที่เมืองซาราเยโว โดยกลุ่มชาตินิยมชาวเซิร์บในแคว้นบอสเนีย อาร์ชดยุกคาร์ลและอาร์ชดัชเชสซีตาทรงทราบข่าวจากโทรเลขในวันเดียวกัน พระองค์ตรัสถึงพระสวามีว่า "แม้ว่าจะเป็นวันที่อากาศแจ่มใส ข้าพเจ้าเห็นพระพักตร์ของพระองค์ซีดขาวในแสงแดด"
การลอบปลงพระชนม์ครั้งนี้ทำให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 อาร์ชดยุกคาร์ลทรงได้รับการแต่งตั้งเป็นนายพลแห่งกองทัพออสเตรียบัญชาการกองร้อยที่ 20 เตรียมพร้อมรบในเมืองไทรอล สงครามสร้างความลำบากใจแก่อาร์ชดัชเชสซีตา เนื่องจากพระเชษฐาและพระอนุชาสู้รบในฝ่ายตรงข้ามกัน (เจ้าชายเฟลิกซ์ และเจ้าชายเรอเน ทรงเข้าร่วมกองทัพออสเตรีย ในขณะที่เจ้าชายซิกซ์ทัส และเจ้าชายซาเวรีโอ ประทับอยู่ในประเทศฝรั่งเศสและเข้าร่วมกองทัพเบลเยียม) นอกจากนี้ ประเทศอิตาลีซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาร์ชดัชเชสซีตา ได้เข้าร่วมสงครามต่อต้านออสเตรียในปี ค.ศ. 1914 และเป็นเหตุให้ข่าวลือของอาร์ชดัชเชสซีตา"ที่เป็นอิตาลี" เริ่มเป็นที่ซุบซิบกัน แม้แต่ในช่วงปลายปี ค.ศ. 1917 เคานต์อ็อทโท ฟ็อน เวเดิล ทูตเยอรมันประจำกรุงเวียนนา เขียนจดหมายไปยังราชสำนักในกรุงเบอร์ลินว่า "จักรพรรดินีทรงสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์อิตาลี... ประชาชนไม่เชื่อชาวอิตาลีและเหล่าญาติของพระนางสักเท่าใดนัก"
ตามพระราชโองการของจักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ อาร์ชดัชเชสซีตาและพระราชโอรสธิดาเสด็จออกจากพระราชฐานในเมืองเฮ็ทเซ็นดอร์ฟไปประทับในพระราชวังเชินบรุน พระองค์ปฏิบัติพระราชภารกิจอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการร่วมกับจักรพรรดิเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งพระองค์ตรัสเล่าถึงเรื่องความกลัวต่อเหตุการณ์ในอนาคตแก่อาร์ชดัชเชสซีตา จักรพรรดิฟรันทซ์ โยเซ็ฟ เสด็จสวรรคตด้วยโรคหลอดพระวาโยอักเสบและพระปัปผาสะบวมเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 ขณะมีพระชนมพรรษา 86 พรรษา อาร์ชดัชเชสซีตาทรงเล่าในภายหลังว่า "ข้าพเจ้าจำรูปร่างพ่วงพีของเจ้าชายล็อบโควิตซ์ก้าวเข้ามาหาสวามีของข้าพเจ้า และด้วยน้ำตาที่เอ่อเต็มสองตา ได้ทำสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนบนหน้าผากของคาร์ล แล้วพูดว่า 'ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดประทานพรแก่ฝ่าพระบาท' นับเป็นครั้งแรกที่ได้ยินการใช้พระอิสริยยศกษัตริย์กับเราทั้งสอง"
จักรพรรดินีและสมเด็จพระราชินี
[แก้]จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาทรงทำพีระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ค.ศ. 1916 ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ต่อจากนั้นมีพิธีพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารฉลองการครองราชสมบัติ แต่ไม่นานงานสังสรรค์ได้สิ้นสุดลง ด้วยสองพระองค์ทรงตระหนักว่าไม่ควรจัดงานเฉลิมฉลองอย่างเอิกเกริกในช่วงสงครามอันเลวร้าย เมื่อเริ่มต้นรัชกาลแล้ว จักรพรรดิคาร์ลไม่ได้เสด็จออกนอกกกรุงเวียนนาบ่อยนัก จึงได้มีรับสั่งให้ติดตั้งสายโทรศัพท์จากเมืองบาเดิน (ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการทหารในพระองค์) มายังพระราชวังฮอฟบวร์ค พระองค์ทรงโทรศัพท์หาพระจักรพรรดินีซีตาหลายครั้งเมื่อใดที่ประทับห่างไกลกัน จักรพรรดินีทรงมีอิทธิพลต่อพระราชสวามีอยู่บ้างและมีโอกาสร่วมในการเข้าเฝ้าของอัครมหาเสนาบดีหรือการประชุมทางการทหารอย่างไม่โจ่งแจ้งมากนัก และพระองค์ยังทรงมีความสนพระทัยในนโยบายด้านสังคมเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องของกิจการทหารยกให้เป็นสิทธิของจักรพรรดิคาร์ลแต่เพียงผู้เดียว ด้วยความแข็งขันและแน่วแน่ พระองค์ได้โดยเสด็จพระราชสวามีไปยังมณฑลต่างๆ และแนวรบ รวมทั้งอุทิศพระวรกายให้กับพระราชกรณียกิจการกุศลและการเสด็จเยี่ยมโรงพยาบาลของผู้ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
กรณีซิกซ์ตัส
[แก้]ในขณะนี้ สงครามโลกได้ก้าวย่างเข้าสู่ปีที่สี่ และเจ้าชายซิกซ์ทัส พระเชษฐาในจักรพรรดินีซีตา ซึ่งร่วมรบในกองทัพเบลเยียม เป็นผู้เสนอญัตติสำคัญเบื้องหลังแผนการให้จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการีสร้างสันติภาพกับฝรั่งเศส จักรพรรดิคาร์ลทรงเริ่มติดต่อกับเจ้าชายซิกซ์ทัสผ่านทางเส้นสายในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่เป็นกลาง และจักรพรรดินีซีตามีพระราชหัตถเลขาเชิญพระเชษฐามายังกรุงเวียนนา โดยมีอิงฟังตามารีอา อันตอนียู พระมารดาเป็นผู้ส่งจดหมายให้ด้วยพระองค์เอง
เจ้าชายซิกซ์ทัสเสด็จมาพร้อมด้วยเงื่อนไขที่เห็นชอบจากประเทศฝรั่งเศสเพื่อการเจรจา เช่น การคืนเมืองอัลซาสและลอร์แรนให้กับฝรั่งเศส (ซึ่งผนวกกับประเทศเยอรมนีภายหลังจากสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1870) การคืนเอกราชให้กับประเทศเบลเยียม และราชอาณาจักรเซอร์เบีย และการมอบเมืองคอนสแตนติโนเปิลให้แก่ประเทศรัสเซีย จักรพรรดิคาร์ลทรงเห็นชอบด้วยในหลักการกับประเด็นสามข้อแรกและมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าชายซิกซ์ทัสลงวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1917 ให้แจ้ง "ข้อความที่เป็นความลับและไม่เป็นทางการซึ่งเราจะดำเนินการทุกวิถีทางและอิทธิพลของเราเองทั้งหมด" แก่ประธานาธิบดีแห่งฝรั่งเศส ในที่สุดความพยายามในการทูตระดับพระราชวงศ์ไม่ประสบผลสำเร็จ ประเทศเยอรมนีปฏิเสธการเจรจาเรื่องดินแดนอัลซาสและลอแรน และลังเลที่จะยุติสงครามเมื่อเห็นว่าการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียรออยู่ตรงหน้า เจ้าซิกซ์ทัสทรงพยายามต่อไป โดยเข้าพบกับลอยด์ จอร์จ ในกรุงลอนดอน เกี่ยวกับเรื่องความต้องการดินแดนออสเตรียของประเทศอิตาลีตามสนธิสัญญาลอนดอน แต่นายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่สามารถโน้มน้าวให้นายทหารอังกฤษสร้างสันติภาพกับออสเตรียได้ จักรพรรดินีซีตาสามารถสร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองในช่วงเวลานี้ โดยหยุดยั้งแผนการของเยอรมันที่จะส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดยังพระราชฐานของพระมหากษัตริย์และสมเด็จพระราชินีแห่งเบลเยียมในวันเฉลิมพระนามของทั้งสองพระองค์
ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1918 หลังจากการลงนามสนธิสัญญาเบรสท์-ลิตอฟสก์ระหว่างเยอรมนีกับรัสเซีย เคานต์อ็อทโทคาร์ แซร์นิน รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรียได้กล่าวปราศรัยโจมตีนายจอร์จ เคลม็องโซ นายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศสที่กำลังเข้ามาร่วมประชุมว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างสันติภาพระหว่างฝ่ายมหาอำนาจกลาง นายเคลม็องโซรู้สึกโมโหอย่างมากและได้นำจดหมายลงวันที่ 24 มีนาคม ค.ศ. 1917 ของจักรพรรดิคาร์ล ที่ค้นเจอออกมาตีพิมพ์ ในไม่ช้า พระชนม์ชีพของเจ้าชายซิกซ์ทัสดูเหมือนจะตกอยู่ในอันตรายและเกิดความกลัวกันว่าเยอรมนีอาจจะเข้ายึดครองออสเตรีย เคานต์แซร์นินได้เร่งให้จักรพรรดิส่ง "คำมั่นสัญญา" ไปยังเหล่าพันธมิตรของออสเตรียว่า เจ้าชายซิกซ์ทัสมิได้ทรงรับพระบรมราชานุญาตให้แสดงจดหมายฉบับนั้นต่อรัฐบาลฝรั่งเศส ไม่มีการกล่าวถึงประเทศเบลเยียมเลย และนายเคลม็องได้โกหกการพูดถึงเรื่องดินแดนอัลซาส เคานต์แซร์นินได้ติดต่อกับสถานทูตเยอรมันมาโดยตลอดระยะที่เกิดวิกฤตการณ์ครั้งนี้ และพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิสละราชสมบัติเนื่องจากเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ เขาจึงได้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศไป
จุดจบของจักรวรรดิ
[แก้]ในชาวงเวลานี้ สงครามโลกครั้งที่ 1 กำลังจะสิ้นสุดลงกับจักรพรรดิที่ทรงพร้อมรบ สหภาพคณะมนตรีเช็กได้สาบานตนในการตั้งเป็นรัฐเอกราชเชโกสโลวัก ภายใตัจักรวรรดิฮาพส์บวร์คเมื่อวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 1918 แต่กองทัพเยอรมันยังคงแสดงแสนยานุภาพก่อความรุนแรงในสงครามอาเมียง และเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 1918 พระเจ้าซาร์เฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งบัลแกเรีย ได้แยกตัวออกจากพันธมิตรในฝ่ายมหาอำนาจกลางและฟ้องร้องเพื่อสันติภาพด้วยตนเอง จักรพรรดินีซีตาประทับอยู่กับจักรพรรดิคาร์ลเมื่อทรงได้รับโทรเลขเรื่องการล่มสลายของราชอาณาจักรบัลแกเรีย พระองค์ทรงเล่าว่า "ทำให้มีความเร่งด่วนมากขึ้นในการเจรจาเพื่อสันติภาพกับมหาอำนาจตะวันตกในขณะที่ยังมีเรื่องให้เจรจากันอยู่" ในวันที่ 16 ตุลาคม จักรพรรดิทรงออก "แถลงการณ์ประชาชน" เสนอให้มีการปรับโครงสร้างจักรวรรดิบนแนวทางตามแบบสหพันธรัฐโดยแต่ละเชื้อชาติจะมีรัฐเป็นของตนเอง แต่แต่ละประเทศพยายามแยกตัวออกไปและจักรวรรดิจึงล่มสลายโดยสิ้นเชิง
เมื่อทรงปล่อยให้พระราชโอรสธิดาอยู่ทีพระราชวังเกอเดลโล ประเทศฮังการีแล้ว จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระราชวังเชินบรุนน์ ในเวลานี้รัฐมนตรีๆ ต่างได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐใหม่ "เยอรมัน-ออสเตรีย" และในวันที่ 11 พฤศจิกายน คณะรัฐมนตรีพร้อมกับโฆษกประจำองค์จักรพรรดิได้เตรียมแถลงการณ์เพื่อให้พระองค์ลงพระปรมาภิไธย เมื่อทอดพระเนตรเห็นครั้งแรก จักรพรรดินีซีตาเข้าพระทัยว่าเป็นแถลงการณ์เพื่อสละราชสมบัติและมีพระราชดำรัสอันเป็นที่เลื่องลือว่า
“ | พระประมุขจะสละราชสมบัติไม่ได้ พระองค์อาจถูกปลดออกราชสมบัติได้... ไม่เป็นไร เพราะเป็นอำนาจบังคับ แต่จะให้สละราชสมบัติอย่างนั่นหรือ ไม่มีวัน ไม่มีวัน ไม่มีวันอย่างเด็ดขาด ข้าพเจ้าจะยอมตายข้างพวกท่านเสียดีกว่า แล้วก็ยังคงมีอ็อทโทอยู่อีก หากพวกท่านสังหารพวกเราทั้งหมด จะยังคงมีสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์คคนอื่นเหลืออยู่ดี | ” |
จักรพรรดิพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ตีพิมพ์เอกสารเผยแพร่สู่สาธารณชน และพระองค์พร้อมทั้งครอบครัวและข้าราชบริพารในราชสำนักเสด็จออกจากตำหนักล่าสัตว์ในเมืองเอ็กคาร์ทเซา ซึ่งใกล้กับชายแดนประเทศฮังการีและสโลวาเกีย หลังจากนั้นได้มีการประกาศก่อตั้งสาธารณรัฐเยอรมัน-ออสเตรียในวันต่อมา
การลี้ภัยนอกประเทศ
[แก้]หลังจากช่วงหลายเดือนที่ยากลำบากในเมืองเอ็กคาร์ทเซา เหล่าพระราชวงศ์ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ที่ไม่เคยคาดคิด เจ้าชายซิกซ์ตัสทรงเข้าพบกับสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 และขอให้พระองค์ทรงช่วยเหลือสมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สมเด็จพระเจ้าจอร์จทรงรู้สึกเห็นใจกับคำขอร้องนี้ (นับเป็นเพียงไม่กี่เดือนตั้งแต่พวกปฏิวัติสังหารจักรพรรดินิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย พระญาติสนิท) และให้สัญญาว่า "ข้าพเจ้าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นโดยทันที"
สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 5 ทรงส่งทหารอังกฤษหลายนายไปช่วยเหลือจักรพรรดิคาร์ลและพระราชวงศ์ นำโดยร้อยโทเอ็ดเวิร์ด ลิสเล สตรัทท์ ในวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ. 1919 ได้มีคำสั่งจาก กระทรวงกลาโหมให้ "นำจักรพรรดิออกจากออสเตรียโดยด่วน" แม้มีความยุ่งยากบางประการ สตรัทท์ได้จัดรถไฟพระที่นั่งไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และสามารถให้พระองค์เสด็จออกนอกประเทศอย่างสมพระเกียรติและไม่มีการสละราชสมบัติ จักรพรรดิคาร์ล จักรพรรดินีซีตา พระราชโอรสธิดาและเหล่าข้าราชบริพารเสด็จออกจากประเทศออสเตรียในวันที่ 24 มีนาคม
ประเทศฮังการี และการลี้ภัยบนเกาะมาเดรา
[แก้]ที่ประทับแห่งแรกระหว่างการลี้ภัยของครอบครัวเป็นปราสาทวาร์เท็กในเมืองรอสชาช ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มา แต่องค์กรรัฐบาลของสวิส ซึ่งกังวลเกี่ยวกับนัยแอบแฝงของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ประทับอยู่ใกล้กับชายแดนออสเตรีย ได้บังคับให้สมาชิกทุกพระองค์ย้ายไปประทับทางด้านฝั่งตะวันตกของประเทศแทน ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ครอบครัวจักรพรรดิจึงได้ย้ายไปประทับที่วิลลาพรันกินส์ ใกล้กับทะเลสาบเจนีวา โดยดำรงพระชนม์ชีพอย่างเงียบสงบ ชีวิตอันสงบมีอันต้องสิ้นสุดลงโดยทันทีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1920 เมื่อนายมิคลอส ฮอร์ธี ได้รับเลือกให้เป็นผู้สำเร็จราชการ หลังจากช่วงเวลาแห่งความไร้เสถียรภาพในประเทศฮังการี จักรพรรดิคาร์ลยังคงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฮังการีโดยทางปฏิบัติ (พระเจ้ากาโรยที่ 4) แต่ฮอร์ธีได้ส่งผู้แทนมาเข้าเฝ้าพระองค์ที่วิลลาพรันกินส์ เพื่อกราบทูลไม่ให้เสด็จไปยังฮังการีจนกว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะสงบลงแล้ว หลังจากสนธิสัญญาทรีอานง ความทะเยอทะยานของฮอร์ธีก็เพิ่มมากขึ้น จักรพรรดิคาร์ลทรงเป็นกังวลและขอความช่วยเหลือจากร้อยโทสตรัทท์ให้พาพระองค์เสด็จไปยังฮังการี พระองค์ทรงพยายามเข้าควบคุมสถานการณ์อยู่สองครั้ง โดยครั้งแรกในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1921 และอีกครั้งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1922 แต่ล้มเหลวหมดทุกครั้ง แม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันจากจักรพรรดินีซีตา (พระองค์ได้โดยเสด็จจักรพรรดิคาร์ลด้วยรถไฟพระที่นั่งเป็นครั้งสุดท้ายไปยังกรุงบูดาเปสต์ด้วย)
จักรพรรดิคาร์ลและจักรพรรดินีซีตาประทับอยู่ที่ปราสาทตาตร ซึ่งเป็นที่พำนักของเคานต์เอสเตอร์ฮาซี จนกว่าจะสามารถหาที่ลี้ภัยถาวรที่เหมาะสมได้ มีการแนะนำให้ประทับลี้ภัยที่เกาะมอลตาแต่ได้รับการปฏิเสธจากลอร์ด เคอร์ซัน รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ และดินแดนฝรั่งเศสก็ได้ถูกห้ามเนื่องจากความเป็นไปได้ในการสมคบคิดวางแผนร้ายของพระเชษฐาและพระอนุชาในจักรพรรดินีซีตาในนามจักรพรรดิ ในที่สุดสถานที่ลี้ภัยถาวรจึงเป็นเกาะมาเดราของโปรตุเกส ในวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 1921 ทั้งสองพระองค์เสด็จโดยรถไฟพระที่นั่งจากเมืองทิฮานีไปที่เมืองบอยอ ซึ่งมีเรือตรวจการณ์ HMS Glow-worm รอรับเสด็จอยู่ และได้เสด็จมาถึงเมืองฟุงฌาล ประเทศโปรตุเกส ในวันที่ 19 พฤศจิกายน ส่วนพระราชโอรสธิดายังคงประทับที่ปราสาทวาร์เท็กในประเทศสวิตเซอร์แลนด์กับอาร์ชดัชเชสมารีอา เทเรซีอา พระราชอัยยิกาในจักรพรรดิคาร์ล แต่จักรพรรดินีซีตาได้เสด็จไปพบกับพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ในเมืองซูริค เมื่ออาร์ชดยุกโรแบร์ท พระราชโอรสทรงเข้ารับการผ่าตัดโรคไส้ติ่งอักเสบ พระราชโอรสธิดาทุกพระองค์เสด็จไปประทับร่วมกับพระราชบิดาและพระราชที่เกาะมาเดราในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922
การสวรรคตของพระราชสวามี
[แก้]จักรพรรดิคาร์ลมีพระพลานามัยไม่ดีมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง หลังจากเสด็จไปซื้อของเล่นให้กับอาร์ชดยุกคาร์ล ลูทวิช พระราชโอรสในวันที่อากาศเย็นจัดในเมืองฟุงฌาล พระองค์ประชวรด้วยโรคหลอดพระวาโยอักเสบ และลุกลามกลายเป็นโรคพระปัปผาสะบวมอย่างรวดเร็ว ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ได้ พระราชโอรสธิดาและข้าราชบริพารหลายคนล้มป่วยด้วยเช่นกัน และจักรพรรดินีซีตา (ซึ่งในขณะนั้นมีพระครรภ์แปดเดือน) ทรงรักษาพยาบาลทุกพระองค์ จักรพรรดิมีพระอาการแย่ลงเป็นลำดับและเสด็จสวรรคคเมื่อวันที่ 1 เมษายน โดยมีพระราชดำรัสสุดท้ายกับจักรพรรดินีว่า "เรารักเจ้ามากเหลือเกิน" หลังจากงานพระศพเสร็จสิ้น ผู้ร่วมงานคนหนึ่งได้กล่าวถึงจักรพรรดินีซีตาว่า "สตรีผู้นี้ควรเป็นที่ชื่นชมจริงๆ พระองค์ไม่สูญเสียความสุขุมเยือกเย็นแม้แต่สักวินาทีเดียวเลย พระองค์ทรงทักทายผู้คนรอบด้านและพูดคุยกับคนทีมาช่วยเหลืองานพระศพด้วย ทุกคนประทับใจเสน่ห์ของพระองค์กันทุกคน" จักรพรรดินีซีตาทรงฉลองพระองค์สีดำไว้ทุกข์ให้กับพระราชสวามีตลอดระยะ 67 ปีของการเป็นม่าย
เมื่อทรงเป็นม่าย
[แก้]หลังจากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิคาร์ล อดีตราชวงศ์ออสเตรียจะต้องย้ายอีกครั้งในไม่ช้า พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 แห่งสเปนได้พยายามติดต่อกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษผ่านทางเอกอัครราชทูตสเปนในกรุงลอนดอน ซึ่งอนุญาตให้จักรพรรดินีซีตาและพระโอรสธิดาเจ็ดพระองค์ (จะเป็นแปดในอีกไม่นาน) ประทับในประเทศสเปนได้ สมเด็จพระราชาธิบดีอัลฟอนโซทรงส่งเรือบรบหลวง Infanta Isabel ไปยังเมืองฟุงชาลเพื่อรับทุกพระองค์มายังเมืองคาดิซ เมื่อมาถึงแล้วได้เสด็จไปยังพระราชวังปาร์โดในกรุงมาดริด ซึ่งอีกต่อมาไม่นานจักรพรรดินีซีตาได้ประสูติพระราชธิดาพระองค์สุดท้ายคือ อาร์ชดัชเชสเอลีซาเบ็ท พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 13 พระราชทานพระราชวังอูรีบารเร็นในเมืองเลกิติโอบนอ่าวบิสเคย์ให้เป็นที่ลี้ภัยแก่พระญาติในราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค สร้างความซาบซึ้งแก่จักรพรรดินีซีตาซึ่งไม่ประสงค์จะเป็นภาระอันหนักอึ้งแก่ประเทศที่ให้ที่หลบภัยแก่พระองค์ จักรพรรดินีประทับอยู่ในเมืองเลกิติโออีกเป็นระยะเวลาหกปี และได้เริ่มต้นการเลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่พระโอรสธิดาอย่างเต็มที่ ทุกพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพด้วยการเงินที่จำกัด โดยมีรายได้หลักจากทรัพย์สินส่วนพระองค์ในออสเตรีย ไร้องุ่นในเมืองโยฮันนิสแบร์ก และเงินที่เรี่ยไรได้ด้วยความสมัครใจ แต่ส่วนสมาชิกในราชวงศ์ฮาพส์บวร์คที่ลี้ภัยพระองค์อื่นๆ อ้างสิทธิในเงินจำนวนมาก และมีการยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากอดีตข้าราชการในราชสำนักด้วย
การย้ายไปเบลเยียม
[แก้]ในปี ค.ศ. 1929 พระราชโอรสธิดาหลายพระองค์เจริญพระชนมายุใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัยและครอบครัวได้พยายามจะย้ายไปประทับที่อื่นซึงมีบรรยากาศทางการศึกษาที่น่าอภิรมย์มากกว่าสเปน ในเดือนกันยายนปีนั้น ทุกพระองค์ทรงย้ายไปประทับที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองสตีน็อคเคอร์ซีล ใกล้กับกรุงบรัสเซลส์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสมาชิกหลายพระองค์ในราชวงศ์ จักรพรรดินีซีตายังคงดำเนินการล็อบบี้ทางการเมืองในนามราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค แม้แต่หยั่งเชิงสายสัมพันธ์กับมุสโสลินีในประเทศอิตาลี นอกจากนี้ยังมีหนทางในการฟื้นฟูราชวงศ์ฮาพส์บวร์คภายใต้นายกรัฐมนตรีออสเตรียสองคนคือ เอ็งเกลแบร์ต ดอลฟุส และเคิร์ท ชุสชนิก และด้วยการเสด็จเยือนออสเตรียหลายครั้งของมกุฎราชกุมารอ็อทโทอีกด้วย การเริ่มต้นทั้งหมดมีอันต้องสิ้นสุดลงทันทีด้วยการผนวกออสเตรียเป็นส่วนหนึ่งของนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ. 1938 ในฐานะผู้ลี้ภัย ราชวงศ์ฮาพส์บวร์คเป็นผู้นำการต่อต้านทหารนาซีในออสเตรีย แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเนื่องมาจากความขัดแย้งระหว่างผู้นิยมระบอบกษัตริย์และระบอบสังคมนิยม
การเสด็จหนีไปอเมริกา
[แก้]หลังจากนาซีเยอรมนีบุกเข้ายึดประเทศเบลเยียมในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 1940 จักรพรรดินีซีตาและครอบครัวทรงกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงคราม ทุกพระองค์ทรงรอดจากการถูกสังหารอย่างฉิวเฉียดจากการโดนระเบิดที่ปราสาทอย่างจังโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดของเยอรมันและเสด็จหนีไปยังปราสาทที่ประทับของเจ้าชายซาเวียร์ในเมืองบอสซ์ เมื่อรัฐบาลที่คบคิดกับฝ่ายศัตรูของฟีลิป เปแต็งขึ้นมามีอำนาจ สมาชิกราชวงศ์ฮาพส์บวร์คต้องเสด็จไปยังชายแดนเมื่อวันที 18 พฤษภาคม จากนั้นเสด็จต่อไปยังโปรตุเกสซึ่งรัฐบาลสหรัฐได้ออกหนังสือตรวจลงตราให้ออกนอกประเทศในวันที่ 9 กรกฎาคม หลังจากการเดินทางที่เสี่ยงภัย ทุกพระองค์เสด็จถึงนครนิวยอร์กในวันที่ 27 กรกฎาคม และประทับอยู่ในลองไอส์แลนด์ และเมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ ในช่วงหนึ่งจักรพรรดินีซีตาและพระราชโอรสธิดาหลายพระองค์ประทับในฐานะอาคันตุกะระยะยาวที่เมืองซัฟเฟิร์น รัฐนิวเจอร์ซีย์
สวรรคต
[แก้]หลังจากการฉลองวันพระราชสมภพครบรอบ 90 พรรษา พระองค์ทรงเป็นที่รักของพระราชวงศ์ทั่วไป แต่สุขภาพที่แข็งแรงของพระองค์เริ่มไม่สู้ดีแล้ว ซึ่งขณะนั้น พระราชวงศ์จัดงานฉลองวันพระราชสมภพครบรอบ 95 พรรษาที่เมืองซีเซอร์ ประเทศออสเตรีย คณะแพทย์ได้แจ้งว่า จักรพรรดินีทรงเริ่มเป็นโรคปอดบวม โดยเป็นเชื้อโรคสะสมในร่างกายของพระองค์ตั้งแต่ลี้ภัยอยู่ในเกาะมาไดร่าแล้ว ก่อนที่พระองค์จะสวรรคต พระราชวงศ์ทั้งหมดได้เสด็จเข้ามาเฝ้าพระอาการเรื่อยมา จวบจนวาระสุดท้ายของพระชนม์ชีพ จักรพรรดินีซีตาทรงสวรรคต ณ วันที่14 มีนาคม ค.ศ. 1989 สิริอายุได้ 97 พรรษา ถือว่าเป็นพระราชวงศ์ที่พระชนม์ชีพยืนยาวที่สุด...
งานพระศพถูกจัดขึ้นอย่างสมพระเกียรติในกรุงเวียนนา ในวันที่ 1 เมษายน โดยรัฐบาลได้เข้ามาช่วยในการจัดพระราชพิธีศพด้วย โดยมีพระราชวงศ์อิมพีเรียลออสเตรีย-ฮังการี และ พระราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มา เข้ามาร่วมในพระราชพิธีพระศพด้วย พระราชพิธีได้รับความสนใจเป็นอย่างมากของสื่อ โดยเฉพาะการเมือง เพราะอาจเป็นแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศก็เป็นได้ พระศพถูกฝังที่วิหารฮาพส์บวร์ค อิมพีเรียล คริปต์ในกรุงเวียนนา ซึ่งเป็นสถานที่ฝังพระศพพระราชวงศ์ฮาพส์บวร์คมาช้านาน
พระราชโอรสและธิดา
[แก้]จักรพรรดิคาร์ลและเจ้าหญิงซีตา มีพระราชโอรสและธิดารวมทั้งสิ้น 8 พระองค์ ดังนี้
พระนาม | ประสูติ | สิ้นพระชนม์ | อภิเษกสมรส |
---|---|---|---|
มกุฎราชกุมาร อ็อทโท ฟ็อน ฮาพส์บวร์ค | 20 พฤศจิกายน ค.ศ. 1912 | 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2011 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1951) กับเจ้าหญิงเรกีนาแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน (6 มกราคม ค.ศ. 1925 – 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010) มีพระบุตร 7 พระองค์ พระนัดดา 22 องค์ และพระปนัดดา 10 คน |
อาร์ชดัชเชส อาเดิลไฮท์ | 3 มกราคม ค.ศ. 1914 | 2 ตุลาคม ค.ศ. 1971 | ไม่ได้อภิเษกสมรส ไม่มีพระบุตร |
โรแบร์ท อาร์ชดยุกแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ | 8 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1915 | 7 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1996 | อภิเษกสมรสกับ เจ้าหญิงมาร์เกรีตาแห่งซาวอย-ออสตา (ค.ศ. 1953) (7 เมษายน ค.ศ. 1930 – 10 มกราคม ค.ศ. 2022) มีพระบุตร 3 พระองค์ มีพระนัดดา 19 องค์ และพระปนัดดา 3 คน |
อาร์ชดยุกฟีลิซแห่งออสเตรีย | 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1916 | 6 กันยายน ค.ศ. 2011 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1952) กับเจ้าหญิงอันนา ออยเยนีแห่งอาเรินแบร์ค (5 กรกฎาคม ค.ศ. 1925 – 9 มิถุนายน ค.ศ. 1997) มีพระโอรส-ธิดา 7 พระองค์ และพระนัดดาอีก 22 องค์ |
อาร์ชดยุก คาร์ล ลูทวิช | 10 มีนาคม ค.ศ. 1918 | 11 ธันวาคม ค.ศ. 2007 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1950) กับเจ้าหญิงอียอล็องด์แห่งลีญ (ประสูติ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1923) มีพระบุตร 4 พระองค์ พระนัดดา 19 องค์ และพระปนัดดา 10 คน |
อาร์ชดยุกรูด็อล์ฟ | 5 กันยายน ค.ศ. 1919 | 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2010 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1953) กับเคาน์เตสเซนียา เซอร์นีเกฟ-เบโซบราซอฟ (11 มิถุนายน ค.ศ. 1929 – 20 กันยายน ค.ศ. 1968) มีพระบุตร 4 พระองค์ พระนัดดา 13 องค์ และพระปนัดดา 3 คน อภิเษกสมรส (ครั้งที่สอง) (ค.ศ. 1971) กับเจ้าหญิงกาบรีเอเลอแห่งแวร์เดอ (ประสูติ 11 กันยายน ค.ศ. 1940) มีพระธิดา 1 พระองค์ และพระนัดดา 3 องค์ |
อาร์ชดัชเชส ชาร์ล็อทเทอ | 1 มีนาคม ค.ศ. 1921 | 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1956) กับดยุกเกออร์คแห่งเวือร์ทเทิมแบร์ค (5 ตุลาคม [ตามปฎิทินเก่า: 22 กันยายน] ค.ศ. 1899 – 6 กรกฎาคม ค.ศ. 1963) ไม่มีพระบุตร |
อาร์ชดัชเชส เอลีซาเบ็ท | 31 พฤษภาคม ค.ศ. 1922 | 6 มกราคม ค.ศ. 1993 | อภิเษกสมรส (ค.ศ. 1949) กับเจ้าชายไฮน์ริชแห่งลีชเทินชไตน์ (5 สิงหาคม ค.ศ. 1916 – 17 เมษายน ค.ศ. 1991) มีพระบุตร 5 พระองค์ พระนัดดา 7 องค์ และพระปนัดดา 6 คน |
พระราชอิสริยยศ
[แก้]- 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1892 – 21 ตุลาคม ค.ศ. 1911: เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา (Her Royal Highness Princess Zita of Bourbon-Parma)
- 21 ตุลาคม ค.ศ. 1911 – 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916: อาร์ชดัชเชสซีตาแห่งออสเตรีย (Her Imperial and Royal Highness Archduchess Zita of Austria)
- 21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 – 14 มีนาคม ค.ศ. 1989: จักรพรรดินีซีตาแห่งออสเตรีย สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการี (Her Imperial and Royal Apostolic Majesty The Empress of Austria, Apostolic Queen of Hungary)
ราชตระกูล
[แก้]ซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา | พระราชบิดา: โรแบร์โตที่ 1 ดยุกแห่งปาร์มา |
พระอัยกาฝ่ายพระราชบิดา: การ์โลที่ 3 ดยุกแห่งปาร์มา |
พระปัยกาฝ่ายพระราชชนก: การ์โลที่ 2 ดยุกแห่งปาร์มา |
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: เจ้าหญิงมารีอา เทเรซาแห่งซาวอย | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: เจ้าหญิงหลุยส์ อาร์ตัว |
พระปัยกาฝ่ายพระราชบิดา: เจ้าชายชาร์ล แฟร์ดีน็อง ดยุกแห่งแบร์รี | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชบิดา: เจ้าหญิงมารีอา กาโรลีนาแห่งบูร์บง-ซิซิลีทั้งสอง ดัชเชสแห่งแบร์รี | |||
พระราชมารดา: อิงฟังตามารีอา อังตอนียูแห่งโปรตุเกส |
พระอัยกาฝ่ายพระราชมารดา: พระเจ้ามีแกลแห่งโปรตุเกส |
พระปัยกาฝ่ายพระราชมารดา: พระเจ้าฌูเอาที่ 6 แห่งโปรตุเกส | |
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: การ์โลตา โฆอากินาแห่งสเปน | |||
พระอัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: อาเดิลไฮท์แห่งเลอเวนชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์ค |
พระปัยกาฝ่ายพระราชมารดา: เจ้าชายคอนสแตนติน รัชทายาทแห่งเลอเวนชไตน์-แวร์ทไฮม์-โรเซินแบร์ค | ||
พระปัยยิกาฝ่ายพระราชมารดา: เจ้าหญิงอักเน็สแห่งโฮเอินโลเออ-ลังเงินบวร์ค |
หมายเหตุ
[แก้]- ↑ แปลจาก "We grew up internationally. My father thought of himself first and foremost as a Frenchman, and spent a few weeks every year with the elder children at Chambord, his main property on the Loire. I once asked him how we should describe ourselves. He replied, 'We are French princes who reigned in Italy.' In fact, of the twenty-four children only three including me, were actually born in Italy."[1]: 2
อ้างอิง
[แก้]บรรณานุกรม
[แก้]- Beeche, Arturo & McIntosh, David. (2005). Empress Zita of Austria, Queen of Hungary (1892-1989) Eurohistory. ASIN: B000F1PHOI
- Bogle, James and Joanna. (1990). A Heart for Europe: The Lives of Emperor Charles and Empress Zita of Austria-Hungary, Fowler Wright, 1990, ISBN 0-85244-173-8
- Brook-Shepherd, Gordon. (1991). The Last Empress - The Life and Times of Zita of Austria-Hungary 1893-1989. Harper-Collins. ISBN 0-00-215861-2
- Harding, Bertita. (1939). Imperial Twilight: The Story of Karl and Zita of Hungary. Bobbs-Merrill Company Publishers. ASIN: B000J0DDQO
ก่อนหน้า | เจ้าหญิงซีตาแห่งบูร์บง-ปาร์มา | ถัดไป | ||
---|---|---|---|---|
เอลีซาเบ็ทในบาวาเรีย | จักรพรรดินีแห่งออสเตรีย (21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 – 1 เมษายน ค.ศ. 1922) |
เรกีนาแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน | ||
เอลีซาเบ็ทในบาวาเรีย | สมเด็จพระราชินีแห่งฮังการี |
เรกีนาแห่งซัคเซิน-ไมนิงเงิน | ||
ไม่มี | อาร์ชดัชเชสแห่งออสเตรีย-เอ็สเทอ (21 พฤศจิกายน ค.ศ. 1916 - 29 ธันวาคม ค.ศ. 1953) |
อาร์ชดัชเชสมาร์เกรีตา |
- บุคคลที่เกิดในปี พ.ศ. 2435
- บุคคลที่เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2532
- ราชวงศ์ฮาพส์บวร์ค-ลอแรน
- ราชวงศ์ออสเตรีย-เอสเต
- ดัชเชสแห่งโมเดนา
- ไคเซอริน
- จักรพรรดินีออสเตรีย
- ราชินีแห่งฮังการี
- ราชินีแห่งโบฮีเมีย
- มกุฎราชกุมารีแห่งออสเตรีย
- ราชวงศ์บูร์บง-ปาร์มา
- ราชวงศ์บูร์บง
- บุคคลจากแคว้นตอสคานา
- ชาวออสเตรียเชื้อสายอิตาลี
- จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย