อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส
Ελευθέριος Βενιζέλος
นายกรัฐมนตรีกรีซ
ดำรงตำแหน่ง
19 ตุลาคม ค.ศ. 1910 – 10 มีนาคม ค.ศ. 1915
(4 ปี 142 วัน)
กษัตริย์พระเจ้าจอร์จที่ 1
พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1
ก่อนหน้าสเตฟานอส ดรากูมิส
ถัดไปดีมิทริออส กูนาริส
ดำรงตำแหน่ง
23 สิงหาคม ค.ศ. 1915 – 7 ตุลาคม ค.ศ. 1915
(0 ปี 45 วัน)
กษัตริย์พระเจ้าคอนสแตนตินที่ 1
ก่อนหน้าดีมิทริออส กูนาริส
ถัดไปอเล็กซานดรอส ไซมิส
ดำรงตำแหน่ง
27 มิถุนายน ค.ศ. 1917 – 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920
(3 ปี 143 วัน)
กษัตริย์พระเจ้าอเล็กซานเดอร์
ก่อนหน้าอเล็กซานดรอส ไซมิส
ถัดไปดีมิทริออส รอลลิส
ดำรงตำแหน่ง
11 มกราคม ค.ศ. 1924 – 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924
(0 ปี 26 วัน)
กษัตริย์พระเจ้าจอร์จที่ 2
ก่อนหน้าสตีลีอานอส โกนาตัส
ถัดไปยอร์โยส คาฟานตาริส
ดำรงตำแหน่ง
4 กรกฎาคม ค.ศ. 1928 – 26 พฤษภาคม ค.ศ. 1932
(3 ปี 327 วัน)
ประธานาธิบดีปาฟลอส คูนทูรีออทิส
อเล็กซานดรอส ไซมิส
ก่อนหน้าอเล็กซานดรอส ไซมิส
ถัดไปอเล็กซานดรอส ปาปานาสตาซีอู
ดำรงตำแหน่ง
5 มิถุนายน ค.ศ. 1932 – 4 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932
(0 ปี 152 วัน)
ประธานาธิบดีอเล็กซานดรอส ไซมิส
ก่อนหน้าอเล็กซานดรอส ปาปานาสตาซีอู
ถัดไปปานากิส ซาลดาริส
ดำรงตำแหน่ง
16 มกราคม ค.ศ. 1933 – 6 มีนาคม ค.ศ. 1933
(0 ปี 49 วัน)
ประธานาธิบดีอเล็กซานดรอส ไซมิส
ก่อนหน้าปานากิส ซาลดาริส
ถัดไปอเล็กซานดรอส โอโทนาอิออส
นายกรัฐมนตรีแห่งรัฐครีต
ดำรงตำแหน่ง
2 พฤษภาคม ค.ศ. 1910 – 6 ตุลาคม ค.ศ. 1910
(0 ปี 157 วัน)
ก่อนหน้าอเล็กซานดรอส ไซมิส (ในฐานะข้าหลวงใหญ่)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแห่งรัฐครีต
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 1908 – ค.ศ. 1910
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมแห่งรัฐครีต
ดำรงตำแหน่ง
17 เมษายน ค.ศ. 1899 – 18 มีนาคม ค.ศ. 1901
(1 ปี 335 วัน)
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิด23 สิงหาคม ค.ศ. 1864
มอร์นีส์ ครีต จักรวรรดิออตโตมัน
เสียชีวิต18 มีนาคม ค.ศ. 1936 (อายุ 71 ปี)
ปารีส ฝรั่งเศส
ศาสนาออร์ทอดอกซ์กรีก
พรรคการเมืองพรรคเสรีนิยม
คู่สมรสมาเรีย คาเตลูซู (ค.ศ. 1891 - 1894)
เอเลนา สกีลิตซี (ค.ศ. 1921 - 1936)
บุตรคีรีอาคอส เวนิเซลอส
โซโฟคลิส เวนิเซลอส
ญาติคอนสแตนติน มิตโซตากิส (หลาน)
ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเนชันนอลแอนด์คาโปดิสเทรียนแห่งเอเธนส์ (National and Kapodistrian University of Athens)
วิชาชีพนักการเมือง
นักปฏิวัติ
สมาชิกสภานิติบัญญัติ
ทนายความ
นักกฎหมาย
สื่อมวลชน
นักแปล
ลายมือชื่อ

อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส (Eleftherios Venizelos; ชื่อเต็ม : อีเลฟเทรีออส คีรีอาคู เวนิเซลอส ;Elefthérios Kyriákou Venizélos, กรีก: Ἐλευθέριος Κυριάκου Βενιζέλος ; 23 สิงหาคม ค.ศ. 1864 - 18 มีนาคม ค.ศ. 1936) เป็นผู้นำชาวกรีกที่ประสบความสำเร็จในขบวนการปลดปล่อยชาติกรีกและเป็นรัฐบุรุษที่มีเสน่ห์ในช่วงยุคต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นที่จดจำจากการส่งเสริมนโยบายแนวเสรีนิยมประชาธิปไตย[1][2][3] เขาได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งกรีซหลายสมัย โดยดำรงตำแหน่งระหว่างค.ศ. 1910 ถึงค.ศ. 1920 และตั้งแต่ค.ศ. 1928 ถึงค.ศ. 1932 เวนิเซลอสเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างลึกซึ้งในกิจการทั้งภายในและภายนอกของกรีซ ซึ่งทำให้เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น "ผู้สร้างกรีซสมัยใหม่"[4] และยังคงเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในฐานะ "เอ็ทนาร์ช" (Ethnarch)

การเข้ามามีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศครั้งแรกของเขาคือการที่เขามีบทบาทสำคัญในการดำเนินการความเป็นอิสระของรัฐครีตและหลังจากนั้นได้รวมเกาะครีตเข้ากับกรีซ ในเวลาโดยเร็ว เขาถูกเชิญไปยังกรีซเพื่อแก้ไขปัญหาการชะงักงันทางการเมืองและกลายเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ไม่เพียงแต่เขาเริ่มต้นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการทำให้สังคมกรีกมีความเป็นสมัยใหม่ และยังได้จัดตั้งทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือขึ้นมาใหม่เพื่อเตรียมการกับความขัดแย้งในอนาคต ก่อนสงครามบอลข่านในปีค.ศ. 1912 - 1913 บทบาทที่เป็นตัวเร่งของเวนิเซลอสได้ชาวยให้กรีซสามารถเข้าร่วมสันนิบาตบอลข่าน ซึ่งเป็นกลุ่มสัมพันธมิตรของรัฐบอลข่านเพื่อต่อต้านจักรวรรดิออตโตมัน โดยผ่านความเฉียบแหลมทางการทูต พื้นที่และประชากรของกรีซได้เพิ่มทวีมากขึ้นจากการปลดปล่อยมาซิโดเนีย, อีพิรัสและส่วนที่เหลือของหมู่เกาะอีเจียน

ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ. 1914 - 1918) เขาได้นำกรีซไปเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร เพื่อขยายพรมแดนกรีก อย่างไรก็ตาม ด้วยนโยบายต่างประเทศที่สนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรได้ทำให้เขามีความขัดแย้งโดยตรงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งก่อให้เกิดความแตกแยกแห่งชาติ ความแตกแยกนี้ได้ก่อให้เกิดการแบ่งขั้วในหมู่ประชาชนระหว่างฝ่ายกษัตริย์นิยมและกลุ่มนิยมเวนิเซลอส (Venizelists; เวนิเซลิสต์) และเกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจระหว่างทั้งสองกลุ่มที่ได้บั่นทอนทำลายการเมืองและชีวิตทางสังคมของกรีซมาเป็นเวลานานหลายทศวรรษ[5] ต่อมาฝ่ายสัมพันธมิตรได้รับชัยชนะ เวนิเซลอสได้รับดินแดนใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอานาโตเลีย ซึ่งทำให้แนวคิดกรีกเมกาลีใกล้เคียงความเป็นจริงยิ่งขึ้น แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จ แต่เวนิเซลอสได้พ่ายแพ้การเลือกตั้งในปีค.ศ. 1920 ซึ่งในที่สุดทำให้กรีซพ่ายแพ้ในสงครามกรีก-ตุรกี (1919 - 1922) เวนิเซลอสซึ่งได้เนรเทศตัวเองออกไป ได้เป็นตัวแทนของกรีซในการเจรจาที่นำไปสู่การลงนามในสนธิสัญญาโลซานและข้อตกลงการแลกเปลี่ยนร่วมกันในระดับประชากรระหว่างกรีซและตุรกี

ในช่วงเวลาที่เวนิเซลอสยังดำรงตำแหน่งอยู่ ได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ในระดับปกติกับประเทศเพื่อนบ้านของกรีซและได้ขยายการปฏิรูปรัฐธรรมนูญและเศรษฐกิจ ในปีค.ศ. 1935 เวนิเซลอสได้เปลี่ยนแนวคิดหลังจากการเกษียณอายุราชการโดยการสนับสนุนการรัฐประหารโดยกองทัพ และเขาได้จัดตั้งสาธารณรัฐเฮเลนิกที่สองที่มีความอ่อนแอและล้มเหลวอย่างรุนแรง

ต้นกำเนิดและช่วงต้นของชีวิต[แก้]

บรรพบุรุษ[แก้]

บ้านของเวนิเซลอสในมอร์นีส์

ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 บรรพบุรุษของเวนิเซลอส ชื่อว่า คราฟวาตัส อาศัยอยู่ที่เมืองมีสตราส์ ในเพโลพอนนีสตอนใต้ ในช่วงที่จักรวรรดิออตโตมันเข้ารุกรานคาบสมุทรในปีค.ศ. 1770 สมาชิกคนหนึ่งของครอบครัวคราฟวาตัส นามว่า เวนิเซลอส คราฟวาตัส ซึ่งเป็นน้องชายคนสุดท้องของครอบครัว ได้เตรียมการหลบหนีไปยังครีตและลงหลักปักฐานที่นั่นด้วยตัวเอง ลูกชายของเขาไเละงนามสกุลของบรรพบุรุษและเรียกนามสกุลตนเองว่า เวนิเซลอส ครอบครัวมีต้นกำเนิดเป็นชาวลาโคเนีย, ชาวมานีออทและชาวครีตัน[6]

ครอบครัวและการศึกษา[แก้]

คีรีอาคอส เวนิเซลอส ผู้เป็นบิดาของอีเลฟเทริออส

อีเลฟเทริออสเกิดที่มอร์นีส์ ใกล้เมืองชาเนีย (มักรู้จักในนามว่า คาเนีย) ครีต ในสมัยที่ออตโตมันครอบครอง เป็นบุตรของคีรีอาคอส เวนิเซลอส พ่อค้าและนักปฏิวัติชาวครีต[7] เมื่อเกิดการปฏิวัติครีตปีค.ศ. 1866 ครอบครัวเวนิเซลอสได้หลบหนีไปยังเกาะซีรอส เนื่องจากการที่บิดาของเขามีส่วนร่วมในการก่อการปฏิวัติ[6] พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมายังครีตและอาศัยอยูที่ซีรอสจนถึงปีค.ศ. 1872 เมื่อสุลต่านอับดุล อะซีซทรงพระราชทานอภัยโทษ

เขาใช้เวลาในปีสุดท้ายของการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาที่โรงเรียนในเออร์มูโปลี เกาะซีรอส ซึ่งเขาได้รับประกาศนียบัตรในปีค.ศ. 1880 ในปีค.ศ. 1881 เขาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยเอเธนส์ ในสำนักนิติศาสตร์ และได้รับปริญญาในด้านนิติศาสตร์ด้วยคะแนนยอดเยี่ยม เขาได้กลับมายังครีตในปีค.ศ. 1886 และทำงานในฐานะทนายความที่ชาเนีย ตลอดชีวิตของเขาเขายังคงรักในการอ่านอย่างต่อเนื่องและได้รับการพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษ, ภาษาอิตาเลียน, ภาษาเยอรมันและภาษาฝรั่งเศส[6]

เข้าสู่การเมือง[แก้]

สถานการณ์ในครีตช่วงต้นชีวิตของเวนิเซลอสเป็นที่ราบรื่น จักรวรรดิออตโตมันถูกบั่นทอนทำลายด้วยการปฏิรูปซึ่งอยู่ภายใต้ความกดดันของนานาชาติ ในขณะที่ชาวครีตปรารถนาที่จะเห็นสุลต่านอับดุล ฮามิดที่ 2 ทรงละทิ้ง "พวกนอกรีตที่น่ารังเกียจ"[8] ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่แน่นอนเหล่านี้ เวนิเซลอสได้เข้าสู่วงการการเมืองด้วยการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1889 ในฐานะที่เป็นสมาชิกพรรคเสรีนิยมของเกาะ[7] ในฐานะผู้แทน เขาได้ประสบความสำเร็จจากการพูดที่มีคารมคมคายและความคิดเห็นที่รุนแรงของเขา[9]

อาชีพทางการเมืองในครีต[แก้]

การลุกฮือของชาวครีตัน[แก้]

เบื้องหลัง[แก้]

การปฏิวัติหลายครั้งในครีต ในช่วงระหว่างและหลังสงครามประกาศอิสรภาพกรีซ (ค.ศ. 1821, 1833, 1841, 1858, 1866, 1878, 1889, 1895, 1897)[10] เป็นผลมาจากความปรารถนาของชาวครีตันสำหรับการทำอีโนซิส (Enosis) คือการรวมเข้ากับกรีซ[11] ในการปฏิวัติครีตปีค.ศ. 1866 ทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงกันภายใต้แรงกดดันของมหาอำนาจ ซึ่งถึงที่สุดด้วยการทำข้อตกลงฮาเลปา หลังจากนั้นข้อตกลงได้ถูกรวมอบู่ในบทบัญญัติของสนธิสัญญาเบอร์ลิน ซึ่งในส่วนภาคผนวกได้มีการยอมให้กับชาวครีตันก่อนหน้านี้ เช่นใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เป็นพื้นฐานของรัฐ (ค.ศ. 1868) ที่ร่างโดยวิลเลียม เจมส์ สติลแมน ในส่วนสรุปของข้อตกลงได้อนุญาตให้มีรัฐบาลชาวกรีกที่มีระดับขนาดใหญ่ในครีตเป็นวิธีการจำกัดความปรารถนาของพวกเขาที่จะลุกขึ้นต่อต้านเจ้านายออตโตมันของพวกเขา[12] แต่ชาวมุสลิมในครีต ผู้ซึ่งขึ้นตรงต่อออตโตมันตุรกี ไม่พอใจการปฏิรูปเหล่านี้ ในฐานะที่พวกเขาได้มองว่าการบริหารเกาะได้ถูกส่งผ่านไปยังมือของประชาชนชาวกรีกที่นับถือศาสนาคริสต์ ในทางปฏิบัติ จักรวรรดิออตโตมันมีความล้มเหลวในการบังคับใช้บทบัญญัติของข้อตกลง ดังนั้นจึงเป็นการเติมเชื้อไฟความตึงเครียดที่มีอยู่ระหว่างสองชุมชน ผู้มีอำนาจออตโตมันจะพยายามรักษาความสงบเรียบร้อยโดยการจัดส่งการเพิ่มกำลังทหารอย่างมากในช่วงค.ศ. 1880 - 1896 ตลอดระยะเวลานั้น ปัญหาชาวครีตัน ได้เป็นประเด็นหลักของความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรกรีซกับจักรวรรดิออตโตมัน

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1897 ความรุนแรงและความวุ่นวายได้ทวีมากขึ้นบนเกาะ ทำให้เกิดการแบ่งเป็นสองขั้ว การสังหารหมู่ประชากรที่นับถือศาสนาคริสต์ได้เกิดขึ้นในชาเนีย[13][14][15][16]และเรทีมโน[16][17][18] รัฐบาลกรีกได้รับแรงกดดันจากประชาชน การไม่ยอมอ่อนข้อกับสถานะทางการเมือง กลุ่มชาตินิยมแบบสุดโต่งคือกลุ่มเอ็ทนีกิ เอไทเรเอีย (Ethniki Etaireia)ที่เกิดขึ้น[19] และความไม่พอใจที่มหาอำนาจไม่เต็มใจเข้าแทรกแซง ทำให้รัฐบาลกรีกได้ตัดสินใจที่จะส่งเรือรบและบุคลากรทางกองทัพเพื่อปกป้องชาวกรีกครีตัน[20] มหาอำนาจไม่มีทางเลือกอื่นและจะดำเนินการยึดครองเกาะ แต่ก็สายไปแล้ว กองทัพกรีกประมาณ 2,000 นายได้ขึ้นฝั่งที่โคลิมวารีในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1897[21] และภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกทีโมลีออน วัสซอส ได้ประกาศว่าเขายึดเกาะนี้ "ในนามของพระมหากษัตริย์แห่งเฮลลีนส์" และนั่นคือการประกาศรวมครีตเข้ากับกรีซ[22] สิ่งนี้ทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นทั่วทั้งเกาะในทันที มหาอำนาจตัดสินใจปิดล้อมครีตด้วยกองทัพเรือและกองทัพบก ดังนั้นจึงสามารถหยุดกองทัพกรีกที่กำลังจะเข้าเมืองชาเนียได้[23]

เหตุการณ์ที่อาโกรตีรี[แก้]

เวนิเซลอสในอาโกรตีรี ค.ศ. 1897

เวนิเซลอสในขณะนั้นได้เดินทางหาเสียงเลือกตั้งไปทั่วเกาะ ครั้งหนี่งเขา"เห็นคาเนียในเปลวเพลิง"[24] เขารีบเดินทางไปที่หมู่บ้านมาลาซา ใกล้เมืองคาเนีย ที่ซึ่งมีการเรียกประชุมพลกลุ่มกบฏประมาณ 2,000 คน และตั้งให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้า เขาเสนอการโจมตีพร้อมๆกับกบฏคนอื่นๆโดยโจมตีกองทัพเติร์กที่อาโกรตีรีเพื่อที่จะขับไล่กองทัพออกไปจากที่ราบ (หมู่บ้านมาลาซาอยู่ในที่สูง) ปฏิบัติการของเวนิเซลอสที่อาโกรตีรีได้เป็นการกำหนดตำนานของเขา ผู้คนได้แต่งบทกวีถึงอาโกรตีรีและบทบาทของเขาที่นั่น มีบทบรรณาธิการและบทความที่กล่าวเกี่ยวกับความกล้าหาญของเขา วิสัยทัศน์และความอัจฉริยะทางการทูตของเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในความยิ่งใหญ่หลังจากนี้[13] เวนิเซลอสใช้เวลาทั้งคืนที่อาโกรตีรีและธงชาติกรีซได้ถูกเชิญขึ้น กองทัพออตโตมันได้ขอความช่วยเหลือจากผู้บัญชาการกองทัพเรือต่างชาติให้โจมตีกลุ่มกบฏ โดยกองเรือของมหาอำนาจได้ยิงถล่มฐานที่มั่นของกลุ่มกบฏที่อาโกรตีรี ลูกปืนใหญ่ทำให้ธงร่วงหล่นลงมา ซึ่งธงได้ถูกเชิญขึ้นอีกครั้งในทันที มีการเล่าลือเชิงตำนานได้ประกาศถึงปฏิบัติการของเขาในเดือนกุมภาพันธ์นั้น เป็นคำกล่าวต่อไปนี้

ในเย็นวันเดียวกันกับการยิงปืนถล่ม เวนิเซลอสได้เขียนข้อความประท้วงไปยังผู้บัญชาการกองทัพเรือต่างชาติ ซึ่งลงนามโดยหัวหน้าทั้งหมดที่อยู่ที่อาโกรตีรี เขาเขียนว่ากลุ่มกบฏจะคงรักษาฐานที่มั่นไว้จนกว่าทุกๆคนถูกฆ่าโดยการสุนปืนใหญ่ของกองทัพเรือยุโรปจนหมดสิ้นแล้วเพื่อจะไม่ยอมให้พวกเติร์กยังคงดำรงอยู่ในครีต[29] ข้อความได้รั่วไหลอย่างจงใจไปยังหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ซึ่งได้สร้างความรู้สึกทั้งในกรีซและในยุโรป ที่ซึ่งมีความคิดในเรื่องของชาวคริสต์ ผู้ต้องการเสรีภาพของเขา ได้ถูกโจมตีโดยกองทัพเรือของชาวคริสต์ด้วยกัน ทำให้เกิดความขุ่นเคืองเป็นอันมาก ความเห็นใจทั่วทั้งยุโรปตะวันตกต่อคริสต์ศาสนิกชนในครีตได้เป็นที่ประจักษ์และได้เกิดเสียงปรบมือสรรเสริญแก่ชาวกรีกเป็นจำนวนมาก[23]

สงครามในเทสซาลี[แก้]

องค์ประกอบทางชาติพันธ์ของคาบสมุทรบอลข่าน ตามแผนที่ Atlas Général Vidal-Lablache, Librairie Armand Colin, ปารีส, ค.ศ. 1898

มหาอำนาจได้ส่งบันทึกข้อความทางวาจาไปยังรัฐบาลกรีซและจักรวรรดิออตโตมันในวันที่ 2 มีนาคม เพื่อเสนอหนทางที่เป็นไปได้ในการแก้ไข "ปัญหาครีตัน" ซึ่งครีตจะกลายเป็นรัฐอิสระภายใต้อำนาจของสุลต่าน[8] ทางประตูวิจิตรของออตโตมันได้ตอบรับในวันที่ 5 มีนาคม โดยยอมรับข้อเสนอในหลักการ แต่ในวันที่ 8 มีนาคม รัฐบาลกรีซได้ปฏิเสธข้อเสนอที่ไม่น่าพอใจและยืนยันว่าการรวมครีตเข้ากับกรีซคือหนทางเดียวเท่านั้น

เวนิเซลอสในฐานะที่เป็นตัวแทนของกองกำลังกบฏได้พบกับนายพลเรือของมหาอำนาจบนเรือรบรัสเซียในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1897 แม้ว่าจะไม่มีความคืบหน้าในการพบปะกันครั้งนี้ เขาได้ชักชวนให้นายพลพาเขาไปรอบเกาะภายใต้การคุ้มครองเพื่อสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับคำถามว่าความเป็นอิสระหรือการรวมเป็นสหภาพเดียวกับกรีซ[30] ในขณะที่ประชากรชาวครีตันส่วนใหญ่แรกเริ่มสนับสนุนการรวมเป็นสหภาพ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทสซาลีได้เปลี่ยนความคิดเห็นของประชาชนไปเป็นการเป็นรัฐอิสระโดยทันที

ในปฏิกิริยาต่อการกบฏในครีตและความช่วยเหลือที่ส่งมาจากกรีซ จักรวรรดิออตโตมันได้ย้ายกองทัพส่วนที่สำคัญในคาบสมุทรบอลข่านมายังทางตอนเหนือของเทสซาลี ใกล้กับพรมแดนกรีซ[31] กรีซได้ตอบรับด้วยการเสริมกำลังไปที่พรมแดนเทสซาลี อย่าไรก็ตาม ความผิดปกติของกองทัพกรีซ ที่ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเอ็ทนีกิ เอไทเรเอีย (ผู้สนับสนุนแนวคิดกรีกเมกาลี) ได้ปฏิบัติการโดยไม่มีคำสั่งและบุกเข้าไปที่ด่านหน้าของกองทัพเติร์ก[32] ทำให้จักรวรรดิออตโตมันประกาศสงครามกับกรีซในวันที่ 17 เมษายน สงครามนี้เป็นหายนะของกรีซ ทหารเติร์กมีการเตรียมพร้อมดีกว่า โดยส่วนใหญ่เนื่องจากการปฏิรูปที่ผ่านมาที่ดำเนินการโดยชาวเยอรมันคือ บารอน ฟอน เดอ โกลทซ์ และกองทัพกรีซได้ล่าถอยภายในไม่กี่สัปดาห์ มหาอำนาจได้เข้าแทรกแซงอีกครั้งและได้มีการลงนามสนธิสัญญาสงบศึกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1897[33]

ผลสรุป[แก้]

องค์ประกอบทางชาติพันธ์ในบอลข่าน วาดโดยนักการทูตชาวกรีก เอียนนิส เกนนาดิอุส[34] ตีพิมพ์โดย English cartographer E. Stanford ในปีค.ศ. 1877

การพ่ายแพ้ของกรีซในสงครามกรีซ-ตุรกี ได้สูญเสียพื้นที่ขนาดเล็กที่เส้นพรมแดนเทสซาลีตอนเหนือและชดใช้ค่าปฏิกรรมสงคราม 4,000,000 ปอนด์[33] ซึ่งกลายเป็นชัยชนะทางการทูต กลุ่มมหาอำนาจ (สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, รัสเซีย และอิตาลี) ตามมาด้วยเกิดการสังหารหมู่ในฮีราคลีออนในวันที่ 25 สิงหาคม[16][35][36]ได้กำหนดทางออกสุดท้ายของ "ปัญหาครีตัน" คือ ครีตได้ถูกประกาศเป็นรัฐอิสระภายใต้อำนาจของซูเซอเรนออตโตมัน

เวนิเซลอสมีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหานี้ ไม่เพียงแต่เป็นผู้นำกบฏครีตันแต่ยังเป็นนักการทูตที่เชี่ยวชาญโดยการสื่อสารกับนายพลเรือของมหาอำนาจบ่อยๆ[36] มหาอำนาจทั้งสี่ยอมรับการบริหารของครีต และเจ้าชายจอร์จแห่งกรีซ พระโอรสองค์ที่สองในพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ทรงเป็นข้าหลวงใหญ่ โดยเวนิเซลอสดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมตั้งแต่ค.ศ. 1899 ถึงค.ศ. 1901[37]

รัฐอิสระครีต[แก้]

สภาคณะกรรมการแห่งครีตที่ซึ่งเวนิเซลอสมีส่วนร่วมด้วย เขานั่งอยู่คนที่สองจากซ้าย

เจ้าชายจอร์จทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่แห่งครีตเป็นระยะเวลา 3 ปี[37] ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1898 พระองค์ได้เสด็จมาถึงชาเนีย ที่ซึ่งทรงได้รับการต้อนรับอย่างคาดไม่ถึง ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 1899 ข้าหลวงใหญ่ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารอันประกอบด้วยผู้นำชาวครีตัน เวนิเซลอสได้ดำรงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมการที่เหลือได้เริ่มต้นที่จะก่อตั้งรัฐขึ้นมา หลังจากที่เวนิเซลอสได้ผ่านตัวบทกฎหมายออกมาในวันที่ 18 พฤษภาคม ค.ศ. 1900 ความขัดแย้งระหว่างเขาและเจ้าชายจอร์จได้เกิดขึ้น

เจ้าชายจอร์จทรงตัดสินพระทัยเดินทางไปยังยุโรปและทรงประกาศจ่อประชาชนชาวครีตันว่า "เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปยุโรป ข้าพเจ้าจะทวงถามมหาอำนาจถึงเรื่องการผนวก และข้าพเจ้าหวังว่าจะประสบความสำเร็จได้ด้วยเครือข่ายครอบครัวของข้าพเจ้า"[38] แถลงการณ์นี้ทรงมีถึงประชาชนโดยไม่ผ่านการรับรู้หรือความเห็นชอบจากคณะกรรมการ เวนิเซลอสได้กล่าวว่าเจ้าชายทรงปฏิบัติพระองค์ไม่เป็นที่เหมาะสมในการที่ทรงให้ความหวังแก่ประชาชนในบางสิ่งบางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ในขณะนั้น ซึ่งเป็นไปตามที่เวนิเซลอสคาดการณ์ไว้ ในช่วงที่เจ้าชายเสด็จประพาส มหาอำนาจได้ปฏิเสธตำร้องขอของพระองค์[37][38]

ความขัดแย้งยังคงเกิดขึ้นในประเด็นอื่นอีกเมื่อ เจ้าชายมีพระประสงค์ที่จะสร้างพระราชวัง แต่เวนิเซลอสได้คัดค้านอย่างแข็งขันเพราะนั่นหมายถึงการทำให้การปกครองจะถูกจัดการอย่างถาวร ชาวครีตันได้ยอมรับเพียงชั่วคราวจนกว่าจะพบทางออกสุดท้าย[37] ความสัมพันธ์ของทั้งสองเป็นที่ขุ่นเคืองมากขึ้นและเวนิเซลอสได้ยืนยันอีกครั้งในการลาออกจากตำแหน่งของเขา[39]

ในการประชุมคณะกรรมการบริหาร เวนิเซลอสได้แสดงความคิดเห็นว่าเกาะไม่ได้เป็นอิสระอย่างเป็นสาระสำคัญ ตั้งแต่กำลังทหารของมหาอำนาจยังคงอยู่และมหาอำนาจยังปกครองโดยผ่านตัวแทนคือเจ้าชาย เวนิเซลลอสแนะนำว่าครั้งหนึ่งระยะเวลาการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าชายก็ต้องหมดไป จากนั้นมหาอำนาจควรจะเชิญคณะกรรมการซึ่งเป็นไปตามมาตรา 39 ของรัฐธรรมนูญ (ซึ่งถูกระงับในการประชุมที่โรม) ในการเลือกประมุขคนใหม่ โดยการนำเอาอำนาจของมหาอำนาจออกไป เมื่อกองกำลังทหารของมหาอำนาจถอนออกไปจากเกาะแล้วพร้อมกับผู้แทนของพวกเขา การรวมเข้ากับกรีซจะเป็นเรื่องง่ายที่จะสำเร็จ ข้อเสนอนี้ถูกแย่งนำไปใช้ประโยชน์โดยฝ่ายตรงข้ามของเวนิเซลอสที่กล่าวหาเขาว่า เขาอยากให้ครีตมีอำนาจอิสระ เวนิเซลอสโต้ตอบผู้กล่าวหาด้วยการยืนยันที่จะลาออกอีกครั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าสำหรับเขามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานร่วมกับสมาชิกของคณะกรรมการ เขามั่นใจในข้าหลวงใหญ่แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าร่วมฝ่ายค้าน[37]

ในวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1901 ในรายงาน เขาได้เปิดเผยเหตุผลที่บังคับให้เขาลาออกจากตำแหน่งเพื่อได้เป็นข้าหลวงใหญ่ แต่ข่าวได้ถูกแพร่ออกไป ในวันที่ 20 มีนาคม เวนิเซลอสถูกปลดเพราะ "เขาไม่ได้มีอำนาจในการสนับสนุนในความคิดที่ตรงข้ามกับของข้าหลวง"[37][40] ต่อจากนี้ เวนิเซลอสได้ยอมรับเป็นหัวหน้าฝ่ายตรงข้ามของเจ้าชาย ต่อไปอีกสามปี เขาดำเนินการทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองอย่างหนักจนการบริหารกลายเป็นอัมพาตจริงๆและเกิดความตึงเครียดครอบงำเกาะ ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1905 เกิดการปฏิวัติเทริโซ ที่ซึ่งเขาได้เป็นหัวหน้าผู้ก่อการ

การปฏิวัติเทริโซ[แก้]

เวนิเซลอสในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

ในวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 1905 กลุ่มกบฏได้รวมตัวกันที่เทริโซและประกาศ "การรวมสหภาพทางการเมืองกับกรีซภายใต้รัฐธรรมนูญเสรีฉบับเดียว"[41] การแก้ไขปัญหาได้ถูกส่งไปยังมหาอำนาจ ที่ซึ่งกำลังถกเถียงถึงข้อตกลงชั่วคราวที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งกำลังขัดขวางการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเกาะ และทางออกเดียวในการแก้ไข "ปัญหาครีตัน" คือการรวมเข้ากับกรีซ ข้าหลวงใหญ่พร้อมความเห็นชอบจากมหาอำนาจได้ตอบไปยังกลุ่มกบฏว่าจะนำกำลังทหารเข้ามาปราบปราม[37] อย่างไรก็ตาม ผู้แทนหลายคนได้มาเข้าร่วมกับเวนิเซลอส กงสุลของมหาอำนาจหลังได้พบกับเวนิเซลอสที่มอร์นีส์โดยพยายามจะบรรลุข้อตกลงการเจรจา แต่ก็ไม่เป็นผล

การกล่าวคำปราศรัยของเวนิเซลอสในวันที่ 25 มีนาคม ค.ศ. 1905
คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ของครีตในช่วงปีค.ศ. 1906 - 1907

คณะรัฐบาลปฏิวัติได้เรียกร้องว่าครีตควรจะมีระบอบการปกครองที่คล้ายคลึงกับรูเมเลียตะวันออก ในวันที่ 18 กรกฎาคม มหาอำนาจได้ประกาศกฎอัยการศึก แต่นั่นก็ไม่สามารถยับยั้งกลุ่มกบฏได้ ในวันที่ 15 สิงหาคม การประชุมประจำที่ชาเนียได้ลงมติเห็นชอบการปฏิรูปที่เวนิเซลอสเสนอมากที่สุด กงสุลของมหาอำนาจได้พบกับเวนิเซลอสอีกครั้งและยอมรับการปฏิรูปที่เขาเสนอ สิ่งนี้นำไปสู่จุดสิ้นสุดกบฏเทริโซ และการลาออกจากตำแหน่งของเจ้าชายจอร์จในฐานะข้าหลวงใหญ่ มหาอำนาจได้มอบหมายอำนาจในการเลือกข้าหลวงของเกาะคนใหม่แก่พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ทำให้อำนาจในการปกครองโดยพฤตินัยของจักรวรรดิออตโตมันเป็นอันโมฆะ อดีตนายกรัฐมนตรีกรีซ อเล็กซานดรอส ไซมิส ได้ถูกเลือกให้เป็นข้าหลวงใหญ่ และเจ้าหน้าที่และนายทหารชั้นประทวนชาวกรีกได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในองค์กรกองทหารครีต ทันทีที่องค์กรกองทหารได้รับการจัดตั้ง ทหารต่างชาติได้ถอนกำลังออกจากเกาะ นี้ถือเป็นชัยชนะส่วนบุคคลของเวนิเซลอส ที่ได้มีชื่อเสียงไม่เพียงแต่ในกรีซแต่ในยุโรปด้วย[37]

จากการปฏิวัติยังเติร์ก บัลแกเรียได้ประกาศเอกราชจากจักรวรรดิออตโตมันในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 1908 และในวันถัดมา จักรพรรดิออสเตรีย จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 ทรงประกาศผนวกบอสเนียและเฮอร์เซโกวินา ด้วยเหตุการณ์เหล่านี้ ในวันเดียวกัน ชาวครีตันได้ลุกฮือขึ้น พลเรือนหลายพันคนในชาเนียและพื้นที่รอบๆได้ชุมนุมกัน ซึ่งเวนิเซลอสได้ประกาศรวมครีตเข้ากับกรีซ โดยมีการติดต่อกับรัฐบาลที่เอเธนส์ ไซมิสได้เดินทางไปยังกรีซก่อนที่จะเกิดการชุมนุม

การชุมนุมได้ถูกเรียกรวมพลขึ้นและประกาศความเป็นอิสระของครีต ข้าราชการได้สาบานตนต่อหน้าพระนามพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งกรีซ ในขณะที่สมาชิกทั้งห้าของคณะกรรมการบริหารได้ถูกจัดตั้งขึ้น ด้วยอำนาจในการควบคุมเกาะนี้ในพระนามของพระมหากษัตริย์ และด้วยกฎหมายของรัฐกรีก ประธานคณะกรรมการคือ อันโตนิออส มิเชลิดากิส และเวนิเซลอสได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและการต่างประเทศ ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1910 ได้มีการประชุมครั้งใหม่และเวนิเซลอสได้รับเลือกให้เป็นประธานและจากนั้นคือนายกรัฐมนตรี ทหารต่างชาติทั้งหมดได้ออกไปจากครีตและอำนาจทั้งหมดได้ถ่ายโอนมายังรัฐบาลของเวนิเซลอส

อาชีพทางการเมืองในกรีซ[แก้]

การปฏิวัติโกวดีปีค.ศ. 1909[แก้]

"หลังจากที่ข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษาในเอเธนส์ ข้าพเจ้ากลับบ้านพร้อมกับแบกแถบใส่ลูกกระสุนปืนไปด้วย ข้าพเจ้าไม่เคยลองหรือพยายามมีปัญหากับสภาบริหารเกาะบ้านเกิดของข้าพเจ้ามาก่อน ก่อนที่มันจะกลายเป็นความจำเป็นของข้าพเจ้าที่จะจับอาวุธขึ้นสู้ต่อต้านรัฐบาลเติร์ก แม้ว่าบิดาของข้าพเจ้าจะเกิดในกรีซ แต่ข้าพเจ้าถูกพิจารณาว่าเป็นประชาชนของออตโตมัน ดังนั้นจึงเป็นกบฏ เพราะว่ามารดาของข้าพเจ้าเกิดภายใต้ธงของเติร์ก ในช่วงสิ้นสุดการปฏิวัติ ข้าพเจ้ากลับไปยังบ้านเกิดอีกครั้งและเริ่มภารกิจใหม่อีก ข้าพเจ้าไม่มีเวลาแต่ก็ไปไกลเกินเสียแล้ว ในการที่ต้องจับอาวุธขึ้นสู้อีกครั้งและเดินทางไปยังภูเขา ในเร็วๆนี้ ข้าพเจ้าได้มาจนถึงจุดที่ข้าพเจ้าต้องตัดสินใจแล้วว่าควรเป็นทนายความอาชีพและเป็นนักปฏิวัติตามช่วงเวลา หรือ เป็นนักปฏิวัติอาชีพและเป็นทนายความตามช่วงเวลา...โดยธรรมชาติแล้วข้าพเจ้ากลายเป็นนักปฏิวัติอาชีพ "

เวนิเซลอสกล่าวปาฐกถาในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาโดยสื่อต่างประเทศในการประชุมสันติภาพ ปีค.ศ. 1919[42][43]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1909 จำนวนเจ้าหน้าที่ในกองทัพกรีกได้ลอกเลียนแบบมาจากกลุ่มยังเติร์กในคณะกรรมาธิการสหภาพและความก้าวหน้า ที่พยายามจะปฏิรู๔ปรัฐบาลแห่งชาติของประเทศและจัดระเบียบกองทัพ ดังนั้นจึงเป็นการสร้างสันนิบาตกองทัพ สันนิบาตนี้ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1909 ย้ายตั้งพักแรมอยู่ชานกรุงเอเธนส์ที่โกวดี ด้วยกันกับผู้สนับสนุนของพวกเขาได้บีบบังคับให้รัฐบาลของดีมิทริออส รอลลิสลาออก และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ภายใต้นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือ คีเรียโควลิส มัฟโรมิชาลิส เป็นการเข้ารับตำแหน่งภายใต้แรงกดดันทางทหารโดยตรงเหนือสภา แต่การสนับสนุนของสาธารณชนต่อสันนิบาตได้จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นได้ชัดว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้ทราบถึงวิธีการที่จะตอบสนองความต้องการของพวกเขา[44] ภาวะทางตันทางการเมืองยังคงดำรงอยู่ต่อไปจนกระทั่งสันนิบาตได้เชิญเวนิเซลอสจากเกาะครีตเข้ามาดำเนินการในฐานะผู้นำ[45]

ภาพพิมพ์หินที่โด่งดังบรรยายถึง การเฉลิมฉลองความสำเร็จในการรัฐประหาร เป็นช่วงที่กรีซได้รับชัยชนะเหนือสัตว์ประหลาดของพรรคการเมืองระบอบเก่าที่ตายแล้ว โดยมีการโห่ร้องสรรเสริญจากกองทัพและประชาชน

เวนิเซลอสไปยังเอเธนส์หลังจากปรึกษาหารือกับสันนิบาตและกับผู้แทนในการเมืองโลก เขาเสนอจัดตั้งรัฐบาลใหม่และปฏิรูปรัฐสภากรีซ ข้อเสนอของเขาได้รับการพิจารณาจากพระมหากษัตริย์และนักการเมืองกรีกที่เป็นอันตรายต่อการสถาปนาการเมือง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าจอร์จที่ 1 ทรงเกรงว่าจะเกิดวิกฤตการณ์มากขึ้น ทรงเรียกประชุมสภาและผู้นำทางการเมือง และทรงแนะนำให้พวกเขายอมรับข้อเสนอของเวนิเซลอส หลังจากมีการเลื่อนเวลาออกไปมาก พระมหากษัตริย์ทรงเห็นชอบที่จะแต่งตั้งให้สเตฟานอส ดรากูมิส (ซึ่งได้รับการชี้นำจากเวนิเซลอส) จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะนำประเทศไปสู่การเลือกตั้งอีกครั้งเมื่อสันนิบาตได้ถูกยุบเลิกไป[46] ในการเลือกตั้งวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1910 เหล่าผู้สมัครอิสระได้ที่นั่งในรัฐสภาเกือบครึ่ง ซึ่งจะกลายเป็นผู้มาใหม่ในฉากการเมืองกรีก แม้จะมีข้อสงสัยในการเป็นพลเมืองกรีกที่ถูกต้องของเวนิเซลอส และด้วยไม่มีการเลือกตั้งในแบบรายบุคคลที่สิ้นสุดที่ผู้เลือกตั้งสูงสุดในอัตติกา เขาได้รับการจัดตั้งให้เป็นผู้นำของฝ่ายอิสระในทันทีและดังนั้นเขาจึงตั้งพรรคการเมือง คือ พรรคโกมมาไฟเลฟทีรอน (พรรคเสรินิยม) ไม่นานหลังจากการเลือกตั้ง เขาเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ด้วยหวังที่จะชนะเสียงข้างมาก พรรคเก่าได้ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งครั้งใหม่และในวันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1910 พรรคของเวนิเซลอสชนะการเลือกตั้ง 300 ที่นั่งจาก 362 ที่นั่งในรัฐสภา โดยเป็นการที่พลเรือนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาในฉากการเมืองใหม่มากที่สุด[44] เวนิเซลอสจัดตั้งรัฐบาลและเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจ, การเมืองและกิจการระดับประเทศ

การปฏิรูปในปีค.ศ. 1910 - 1914[แก้]

เวนิเซลอสพยายามเดินหน้าตามโครงการปฏิรูปของเขาในด้านอุดมการณ์ทางการเมืองและสังคม, การศึกษาและวรรณกรรม โดยการประนีประนอมความขัดแย้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างเป็นรูปธรรม ในด้านการศึกษา ตัวอย่างเช่นพลวัตในปัจจุบันได้นิยมใช้ภาษาพูด ดีโมทิกิ ได้กระตุ้นปฏิกิริยาอนุรักษนิยม ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจในรัฐธรรมนูญ (มาตรา 107) ที่เห็นด้วยกับภาษาทางการที่ "บริสุทธิ์" คือ ภาษาคาทาเรวูซา ซึ่งมีลักษณะกลับไปยังยุคคลาสสิก[47]

ในวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ. 1911 กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้เสร็จสิ้นซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างเสรีภาพส่วนบุคคล ด้วยมาตรการที่อำนวยความสะดวกแก่ฝ่ายนิติบัญญัติในรัฐสภา และการสร้างระบบการศึกษาระดับประถมศึกษาภาคบังคับ และสิทธิในการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามกฎหมาย ความมั่นใจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับถาวร สิทธิในการเชิญบุคลากรชาวต่างชาติในการดำเนินการปรับโครงสร้างการบริหารและการทหาร การสร้างสภาแห่งรัฐอีกครั้งและความเรียบง่ายในการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ จุดมุ่งหมายของการปฏิรูปคือการรักษาความปลอดภัยโดยรวมของประชาชนและการปกครองด้วยกฎหมาย เช่นเดียวกับการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการผลิตเศรษฐทรัพย์ของประเทศ ในบริบทนี้วางแผนโดยกระทรวงทั้งแปด กระทรวงเศรษฐกิจแห่งชาติได้มีบทบาทนำ นับตั้งแต่ต้นปีค.ศ. 1911 กระทรวงนำโดย เอ็มมานูเอล เบนากิส พ่อค้าผู้มั่งคั่งชาวกรีกที่มาจากอียิปต์และเป็นเพื่อนของเวนิเซลอส[47] ในระหว่างปีค.ศ. 1911 และ 1912 จำนวนของกฎหมายมากมายที่มุ่งเน้นกรรมกรในกรีซได้รับการประกาศใช้ มาตรการที่เฉพาะเจาะจงได้มีข้อห้ามใช้แรงงานเด็ก และการทำงานของผู้หญิงในเวลากลางคืน ที่ซึ่งใช้เวลาในการทำงานและวันหยุด และนำไปสู่การก่อตั้งองค์กรแรงงาน[48] เวนิเซลอสยังคงใช้มาตรการในการปรับปรังุการบริหารจัดการ ความยุติธรรมและการรักษาควมสงบ และมีการจัดตั้งกลุ่มคนที่ไร้ที่ดินให้ตั้งถิ่นฐานที่เทสซาลี[47]

เชิงอรรถ[แก้]

  1. Kitromilides, 2006, p. 178
  2. 'Liberty Still Rules' เก็บถาวร 2013-05-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Time, Feb.18,1924
  3. "Venizélos, Eleuthérios". Encyclopædia Britannica Online. 2008.
  4. Duffield J. W., The New York Times, October 30, 1921, Sunday link
  5. "Intrigue in Greece". The Argus (Melbourne, Vic. : 1848 – 1956). Melbourne, Vic.: National Library of Australia. 4 July 1916. p. 7. สืบค้นเมื่อ 29 November 2012.
  6. 6.0 6.1 6.2 Chester, 1921, p. 4
  7. 7.0 7.1 Mitsotaki, Zoi (2008). "Venizelos the Cretan. His roots and his family". National Foundation Research. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-18. สืบค้นเมื่อ 2014-08-25.
  8. 8.0 8.1 Ion, 1910, p. 277
  9. Kitromilides, 2006, p. 45, 47
  10. Kitromilides, 2006, p. 16
  11. Clogg, 2002, p. 65
  12. "Pact of Halepa". Encyclopædia Britannica Online. 2008.
  13. 13.0 13.1 Kitromilides, 2006, p. 58
  14. Lowell Sun (newspaper), 6/2/1897, p. 1
  15. Holland, 2006, p. 87
  16. 16.0 16.1 16.2 Papadakis, Nikolaos E. (2008). "Eleftherios Venizelos His path between two revolutions 1889–1897". National Foundation Research. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-18. สืบค้นเมื่อ 2014-08-26.
  17. Holland, 2006, p. 91
  18. Chester, 1921, p. 35
  19. Chester, 1921, p. 34
  20. Kitromilides, 2006, p. 30
  21. Kitromilides, 2006, p. 62
  22. Kerofilias, 1915, p. 14
  23. 23.0 23.1 Dunning, Jun. 1987, p. 367
  24. Chester, 1921, pp. 35–36
  25. Gibbons, p. 24
  26. Kerofilias, 1915, pp. 13–14
  27. Leeper, 1916, pp. 183–184
  28. Anne O'Hare, McCormark, Venizelos the new Ulysses of Hellas, The New York Times Magazine, 2 September, p. 14
  29. Kitromilides, 2006, pp. 63–64
  30. Kitromilides, 2006, p. 65
  31. Rose, 1897, pp. 2–3
  32. Dunning, June 1897, p. 368
  33. 33.0 33.1 Dunning Dec. 1897, p. 744
  34. Understanding life in the borderlands: boundaries in depth and in motion, I. William Zartman, 2010, p.169
  35. Ion, 1910, p. 278
  36. 36.0 36.1 Kitromilides, 2006, p. 68
  37. 37.0 37.1 37.2 37.3 37.4 37.5 37.6 37.7 Manousakis, George (2008). "Eleftherios Venizelos during the years of the High Commissionership of Prince George (1898–1906)". National Foundation Research. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-09-27. สืบค้นเมื่อ 2014-09-01.
  38. 38.0 38.1 Kerofilias, 1915, pp. 30–31
  39. Kerofilias, 1915, p. 33
  40. Chester, 1921, p. 82
  41. Chester, 1921, p. 95
  42. Gibbons pp. 35–7
  43. Alastos p. 38
  44. 44.0 44.1 Mazower, 1992, p. 886
  45. "Military League". Encyclopædia Britannica Online. 2008.
  46. Chester, 1921, pp. 129–133
  47. 47.0 47.1 47.2 Gardika-Katsiadaki, Eleni (2008). "Period 1910 – 1914". National Foundation Research. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2007-05-18. สืบค้นเมื่อ 2014-11-27.
  48. Kyriakou, 2002, pp. 491–492

อ้างอิง[แก้]

หนังสือ
Wood, L. M.; Murphy, J. D. (1999). The European Powers in the First World War: An Encyclopedia. Taylor & Francis. ISBN 0-8153-3351-X.{{cite book}}: line feed character ใน |first= ที่ตำแหน่ง 11 (help)
เอกสาร

เว็บไซต์อ้างอิง[แก้]

  • วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ Eleftherios Venizelos
ก่อนหน้า อีเลฟเทริออส เวนิเซลอส ถัดไป
สเตฟานอส ดรากูมิส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 1)

(19 ตุลาคม ค.ศ. 191010 มีนาคม ค.ศ. 1915)
ดีมิทริออส กูนาริส
ดีมิทริออส กูนาริส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 2)

(23 สิงหาคม ค.ศ. 19157 ตุลาคม ค.ศ. 1915)
อเล็กซานดรอส ไซมิส
ดีมิทริออส กูนาริส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
(23 สิงหาคม ค.ศ. 19157 ตุลาคม ค.ศ. 1915)
อเล็กซานดรอส ไซมิส
อเล็กซานดรอส ไซมิส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 3)

(27 มิถุนายน ค.ศ. 191717 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920)
ดีมิทริออส รอลลิส
อนาสตาซีออส ชาราลัมบิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการทหาร
(27 มิถุนายน ค.ศ. 191717 พฤศจิกายน ค.ศ. 1920)
ดีมิทริออส กูนาริส
สตีลีอานอส โกนาตัส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 4)

(11 มกราคม ค.ศ. 19246 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924)
ยอร์โยส คาฟานตาริส
อเล็กซานดรอส ไซมิส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 5)

(4 กรกฎาคม ค.ศ. 192826 พฤษภาคม ค.ศ. 1932)
อเล็กซานดรอส ปาปานาสตาซีอู
อเล็กซานดรอส ปาปานาสตาซีอู นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 6)

(5 มิถุนายน ค.ศ. 19324 พฤศจิกายน ค.ศ. 1932)
ปานากิส ซาลดาริส
ปานากิส ซาลดาริส นายกรัฐมนตรีกรีซ
(สมัยที่ 7)

(16 มกราคม ค.ศ. 19336 มีนาคม ค.ศ. 1933)
อเล็กซานดรอส โอโทนาอิออส
ก่อตั้ง หัวหน้าพรรคเสรีนิยม
(ค.ศ. 1910ค.ศ. 1936)
เทมิสโตคลิส โซฟูลิส
จอห์น เฮสซิน คลาร์ก บุคคลบนปกนิตยสารไทม์
(18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1924)
เบอร์นาร์ด บารุช